*** พื้นที่ส่วนตัวของ พันตำรวจเอก ดร. ศิริพล กุศลศิลป์วุฒิ รองผู้บังคับการกองคดีอาญา สำนักงานกฎหมายและคดี นี้ จัดทำขึ้นเพื่อยืนหยัดในหลักการที่ว่า คนเรานั้นจะมีความเป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์ได้ ก็ต่อเมื่อมีเสรีภาพในการแสดงความคิดโดยบริบูรณ์ และความเชื่อที่ว่าคนเราเกิดมาเสมอภาคและเท่าเทียมกัน ไม่มีอำนาจใดจะพรากความเป็นมนุษย์ไปจากเราได้ ไม่ว่่าด้วยวิธีการใด ๆ และอำนาจผู้ใด ***
*** We hold these truths to be self-evident, that all men are created equal, that they are endowed by their Creator with certain unalienable rights, that among these are life, liberty and the pursuit of happiness. That to secure these rights, governments are instituted among men, deriving their just powers from the consent of the governed. That whenever any form of government becomes destructive to these ends, it is the right of the people to alter or to abolish it, and to institute new government, laying its foundation on such principles and organizing its powers in such form, as to them shall seem most likely to effect their safety and happiness. [Adopted in Congress 4 July 1776] ***
Group Blog
 
All Blogs
 
เมืองที่ปฏิเสธความเจริญทางวิทยาการ : Amish ที่ใหญ่ที่สุดในอเมริกา



รถม้าของชาว Amish ที่ Arcola, Central Illinois


วันศุกร์ที่ผ่านมา (๒๑ เม.ย. ๔๙) หลังเลิกเรียน เพื่อนชาวเบลเยี่ยม ไต้หวัน และญี่ปุ่น จำนวน ๓ คน ได้มาชวนผมไปเที่ยวเมือง Arcola (คลิ๊ก) เพื่อนผมมันอยากเห็น แหล่งที่อยู่ของชาว Amish ที่ใหญ่ที่สุดในอเมริกา .... ตามเวปไซต์ของรัฐอิลลินอยส์ ได้โพสต์ข้อความไว้ดังนี้




รถม้า (Buggy) ที่ใช้เป็นยานพาหนะ
ในการเดินทางของชาว Amish ในปัจจุบัน



"Amazing Arcola's countryside is the home to Illinois' largest Old Order Amish settlement. The rural area is lined with Amish homes, businesses, and schools, plus horse drawn buggies and Rockome Gardens Theme Park."




อาชีพหลักของพวก Amish คือ เกษตรกรรม



ตอนนี้ ท่านผู้อ่านอาจจะงง ว่าพวก Amish นี้ เขาเป็นใครกันละ สำคัญอย่างไร ทำไม ต้องพูดถึงด้วย .... ความจริง ก็ไม่มีอะไรมากหรอกครับ สิ่งที่ทำให้โลกสนใจ Amish ได้ ก็เพราะพวกเขาใช้ชีวิต ไม่เหมือนคนปกติอย่างเรา ๆ ครับ





ชาว Amish เขาไม่ใช้ไฟฟ้า ไม่ใช้รถยนต์ ไม่รับความเจริญใด ๆ เข้าไป ไม่เข้าโรงเรียนตามปกติ แต่งตัวก็แตกต่าง เสื้อผ้าตัดเย็บเองแบบเรียบ ๆ ง่าย ๆ ฝ่ายหญิงก็มีผ้าคลุมศรีษะ ฝ่ายชายไว้หนวไว้เคราตามธรรมชาติ พวกเขาใช้ภาษาก็แตกต่างจากพวกอเมริกันทั่วไป เพราะเขาใช้ภาษาเยอรมันท้องถิ่น ชาว Amish แต่เดิมเขามีถิ่นฐานอยู่ในยุโรป ตั้งแต่ต้นคริศตวรรษที่ ๑๕๐๐ โดยส่วนหนึ่งเป็นชาวเยอรมัน แต่เนื่องจากรู้สึกผิดหวังในศาสนาและพวกเขาได้ถูกตามรังควานจากลัทธิทางศาสนาของยุโรป จึงอพยพมาอยู่สหรัฐฯ แดนแห่งเสรีภาพ ตั้งแต่ ค.ศ. ๑๗๔๐ เป็นต้นมา



