ความรู้คือ วัคซีนของชีวิต เพลินอ่านนิยายดี
Group Blog
 
All Blogs
 
ปฏิวัติ VS ประชาธิปไตย

เขียนโดย ลูกแก้ว

ข่าวต่างประเทศซึ่งได้ยินต่อเนื่องช่วงนี้คือ ผู้บัญชาการทหารของประเทศฟิจิประกาศข่มขู่จะทำการปฏิวัติล้มล้างรัฐบาลและรัฐธรรมนูญหากรัฐบาลไม่ยอมทำตามข้อเรียกร้องของเขา แล้วยังมีการนำทหารติดอาวุธซ้อมปฏิวัติให้สื่อมวลชนเผยแพร่ไปทั่วโลกเพื่อยืนยันคำขู่ด้วยคำอ้างฟังสวยหรูเพียงใด แต่ปฏิกิริยาของชาติตะวันตกที่มีต่อพฤติกรรมเหล่านี้คือ การต่อต้านและปฏิเสธการแย่งอำนาจที่มิได้มาจากการเลือกตั้งของชาวฟิจิ ไม่นานนักผู้บัญชาการทหารฟิจิสั่งทหารล้อมทำเนียบและรัฐสภาแล้วจับกุมขับไล่ผู้นำรัฐบาล จากนั้นยึดครองอำนาจบริหารประเทศไว้ แต่ยังเกรงการคว่ำบาตรด้านการค้าและการเงินซึ่งส่งผลต่อเศรษฐกิจของชาติที่พึ่งพาการท่องเที่ยวเป็นหลัก จึงพยายามขอความสนับสนุนจากประเทศที่มีการค้าสูงในประเทศฟิจิ เพื่ออำนาจสูงสุดทั้งทหารและการปกครองผู้นำการปฏิวัติจึงใช้ทหารและอาวุธยึดอำนาจจากผู้นำรัฐบาลโดยไม่สนใจคำเตือนของนานาชาติ
เหตุการปฏิวัติของหลายชาติโดยเฉพาะประเทศเล็กๆที่รากฐานประชาธิปไตยไม่แข็งแรงสร้างข้อสงสัยอย่างหนึ่งเมื่อมองไปยังประวัติศาสตร์โลก เราจักสังเกตว่าประเทศที่เคยอยู่ในการปกครองหรือเป็นอาณานิคมของอังกฤษ ไม่ว่าจะใหญ่อย่างอินเดียหรือเล็กอย่างมาเลเซียหรือสิงคโปร์ จะไม่มีข่าวการปฏิวัติล้มล้างรัฐบาลหรือระบอบการปกครองเลย ขณะที่ประเทศซึ่งอยู่ในความดูแลหรือปกครองของสหรัฐ โปรตุเกส ฮอลันดา จะมีการปฏิวัติรัฐประหารเกิดขึ้นบ่อยถ้าทหารถืออาวุธไม่พอใจการทำงานของรัฐบาลซึ่งไม่ตอบสนองความต้องการของพวกเขา ส่วนประเทศไทยซึ่งไม่เคยอยู่ในความปกครองของผู้ใดและมีประชาธิปไตยมานานกว่า 60 ปีแล้ว อีกทั้งนักปกครองในอดีตต่างคัดเลือกวิธีการซึ่งเป็นจุดเด่นและดีที่สุดจากหลายระบอบในหลายประเทศทั่วโลกแล้วนำมาใช้กับประเทศไทยด้วยการสร้างสรรค์รัฐธรรมนูญมากมาย แต่เราพบการปฏิวัติจากกองทัพทหารและผู้นำทางทหารบ่อยครั้งมาก
หากพิจารณาให้ลึกลงไปในประวัติศาสตร์ของประเทศซึ่งเคยถูกปกครองจากชาติตะวันตกอย่างอังกฤษที่ไม่มีการปฏิวัติล้มล้างระบอบการปกครองในบ้านเมืองของตน แม้แต่ชาติอาหรับซึ่งเคยอยู่ในความดูแลของอังกฤษมานานระยะหนึ่ง ทหารของพวกเขาอยู่ในระเบียบวินัยเคร่งครัด ไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง ทำหน้าที่ปกป้องเอกราชของประเทศอย่างมืออาชีพ ส่วนอินเดียซึ่งถือเป็นประเทศประชาธิปไตยที่มีพลเมืองเป็นอันดับสองรองจากจีนก็ไม่เคยมีข่าวการปฏิวัติจากกองทัพทหารเลย ส่วนมาเลเซียซึ่งเป็นชาติมุสลิมและเคยเป็นอาณานิคมของอังกฤษมาก่อน