ความรู้คือ วัคซีนของชีวิต เพลินอ่านนิยายดี
Group Blog
 
All Blogs
 

ความอยู่รอดของชาติกับอารมณ์ของคน

ความเห็นส่วนบุคคล

เขียนโดย แก้วมณี

ภาวะน้ำมันแพง ราคาทองคำพู่งสูงแทบคาดเดาไม่ได้ว่าจะหยุดที่ตัวเลขใด สร้างความปั่นป่วนแก่เศรษฐกิจโลกและความเดือดร้อนแก่ทุกประเทศ จนกระทั่งต้องหันมารณรงค์ให้ประหยัดการใช้น้ำมันในทุกธุรกิจและลดความฟุ่มเฟือยในการใช้จ่ายเงินลง แม้แต่ในสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นชาติที่ใช้จ่ายเงินและน้ำมันมาก ยังต้องออกมาขอร้องให้ทุกคนประหยัดการใช้น้ำมันแล้ว ส่วนเมืองไทยได้รับผลกระทบจากภาวะนี้เช่นกัน กอรปกับความปั่นป่วนในสังคมไทยอันเกิดจากการยุแยงให้คนไทยบางกลุ่มเป็นเครื่องมือทำลายความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจและรัฐบาล จึงซ้ำเติมบาดแผลของชาติให้กว้างขึ้น หากเทียบกับอาการป่วยของคนไข้ก็อยู่ในขั้นสาหัส
วงจรเศรษฐกิจมหภาคของชาติมีความเชื่อมโยงถึงชีวิตชาวบ้านทั้ง ชาวนา ชาวสวน ชาวไร่ ลูกจ้าง นักธุรกิจ และ กรรมกร การกระตุ้นเศรษฐกิจที่ดีและเร็วที่สุดซึ่งหลายรัฐบาลทำกันต่อเนื่อง คือ การเริ่มต้นจากภาครัฐแล้วส่งต่อให้ภาคเอกชนขับเคลื่อนต่อไป ภาพที่เห็นชัดได้แก่ โครงการของรัฐ การพัฒนาองค์กร การปรับเปลี่ยนรูปแบบ ซึ่งกระทำตามหน่วยงานของรัฐแล้วให้เอกชนเป็นผู้ทำงานซึ่งก่อเกิดการจ้างแรงงาน การสร้างสรรค์งาน ซื้อขายของจากธุรกิจขนาดกลางและเล็ก จนกลายเป็นวัฏจักรเศรษฐกิจ หากวงจรใดขาดช่วง จะมีผลกระทบไม่ดีเป็นลูกโซ่ต่อไปจนถึงห่วงโซ่สุดท้ายซึ่งคือ ความเป็นอยู่ของชาวบ้านนั่นเอง
เมื่อภาวะเศรษฐกิจหยุดชะงักไม่ว่าด้วยเหตุใดก็ตาม รัฐบาลไม่สร้างสรรค์งาน เอกชนไม่มีงาน ย่อมต้องปรับตัวเองให้อยู่รอด นั่นหมายถึงการปรับต้นทุนซึ่งเป็นภาระหนักของธุรกิจในอันดับแรก โดยเฉพาะหลายธุรกิจจะมองไปที่ลูกจ้างก่อน เพราะการลดภาระเงินรายเดือนลงทำให้มองเห็นต้นทุนลดได้ทันตา อีกอย่างหนึ่งปัจจุบันนี้มีเครื่องจักรหรือคอมพิวเตอร์เข้ามาผ่อนเบางานได้มาก จึงไม่มีความจำเป็นต้องใช้คนมาก ธุรกิจจักมีอายุยืนนานขึ้นเพื่อรอโอกาสใหม่ ขณะเดียวกันบรรดาลูกจ้างสมัยนี้หลายคนไม่อาจกลับต่างจังหวัดได้เพราะครอบครัวไม่มีที่นาที่สวนไว้ทำกินแล้ว เช่น ถูกเจ้าหนี้ยึด พ่อแม่ขายที่ดิน และอื่นๆ บางจังหวัดไม่มีโอกาสทำมาหากินได้คล่องเหมือนเมืองใหญ่ ปัญหาภาระหนี้สินที่ก่อไว้ตอนเศรษฐกิจดี เช่น ผ่อนบ้าน หนี้บัตรเครดิต เป็นต้น ติดตามตัวไว้ ผลกระทบสุดท้าย คือ ลูกหลานของพวกเขาไม่อาจเรียนหนังสือต่อไปได้เมื่อพ่อแม่พี่น้องตกงานและไม่มีเงินจ่ายค่าเล่าเรียน สิ่งเหล่านี้ล้วนบีบคั้นให้ผู้ใช้แรงงานทุกระดับความรู้เดือดร้อนกันถ้วนหน้า หากเกิดภาวะเศรษฐกิจไม่ดี การใช้ชีวิตในเมืองใหญ่มีค่าครองชีพสูงขึ้น ถ้าคิดกลับบ้านต่างจังหวัดก็ไม่มีความหวังเหลืออยู่ ทางเดินชีวิตจึงดูตีบตันยิ่ง ปัญหาต่อเนื่องดังกล่าวนี้เป็นหน้าที่ของรัฐบาลต้องกระทำทุกรูปแบบเพื่อมิให้ชาวบ้านพบความลำบากนั้น แต่ละรัฐบาลจักใช้นโยบายแตกต่างกันตามช่วงเวลาเพื่อบรรเทาปัญหานี้