ผ้าห่ม ทอด้วยมือ ราคาแพงมาก ประมาณ ๕๐๐ เหรียญ


ชีวิตของเด็ก ๆ ที่เกิดมา ก็เพื่อทำงานให้กับครอบครัว การเรียนหนังสือ จึงเรียนเพื่อให้อ่านออก เขียนได้ ในภาษาเยอรมันท้องถิ่น ไม่ใช่ภาษาอังกฤษ แต่จะมีการเรียนการสอนภาษาอังกฤษหลังจากเรียนภาษาของตนเองเข้าใจอย่างดีแล้ว เด็ก ๆ ต้องเรียนและฝึกทักษะทางคณิตศาสตร์ พอประมาณ เพื่อจำเป็นในการแลกเปลี่ยนและค้าขาย สำหรับวิทยาศาสตร์ เป็นเรื่องไม่จำเป็นสำหรับพวกเขา เด็กจึงมีความจำเป็นที่จะเรียนในโรงเรียนเฉพาะของพวกเขา ในหลักสูตรสั้น ๆ เท่านั้น จากนั้น ก็ทำงานในไร่ข้าวโพด ผลิตสินค้าพื้นเมือง และทอผ้าเพื่อความจำเป็นในชีวิตของพวกเขา


เมืองไทย ชาวนาเราใช้ควาย แต่ Amish เขาใช้ม้าเพื่อการพรวนดิน


เมือง ที่ผมไปดูนี่ ห่างออกไปจาก Champaign ประมาณ ๔๕ นาทีครับ เป็นเมืองเล็ก ๆ ที่มีชาว Amish ตั้งถิ่นฐานอยู่ จึงไม่แปลกใจว่า พวกเขา ก็แอบรับเอาวัฒนธรรมการค้าขาย และอุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์ ในการอำนวยความสะดวก เช่น เครื่องตัดหญ้า ฯลฯ เข้าไปใช้เหมือนกัน เพื่อน ๆ ผม ก็แซวกันใหญ่ ไหนว่า ไม่ยอมรับความเจริญไง ... มันต้องมีบ้างดิ



ร้านขายสินค้าชาว Amish สังเกตการแต่งกายของชาว Amish


พวกเขาก็จำเป็นต้องใช้เงินตราเหมือนกัน หลัง ๆ จึงมีการเปิดรับวัฒนธรรมเข้าไป มีแหล่งซื้อขายสินค้าของพวกเขา เช่น ผ้าห่ม เครื่องใช้ไม้สอยต่าง ๆ แต่ที่น่าแปลกใจ เขาไม่มีร้านขายล้อรถม้าเป็นของตนเองเท่าไหร่ครับ ต้องซื้อจากคนในเมืองที่มีแหล่ง Business District ตามปกติของชาวอเมริกันทั่วไป คิดไปคิดมา เหมือนชาวนาไทย ขายข้าว แล้วซื้อเครื่องจักรไปใช้งาน ไม่มีผิดเพี้ยนเลย ครับ ชาว Amish มีลูกมาก เพราะแต่งงานกันค่อนข้างเร็ว คือประมาณ ๑๙ - ๒๐ ปี ก็แต่งงานแล้ว แต่ละบ้านที่ขับรถผ่านไปนี่ ผมเห็นมีเสื้อผ้า แขวน พึ่งแดด เหมือนบ้านเราเป๊ะ เลยครับ ผมสงสัยอย่างเดียวแหละ หน้าหนาวจะไปแขวนกันที่ไหนหนอ ... ... หิมะตกตั้งหลายเดือน ... หรือว่า เขาไม่ซักเสื้อผ้ากันในช่วงหน้าหนาว .... ก็เป็นไปได้ นอกจากนี้ ระหว่างทางยังมีป้าย ระวังรถม้า เป็นระยะ ๆ ด้วย เด็ก ๆ Amish จะหัดขี่ม้า ตั้งแต่ก่อนอายุ ๑๒ ขวบ เพื่อควบม้าไปโรงเรียนของพวกเขาด้วยครับ