ทหารอยู่ในวินัยและไม่ยุ่งเกี่ยวกับการแย่งชิงอำนาจของนักการเมือง ขณะที่ฟิลิปปินส์ซึ่งเคยอยู่ในความดูแลของสหรัฐมานานกลับมีข่าวปฏิวัติจากทหารเป็นระยะทำให้การเมืองขาดความเข้มแข็ง ประเทศชาติเจริญเติบโตช้ามาก นักวิชาการหลายท่านบอกว่าอังกฤษมีการวางรากฐาน แนวคิด ในการแบ่งแยกอำนาจ หน้าที่ บทบาทระหว่างทหารกับนักการเมืองอย่างเด็ดขาด ด้วยระยะเวลาที่ยาวนานและความจริงจังในการอบรมจากอังกฤษจึงทำให้คนในประเทศเหล่านั้นซึมซับและยอมรับอำนาจของแต่ละฝ่าย ไม่ก้าวก่ายกัน ทุกคนรู้บทบาทหน้าที่และแยกความรู้สึกส่วนตัวออกจากตำแหน่งของตน เราจึงไม่เห็นผู้นำทหารของประเทศเหล่านั้นใช้ข้ออ้างว่านักการเมืองทะเลาะกันหรือมีการฉ้อฉลประเทศ แล้วนำอาวุธออกมาข่มขู่หรือขับไล่รัฐบาลเพื่อแสดงตนเป็นฮีโร่หรือวีรบุรุษกู้ชาติ แต่พวกเขาปล่อยให้เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมายสูงสุดในประเทศ แม้ความขัดแย้งกันระหว่างนักการเมืองจักใหญ่โตเพียงใด ทหารยังคงทำหน้าที่รักษาเขตแดน ปกป้องมิให้ศัตรูนอกประเทศรุกเข้าแผ่นดินของตนเท่านั้น แนวคิดของนักการเมืองและทหารเช่นนี้ทำให้การเมืองของประเทศเข้มแข็งและส่งผลให้เกิดความเชื่อมั่นต่อต่างชาติในการลงทุนค้าขายกัน ประเทศเหล่านั้นจึงมีความเจริญรุ่งเรืองอย่างต่อเนื่องและยาวนาน ตัวอย่างที่เห็นชัด คือ มาเลเซีย สิงคโปร์ อินเดีย เป็นต้น
ทหารเป็นกลุ่มบุคคลขนาดใหญ่ที่มีอาวุธพร้อมจะสังหารทุกคน ขณะที่ประชาชนไม่มีอาวุธจะใช้ต่อสู้ปกป้องชีวิตของตน ดังนั้น เจ้าอาณานิคมเหล่านั้นจำต้องวางรากฐานและแนวคิดที่เหมาะสมแก่ทหารมิให้ใช้ศักยภาพของตนข่มเหงผู้อ่อนแอไม่ว่าจะอาศัยข้ออ้างใด แม้กระทั่งในอังกฤษก็ไม่มีการปฏิวัติล้มล้างรัฐบาลหรือรัฐธรรมนูญเลย อันส่งผลให้เขาช่วยเหลือประเทศในความดูแลของตนมีความมั่นคงเยี่ยงเดียวกันด้วย ขณะที่ประเทศไทยและผู้นำในอดีตซึ่งคัดเลือกข้อดี ข้อเด่น จากการปกครองในหลายประเทศมิได้เอาแนวคิดเรื่องการอบรมเพื่อให้ทหารถืออาวุธรู้จักบทบาท หน้าที่ และอำนาจของตนอย่างชัดเจนไปใช้ปฏิบัติอย่างจริงจัง ทหารส่วนใหญ่จึงยังมีแนวคิดเกี่ยวกับการทำตัวเป็นวีรบุรุษทางการเมือง นอกเหนือจากหน้าที่ปกป้องดินแดนของตน ถ้าคิดทบทวนไปยังชาติตะวันตกซึ่งถือเป็นต้นแบบประชาธิปไตยแล้ว นายทหารคนใดคิดจะเป็นนักการเมือง ต้องลาออกจากกองทัพแล้วลงสนามเลือกตั้ง บางคนยังไม่ใช้ยศทหารในการสื่อสารกับประชาชน และไม่ใช้กองทัพในอำนาจของเขายึดตำแหน่งในรัฐบาลเพื่อสนองความต้องการของตัวเอง มันเกิดจากจิตสำนึกของตนและมาตรฐานทางสังคมในหมู่ประชาชน