ปัญหามหภาคที่สร้างความเดือดร้อนแก่คนไทยอาจต้องใช้เงินจำนวนมากหรือนโยบายบางอย่างกระตุ้นให้วงจรเศรษฐกิจดำเนินต่อเนื่องอีกครั้ง แต่ด้วยมารยาทอันควรที่รัฐบาลรักษาการไม่ควรกระทำในช่วงดูแลประเทศเพื่อรอรัฐบาลใหม่ ทำให้หลายปัญหาไม่อาจแก้ได้และถูกทับซ้อนหนักขึ้น ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าใด ความซับซ้อนจักทวีขึ้น การซื้อขายสินค้าเกษตรหรืออุตสาหกรรมหลายอย่างที่รัฐบาลเป็นผู้ดำเนินการกับคู่ค้าต่างชาติจำต้องหยุดชะงักเพราะไม่อาจทำสัญญาผูกพันกันได้ด้วยเป็นรัฐบาลรักษาการเท่านั้น จึงเป็นผลให้การขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจที่เคยดำเนินราบรื่นหยุดชะงัก การรับซื้อข้าวหรือผลไม้อื่นต้องชะลอออกไปและกลายเป็นความเสียหายต่อเนื่อง ครอบครัวต้องขาดเงินหมุนเวียนและกระทบถึงชีวิตความเป็นอยู่ในท้ายที่สุด หากรอให้การปลดคนงานเกิดขึ้นตามโรงงานหรือภาคธุรกิจอื่นๆต่อเนื่อง เขาปิดตัวหรือลดทอนการทำงานลงเพื่อความอยู่รอด การพลิกฟื้นจักทำได้ยากและยาวนานมากกว่าการประคองให้เศรษฐกิจดำเนินต่อไป หากเปรียบเรื่องหมอกับคนไข้ ย่อมอยากให้คนป้องกันโรคมากกว่ารอให้หมอรักษาโรคแน่เพราะมันใช้เงิน เวลา และมีความทุกข์ทรมานแตกต่างกันมาก
ความปั่นป่วนในสังคมที่เกิดขึ้นก่อนปีใหม่เริ่มเห็นผลกระทบถึงชีวิตลูกจ้างทุกระดับความรู้แล้วด้วยข่าวการปลดคนงานตามโรงงานต่างๆ บริษัทขนาดใหญ่ กลาง และเล็กปรับตัวด้านต้นทุนด้วยการประหยัด เมื่อมีภาวะน้ำมันแพง ราคาทองคำพุ่งสูง ราคาสินค้าปรับสูงขึ้น ทำให้ลูกจ้างหรือคนงานมีชีวิตสั่นคลอนหนักขึ้น แม้แต่หน่วยราชการหรือรัฐวิสาหกิจยังมีโครงการสมัครใจลาออกของข้าราชการเพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายรายเดือนลง แล้วเน้นใช้คอมพิวเตอร์ทำงานแทนมากขึ้น อันที่จริงแล้วบ้านเมืองควรมีรัฐบาลใหม่ตามกฎหมายอย่างเร็วที่สุดเพื่อลดความเสียหายทางเศรษฐกิจและสังคม แต่นักการเมืองหลายกลุ่มคิดหาประโยชน์ใส่ตัวเพื่อแย่งชิงอำนาจหรือทำลายคู่ต่อสู้ จึงยื้อเวลาให้การเลือกตั้งยาวนานขึ้นมากกว่าสี่เดือน ทำให้รัฐบาลรักษาการต้องทำงานต่อไปด้วยขอบอำนาจที่จำกัด ปัจจุบันนี้ปัญหาเศรษฐกิจหลายอย่างจำต้องมีการตัดสินใจที่รวดเร็ว เหมาะสม และทันเวลา จึงคลี่คลายความเดือดร้อนได้ ตัวอย่างที่เห็นชัด คือ การพิจารณางบประมาณแผ่นดินซึ่งมีผลต่อการใช้จ่ายของรัฐบาลและใช้กระตุ้นเศรษฐกิจไทยไม่อาจทำได้ การกำหนดทิศทางพัฒนาชาติไม่ชัดเจน การค้าขายระหว่างรัฐกับคู่ค้าต่างชาติชะลอออกไป งานที่ทำอยู่เดิมก็หน่วงช้า เพื่อรอฟังนโยบายใหม่ เอกชนไม่มีงานทำและอาจปิดตัวเพราะหน่วยงานรัฐไม่มีเงินใช้จ่ายด้วยกลัวว่าจะขัดนโยบายของรัฐบาลใหม่และจะเกิดโทษแก่ตน ปัญหาสังคมหลายอย่างเช่น ยาเสพย์ติดทุกชนิด มาเฟียต่างๆ การค้ามนุษย์ เป็นต้น ต่างฟื้นคืนชีพมาสร้างความเดือดร้อนแก่ชาวบ้านเพราะคาดว่ารัฐบาลรักษาการไม่กล้าแตะต้องพวกเขาอีก
ด้วยเวลาที่ยาวนานก่อนถึงการเลือกตั้งใหญ่ผู้นำรัฐบาลรักษาการซึ่งพักผ่อนชั่วเวลาหนึ่งเพื่อลดแรงเสียดทานจากพวกปั่นป่วนสังคม จำต้องกลับมาทำงานแก้ปัญหาบ้านเมืองในช่วงเวลาที่เหลืออยู่ตามขอบอำนาจที่จำกัด ขณะที่นักการเมืองคู่แข่งกับพวกปั่นป่วนสังคมซึ่งล้วนมีฐานะทางการเงินที่ดี ไม่ต้องทำงานตลอดชีวิต เป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจหรือข้าราชการซึ่งแน่ใจได้ว่าไม่มีวันลำบากมากเท่าบรรดาลูกจ้างหรือคนงานหรือคนทำมาหากินทั่วไปแน่ ต่างออกมาข่มขู่มิให้ผู้นำบ้านเมืองทำงานตามหน้าที่และตามรัฐธรรมนูญ โดยพยายามแสดงอำนาจต่อสาธารณชนว่ารัฐบาลจักทำงานไม่ได้ถ้าพวกเขาไม่ยินยอมอนุญาต