การแต่งกายของผู้ชายชาว Amish ซึ่งจะไม่โกนหนวดฯ



ปัญหาในปัจจุบันของชาว Amish คือ การมีประชากรเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เพราะพวกเขาไม่รู้จักหรือไม่ปฏิบัติการควบคุมกำหนดหรือวางแผนประชากร ไม่ใช้ถุงยางอนามัย และไม่ใช่การวิธีการควบคุมกำเนิดโดยวิธีการนับช่วงเวลาการตกของไข่ ( no barrier methods such as condoms, or even rhythm.) แต่ละครับครัวจึงมีบุตรโดยเฉลี่ย ๗ คนขึ้นไป ด้วยเหตุนี้ ทีดินจำนวนจำกัดจึงไม่เพียงพอต่อการเพิ่มขึ้นของประชากรอย่างรวดเร็ว ชาว Amish จึงมีการอพยพไปขยายชุมชนใหม่ ๆ ในสหรัฐฯ โดยมีชุมชนของ Amish เพิ่มขึ้นเป็นอย่างน้อย ๔๗ ชุมชุนในช่วง ๑๕ ปีที่ผ่านมา [ ข้อมูลจาก //en.wikipedia.org/wiki/Amish]


เพื่อนอาจสงสัยว่า แล้วกฎหมาย เกี่ยวกับการศึกษาพื้นฐานของสหรัฐฯ ไม่บังคับบุคคลเหล่านี้หรือ ถูกต้องครับ ไม่บังคับใช้กับกลุ่มคนพวกนี้ รวมถึงพวกอินเดียนแดง เพราะพวกนี้เขาต่อสู้คดีทางรัฐธรรมนูญ ต่อศาลสูงสุดอเมริกัน โดยอ้างเสรีภาพในทางศาสนา และ Freedom of Speech โดยพ่อแม่ของเขา ได้ต่อสู้คดีว่า พวกเขามีสิทธิ์อบรมเลี้ยงดูของเขาเอง สั่งสอนวัฒนธรรมของเขาเอง ไม่ต้องการให้สหรัฐฯ มาทำลายหลักการและความเชื่อของเขา




การแต่งกายของผู้หญิงชาว Amish



รัฐบาลสหรัฐฯ ไม่ต่อสู้คดีอย่างจริงจังนัก และปล่อยให้พวก Amish และ อินเดียนแดง ชนะคดีไปอย่างง่ายดาย ผมเดาเอาเองว่า มันคงเข้าทางอเมริกันเขานั่นแหละ เพราะการศึกษามันฟรีไปหมด ในเมื่อไม่อยากจะเรียน รัฐต่าง ๆ ก็ไม่ต้องเสียเงินเสียทอง มาทุ่มเท ให้คนพวกนี้ ในเมื่อไม่รักดี ไม่อยากเรียนรู้อะไรที่มันทันสมัย ก็ดี ไม่เปลืองตังค์ .... สุดท้าย ศาลสูงสุดสหรัฐฯ เลยบอกว่า เขามีสิทธิ์เลือกจะส่งลูกเข้าเรียน Public School หรือไม่ก็ได้ .... ว่าง่าย ๆ จะให้ลูกโง่ แล้วทำไร่ อย่างเดียว ก็ตามใจ ว่างั้นเหอะ ทางรัฐบาลอเมริกัน เขาก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ แต่ที่เขามีอิสระจะทำ ก็คงเป็นแค่เรื่องนี้แหละ เรื่องอื่น ๆ เช่น การปฏิบัติตามกฎหมายในด้านที่ไม่ใช่เสรีภาพโดยบริบูรณ์ เช่น เสรีภาพในการนับถือศาสนานี้ เขาต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ไม่อาจจะมาอ้าง "อารยะขัดขืน" อะไรได้หรอกครับ ไม่งั้นบ้านเมืองวุ่นวายตายเลย