รากฐานและแนวคิดเกี่ยวกับประชาธิปไตยอย่างถูกต้องได้รับการปลูกฝังในสมองของประชาชนที่ขาดอาวุธปกป้องตัวเองและอุดมการณ์ ส่วนทหารมิได้รับการอบรมให้เข้าใจบทบาทของตนในระบอบนี้เหมือนในประเทศเจ้าตำรับประชาธิปไตย คนไทยจึงต้องเห็นผู้นำทหารนำกองทัพออกมาขับไล่รัฐบาลจากการเลือกตั้งของประชาชนเป็นระยะสม่ำเสมอแล้วลดทอนสิทธิเสรีภาพของผู้อื่นเพื่อความอยู่รอดปลอดภัยของตนโดยไม่สนใจกติกาหรือกฎหมายสูงสุดของประเทศ เมื่อไม่ได้รับการตอบสนองตามความปรารถนาของตนจากรัฐบาลในเวลานั้น เราจะเห็นข้ออ้างเดิมๆไม่ว่าจะผ่านมาหลายสิบปีแล้ว คือ ทหารออกมาปกป้องประชาชนเพราะรัฐบาลคอรัปชั่น แล้วก็ยกปืนมาขู่คนไทยให้เชื่อฟัง นอกจากนั้นก็ประกาศลดทอนสิทธิเสรีภาพของคนไทยในระบอบประชาธิปไตยตามรัฐธรรมนูญ นักปฏิวัติจะให้คำสัญญาต่อประชาชนที่ได้ยินสืบทอดกันมา คือ เราจะมอบประชาธิปไตยที่สวยงามให้ประชาชนในไม่ช้าทั้งที่เป็นผู้ทำลายรัฐธรรมนูญที่ประชาชนร่างขึ้น ภาพที่เห็นซ้ำซากคือ การกอบโกยและตอบแทนให้พรรคพวกของตนที่ร่วมปฏิวัติซึ่งเป็นการเปลี่ยนคนรับและคนให้เท่านั้น ความแตกต่างระหว่างนักปฏิวัติกับผู้อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ คือ นักปฏิวัติต้องทำเพื่อตนเองโดยใช้อาวุธข่มขู่ผู้อื่นและห้ามคำประณามหรือการตรวจสอบใดๆ ส่วนรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งต้องทำงานเพื่อประชาชนแลกกับคะแนนเสียงในการเป็นรัฐบาลต่อไป
ตามหลักการปกครองแบบประชาธิปไตยนั้นรัฐบาลต้องทำงานและสร้างประโยชน์เพื่อให้ประชาชนพึงพอใจ เมื่อถึงการเลือกตั้งครั้งต่อไปจะได้เลือกพวกเขาอีก ผลประโยชน์ส่วนใหญ่จะตกแก่ประชาชน การตรวจสอบจะมีระบบและกฎหมายคอยดูแลตามขั้นตอน การเป็นเสียงส่วนใหญ่ในสภาประชาชนนั้นมิใช่เผด็จการรัฐสภา เพราะรัฐบาลต้องมาจากเสียงข้างมากของประชาชน และประชาชนมีวิธีดูแลและถอดถอนตามรัฐธรรมนูญซึ่งประชาชนเป็นผู้บัญญัติขึ้นอย่างแท้จริง ส่วนนักปฏิวัติซึ่งมาจากทหารหรือตำรวจจักใช้อาวุธสังหารประชาชนโดยชอบด้วยกฎหมายที่ตนบัญญัติขึ้น ทุ่มเทล้มล้างรัฐบาลหรือรัฐธรรมนูญของประชาชน หากคิดให้ลึกซึ้งและเป็นสัจธรรมแล้วคงไม่มีใครลงทุนทำงานโดยไม่หวังผลประโยชน์ร่วมกัน ตราบใดที่พวกเขายังไม่ใช่ผู้หลุดพ้นจากกิเลสหรือมิได้เป็นนักบวชที่อุทิศตนเพื่อศาสนาอย่างแท้จริง จึงย่อมมีกิเลสตัณหาเหมือนมนุษย์เดินดินทั่วไป คำพูดกล่าวให้สวยหรูเพียงใดก็ได้ แต่กาลเวลาและพฤติกรรมย่อมบอกเจตนาในไม่ช้า