นั่นแสดงว่าพวกเขากำลังขัดขวางมิให้ผู้นำรัฐบาลทำหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญโดยจงใจ อันเป็นการขัดต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยและมีเจตนาทำลายชาติด้วยความไม่สุจริตใจ เราควรสงบจิต ใช้สติปัญญา ยอมรับความจริงและกฎหมายที่ใช้อยู่ในวันนี้ว่า ผู้นำบ้านเมืองมาจากกฎหมายและมีอำนาจบริหารบ้านเมืองหรือไม่ เขามีหน้าที่ต้องบรรเทาความเดือดร้อนของคนไทยตามความสามารถและปัญญาของเขาหรือไม่ ตราบใดที่เขาอยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญไทย เขาต้องทำงานให้คนไทย เพื่อคนไทย ตามกฎหมายกำหนดวิธีการถอดถอนตำแหน่งนี้อย่างไร กลุ่มบุคคลนั้นต้องทำตามที่บัญญัติไว้ จะใช้วิธีนอกเหนือกฎหมายไม่ได้เพราะสิ่งที่พวกเขาข่มขู่นั้นเป็นการกระทำของอันธพาล มิใช่ผู้มีปัญญาหรือเหตุผลเลย
ในภาวะเศรษฐกิจไม่ดีและปัญหาสังคมที่ทำลายคนไทยทวีตัวขึ้น หน้าที่ของรัฐบาลปัจจุบันคือช่วยคลี่คลายปัญหาเหล่านี้ตามความสามารถและขอบอำนาจของตน ส่วนคนไทยต้องร่วมมือกันทำให้บ้านเมืองสงบสุข เมื่อการเลือกตั้งคือทางแก้ปัญหาการเมืองที่คนไทยต้องการ ก็ต้องเคารพสิทธิหน้าที่ของคนอื่นและรู้จักรอคอยเวลา ถ้าทุกฝ่ายต่างทำงานตามหน้าที่ของตน ปัญหาต่างๆจักลดน้อยลง พวกปั่นป่วนสังคมหรืออันธพาลทางการเมืองต้องไม่ละเมิดสิทธิของคนอื่นและไม่กระทำตนเป็นอภิสิทธิ์ชนที่แตะต้องไม่ได้ด้วยการใช้กำลังข่มขู่อีกฝ่าย ความอยู่รอดของชาติและคนไทยต้องใช้สติปัญญา ความยั้งคิด การไตร่ตรอง ส่วนการทำลายชาตินั้นใช้อารมณ์เป็นอาวุธอย่างเดียวก็เพียงพอแล้ว เวลาที่ผ่านมาเราเห็นปัญญาชนหลายระดับที่เรียนในประเทศและต่างประเทศกลายเป็นเหยื่อน่าขบขันด้วยการเสนอใช้รัฐธรรมนูญมาตรา 7 และข้อเสนออื่นๆมาแล้ว รวมทั้งหลงคารมของคนอื่นสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจแก่ชาติ พวกเขาไม่เคยเสนอทางแก้ไขปัญหาการว่างงานหรือการถดถอยของชาติเลย หากเราสังเกตให้ดีจะเห็นคนกลุ่มนี้ว่ามีเวลามากในการตั้งโต๊ะแถลงเรื่องที่อยากพูดทุกวันโดยไม่อนาทรร้อนใจกับวันข้างหน้าว่าต้องตกงานหรือได้รับซองขาวขอร้องให้ออกเพื่อเห็นแก่ความอยู่รอดของบริษัท อันแตกต่างจากลูกจ้างหรือครอบครัวของลูกจ้างที่ต้องนั่งหวั่นใจว่าวันใดจะเป็นคิวของเขาที่จักสูญเสียรายได้หาเลี้ยงครอบครัว ดังนั้น คนไทยควรยั้งคิดใช้สติให้มาก แล้วให้ความเป็นธรรมแก่รัฐบาลตามรัฐธรรมนูญซึ่งมีหน้าที่ทำงานบรรเทาปัญหาบ้านเมืองที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาก่อนการเลือกตั้ง ส่วนคนไทยต้องมีหน้าที่ช่วยกันประคองให้สังคมสงบมากที่สุด อันเป็นการช่วยลดทอนปัญหาของตนและชาติได้พร้อมกัน อย่าตกเป็นเครื่องมือทำลายชาติของกลุ่มคนที่ไม่หวังดี และสำนึกเสมอว่าชาติไม่สงบ เศรษฐกิจไม่ดี ผู้ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด คือ คนไทยระดับลูกจ้างหรือคนงานหรือคนทำมาหากินสุจริต มิใช่พวกค้ายาเสพย์ติด คนโกงแชร์ มาเฟีย นักการเมือง ส่วนสื่อมวลชนต้องมีจิตสำนึกในจรรยาบรรณวิชาชีพของตนในการนำเสนอข้อมูลข่าวสารที่เป็นจริงและเป็นประโยชน์ต่อชาติในภาวะวิกฤตินี้ หากคนอ่านตกงานมาก คงไม่มีเงินไปซื้อสินค้าทุกสื่อแน่นอน สิ่งสุดท้ายที่ต้องจำไว้ คือ บ้านเมืองสงบไม่ได้ ถ้าคนไทยไม่เคารพกฎหมายและไม่รักชาติด้วยจิตใจบริสุทธิ์