เพื่อน ๆ ว่า ถ้าเพื่อน ๆ ต้องไปอยู่ในสภาวะแบบนี้ เพื่อนจะหนีออกมา หรือ จะอยู่แบบนั้นต่อไป





หมายเหตุ: สนใจรายละเอียดเพิ่มเติม ดูภาพเพิ่มเติม คลิ๊กที่ Website นี้ ได้เลยครับ .... ภาพส่วนใหญ่ ผมก็นำมาจากเวปไซต์นี้แหละครับ ...ขอบคุณเจ้าของเวปไซต์ด้วยครับ

หากจะว่ากันจริง ๆ แล้ว รถม้าของพวก Amish กับรถม้า ลำปาง ก็คล้าย ๆ กันครับ รวมถึงรถม้าในเมืองใหญ่ หลายเมือง เช่น ที่ชิคาโก้ ก็มีลักษณะคล้าย ๆ กัน แต่ที่ชิคาโก้ มีภาชนะรองรับมูลของมันไม่ให้เปื้อนถนน ดีกว่าที่เมืองไทย และที่หมู่บ้าน Amish ครับ


Create Date : 23 เมษายน 2549
Last Update : 21 มิถุนายน 2553 7:47:18 น. 23 comments
Counter : 5214 Pageviews.

 
เราก็อยากไปเที่ยวเหมือนกันค่ะ แถวนี้มีร้านอาหารของคาอาร์มิชด้วย ได้ข่าวว่าอร่อยด้วยค่ะ

ตอบคำถาม เราอยู่ไม่ได้อ่ะ อย่างแรกคือไม่ชิน อย่างที่สองคือเราชอบเดินทางไปไหนต่อไหน ทำโน่นทำนี่ คงไม่เหมาะกับชีวิตแบบนั้นเท่าไหร่ คงต้องอกแตกตายแบบจริงๆแน่นอน


โดย: Rive Gauche วันที่: 23 เมษายน 2549 เวลา:7:23:53 น.  

 
อ่านแล้วนึกถึงเรื่อง The Village อ่ะค่ะพี่ตำรวจ

เลยรู้สึกถึงความลึกลับๆ
ฮุวๆ


โดย: PADAPA--DOO วันที่: 23 เมษายน 2549 เวลา:11:43:28 น.  

 
Do the Amish pay taxes?


โดย: jumba_juice IP: 12.178.137.231 วันที่: 23 เมษายน 2549 เวลา:15:22:24 น.  

 
อืม ถ้าเป็นผมคงอยู่แบบนั้นต่อไปแฮะ
ชีวิตเรื่อย ๆ เฉื่อย ๆ นี่ผมชอบ 555
แต่ผมว่าเค้าแต่งตัวเจ๋งดีนะฮะ


โดย: dio ฯ IP: 220.101.183.15 วันที่: 23 เมษายน 2549 เวลา:15:53:08 น.  

 
ผมว่าถ้าอยู่แล้วมีความสุขของตัวเองก็เอานะ ดูไม่วุ่นวายกะใครมากดีครับ แต่ถ้าชอบทันโลกทันเหตุการณ์ ก็คงไม่เอาดีกว่า


โดย: Markabyte วันที่: 23 เมษายน 2549 เวลา:16:03:27 น.  

 
น่าสนใจดีครับ ดูแล้วนึกถึงหนังเรื่องนึงที่ผัวเมียสองคนทะเลาะจนแทบจะหย่ากัน ไปๆมาๆ จับพลัดจับผลูเข้าไปอยู่ในดงของชาวอาร์มิช ไปๆมาๆ การดำเนินชีวิตในนั้นทำให้สอง ผัว เมียกลับมารักกันซะงั้น (ต้องขออภัยที่จำไม่ได้แม้แต่ชื่อเรื่องและดารา แต่ดารานำค่อนข้างดังนะ เพราะเห็นหน้าบ่อย 55)

