..ถ้าจักตายก็ขอตายในหน้าที่ ถ้าจักพลีก็ขอพลีแด่เหนือหัว ถ้าจักอยู่ก็ขออยู่เพื่อครอบครัว ถ้าจักชั่วก็ขอชั่วแก่ไพรี..
Group Blog
 
All Blogs
 

*เบญจเสนา 5ทัพ รูปแบบกองทัพของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช*

*ในรัชสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช พระมหากษัตริย์นักรบของคนไทย ที่ทรงเป็นแบบอย่างในความวิริยะอุตสาหะ ความพระปรีชาสามารถทางการทหาร การปกครอง รัชสมัยนี้นับเป็นสมัยที่กองทัพไทยรุ่งเรืองและเข้มแข็งเป็นที่ครั่นคร้ามแก่อาณาจักรน้อยใหญ่ และคู่ศึกอย่างพม่าและเขมร พระองค์ไม่เคยเกรงกลัวผู้ใด ไม่เคยหวาดเกรงศึกเหนือเสือใต้ใดๆ ความอดทนอดกลั้นและอุดมการณ์อันแน่วแน่ของพระองค์ เป็นที่เลื่อมใสของไพร่ฟ้าทหารหาญทั้งกองทัพ จากเด็กสู่วัยรุ่นสู่ผู้ใหญ่ สิ่งที่เป็นหลักชัยของพระองค์คือ ความเป็นไทย เอาบ้านเมืองเป็นที่ตั้งพระองค์มิเคยย่อท้อต่อความ อดสู เมื่อครั้งดำรงตนเป็นเชลยตัวประกันที่หงสาวดี แต่กลับเอาสิ่งด้อยนั้นเป็นแรงใจในการขับเคลื่อนสู่เป้าหมายหลัก ทรงวิรยะอุตสาหะในการพากเพียรเรียนรู้เกี่ยวกับการเมืองการทหารการปกครอง ทรงเรียนรู้จากชนชาติศัตรู ทรงให้ความสำคัญและใส่พระทัยในการทุกอย่างของพม่าชาติที่เป็นศัตรู เพื่อสะสมไว้เป็นแต้มต่อในการกู้บ้านกู้เมือง*

**ทรงชำระตำรับตำราพิชัยสงคราม ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงวิทยาการทางทหารที่นิยมปฎิบัติกันมานาน ให้มีความเหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบันของบ้านเมือง ทรงไม่ยึดถือยึดติดกับกฎเณฑ์ที่จะทำให้กองทัพล้าหลังและอ่อนแอ ทรงกระทำพระองค์ให้เป็นตัวอย่างแก่ทหารผู้ใต้บังคับบัญชาในกองทัพ สิ่งแรกที่พระองค์มองเห็นเมื่อเริ่มบริหารจัดการกองทัพคือ ความอ่อนแอและไม่เข้มแข็งของคนไทย พระองค์ทรงใช้อำนาจเด็ดขาดในการปฎิรูปกองทัพ ทหารหนีทัพ ทหารย่อนยาน ทหารที่ละเลยต่อหน้าที่ ไม่ว่าจะเป็นขุนทหารหรือไพร่ โทษเท่าเทียมกัน พระองค์ทรงให้ความสำคัญแก่ทหารที่เก่งในหน้าที่ ไม่ว่าทหารผู้นั้นจะต้อยต่ำเพียงใดในกองทัพ คนเก่งคนกล้าคนมีฝีมือ พระองค์จะทรงส่งเสริมให้มีตำแหน่งในกองทัพ และหากทหารคนใดไม่เหมาะสมต่อตำแหน่งหน้าที่ ไม่ว่าคนนั้นจะมีเชื้อสาย จะเป็นใครมาแต่ไหน พระองค์จะไม่ให้มีอำนาจหน้าที่ในกองทัพและบ้านเมือง นับเป็นยุคของการส่งเสริมคนดีคนเก่งคนกล้าของบ้านเมืองโดยแท้ คนเหล่านี้จึงปรากฎตัวออกมาร่วมกองทัพของพระองค์อย่างมากมาย ส่งผลให้กองทัพไทยเข็มแข็งและทรงอานุภาพในเวลาไม่นาน การบังคับบัญชากองทัพนั้น พระองค์ทรงกระทำได้เหมือนการทหารแบบตะวันตกได้อย่างน่าอัศจรรย์ ทั้งที่สมัยนั้นวิทยาการแบบนี้ยังไม่มีปรากฎมาก่อนในกองทัพอาณาจักรใดในเวลานั้น ทหารรบพิเศษ หน่วยจู่โจม หน่วยแซปเปอร์วินาศกรรม หน่วยคอมมานโด พลซุ่มยิง กองพันปืนใหญ่อัตาจร ลว.ระยะไกล ผู้ตรวจการหน้ากองสื่อสาร หน่วยเหล่านี้เกิดขึ้นในกองทัพของพระองค์อย่างน่าพิศวง เพียงแต่ชื่อเรียกเท่านั้นที่ไม่เหมือน นับเป็นการปฎิวัติพิชัยสงครามอย่างขนานแท้ กลายเป็นแบบอย่างให้กองทัพไทยและกองทัพอาณาจักรอื่นในเวลาต่อมา นับเป็นพระปรีชาสามารถของพระองค์โดยแท้ที่ทรงคิดทรงกระทำได้ก่อนใคร แม้แต่ทหารญี่ปุ่น ทหารโปรตุเกส ทหารจีน ที่มาร่วมกองทัพยังต้องเขียนบันทึกส่งไปยังบ้านเมืองของตนเกี่ยวกับการทหารแบบใหม่นี้**