***********************************




 

Create Date : 23 พฤษภาคม 2549    
Last Update : 23 พฤษภาคม 2549 1:24:46 น.
Counter : 579 Pageviews.  

ของเซ่นสังเวย เครื่องมือ และฮีโร่

ความเห็นส่วนบุคคลเท่านั้น


เขียนโดย แก้วมณี

ประเทศไทยมีประชากรมากกว่า 60 ล้านคนและผืนดินอันอุดมสมบูรณ์ ถือเป็นประเทศใหญ่พอควรและเป็นเป้าหมายในการแสวงหาประโยชน์จากต่างชาติ หลายปีที่ผ่านมาเราเกือบเพลี่ยงพล้ำเป็นทาสเจ้าหนี้ต่างชาติมาแล้ว แต่ผ่านพ้นอุปสรรคหนักเบาไปได้ด้วยการตัดสินใจเด็ดเดี่ยวและสติปัญญาของผู้นำประเทศในช่วงเวลานั้น บัดนี้ เมืองไทยกำลังเผชิญปัญหาทางการเมืองอีกครั้งซึ่งส่งผลเสียหายอย่างมากต่อเศรษฐกิจไทย ธุรกิจหลายแขนงเริ่มปลดคนงานเพื่อความอยู่รอดของตนแล้ว หากคิดทบทวนด้วยจิตใจสงบนิ่ง ใช้ปัญญา และปราศจากอคติ เราจักมองเห็นว่าต้นเหตุมาจากความขุ่นเคืองใจของคนกลุ่มหนึ่ง การใช้เล่ห์อุบายเพื่อชิงอำนาจบริหารของนักการเมือง การบิดเบือนข้อมูลและข้อกฎหมายจากนักวิชาการกลุ่มหนึ่ง โดยมีเป้าหมายเพื่อล้มล้างรัฐบาลด้วยการหยิบยกข้อกฎหมายบางข้อ เช่น มาตรา 7 ของรัฐธรรมนูญไทยไปตีความขยายเพื่อต้องการนายกรัฐมนตรีที่ไม่ผ่านกระบวนการสรรหาตามกฎหมาย หรือทำลายคณะกรรมการเลือกตั้งเพื่อปกปิดความผิด เป็นต้น ทุกเหตุการณ์มีการกระทำอย่างสอดคล้องและต่อเนื่องอย่างเป็นลำดับโดยกลุ่มบุคคลซึ่งมีแนวโน้มมานานว่าไม่พอใจรัฐบาล ข้อกฎหมายหรือข้อมูลที่จัดหาไว้นำแสดงต่อประชาชนเพื่อให้บรรลุจุดประสงค์ที่แฝงเร้นไว้ผ่านสื่อมวลชนทุกเขนงและทุกวัน รวมทั้งจัดการประท้วงด้วยงบเงินทุนมหาศาลซึ่งไม่ระบุแหล่งที่มา โดยอ้างกับสาธารณชนว่าเป็นการกู้ชาติ ซึ่งต่อมาคำนี้จำต้องปลดออกไปหลังจากมีพระราชดำรัสของในหลวงตักเตือนไว้
หลายองค์กรเสนอทางแก้ปัญหามากมาย บางพวกใช้ข้อเสนอเหล่านั้นไปกำจัดองค์กรที่คาดว่าจะเป็นอุปสรรคต่อชัยชนะทางการเมืองของตน คำสรรเสริญเยินยอตามสื่อต่างๆต่อข้อเสนอเหล่านั้นทำให้มองเห็นภาพการแย่งตำแหน่งฮีโร่ โดยใช้บางองค์กรเป็นของเซ่นสังเวยแล้วฉวยโอกาสชิงภาพฮีโร่ไปเป็นของตน ความเห็นในการแก้ปัญหาของชาติต่างบอกว่าเป็นทางเลือก มิใช่คำตัดสิน แต่หลายคนพูดชี้นำกึ่งบังคับให้ใช้ทางเลือกที่ตนต้องการเท่านั้น ทั้งที่กฎหมายกำหนดชัดถึงหน้าที่ของแต่ละองค์กรไว้แล้ว อีกภาพหนึ่งจึงเกิดขึ้นด้วย คือ การยัดเยียดภาพไม่ดีโดยอาศัยกฎหมายหรือไม่มีความยุติธรรมเพียงพออย่างเป็นสากลให้แก่ของเซ่นสังเวยเพื่อความเป็นฮีโร่ของตน
อันที่จริงแล้วการแก้ปัญหาของประเทศต้องยึดถือประโยชน์ของคนไทยและความรวดเร็วเป็นหลัก โดยควรใช้องค์กรที่มีอยู่โดยชอบและมีกฎหมายรองรับอย่างถูกต้องเป็นเครื่องมือแก้ปัญหาของชาติโดยอยู่ในความดูแลอย่างใกล้ชิดก็ได้ ทางเลือกให้ทำลายองค์กรซึ่งมีหน้าที่โดยตรงในเรื่องที่เป็นปัญหานั้น เช่น คณะกรรมการเลือกตั้ง และอื่นๆ ทำให้ปัญหาความมั่นคงของชาติที่ขาดรัฐบาลตัวจริงต้องยืดเยื้อต่อไปอันกระทบต่อระบบเศรษฐกิจมหภาคซึ่งสร้างความเสียหายโดยรวมและมีผลต่อความเป็นอยู่ของคนไทยมากขึ้น ดังนั้น องค์กรที่เกี่ยวข้องและเสนอตัวเป็นผู้แก้ปัญหาจึงควรยุติปัญหาโดยเร็ว ด้วยการใช้องค์กรที่มีอยู่โดยชอบเป็นเครื่องมือเลือกสรรสมาชิกรัฐสภาและรัฐบาลเพื่อบริหารบ้านเมืองให้เป็นธรรมโดยมีกลไกทางกฎหมายคอยดูแลอย่างใกล้ชิด เราต้องตระหนักแก่ใจว่ารัฐบาลกับเศรษฐกิจของชาติต้องไปด้วยกัน ทุกวินาทีเป็นความเสียหายของชาติ ถ้าต้องการแก้ปัญหาอย่างแท้จริง พวกเขาต้องละเว้นสถานภาพหรือหัวโขนของตนลงชั่วคราว ไม่ระแวงใจว่าใครจะเป็นฮีโร่ แล้วลงมาช่วยกันคลี่คลายวิกฤติ โดยให้ข้อมูลที่ถูกต้องแก่ประชาชนด้วย มิใช่ใส่ร้ายป้ายสีกันต่อเนื่อง ความสง่างามของฮีโร่จักเกิดขึ้นไม่ได้ ถ้าเหยียบบนศพของเพื่อนไปนั่งในตำแหน่งที่ได้รับคำเยินยอนั้น
ประเทศไทยไม่ต้องการฮีโร่ แต่อยากให้คนไทยทำงานร่วมกันด้วยความสามัคคีและรักชาติอย่างแท้จริง สำหรับปัญหาบ้านเมืองขณะนี้ต้องการเวลาแก้ไขที่รวดเร็วและเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย การฆ่าให้ตายจักไม่ก่อประโยชน์สูงสุดและความเสียหายของชาติต้องขยายเนิ่นช้าต่อไป คนไทยและผู้นำองค์กรต่างๆน่าจะใช้คณะกรรมการเลือกตั้งชุดปัจจุบันเป็นเครื่องมือแก้ไขปัญหานี้ไปก่อน แทนที่จะเสียเวลาล้มกระดานสร้างฮีโร่ในความฝันท่ามกลางซากความเสียหายทางเศรษฐกิจของไทยและอัตราคนว่างงานที่สูงขึ้นทุกวัน ฮีโร่ตัวจริงของงานนี้ควรเป็นคนไทยที่ร่วมใจกันยุติปัญหาด้วยสติปัญญาและยอมรับความจริงโดยปราศจากอคติ รู้จักอภัยคน ให้โอกาสแก่คนอื่น เราต้องตระหนักด้วยว่า ปัญหาของประเทศมิอาจยุติได้ด้วยคนกลุ่มเดียว จึงต้องใช้ความยับยั้งชั่งใจเป็นตัวถ่วงคานกับคำเยินยอรอบกายเพื่อมิให้ร่างลอยสูงเสียดฟ้า


*************************************




 

Create Date : 16 พฤษภาคม 2549    
Last Update : 16 พฤษภาคม 2549 1:05:36 น.
Counter : 497 Pageviews.  

ขบวนการมาตรา 7

ความเห็นส่วนบุคคล


เขียนโดย "แก้วมณี"



รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 มาตรา 7 บัญญัติว่า ในเมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้บังคับแก่กรณีใดให้วินิจฉัยกรณีนั้นไปตามประเพณีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ข้อความนี้ไม่ยาวและชัดเจนอย่างมาก แต่มีการนำไปตีความขยายเพื่อเป็นประโยชน์แก่ฝ่ายตนไม่ว่าด้วยความจงใจหรือขาดความรู้ก็ตาม มันได้ก่อความวุ่นวายสับสนขึ้นในสังคมไทย เมื่อบรรดานักการเมือง สื่อมวลชน นักวิชาการ วุฒิสมาชิก ผู้มีเกียรติชื่อเสียงในสังคมต่างอ้างข้อความเบื้องต้นเพื่อสนองความต้องการของตน อันที่จริงแล้วข้อความเหล่านี้เข้าใจง่ายๆว่า สิ่งใดไม่มีบัญญัติในรัฐธรรมนูญมาตราใด จึงนำหลักในมาตรานี้ไปใช้ได้ ตัวอย่างเช่น รัฐธรรมนูญมิได้กำหนดที่มาของนายกรัฐมนตรีไว้ ผู้นำประเทศจึงมาตามประเพณีการปกครองที่เคยทำกันมา อาจมาจากการแต่งตั้งของกษัตริย์ก็ได้ เป็นต้น หากสิ่งใดมีบัญญัติไว้ชัดแล้ว จักนำข้อความของมาตรา 7 ไปใช้ไม่ได้เด็ดขาด
กระแสคลั่งไคล้มาตรา 7 ของรัฐธรรมนูญไทยช่วงต้นปีพ.ศ. 2549 ถือกำเนิดมาจากนักการเมืองกลุ่มหนึ่ง นักวิชาการด้านกฎหมายและรัฐศาสตร์บางท่าน สื่อมวลชน และผู้นำการประท้วง ซึ่งมีความประสงค์จะได้ผู้นำคนใหม่ ด้วยการอ้างข้อกล่าวหาต่างๆแล้วยกมาตรา 7 เพื่อให้กษัตริย์แต่งตั้งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ตามที่ตนปรารถนา โดยตีความหมายเพื่อให้มองเห็นว่าเป็นความชอบด้วยกฎหมาย ทั้งที่มาตรานี้เขียนไว้ชัดเจนโดยไม่ต้องตีความเลย สิ่งที่น่าสังเกตคือ บรรดานักวิชาการระดับปริญญาเอก โท ตรี ซึ่งมีตำแหน่งหน้าที่การงานสูงในวงการอุดมศึกษาชั้นนำของไทย นักกฎหมายบางกลุ่ม นักเรียนชั้นมัธยม ออกตัวสนับสนุนให้แต่งตั้งผู้นำประเทศด้วยมาตรา 7 ทำให้กระแสคลั่งไคล้มาตรา 7 ลุกลามกว้างขึ้นด้วยเชื่อว่าเป็นความคิดที่ถูกต้อง คนไทยส่วนหนึ่งหรือผู้มีชื่อเสียงในสังคมกลุ่มหนึ่งต่างแสดงความสนับสนุนสอดคล้องกับนักวิชาการและนักการเมืองกลุ่มนั้นด้วยการใช้ชื่อเสียงของตนในการยื่นเรื่องขอผู้นำประเทศตามมาตรา 7
อันที่จริงแล้วนักกฎหมายอาวุโสหลายท่าน คนไทยกลุ่มใหญ่ซึ่งมีทุกระดับความรู้ ทั้งที่เรียนกฎหมายและมิได้เรียนด้านนี้ อ่านข้อความในมาตรา 7 อย่างเข้าใจความหมายชัดเจนโดยปราศจากอคติและไม่ต้องอาศัยองค์กรใดตีความเลย หลายท่านออกมาชี้แจงให้รับทราบตามสื่อมวลชนหลายแขนง แต่สื่อฯส่วนใหญ่ไม่นำเสนอให้คนไทยรับฟังเพื่อประกอบการพิจารณาอีกด้านหนึ่ง ส่วนผู้ปลุกปั่นใช้มาตรา 7 ซึ่งมีเจตนาไม่ดีแอบแฝงพยายามพูดบิดเบือนความหมายแท้จริงของมันอย่างต่อเนื่องและรุนแรงมากขึ้น จนกระทั่งมีพระราชดำรัสของในหลวงชี้แจงความเข้าใจที่ถูกต้องของมาตรา 7 ต่อสาธารณชน พวกเขาจึงไม่กล้าหยิบมาใช้ต่อไป แล้วยังพยายามบอกปัดว่า ไม่เคยพูดหรือคนฟังมีหูไม่ดี บางคนบอกมิให้เอ่ยถึงอดีต ทั้งที่เป็นผู้เริ่มต้นชี้นำมาตรานี้ไปใช้ต่อสาธารณชนและทุกแขนงของสื่อมวลชนด้วย บรรดานักวิชาการ สื่อมวลชน นักการเมือง นักกฎหมาย ต่างปัดความรับผิดชอบต่อการใช้ข้อกฎหมายสร้างความสับสนแก่สังคมไทย มันแสดงว่า จิตสำนึกของพวกเขาตกต่ำมาก ระบบการศึกษามิได้ยกระดับจิตใจของคนเหล่านั้นสูงขึ้นด้วย
ส่วนคนไทยกลุ่มหนึ่งยังขาดสติยั้งคิด การแสวงหาความรู้เกี่ยวกับหัวข้อที่ตนสนใจมีน้อยเกินไป และให้ความเชื่อถือในคำพูดของบุคคลง่ายเกินเหตุ จึงกลายเป็นเหยื่อหรือเครื่องมือในการสร้างภาพพจน์หรืออำนาจให้ผู้ปลุกปั่นความคิดอย่างง่ายดาย นอกจากนั้นสื่อมวลชนควรทำตัวเป็นกลางและนำเสนอข้อมูลรอบด้านให้ผู้อ่านรับทราบประกอบการพิจารณา พวกเขาปิดบัง กลบเกลื่อน ตัดทิ้ง บิดเบือน ข้อมูลอีกด้านหนึ่งซึ่งไม่ตรงกับแนวคิดของตน แล้วเลือกเสนอข้อมูลด้านเดียวเพื่อฝังความเชื่อในสมองของคนไทยให้เห็นคล้อยตามพวกของตน ซึ่งถือเป็นการกระทำผิดจรรยาบรรณของสื่อมวลชนอย่างชัดเจน แต่ไม่มีฝ่ายใดออกมาสำนึกผิดหรือขอโทษต่อประชาชน รวมทั้งลงโทษผู้ทำละเมิดจรรยาบรรณนี้เลย เมื่อท่านไม่มีจิตสำนึกรับผิดชอบต่อการกระทำของตน แล้วจะเรียกร้องคนอื่นให้รับผิดชอบได้อย่างไร สิ่งที่กลุ่มปลุกปั่นความคิดซึ่งผิดเหล่านี้ร่วมกันก่อขึ้น ถือเป็นอันตรายต่อบ้านเมืองอย่างยิ่ง เราจำต้องพัฒนาให้คนไทยใช้สติปัญญาคิดพิจารณาทุกเรื่องราวที่ผ่านหูหรือตามากขึ้น โดยเฉพาะเด็กรุ่นต่อไป เพื่อมิให้สร้างปัญหาแก่ชาติบ้านเมืองสนองกิเลสตัณหาของตนเองหรือตกเป็นเหยื่อตัณหาของผู้อื่นง่ายนัก