สำหรับผมคิดว่า ถ้าพวกเค้าอยากจะมีชีวิตแบบนั้น ก็ปล่อยให้เค้ามีไปเถิดครับ แน่นอนว่าโลกยุคนี้ พวกเค้าคงไม่สามารถหลุดพ้นจากระบบทุนในแง่ของการที่ต้องซื้อขายแลกเปลี่ยนสิ่งต่างๆ แต่โดยรวมๆแล้วน่ารักดีนะครับ อยู่กันอย่างพอดี พอเพียง ครอบครัวอบอุ่นดีเพราะมีลูกเยอะ อิอิ

บางครั้งรัฐนั่นแหละมักจะเป็นตัวดีที่ชอบเข้าไปจัดเบียบต่างๆ ผ่านสิ่งที่เรียกว่ากฏหมายบ้างแหละ การศึกษาบ้างแหละ เมื่อผู้ที่ผ่านกระบวนการทางสังคมเหล่านี้ออกมาแล้วก็จะกลายเป็นสิ่งใต้ปกครองของรัฐไปในที่สุด โดยที่ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ!!

อาจจะดูสุดขั้วไปหน่อย แต่ก็เพื่อให้เห็นภาพชัดน่ะแหละครับ เลยต้องเขียนให้มันสุดโต่ง

อย่างไรก็ตามการที่ชาวอาร์มิช เป็นแบบนี้ ผมว่าก็เป็นอีกทางหนึ่งนะ ที่จะปลดแอกตัวเองออกจากพันธนาการของอำนาจส่วนกลาง แต่มันก็ต้องแลกมากับการที่สูญเสียการจัดระเบียบบางอย่างที่พึงมีของรัฐซึ่งที่พี่พลยกมาก็คือเรื่องของการคุมกำเนิดนั่นเอง.....

คงพูดยากครับ นานาจิตตัง แต่ผมเห็นแบบนี้แล้วชอบนะ และสำหรับผมเองคงไม่ไปว่าพวกเค้าว่าไม่อยากฉลาดหรอกครับ กลุ่มคนเหล่านี้เองก็อาจจะมีเหตุผลของเค้าที่ต้องการจะปิดกั้นตัวเองก็ได้ อันนี้ก็คงต้องให้เครดิตเค้าหน่อยหละ เหตุผลใครเหตุผลมัน


โดย: gelgloog IP: 221.128.100.24 วันที่: 23 เมษายน 2549 เวลา:18:27:52 น.  

 
สวัสดีพี่คนนั้น...
แวะมาทักทายยามเช้าของวันจันทร์นะครับ เป็นยังไงบ้าง สบายดีนะครับ
ส่วนทางนี้โหมงานอย่างบ้าคลั่ง ขอตัวไปนอนก่อน เดี๋ยวมาอ่านใหม่นะครับ
ชะแว้บบบ


โดย: BAYROCKU วันที่: 24 เมษายน 2549 เวลา:7:21:50 น.  

 
ชุมชนนี้เป็นสิ่งที่ผมอยากไปเห็นด้วยตาซักครั้งจริงๆ แต่อย่างที่พี่เขียน ผมสงสัยว่าเมื่อการเพิ่มจำนวนของประชากรยังเพิ่มในอัตรานี้ หากไม่มีการวางแผนครอบครัว ต่อไปต้องมีปัญหาใหญ่เกิดขึ้นแน่ๆ เพราะทรัพยากรไม่ได้งอกตามจำนวนคนนี่

อีกเรื่องที่อยากรู้คืออริยะขัดขืนที่ว่านี่แหละ เหอๆๆ

อยากรู้จำนวนคนที่หนีจากคติความเชื่อของชุมชนแบบนี้เพราะหลายปีก่อนยังมีหลังฟอร์มเล็กที่เป็นเรื่องของคนจากชุมชนนี้ที่หนีไปใช้ชีวิตในเมืองใหญ่ แบบว่าก็ต้องมีบ้างละนะ


โดย: นายเบียร์ วันที่: 24 เมษายน 2549 เวลา:7:33:07 น.  