***ทหารรบพิเศษของพระองค์คือ หน่วยทหารขนาดเล็ก10-20คน พระองค์ทรงคัดฝีมือเอง ภารกิจของพวกนี้คือการทำลายเส้นทางเดินทัพของพม่า ดักฆ่าทหารสอดแนมและม้าเร็วนำสารที่ใช้ส่งข่าวสารระหว่างทัพต่างๆของพม่า ภารกิจพวกนี้ต้องใช้ทหารฝีมือดีเพราะต้องเข้าไปในเขตอำนาจทัพข้าศึก***

****หน่วยจู่โจมของพระองค์คือ หน่วยทหารขนาดเล็กเช่นกันประมาณ30-50คน หน่วยนี้พระองค์จะเป็นหัวหน้าหน่วยเองเสมอ ใช้ปล้นค่ายทหารพม่าขนาดเล็ก เช่น กองลำเลียง กองเกียกกาย และใช้โจมตีเพื่อยั่วศึก เช่นไปท้ารบหน้าค่ายพม่า เมื่อพม่ายกพลออกมา ก็ทำทีหลบหนีให้พม่าตามไปเข้าคิลลิ่งฟิลด์ แล้วก็ถอนตัวกลับอย่างรวดเร็ว ดังที่พระองค์เคยปีนค่ายพม่าจนเกิดตำนานพระแสงดาบคาบค่าย ก็ใช้หน่วยนี้****


*****หน่วยแซบเปอร์หรือหน่วยก่อวินาศกรรมของพระองค์คือ หน่วยทหารขนาดเล็กสุด 1-5คน ภารกิจของหน่วยนี้คือ แฝงตัวเป็นคนไทยเชลย หรือ ทหารหนีทัพ เพื่อลอบเผาค่าย เสบียงกรัง กระสุนดินดำ และเป็นไส้ศึกคอยส่งข่าวสารให้พระองค์ได้ทราบความเคลื่อนไหว ถูกพม่าจับได้ตัดหัวเสียบประจานหน้าค่ายก็หลายครั้ง แต่ก็มีผู้อาสาอยู่ไม่ขาด(คำให้การนายกองมอญที่แปรพักต์มาเข้ากับฝ่ายไทย)*****

******หน่วยคอมมานโดของพระองค์คือ หน่วยทหารขนาดกอง 100-500คน ภารกิจของหน่วยนี้คือ คอยสนับสนุนหน่วยจู่โจม พระองค์ใช้ทหารพวกนี้เป็นกลศึกทุกครั้งจนพม่าเข็ดขยาด ไม่กล้าติดตามหากพระองค์ล่าถอย ในศึกยุทธหัตถี ทหารพวกนี้คือทหารหน้าช้างต้นของพระองค์ ทำหน้าที่ปกป้องพระองค์เป็นด่านแรก ก่อนถึง 75หน่วยทะลวงฟันดาบสองมือ และ จาตุลังคบาท เป็นด่านสุดท้าย ทหารพวกนี้พระองค์ให้ไปตั้งกองอยู่ตามป่า******