หลักเบื้องต้นในการตีความกฎหมาย คือ ต้องไม่มีอคติหรือจิตใจไม่สุจริตในการตีความ นักการเมืองกับสื่อมวลชนอาจไม่มีความรู้ด้านกฎหมายมากพอ จึงเป็นไปได้ที่จะอ่านข้อความไม่แตกฉาน แต่บรรดานักกฎหมาย อาจารย์ด้านกฎหมายหรือรัฐศาสตร์เป็นผู้ที่มีประสบการณ์และเรียนเฉพาะทางด้านนี้ ย่อมแยกแยะข้อความในมาตรา 7 ได้ แต่พูดบิดเบือนเพื่อสนองความต้องการบางอย่าง หากบุคคลเหล่านี้มีหน้าที่สอนเด็กและขาดจรรยาบรรณของวิชาชีพมากเพียงนี้ นักกฎหมายรุ่นต่อไปจะเป็นคนดีสมบูรณ์ได้อย่างไร โดยเฉพาะไม่มีสักคนที่แสดงความรับผิดชอบต่อการกระทำของตน ทั้งที่เรียกร้องให้คนอื่นมีความรับผิดชอบมาตลอดเกือบครึ่งปี ผู้ปกครองจะฝากลูกหลานให้พวกเขาสั่งสอน ชี้แนะ ความรู้ได้อย่างไร เมื่อเขายังไม่แตกฉานในวิชาอย่างแท้จริง หรือจงใจบิดเบือนความรู้เพื่อสนองอคติของตน
กระแสคลั่งไคล้มาตรา 7 ที่เหล่านักการเมือง นักวิชาการ นักกฎหมาย สื่อมวลชน และผู้นำการประท้วง สร้างขึ้นมาทำให้สังคมไทยปั่นป่วนอย่างไม่สมเหตุผล แล้วยังกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจให้ถดถอย การลงทุนชะงัก การปลดคนงานเริ่มต้นขึ้นเพื่อรักษาธุรกิจของตน บัดนี้ ผลลัพธ์ของมันเห็นชัดที่เบื้องหน้าแล้ว ผู้ที่ได้รับผลกระทบโดยตรง คือ คนไทยระดับลูกจ้าง เจ้าของธุรกิจขนาดเล็ก ส่วนพวกที่ปลุกปั่นการใช้มาตรา 7 ล้วนเป็น ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ เจ้าของธุรกิจขนาดใหญ่ คนที่ล้มละลายแล้วยังรวยอยู่ คนเบี้ยวแชร์แล้วรวย คนบำนาญ และนักบวชซึ่งมีเงินบริจาคจำนวนมากล้น พวกเขาเหล่านี้ไม่ต้องดิ้นรนหาเลี้ยงชีพ ก็มีเงินเดือนของรัฐ ทรัพย์สินส่วนตัวมากมาย คอยหล่อเลี้ยงได้ตลอดชีวิต ไม่ว่าภาวะเศรษฐกิจจะดีหรือเลวก็ตาม พวกเขาไม่ได้รับผลกระทบต่อการดำรงชีพเลย ทุกคนควรใช้สติปัญญาในการคิดตรองเพื่อรักษางานและตำแหน่งของตนได้แล้ว เวลาข้างหน้านี้จักเป็นความยากเข็ญที่ต้องเดินฝ่าฟันไปอย่างเดียวดาย เพราะขาดรัฐบาลที่มีอำนาจเต็มในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจถดถอยหรือชะงักตัวจากการประท้วงของคนกลุ่มหนึ่งอันสร้างภาพพจน์ด้านการเมืองไทยที่ไม่มั่นคงขึ้น
กงล้อเศรษฐกิจเปรียบคล้ายกังหันลมซึ่งต้องหมุนต่อเนื่องเพื่อนำน้ำเข้าสู่ผืนดินในการเพาะปลูกให้พืชผลเติบโตงดงาม หากเศรษฐกิจสะดุดด้วยฝีมือของคนบางกลุ่มเพื่อสนองกิเลสตัณหาของเขา ผลกระทบจักเกิดกับทุกคนในเมืองไทย ดังนั้น บรรดาสื่อมวลชน นักวิชาการ นักการเมือง และนักกฎหมาย จึงควรคิดถึงจรรยาบรรณทางวิชาชีพของตนให้มากกว่านี้ เนื่องจากการกระทำของพวกเขาจักเป็นส่วนหนึ่งที่ทำลายความสุข ความมั่นคงในชีวิตของคนไทย และอาจไกลไปถึงประเทศไทยด้วยแรงกิเลสตัณหาด้านมืด อีกอย่างหนึ่งที่อยากให้พิจารณาด้วย คือ การก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้นำประเทศนั้น ต้องทำตามรัฐธรรมนูญกำหนดไว้เท่านั้น การใช้เล่ห์เพทุบายหรือคำพูดบิดเบือนข้อเท็จจริงเพื่อชิงตำแหน่งอันมีเกียรตินั้นทำลายความสง่างามของผู้กระทำ รวมทั้งการไม่ยอมขึ้นวทีเพื่อต่อสู้ตามกติกา แล้วเรียกร้องขอตำแหน่งนั้นไม่ว่าจะอ้างเหตุผลใดก็ตาม มันเปรียบดังภาพนักมวยอยากเป็นแชมป์ แต่ไม่ยอมชกกับเจ้าของเข็มขัดแชมป์เพราะคาดล่วงหน้าว่าจะแพ้ แล้วยืนตะโกนด่าหรือทวงเข็มขัดอยู่ข้างเวทีจากอีกฝ่าย เขาไม่มีวันเป็นแชมป์และได้รับคำประณามแทนคำสรรเสริญจากคนดูแน่นอนเพราะไม่มีน้ำใจนักกีฬาที่แท้จริง ดังนั้น ทุกคนต้องดำเนินไปตามรัฐธรรมนูญเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการอย่างสง่างาม พวกเราลองคิดไตร่ตรองกันว่าระหว่างเจ้าของบ้านกับโจร ท่านเห็นว่าการปกป้องด้วยการรักษากติกาห้ามโจรเข้าบ้านตามสิทธิในกฎหมายในฐานะเจ้าของบ้านกับโจรที่ทำทุกอย่างเพื่อบุกรุกเข้าปล้นบ้าน เราควรสนับสนุนหรือเห็นใจฝ่ายใดเมื่อทั้งสองฝ่ายต่างมีเหตุผลของตัวเองไม่ว่าจะเป็นบ้านของเขาหรือโจรขาดเงินและยากจนต้องการให้เจ้าของบ้านแบ่งปันเงินกันใช้ คำตอบน่าจะอยู่ที่ว่า กฎหมายกำหนดให้การปล้นบ้านของผู้อื่นเป็นความผิดที่ต้องลงโทษหรือไม่ ระหว่างกฎหมายกับอารมณ์สงสารโจรที่อยากแบ่งเงินคนอื่นไปใช้ เราควรยึดถือสิ่งใดเป็นหลักเพื่อทำให้สังคมสงบสุขหรือมั่นคงได้