 
ที่ penn ที่เคยอยู่ก็มีชาว Amish เหมือนกันค่ะ
ที่ๆ เค้าอยู่ ก็เปิดเป็นแหล่งท่องเที่ยวด้วย
ไปเห็นแล้ว ต้องยอมรับว่าน่าสนใจทีเดียว..
แต่ก็อดรู้สึกไม่ได้ว่า การที่คนกลุ่มหนึ่งจะเลือกวิถีชีวิตสักแบบที่ไม่เหมือนคนทั่วไปเนี่ย
ถึงกับต้องจัดเป็นแหล่งท่องเที่ยว ให้คนไปดูกันเลยเหรอ

แล้วก็อดรู้สึกขัดแย้งขึ้นมาไม่ได้ว่า
ถ้าคนที่เป็น Amish ซึ่งดูเหมือนจะอยากอยู่อย่างสงบ ไม่ยุ่งเกี่ยวกับโลกภายนอกจริงๆ แล้ว
เค้าก็ไม่น่าจะยอมรับสภาพที่เป็นอยู่อย่างทุกวันนี้ (เป็นแหล่งท่องเทียวให้คนไปดู) นะ

แต่คิดๆ อีกที ก็คงเป็นเรื่องการจัดการของรัฐมากกว่า
และคงเป็นเรื่องความอยู่รอดด้วย



โดย: ซีบวก IP: 203.158.4.155 วันที่: 24 เมษายน 2549 เวลา:9:03:32 น.  

 
อยู่กันเอง ปิดกั้นตัวเองจากโลกภายนอก
ดูแล้วนึกถึงเรื่อง The Village ด้วยคน


โดย: zmen วันที่: 24 เมษายน 2549 เวลา:10:20:34 น.  

 
ความสุขของคนเราต่างกัน
เขาก็คงจะมีความสุขของเขาดี
เป็นความสุขที่ได้อยู่ได้เป็นกับสิ่งที่มีอยู่อย่างพอเพียง


โดย: Paralyze วันที่: 24 เมษายน 2549 เวลา:13:59:47 น.  

 
อ่านแล้วนึกถึงหนังที่แฮริสันฟอร์ดแสดงเรื่องหนึ่ง เขาเป็นตำรวจที่สืบจับผู้ร้าย ที่การฆาตกรรม บังเอิญว่าเด็กชายชาว Amish คนหนึ่งเห็นเหตุการณ์ เลยต้องกักตัวเด็กชายคนนี้และแม่ของเขาเอาไว้เป็นพยาน ...เรื่องนี้ตอนจบจำไม่ค่อยได้แล้ว


โดย: yyswim วันที่: 24 เมษายน 2549 เวลา:15:38:55 น.  

 
ดูแล้วชึวิตเขาคงอยู่สงบน๊อะ คงไม่มีเรื่องราวให้ปวดหัวเหมือนกับอยู่ในเมือง ..........


โดย: =ชาจัง= (สุรัสวดี ) วันที่: 24 เมษายน 2549 เวลา:20:32:01 น.  

 
สวัสดีครับ เพื่อน ๆ ที่เคารพรัก ทุกท่าน

ผมคิดว่า เขาคงมีความสุขของเขานั่นแหละครับ เพราะมันไม่วุ่นวายอะไรมาก ชีวิตวัน ๆ ก็อยู่กับครอบครัว ไม่รับรู้ข่าวสารบ้านเมือง ถักทอผ้า ทำไร่ ไปเรื่อย ไม่ปวดหัวดี

เอ่อ ...ไม่เคยดูเรื่อง The Village เลย เดี๋ยวผมจะไปเช่ามาดูมาบ้าง ขอบคุณที่แนะนำนะครับ



โดย: POL_US วันที่: 24 เมษายน 2549 เวลา:22:09:25 น.  

 
จะว่าไปถ้าได้อยู่แบบชาว Amish ก็คงจะดีนะครับ เรียบง่าย สบายๆ และดูไม่วุ่นวายดี...
เด็กๆ สาวๆก็แต่งตัวสวยน่ารักดีด้วยครับ...
อยู่กับธรรมชาติ อืมห์!!!!