*******พลซุ่มยิงของพระองค์คือ หน่วยทหารปืนคาบศิลา พระองค์ใช้หน่วยนี้ในการยิงทหารที่อยู่บนเชิงเทินค่ายที่ทำหน้าที่ยิงปืนใหญ่ พระองค์ใช้ทหารพวกนี้ทุกครั้งในการตีเมืองข้าศึก บางครั้งก็ใช้เพื่อต่อสู้กับทหารฮอลันดาที่พม่าจ้างมารบ ในกองทัพสมัยพระองค์ทหารกองธนูหน้าไม้ มีไว้ใช้รักษาพระนครเท่านั้น********

********ปืนใหญ่อัตตาจร เป็นครั้งแรกในย่านนี้ที่มีการขนปืนใหญ่ลงเรือสำเภาขนาดเล็ก เป็นหน่วยสนับสนุนทหารราบกองต่างๆ พระองค์ทรงนิยมที่จะเดินทัพเลียบไปตามแม่น้ำเสมอ และบางครั้งพระองค์จะสั่งให้ทหารทัพหน้า แสร้งทำทีร่นถอย เพื่อมาที่ริมน้ำให้เข้าระยะยิงของปืนบนเรือ ในการศึกแถววิเศษชัยชาญ พระองค์ทรงทราบว่าทัพหลวงของพม่ามาตั้งทัพที่ริมแม่น้ำปากคลองวิเศษชัยชาญ พระองค์ทรงนำเรือสำเภาเล็กติดปืนใหญ่ระดมยิงค่ายพม่าจนต้องเลิกค่ายหนี ในขณะที่กองทัพบกซุ่มคอยทีตีขนาบ ศึกครั้งนั้นพระเจ้าเชียงใหม่ซึ่งเป็นแม่ทัพหลวงหลบหนีไปได้ พม่าแตกพ่ายไม่เป็นหมวดเป็นกอง*******

*********หน่วยลาดตระเวนระยะไกล เป็นกองทหารม้าขนาด200-500คน ใช้ลาดตระเวณเพื่อรับข่าวจากกองสอดแนมและทำลายกองทหารพม่าขนาดเล็กที่ออกหาเสบียง บางครั้งทหารหน่วยนี้ลาดตระเวณไปไกลถึงเชียงใหม่ กองทหารม้าลาดตระเวนระยะไกลนี้ พระองค์ส่งออกไปทั้ง4ทิศของพระนคร หากเมื่อเกิดศึกใหญ่ กองทหารม้าพวกนี้จะกลับมารวมกับทัพใหญ่เสมอ********

***********ผู้ตรวจการหน้า พระองค์จะใช้ทหารระดับพระยา เป็นอาญาศึกต่างพระเนตรพระกรรณเพื่อคอยรายงานสถานการณ์ของกองทัพขณะทำศึก และคอยส่งคำบังคับบัญชาของพระองค์ในกลศึกต่างๆไปยัง ผบ.เหล่าทัพที่รบอยู่ผู้ตรวจการหน้านี้สามารถประหารทหารทุกคนทุกระดับได้ทันทีหากไม่ทำตามบัญชา และผู้ตรวจการหน้านี้เองที่เป็นผู้ถวายคำแนะนำและรายงานผลการรบในแนวหน้า เพื่อให้พระองค์วินิจฉัยและสั่งการ**********

*************กองสื่อสาร ในกองทัพของพระองค์ มีทหารม้าคอยทำหน้าที่ส่งข่าวสารและคำบังคับบัญชา ถ่ายทอดคำสั่งของผู้ตรวจการหน้าไปยังแม่ทัพนายกองทั้งหลาย กองทัพของพระองค์จึงมีแบบแผนในการศึกอย่างทันท่วงทีเสมอ ต่างจากพม่าที่ใช้สัญญาณกลอง และธงเป็นหลัก การที่พระองค์ใช้กองสื่อสารถ่ายทอดคำสั่งไปตามลำดับชั้นนั้น ทำให้พม่าไม่สามารถทราบการเคลื่อไหวในการสั่งการของกองทัพพระองค์ได้ อีกทั้งเครื่องแต่งกายของทหารในกองทัพไทยสมัยของพระองค์นั้นไม่แบ่งสีตามหลักพิชัยสงครามเดิม พม่าไม่มีทางรู้ได้เลยว่า ตรงไหนทัพหน้า ตรงไหนกองทะลวง ตรงไหนกองดั้งกองโตมร ถือได้ว่าระบบการสื่อสารสั่งการในกองทัพพระองค์นั้นล้ำยุคอย่างน่าอัศจรรย์***********