*************************************




 

Create Date : 09 พฤษภาคม 2549    
Last Update : 16 พฤษภาคม 2549 1:16:52 น.
Counter : 515 Pageviews.  

สิทธิส่วนบุคคลกับสื่อมวลชน

เป็นความเห็นส่วนบุคคลเท่านั้น


เขียนโดย "ลูกแก้ว"

รัฐธรรมนูญหมวดสิทธิและเสรีภาพของชนชาวไทย มาตรา 28 บัญญัติว่า บุคคลย่อมอ้างศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ หรือใช้สิทธิและเสรีภาพของตนได้เท่าที่ไม่ละเมิดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลอื่น ไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐธรรมนูญ หรือไม่ขัดต่อศีลธรรมอันดีของประชาชน ข้อบัญญัตินี้ใช้บังคับกับคนไทยอย่างเสมอภาค กฎหมายให้ความคุ้มครองเสรีภาพของทุกคนโดยมีข้อแม้ว่าเราต้องไม่ใช้เสรีภาพไปละเมิดสิทธิของผู้อื่น หรือใช้เพื่อต่อต้านรัฐธรรมนูญหรือขัดต่อศีลธรรมอันดีของประชาชน ตัวอย่างที่เห็นได้ คือ เสรีภาพในการพูด การเขียน ทุกคนสามารถทำได้อย่างเต็มที่โดยสุจริตและอยู่บนพื้นฐานแห่งข้อเท็จจริง หากกระทำด้วยการใส่ร้ายป้ายสีความเท็จ ยุยงให้คนอื่นกระทำตนต่อต้านข้อบัญญัติในรัฐธรรมนูญ หรือทำละเมิดศีลธรรม เหล่านี้ล้วนเป็นการใช้เสรีภาพเกินขอบเขต จักไม่ได้รับการคุ้มครองและต้องถูกลงโทษตามกฎหมาย เนื่องเพราะรัฐธรรมนูญยินยอมให้กำหนดขอบเขตเสรีภาพแต่ละเรื่องได้ด้วยกฎหมายที่มีข้อกำหนดและบทลงโทษซึ่งชัดเจนเท่านั้น
ปัจจุบันนี้เทคโนโลยีของอุปกรณ์ทำข่าวพัฒนาอย่างรวดเร็วและทันสมัยมาก รวมทั้งแหล่งข้อมูลข่าวสารซึ่งค้นหาได้ง่าย รวดเร็วและแม่นยำ เช่น อินเตอร์เนต เว็บไซต์ของหน่วยงานราชการ เป็นต้น เมื่อได้ฟังหรือดูข่าวสารจากต่างประเทศเราจักสังเกตว่าผู้เสนอข่าวประเภทสื่อสิ่งพิมพ์หรือโทรทัศน์ล้วนมีความรู้พื้นฐานในข่าวที่ตนนำเสนอในระดับดี การซักถามผู้ให้ข่าวจึงทำได้นุ่มนวลและเจาะลึก ส่วนการถ่ายภาพกิจกรรมต่างๆของบุคคลในข่าว จักมีกรอบขอบเขตที่ชัดเจน คือ ต้องไม่ละเมิดสิทธิส่วนบุคคล ผู้เสนอข่าวทั้งสองประเภทมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน คือ พวกเขาทราบขอบเขตสิทธิส่วนบุคคลที่ทุกคนพึงมี โดยใช้ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของตนเป็นที่ตั้ง ผลงานที่เผยแพร่จึงอยู่ในกรอบที่ไม่ล่วงละเมิดสิทธิส่วนบุคคลอย่างเด็ดขาด แม้เขาจะมีเทคโนโลยีสูงเพียงใดก็ตาม ข่าวสารของเขาจึงเป็นที่น่าเชื่อถือและยอมรับกันได้ทั่วโลก ตัวอย่างที่เห็นได้ คือ ภาพข่าวการเลือกตั้งของญี่ปุ่นหรือชาติตะวันตก กล้องของนักข่าวมีประสิทธิภาพสูงพอจะดึงภาพให้เห็นการกระทำของคนอย่างใกล้ชิดเพียงใดก็ได้ แต่ภาพที่นำเสนอจะมีเพียงด้านหลังของผู้ใช้สิทธิ การหย่อนบัตร และเดินออกจากคูหาเลือกตั้งเท่านั้น มันแสดงว่าเขาเข้าใจและให้ความเคารพสิทธิส่วนตัวของผู้ใช้สิทธิโดยไม่อาศัยเทคโนโลยีล้ำยุคเพื่อคุกคามความเป็นส่วนตัวของผู้อื่น นักข่าวของเขาทำงานตามจิตสำนึกในหน้าที่ มีจรรยาบรรณดี และเคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ รวมทั้งสิทธิของผู้อื่นด้วย นอกจากนั้นความรู้พื้นฐานต่อข่าวที่ตนรับผิดชอบนั้นพวกเขามีการเตรียมตัวอย่างดี ทุกคำถามจึงมีพลังและตรงใจของผู้ชม โดยไม่ใช้น้ำเสียงก้าวร้าว คุกคาม เขาไม่พูดส่งเสริมให้ทำละเมิดกฎหมายหรือยุแยงให้สองฝ่ายเข้าใจผิดกัน เขาจะมีมารยาทที่ดีและให้เกียรติแก่ผู้ตอบคำถามอย่างเสมอภาค แม้จะมีนักข่าวนอกกรอบซึ่งชอบแอบถ่ายภาพส่วนตัวในสถานที่ซึ่งมิใช่ที่สาธารณะโดยไม่คำนึงถึงสิทธิมนุษยชนของผู้อื่น พวกเขาจัดแยกนักข่าวประเภทนี้ไว้อีกระดับหนึ่ง ส่วนสภาวิชาชีพของประเทศเหล่านั้นมีความเข้มแข็งในการควบคุมและลงโทษผู้เสนอข่าวที่ปฏิบัติตนนอกกรอบของจรรยาบรรณสื่อมวลชนอย่างเด็ดขาด ผู้เสียหายจากการนำเสนอข่าวใช้สิทธิทางศาลเพื่อทวงถามความรับผิดชอบจากสื่อมวลชน มันทำให้ประชาชนได้รับข่าวสารที่ถูกต้องและแม่นยำ ขณะที่สื่อมวลชนต้องมีความระมัดระวังและรอบคอบในการทำหน้าที่ของตนเพิ่มขึ้นเมื่อมีการตรวจสอบจากหลายภาคส่วนของสังคม มันจึงเป็นการกำหนดขอบเขตเสรีภาพของสื่อมวลชนโดยปวงชน