โดย: i-kung IP: 61.47.108.49 วันที่: 24 เมษายน 2549 เวลา:22:31:38 น.  

 
อยากลองนั่งจังอ่ะค่ะ
ที่ syd ก็มีนะ แต่เป็นแบบเปิด
ยังไม่เคยลองนั่งแบบนี้เลยสักครั้ง

p.s.
btw, อ่านเรื่องแล้ว นึกถึงโรงเรียนที่นึงที่ญี่ปุ่น
ก็มีการเรียนการสอนแบบนี้
นักเรียนกับผู้ปกครองกลุ่มนึงก็เห็นว่าเข้ากับพวกเค้าได้ดี
บางที คนที่พี่เล่า ก็คงจะเหมือนกัน
ถ้าเป็น แ ม ง ป อ
คงไม่เอา
เพราะไม่ถูกกัน
อยากรู้อย่างโน้นอย่างนี้ไปหมด
วัน ๆ มีแต่เรื่องอยากรู้ อยากอ่าน ไม่เคยพอ
ถ้าต้องอยู่แบบนี้
แ ม ง ป อ คงเสียดายที่เกิดมามีตา มีหัวไว้อ่าน
มีเงินพอที่จะซื้อหาสิ่งที่อยากรู้มาเรียน มาอ่านได้
แล้วถูกตัดโอกาส


โดย: แ ม ง ป อ วันที่: 25 เมษายน 2549 เวลา:2:27:37 น.  

 
แวะมาหาความรู้คับ คุณ pol เลิกดื่ม
ไม่เป็นไรคับ อย่างที่บอก รู้ว่าใช่ว่า
คับ แล้วจะแวะมาบ่อยๆ ความรู้เยอะดี
คับ blog นี้ อิอิ


โดย: หากผมรักคุณจะผิดมากไหม วันที่: 25 เมษายน 2549 เวลา:11:06:53 น.  

 
เจ๋งคับพี่ วันนั้นที่พูดนะเองหนะ Amish แต่ตอนพี่เล่าผมจินตนาการไว้ว่ากันดารกว่านี้นะเนียะ

นี่ถ้ามีเสียงพูดด้วยได้เนียะ Discovery ก็ Discovery เหอะ หนาวชัวร์


โดย: Golfano IP: 12.221.95.115 วันที่: 25 เมษายน 2549 เวลา:13:47:41 น.  

 
เท่าที่อ่านดูผมว่าผมชอบชุมชนแห่งนี้นะครับ

ผมคิดว่าชุมชนที่สามารถรักษารูปแบบการดำเนินชีวิตของตนเองได้ โดยพึ่งพาความรู้ความสามารถของตนเอง ไม่ไหลไปตามกระแสสังคมที่พัดไปมา คือความฉลาดในอีกรูปแบบหนึ่ง

คนเรามักจะเอาประสบการณ์หรือสิ่งที่ตนเองได้เรียนรู้มาเป็นเกณฑ์วัดหรือตัดสินคนอื่น อย่างเช่นคนที่ได้รับการศึกษาสูงๆ ได้เรียนในมหาวิทยาลัย มักจะคิดว่าการที่คนอื่นๆปิดกั้นตนเอง ไม่เข้าเรียนในระบบแบบตนเองคือการไม่รักดี แล้วคนเหล่านั้นก็จะโง่ ไม่ทันสมัย

บางทีคนเราอาจจะลืมไปว่า ความสุขของชีวิตคนเราคืออะไร ความทันสมัยหรือเปล่า ที่ทำให้คนเราเดือดร้อน คนที่เรียกตนเองว่าคนฉลาด มีการศึกษา มีอารยธรรมหรือเปล่า ที่ทำให้สังคมและธรรมชาติของเราเสื่อมโทรมลง

ลองคิดเล่นๆละกันครับ ระหว่างคนที่เรียนสูงๆ จบมาทำงานในเมืองใหญ่ มีครอบครัว ทำงานหาเงินเพื่อซื้ออาหาร ซื้อเสื้อผ้าสำเร็จรูป เดินทางด้วยรถยนต์ พักผ่อนด้วยการจ่ายเงินดูหนังฟังเพลง แล้ววันหนึ่งก็แก่ตัวลง

