หลังจากนั้นเรื่องราว ค่อย ๆ ผูกพันกันเข้าด้วยความหลงใหลต่อเพศตรงข้าม ต่อลาภยศ ต่อภาพลวง กิเลสต่าง ๆ การยึดถือในตัวตนและขนบธรรมเนียม และความสำคัญของศาสนา ต่อหลักการ
อันนาตัดสินใจออกจากบ้าน ไปอยู่กับคนรัก
โอบลอนสกี้และดอลลี่ตัดสินใจอยู่กันต่อไปด้วยความรับผิดชอบทางสังคมและต่อเด็ก ๆ
คิตตี้หลังจากอกหักและทำใจได้ค้นพบชีวิตในด้านอื่น ก็แต่งงานกับเลวิน
ช่วงท้าย ๆ แต่ละคน แต่ละครอบครัวก็พยายามใช้ชีวิตเพื่อประคับประคองกันไป ท่ามกลางสังคมเมืองที่ฉาบฉวย ใช้เงิน สร้างภาพ และใช้ศรัทธาสร้างที่ยืน
อันนาจมอยู่ในห้วงทุกข์ การไม่ยอมรับของสังคม และหวั่นเกรงสถานะภาพของตัวเอง ความคิดถึงลูก และความรู้สึกผิดที่ติดอยู่ในใจในส่วนลึก
คาเรนิน เลี้ยงลูกชายอย่างห่างเหินและไม่ยอมหย่า
วรอนสกี้ เริ่มกลับเข้าสู่สังคมฟุ้งเฟ้อและการเมือง ทั้งที่ความเข้าใจต่ออันนา เริ่มน้อยลงทุกที
โอบลอนสกี้ ใช้ชีวิตในสังคมเหมือนเดิมและใช้จ่ายเงินมากขึ้น
ดอลลี่ เริ่มตระหนักในชีวิตครอบครัวที่แตกต่าง ของเธอเอง และของอันนา (เพื่อนรัก)
นิโคเล เสียชีวิตจากการเจ็บป่วย
คอซนิเชฟ ทำงานวิชาการแล้วเสร็จแต่ไม่ได้รับความสนใจ และต้องอยู่กับความผิดหวังในแบบที่เขาเลือก
ภาค ที่ 7 เป็นภาคที่อะไรหลายสิ่งมาถึงจุดสิ้นสุด
.และไม่อาจหวนคืน
สำหรับข้าพเจ้าเอง นอกเหนือไปจากการผูกเรื่องที่ซับซ้อน ชวนติดตาม การล้อมกรอบเราให้จนมุมอยู่กับความรู้สึกอับจนหนทางของตัวละครหลายตัว ไม่ว่าจะเป็นอันนา, คาเรนนิน, วรอนสกี้ หรือ โอบลอนสกี้ เป็นการบีบรัดให้เราเห็นถึง การตัดสินใจในการใช้ชีวิตของแต่ละคน ที่ไม่อาจจะขัดขืนหรือต่อสู้กับชะตากรรมได้เลย รวมไม่อาจมีสิ่งใดที่จะแก้ไข หรือชี้นำหนทางที่ถูกต้องได้ กฎหมาย ศาสนา เพื่อน หรือสังคม ไม่มีสิ่งใดแน่ชัดในสิ่งที่ถูกต้อง ทุกอย่างปนเป สับสน กลับกลอก เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ
บางครั้งเราอาจเผลอคิดไป ขณะที่อ่านหนังสือ จะมีทางไหนช่วยให้อันนาพ้นจากความทุกข์ได้มั่ง จะมีทางไหนให้คาเรนนินหลุดจากความรัก ความศรัทธาในตัวเองลงบ้าง จะทำยังไงให้วรอนสกี้เห็นชีวิตในแบบอื่นๆ อีก .....