***************หลักการสงครามของพระองค์นั้นคือ เลือกกระทำการโดยข้าศึกไม่รู้ตัว ออกรบก่อนไม่ตั้งมั่นให้ข้าศึกเข้าตีรวมกำลังให้มากกว่าข้าศึกและรบเฉพาะตำบลถึงข้าศึกจะมีกำลังเป็นแสนคนแต่ก็แยกกันอยู่ พระองค์เป็นผู้นำทหารออกรบเองทุกครั้งมีความกล้าหาญและมีวินัยสูง ใช้กองทหารพิเศษต่างๆเป็นกำลังส่วนน้อยทำการรบอย่างรวดเร็ว โดยสงวนกำลังส่วนใหญ่ไว้รักษาพระนคร ซุ่มตีรบกวนข้าศึกอย่างรุนแรงมิให้เข้าประชิดพระนครได้โดยง่าย************

*****************ในการศึกครั้งสำคัญ คือศึกยุตถหัตถีนั้น พระองค์ทรงจัดกองทัพเพื่อรับข้าศึกในแบบที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ เป็นตำราศึกที่พระองค์ทรงคิดขึ้นเองเพื่อให้เหมาะกับสถานการณ์ เพราะพระองค์ประสงค์จะใช้ความไม่รู้ของข้าศึกเพื่อเป็นการแก้ข้อด้อยที่กองทัพไทยมีกำลังน้อยกว่า พม่ามีพลถึงสองแสนสี่หมื่นคน พระองค์มีเพียงเจ็ดหมื่นห้าพันคนเท่านั้น ไทยต้องรบแบบหนึ่งต่อสาม พระองค์ทรงแบ่งกองทัพเจ็ดหมื่นห้าพันคนออกเป็นห้าส่วน ห้ากองทัพ ในแต่ละกองทัพจะมี กองหน้า กองหลัง ปีกซ้าย ปีกขวา กองหลวง ให้แต่ละกองทัพออกรับข้าศึกพร้อมกัน แล้วให้แต่ละทัพตีตัดทัพ
พม่าออกเป็นห้าส่วนให้ได้ เพื่อแยกกำลังทหารข้าศึกมิให้รุมรบได้ ส่วนกองทัพหลวงของพระองค์และพระอนุชานั้นจะทรงรับมือกับกองทัพหลวงของพระมหาอุปราชาเอง ในแต่ละทัพของพม่านั้นพระองค์ทรงทราบดีว่าใครเป็นนายทัพ พระองค์ทรงรู้ฝีมืออยู่ทุกคน พระองค์จึงจัดแม่ทัพไทยในแต่ละทัพได้อย่างเหมาะสมเพราะทรงรู้จักฝีมือขุนทหารคู่ใจทุกคนดีว่าใครเหมาะกับใคร เมื่อกองทัพพม่าแตกออกเป็นห้าส่วนตามแผนที่ทรงวางไว้นั้น พระองค์ทรงยกทัพหลวงพุ่งตรงไปตามช่องที่ว่างมุ่งสู่ทัพหลวงของพระมหาอุปราชพม่าทันที แล้วผลการรบก็ออกมาเป็นที่ประจักษ์ในฝีมือการรบบนหลังช้างของพระองค์ที่ทรงรู้ทางพระมหาอุปราชพม่าเป็นอย่างดี เพราะทรงคุ้นเคยกันมาก่อนเมื่อครั้งไปเป็นตัวประกันที่หงสาวดี******************

*********พระเกียรติยศจากการศึกครั้งนี้ เป็นที่เลื่องลือไปทั่ว บรรดาทหารต่างชาติทั้งสองฝ่ายต่างจดบันทึกการศึกครั้งนี้ไว้เป็นตำราศึกแบบใหม่ เกิดการชำระพิชัยสงครามครั้งใหญ่ในหลายอาณาจักร แบบอย่างเบญจเสนาห้าทัพนี้ ถูกนำไปใช้ในกองทัพยุคต่อมาอย่างดีเลิศ แม้แต่พม่าเองก็ยังเปลี่ยนมาใช้รูปแบบนี้ในยุคต่อมา การจัดกำลังทหารเป็นหน่วยพิเศษ หน่วยย่อยขนาดเล็ก เพื่อต่อตีรบกวนข้าศึกแบบพระองค์ ถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายในสงครามครั้งต่อมา นับว่าพระองค์เป็นอัจฉริยะทางการทหารโดยแท้ หลักฐานทาง ปวศ.ของพม่า โปรตุเกส ฮอลันดา ญี่ปุ่น จีน มลายู ทั้งจารึก ใบลาน ตำราโบราณ พงศาวดารต่างกล่าวถึงเบญจเสนาห้าทัพของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช นี้อย่างกว้างขวาง ส่งผลให้กรุงศรีอยุธยาว่างศึกไปนานถึง หนึ่งร้อยแปดปี ***********











 

Create Date : 10 มีนาคม 2549    
Last Update : 16 ธันวาคม 2552 15:50:20 น.
Counter : 3177 Pageviews.  