กับคนที่เรียนจบไม่สูง จบมาทำงานในฟาร์ม กินอาหารที่เพาะปลูกกันเอง ใส่เสื้อผ้าที่เมียทอ เดินทางด้วยรถม้า พักผ่อนด้วยพูดคุยกับเพื่อนบ้านของตนเอง แล้ววันหนึ่งก็แก่ตัวลง

ชีวิตสองคนนี้ต่างกันตรงไหน ใครโง่กว่าใคร...

สำหรับผมแล้ว ผมคิดว่าคนที่ใช้ชีวิตในแบบที่ตนเองเลือกแล้วมีความสุข สร้างประโยชน์กับคนรอบข้างได้ ไม่ก่อให้เกิดปัญหากับสังคม นั่นก็คือคนที่ฉลาด
และชุมชนที่สามารถพึ่งพาตนเองได้ มีเอกลักษณ์ที่มั่นคงในแบบของตนเองก็คือชุมชนที่เข้มแข็ง

ไม่มีใครโง่ไปกว่าใครหรอกครับ :)


โดย: Carlziess Lens วันที่: 26 เมษายน 2549 เวลา:16:34:46 น.  

 
.... อย่าซีเรียสนะครับ .... เรื่องนี้ อาจารย์ อเมริกัน เขาพูด เขาสอนในวิชารัฐธรรมนูญอเมริกัน ว่าทำไม ถึงแพ้ หรือ ชนะคดีกันนะครับ ..... เขาก็เห็นกันอย่างนั้นจริง ๆ มันเป็นการมองด้านเดียว จริง ๆ นั่นแหละครับ


โดย: POL_US วันที่: 27 เมษายน 2549 เวลา:8:21:27 น.  

 
สนใจเรื่องราวของคนกลุ่มนี้ตั้งแต่ดูเรื่อง Witness

และเพิ่งได้ยินข่าวที่มีอเมริกันเข้าไปยิงเด็กชาวอามิช

วิถีชีวิตของพวกเขาโดยหลักแล้วสวนทางกับความเจริญของอเมริกา

แต่รักษาตัวตนได้อย่างน่าชื่นชมค่ะ

ปล.บล็อกนี้ให้ความรู้ดี เยี่ยมค่ะ


โดย: m_phine IP: 70.153.204.117 วันที่: 4 ตุลาคม 2549 เวลา:12:12:12 น.  

 
ขอบคุณ ท่าน M_phine ที่เข้ามาเยี่ยมเยียนครับผม


โดย: POL_US IP: 74.136.206.163 วันที่: 7 มกราคม 2550 เวลา:13:26:00 น.  

 
Nice! Many thanks, easy to find helpful information. Good work.


โดย: German IP: 221.208.130.182 วันที่: 22 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:23:40:06 น.  

POL_US
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 82 คน [?]




คลิ๊ก เพื่อ Update blog พ.ต.อ.ดร. ศิริพล กุศลศิลป์วุฒิ ได้ที่นี่
https://www.jurisprudence.bloggang.com






รู้จักผู้เขียน : About Me.

"เสรีภาพดุจดังอากาศ แม้มองไม่เห็น แต่ก็ขาดไม่ได้ "










University of Illinois

22 Nobel Prize & 19 Pulitzer Prize & More than 80 National Academy of Sciences (NAS) members







***คำขวัญ : พ่อแม่หวังพึ่งพาเจ้า

ครูเล่าหวังเจ้าสร้างชื่อ

ชาติหวังกำลังฝีมือ

เจ้าคือความหวังทั้งมวล



*** ความสุข จะเป็นจริงได้ เมื่อมีการแบ่งปัน :

Happiness is only real when shared!














ANTI-COUP FOREVER: THE END CANNOT JUSTIFY THE MEANS!






Online Users


Locations of visitors to this page
New Comments
Friends' blogs
[Add POL_US's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.