คำพูดข่มขู่จากทีมปฏิวัติซึ่งเผยแพร่ผ่านสื่อมวลชนต่อการแสดงความเห็นของประชาชนซึ่งอาจมีความแตกต่างจากพวกเขา ส่อแสดงถึงแนวคิดคับแคบและไม่รู้จักประชาธิปไตยที่แท้จริง คนไทยจึงควรตระหนักแก่ใจว่า ผู้ที่ไม่รู้จักประชาธิปไตยอย่างถูกต้องจักมอบรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตยให้เราได้อย่างไร สิทธิเสรีภาพและอำนาจของประชาชนที่แท้จริงต้องมาจากคนไทยที่รู้ซึ้งและเข้าใจหลักการปกครองแบบประชาธิปไตย มิใช่คนที่รู้จักการใช้อาวุธสังหารคนมาตลอดชีวิตและลืมบทบาทที่ถูกต้องของทหารซึ่งมีศักด์ศรีและเกียรติภูมิในการปกป้องดินแดนไทยจากศัตรูนอกประเทศ แต่หลายครั้งทหารกลับนำอาวุธเหล่านั้นประหัตประหารคนไทยด้วยกันเพียงเพื่อแย่งตำแหน่งในการบริหารประเทศเท่านั้น ผู้ใหญ่หรือนักวิชาการที่เข้าใจหลักประชาธิปไตยสากลและถูกต้องควรค้นหาจากประวัติศาสตร์ของประเทศต้นแบบว่ามีวิธีอย่างไรในการอบรมทหารให้รู้จักบทบาทหน้าที่อย่างเหมาะควรของผู้ถืออาวุธปกป้องดินแดน มิให้เข้าสู่วังวนของการแย่งอำนาจเพื่อบริหารประเทศอันเป็นการทำลายความน่านับถือของเหล่าทหารหาญกล้าอันเป็นบรรพชนของพวกเขา หากต้องการเป็นนักบริหารประเทศต้องออกจากบทบาททหารแล้วลงสนามเลือกตั้งตามกติกาประชาธิปไตยเพราะหลักสากลหนึ่งคนมิอาจสวมหลายบทบาทได้เนื่องจากคนมีแค่สองมือ สองขา หนึ่งสมองเท่านั้น ผู้ทำลายกติกาสูงสุดของประเทศด้วยอาวุธต้องพบคำประณามเหยียดแคลนและต่อต้านจากทั่วโลกเพราะไม่เคารพสิทธิของประชาชนในประเทศของตนแล้วจะให้ผู้อื่นนับถือได้อย่างไร วีรบุรุษประชาธิปไตยต้องมาตามระบอบประชาธิปไตย มิใช่ปากกระบอกปืน คนไทยต้องเข้าใจคำว่า ประชาธิปไตย ให้ถูกต้องมากขึ้นเพื่อรักษาอุดมการณ์และสิทธิเสรีภาพของตนไว้
หลักประชาธิปไตยสากลที่ถูกต้องและง่ายต่อความเข้าใจของคนทั่วไป คือ อำนาจปกครองประเทศเป็นของประชาชน แต่ด้วยจำนวนพลเมืองที่มีมากเกินกว่าจะให้ทุกคนบริหารบ้านเมืองได้ จึงต้องตั้งตัวแทนโดยมาจากการเลือกตั้งของประชาชนให้เป็นรัฐบาลเพื่อดูแลความเป็นอยู่ ความปลอดภัย ทำการค้าขาย ในนามของประเทศ รวมทั้งปกครองหน่วยงานและองค์กรต่างๆ กองทัพทหารและตำรวจซึ่งมีหน้าที่หลักในการดูแลความปลอดภัยในและนอกประเทศ ดังนั้น กองทัพทหารเป็นส่วนหนึ่งของบ้านเมืองด้านความมั่นคงจึงเป็นของประชาชน มิใช่เป็นอิสระจากประเทศและประชาชน อีกทั้งไม่มีหน้าที่หรืออำนาจในการบริหารบ้านเมืองเลย ตัวแทนของประชาชนคือรัฐบาลและรัฐสภาถือเป็นผู้บังคับบัญชากองทัพโดยแท้ การปฏิวัติล้มล้างรัฐบาลหรือรัฐธรรมนูญไม่ว่าด้วยข้ออ้างใดๆและยังลดทอนสิทธิเสรีภาพของประชาชนลงโดยทหารผู้ถืออาวุธอันกระทำต่อรัฐบาลเท่ากับเป็นการทรยศต่อประชาชนเจ้าของกองทัพ ประเทศต่างๆในโลกจึงมิอาจยอมรับได้กับพฤติกรรมที่กระทำต่อผู้เป็นเจ้าของประเทศและกองทัพ งบประมาณในเงินเดือนและจัดซื้ออาวุธล้วนมาจากภาษีของประชาชน การบอยคอตไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อมจากประเทศต่างๆจึงเกิดขึ้นเพื่อเตือนให้ผู้กระทำรับทราบความไม่พอใจต่อสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ผลกระทบแท้จริงและเลวร้ายจะเกิดแก่ประชาชนเท่านั้น ขณะที่คณะดังกล่าวกุมอำนาจบริหารการเมืองและการทหารไว้จะใช้วิธีก่อหนี้สินเต็มที่สนองความต้องการแก่พรรคพวกด้วยการจัดซื้ออาวุธปริมาณมากและเบิกเงินใช้จ่ายด้านต่างๆที่เกี่ยวพันกับพรรคพวกแล้วเดินจากไป ปล่อยให้รัฐบาลชุดต่อไปและประชาชนใช้คืนหนี้ทั้งหมด ภาพที่เห็นชินตาหลังการปฏิวัติทุกครั้ง คือ สถานะการเงินที่พลิกชีวิตหลายคนให้กลายเป็นผู้มีฐานะเกินจะกินไปชั่วชีวิต ลูกหลานมีเหลือใช้มากมาย อันเกินกว่าความเป็นจริงของข้าราชการที่ทำงานมาตลอดชีวิตโดยไม่เคยออกจากระบบราชการจะพึงมีได้ เราจะสังเกตเห็นจากครอบครัวของหัวหน้าคณะปฏิวัติรุ่นต่างๆที่ผ่านมาในอดีตรวมทั้งผู้เกี่ยวข้องมักมีทรัพย์สินหรือธุรกิจในต่างประเทศมูลค่ามหาศาลซึ่งตรวจสอบค่อนข้างลำบากนอกจากเกิดเป็นคดีความขึ้นในศาล บางคนเกิดคดีแย่งมรดกระหว่างทายาทที่เกิดต่างสามีภรรยากัน สถานะทางการเงินของลูกหลานนักปฏิวัติในอดีตที่กลายเป็นทีมบริหารบ้านเมืองในวันนี้มีทรัพย์สินนับหลายร้อยล้านทั้งที่มีชื่อเป็นข้าราชการมาตลอดชีวิตและไม่เคยทำงานในภาคเอกชนเลย อีกทั้งภูมิหลังของครอบครัวมิใช่ข้าหลวงชั้นสูงหรือเชื้อพระวงศ์ แต่เป็นการสืบทอดมรดกอย่างเดียว สิ่งเหล่านี้เป็นกระจกส่องภาพแท้จริงของผลประโยชน์ที่ได้รับจากการล้มล้างรัฐบาลและลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชนว่า ทุกสิ่งที่กระทำไปย่อมต้องมีสิ่งตอบแทนกันเสมอ ไม่มีผู้ใดลงทุนเสี่ยงชีวิตโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน ของแลกเปลี่ยนแตกต่างกันเท่านั้น บางคนต้องการแค่ความรัก หลายคนอาจต้องการประโยชน์ด้านเงินทองหรือธุรกิจ คนไทยที่ใช้สติคิดถ้วนถี่ย่อมมองเห็นชัดว่าการปฏิวัติเกิดขึ้นเพื่อต้องการสิ่งใดเป็นหลักใหญ่ เราต้องติดตามชีวิตเบื้องหน้าของพวกเขาเพื่อพิสูจน์สัจธรรมของบรรพชนนักปฏิวัติที่กระทำสืบทอดกันไว้ว่ามันมีผลประโยชน์เป็นใหญ่กว่าความรักชาติจริงไหม กาลเวลาจะให้คำตอบแก่ผู้ติดตามที่ชาญฉลาดเท่าทันเล่ห์กลของพวกเขา

*******************************


Create Date : 13 ธันวาคม 2549
Last Update : 13 ธันวาคม 2549 13:49:24 น. 0 comments
Counter : 483 Pageviews.

arbel
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




Friends' blogs
[Add arbel's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.