ข้าพเจ้าได้เห็นมุมมองที่เยาะหยันชนชั้นสูงของรัสเซีย ต่อการใช้ชีวิตของพวกเขา การเข้าสโมสร การเข้าสมาคม การดูอุปรากร และการประชุมวิชาการ หรือประชุมกรรมาธิการ ที่ดูภายนอกว่าสง่างาม เคร่งขรึม ขณะเดียวกันมันก็ดูว่า หลอกลวง ปลิ้นปล้อน กันทั้งนั้น (ในข้อนี้ เมืองไทยก็เป็นนะ)
ที่มีกล่าวถึงเพียงเล็กน้อยแต่จะลืมเสียมิได้ ก็คือ ความรู้สึกนึกคิดของ เซร์ยอชา ลูกชายของอันนา และคาเรนิน ต่อผลของการแยกทางกันแต่ไม่ได้เลิกราหรือหย่าขาด และผลต่อลูกสาวคนเล็กจากอันนาและวรอนสกี้
ในภาคที่ 8 หลังจากการสิ้นสุดสถานะภาพภาวะอันจมหนทางของ อันนา วรอนสกี้ และคาเรนนิน สังคมรัสเซียก็หันเหความสนใจไปสู่เรื่องอื่น ๆ ต่อไป ขณะที่เลวินผู้ใช้ชีวิตในชนบทกับครอบครัว ได้ผ่านเหตุการณ์ ทุกข์ สุข เกิด และ ตาย ของผู้คนที่เข้ารู้จัก ได้รับรู้ถึงจิตใจอันยากหยั่งลึกของอันนา เส้นทางที่ยากยิ่งและสุดท้ายก็ต้องตายจากไป ชีวิตทุก ๆ ชีวิตทำให้เลวินได้เรียนรู้และครุ่นคิดต่อไป
มีความรู้เรื่องศาสนาอื่น เช่น พุทธ อิสลาม แต่เพียงเลา ๆ ดังที่เขาได้กล่าวไว้ ดังนั้นแล้วผู้คนที่ได้นับถือศาสนาอื่นก็ไม่มีวันได้ล้างบาป ก็จะไม่มีวันได้พบพระเจ้า ซึ่งเป็นสิ่งที่เลวินไม่เข้าใจ
แต่ในสุดท้ายแล้วหลังจากได้ฟังชาวนาคนหนึ่งพูดคุยถึงชาวนาอีกคนหนึ่งที่เป็นคนดี ช่วยเหลือคนอื่น เพราะเขามีพระเจ้าในใจ อยู่เพื่อพระเจ้า แต่ไม่ได้อยู่เพื่อตัวเอง ถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้ช่วยให้เขาศรัทธาได้อย่างแท้จริง แต่อย่างน้อยมันก็ทำให้เขาได้ค้นพบบางสิ่งที่จะช่วยให้เขาอยู่อย่างมีความสุขมากขึ้น
เราจะมีชีวิตต่อไปเหมือนเดิม อารมณ์เสียกับอีวานคนขับรถ จะยังโต้เถียงเผ็ดร้อน
แสดงความเห็นโพล่ง ๆ ต่อไป จะยังมีกำแพงขวางกั้นระหว่างสิ่งศักดิ์สิทธ์
ในจิตวิญญาณเรากับจิตวิญญาณของคนอื่น แม้แต่ภรรยาเราเอง ...เราจะยังไม่เข้าใจเหตุผลว่าทำไมเราจึงสวดมนต์ แต่เราก็จะสวดมนต์ต่อไป แต่ชีวิตเราตอนนี้ ชีวิตทั้งชีวิตของเรา
นอกเหนือจากสิ่งนอกกาย ที่อาจเกิดกับเรา จะไม่เหมือนเมื่อก่อน จะไม่มีนาทีใดไร้ความหมาย
แต่จะเป็นชีวิตที่มีความหมายเพื่อสิ่งดีงาม ซึ่งเรามีพลังที่จะทำให้เกิดขึ้นได้
อ่านจาก
อันนา คาเรนินา
เลียฟ ตอลสตอย เขียน
สดใส แปล
โคทม อารียา บทนำ
เทพศิริ สุขโสภา ภาพประกอบ
พิมพ์ครั้งแรก มิถุนายน 2536
สำนักพิมพ์ มูลนิธิเด็ก
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ปล. การพูดคุยของคอซนิเชฟ กับแม่ของวรอนสกี้หลังจากการจบชีวิตของอันนา
แม่ของวรอนสกี้
"ตายอย่างนั้นก็สาสมแล้วสำหรับผู้หญิงอย่างหล่อน แม้จะตายก็ยังเลือกวิธีต่ำ ๆ หยาบช้า"
คอซนิเชฟ
"เราไม่ใช่คนที่จะตัดสินครับเคาน์เตส"
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
นั่นสินะ "เราไม่ใช่คนที่จะตัดสิน..."