อันที่จริงแล้วเนื้อหาในรัฐธรรมนูญไทยเป็นการคัดสรรข้อดีของธรรมนูญการปกครองจากหลายประเทศโดยคำนึงถึงประเพณี วัฒนธรรม ความเชื่อของคนไทยเป็นหลัก เสรีภาพต่างๆที่คนไทยได้รับการคุ้มครองจากรัฐธรรมนูญจึงเป็นเสรีภาพเดียวกับผู้คนบนโลกใบนี้ แต่ขอบเขตเสรีภาพนั้นขึ้นอยู่กับวัฒนธรรมของแต่ละประเทศ เสรีภาพหลายอย่างของคนไทยจึงมีมากกว่าคนสหรัฐหรือคนสิงคโปร์ ดังนั้น สื่อมวลชนไทยจึงไม่มีสิทธิรุกล้ำความเป็นส่วนตัวของผู้อื่น รวมทั้งการใช้เสรีภาพพูดหรือเขียนข้อความอันเป็นเท็จ ใส่ร้ายป้ายสีให้เกิดความเสียหายแก่คนอื่น ยุแยงให้คนทำละเมิดกฎหมาย อันเป็นพฤติกรรมที่รัฐธรรมนูญไม่คุ้มครองแน่นอน เนื่องเพราะเป็นการใช้เสรีภาพทำลายประเทศชาติและความสงบสุขของประชาชน สิ่งที่กำหนดกรอบการทำงานของสื่อมวลชนมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของผู้อื่นและควบคุมจรรยาบรรณให้เป็นแนวทางชัดเจนได้ คือ สภาวิชาชีพสื่อมวลชนทั้งหลายต้องให้ความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้องแก่ผู้นำเสนอข่าวว่า สิทธิส่วนบุคคลอันมีพื้นฐานจากศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์มีขอบเขตแค่ไหน หลักจรรยาบรรณการทำข่าวที่ไม่ละเมิดเสรีภาพของผู้อื่นเป็นอย่างไร ข้อกฎหมายที่ใช้ลงโทษกรณีเสนอข่าวเท็จหรือข้อมูลบิดเบือนอันสร้างความสับสนแก่สังคมโดยอาศัยหน้าที่ของตน แล้วต้องเน้นการเคารพศักดิ์ศรีของตนและผู้อื่นโดยมุ่งทำงานอย่างสุจริตใจ การดูแลเข้มงวดของสภาวิชาชีพสื่อมวลชนทุกแขนงในการลงโทษนักข่าวหรือสื่อต่างๆซึ่งทำงานนอกกรอบที่กำหนดร่วมกันไว้ จักทำให้ผู้อ่านไทยและต่างชาติเชื่อถือข่าวของไทยอย่างไม่คลางแคลงใจ เมื่อสื่อมวลชนไทยเข้าใจหลักสิทธิส่วนบุคคลอย่างถ่องแท้แล้ว การทำข่าวเลือกตั้งตามคูหาต่างๆ พวกเขาจะรู้ว่าควรนำเสนอภาพและเสียงอย่างไรจึงจะเหมาะสมและเป็นที่ยอมรับในสากลโลกได้
ความน่าเชื่อถือของสื่อมวลชนไทยต้องมาจาก ความซื่อสัตย์ต่อวิชาชีพ ความรู้ ความเข้าใจในข้อมูลที่ตนเขียนมากเพียงพอ หลายครั้งเราอาจเห็นการนำเสนอข่าวบิดเบือน ข้อมูลเท็จ หรือมีความรู้แท้จริงในเนื้อหาของข่าวน้อยมากหรือนำเสนอข้อมูลแก่ประชาชนไม่ชัดเจนพอ จนกระทั่งสร้างความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือสำนักพิมพ์ของตนเอง รวมทั้งทำลายความเชื่อถือของตนไปด้วย หน้าที่สำคัญของสื่อมวลชน คือ การให้ข้อมูลข่าวสารที่เป็นจริงและเป็นกลาง คัดกรองข้อมูลเท็จหรือขาดความน่าเชื่อถือออกไปก่อนนำเสนอแก่ผู้อ่าน ซึ่งต้องใช้ความรู้และทักษะอย่างสูง เช่น ถ้าเขียนถึงรัฐธรรมนูญ ก็ต้องเคยอ่านและเข้าใจมันอย่างถ่องแท้ก่อน หรือ เขียนเกี่ยวกับราชพิธีใดๆก็ต้องค้นคว้าให้แน่ชัดว่าสิ่งที่ถูกต้องเป็นอย่างไร หรือ เขียนเรื่องพื้นสนามบินแตกร้าว ก็ต้องเห็นด้วยตาและหาความรู้จากผู้เชี่ยวชาญว่ามันเป็นรอยร้าวจากการก่อสร้างไม่ดีหรือเป็นธรรมชาติของมัน เป็นต้น ดังนั้น นักข่าวจำต้องพัฒนาความรู้ในเนื้อข่าวของตนให้อยู่ในระดับดีพอสมควรและรักษาจิตสำนึกในจรรยาบรรณวิชาชีพอย่างเหนียวแน่น มิฉะนั้น เขาเป็นแค่นักถอดความจากเทป มิใช่นักข่าวมืออาชีพอย่างแท้จริง สื่อมวลชนมีเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ ย่อมต้องมีความรับผิดชอบต่อสังคมด้วย อันที่จริงแล้วทุกถ้อยความที่สื่อมวลชนเขียนหรือพูดจักมีผลกระทบต่อสังคมและประชาชนเสมอ ก่อนทำสิ่งนั้นต้องผ่านการคิดใคร่ครวญอย่างรอบคอบโดยเจตนาสุจริต จักถือเป็นการทำงานอย่างมีคุณธรรมและรับผิดชอบต่อสังคมอย่างยิ่งยวด ดังนั้น ในวโรกาสอันเป็นมิ่งมงคลของชาติปีนี้สื่อสิ่งพิมพ์ควรจะอุทิศเนื้อที่หน้าหนึ่งสักครึ่งหนึ่งเพื่อเผยแพร่พระกรณียกิจอันเป็นคุณประโยชน์แก่ชาติของในหลวงซึ่งทรงทุ่มเททำเพื่อประเทศไทยทุกวันจนถึงวันมหามงคล มิใช่นำเสนออยู่ด้านใน แล้วเขียนข่าวไม่เป็นมงคลต่างๆเต็มหน้าหนึ่งจนกระทั่งคนไทยลืมวันสำคัญนี้แล้ว เวลาอันน้อยนิดที่เหลือเราควรคิดถึงสิ่งเป็นมงคลของบ้านเมือง มิใช่การยุแยงให้ทะเลาะกันจนถึงวันมงคล เราต้องใช้สติปัญญาและความยับยั้งชั่งใจเพื่อวันมงคลนี้เป็นหลัก คนไทยและสื่อมวลชนไทยต้องรับผิดชอบต่อบ้านเมืองและร่วมเฉลิมฉลองในฐานะเจ้าภาพ มิใช่เป็นหน้าที่ของรัฐบาลเท่านั้น หากคิดไตร่ตรองอย่างมีสติเราจักมองเห็นบทบาทสำคัญของสื่อมวลชนต่อกิจกรรมเทิดพระเกียรติในหลวงของเราชัดขึ้น ฉะนั้น หน้าหนึ่งของสื่อสิ่งพิมพ์ควรอุทิศเพื่อบุคคลใดในวันมหามงคลอันใกล้นี้ ทุกคนน่าจะรู้คำตอบนั้น

*****************************




 

Create Date : 04 พฤษภาคม 2549    
Last Update : 4 พฤษภาคม 2549 1:58:37 น.
Counter : 741 Pageviews.  

คำบอกกล่าว

คอลัมน์ใหม่นี้จะนำบทความเกี่ยวกับมุมมองต่อสังคมหรือการเมืองในแง่ต่างๆที่หลากหลายจากคนไทย โดยถือเป็นความเห็นส่วนบุคคลที่ผู้มาเยือนและอ่านเนื้อหาต้องใช้วิจารณญาณและมีเอกสิทธิ์ในความเชื่อของท่านเองได้ บทความเหล่านี้ถือเป็นความเห็นหนึ่งของคนไทยคนหนึ่งต่อสังคมหรือการเมืองตามเสรีภาพในรัฐธรรมนูญ หวังว่าทุกท่านจะเปิดใจกว้างรับฟังความเห็นเหล่านี้ได้




 

Create Date : 04 พฤษภาคม 2549    
Last Update : 4 พฤษภาคม 2549 1:53:22 น.
Counter : 424 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  

arbel
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




Friends' blogs
[Add arbel's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.