Westpoint
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]




* ทหารต้องมีวินัย วินัยเป็นเครื่องมือที่ใช้ควบคุมกองทัพ ทหารในกองทัพคือผู้ถืออาวุธของแผ่นดิน คำสั่ง สำหรับทหารนั้นคือสิ่งสำคัญที่เราไม่อาจละเลยได้ หากทหารทุกคนในทัพเอาความคิดของตนเป็นที่ตั้ง โดยไม่นำพาต่อวินัยในการเป็นผู้ถืออาวุธของชาติ ไม่ว่าตัวเล็กตัวน้อย อาวุธเล็กอาวุธน้อย กองทัพจะเป็นกองโจร ในการมีการใช้ในการถือครองอาวุธของแผ่นดินด้วยหน้าที่นั้น วินัยล้วนเป็นหลักทั้งสิ้น ในสังคมทหาร ในกรมกองทหาร ไม่มีคำว่าประชาธิปไตย ไม่มีการออกสิทธิออกเสียง ไม่มีโหวต ทุกสิ่งขึ้นอยู่กับคำสั่งของผู้บังคับบัญชา การวางปืนแล้วหันหลังออกจากแนวไป ไม่สนใจไม่ปฎิบัติตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชามิว่าด้วยเหตุผลใดไม่ว่าในสนามรบหรือในที่ตั้ง นั่นคือการหนีทัพ ในสนามรบนั้นหากทำอย่างนี้ ถูกยิงเป้าทันที หากทำนอกสนามรบ นั่นคือการละทิ้งหน้าที่ มีโทษไม่น้อยเหมือนกัน มีทหารอีกมากมายนักในกองทัพที่ไม่ได้เห็นด้วยกับผู้บังคับบัญชาไปทุกเรื่อง แต่ทำได้แค่คิดเท่านั้น เราไม่มีสิทธิโต้แย้งใดๆในคำสั่ง สิ่งเดียวที่ทำได้สำหรับระดับปฎิบัติคือ เมื่อเราเห็นว่าเป็นคำสั่งที่ผิด เป็นคำสั่งที่ผิดศีลธรรมจรรยาของทหารแห่งชาติที่ดี ไม่ว่าด้วยแง่มุมใดๆ เรายังคงต้องปฎิบัติไปตามคำสั่งนั้น เราอาจทำให้ไม่สำเร็จ ทำได้แค่นี้เท่านั้น เราทำแล้ว แต่ทำไม่สำเร็จ นี่เป็นทางออกเดียวเท่านั้นของระดับผู้ปฎิบัติหรือระดับสั่งการในสนามเล็กๆ รูปการณ์อย่างนี้มิใช่ว่ามิเคยมี ตัวอย่างมีให้ดูมาแล้วจากในอดีต เรามิได้ผิดวินัย แต่เราทำตามความรู้สึกผิดชอบชั่วดีในเบื้องลึกในจิตใจเท่านั้น นี่เป็นคำตอบที่ว่า ทำไมทหารค่อนกองทัพ ถึงต้องทำอย่างที่ประชาชนทุกคนเห็นตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา ในรร.ทหารในระดับเริ่มต้น ก้าวย่างแรกของการเป็นทหาร ทุกคนในกองทัพจะต้องถูกหล่อหลอมเรื่องวินัยอย่างสุดขั้ว รร.ทหารที่ไหนๆในโลกก็ทำอย่างนี้กันทั้งนั้น เพราะทุกคนในโลกรู้กันดีว่า ผู้ที่จะจบออกไป จะเป็นผู้ที่ต้องถืออาวุธของชาติ และจะต้องใช้อาวุธในมือไปตามหน้าที่ และวินัยที่ รร.ทหารเฝ้าหลอมให้ทหารทุกคนนั่นก็คือ วินัยในการมีหน้าที่ ส่วนการจะถือจะใช้อาวุธในมือของตนตามหน้าที่และคำสั่งนั้น มันขึ้นอยู่กับจิตสำนึกเฉพาะตนในความเป็นชาติ และความเป็นคนไทยเท่านั้น *นี่เป็นสิ่งเดียวที่จะมีอำนาจเหนือกว่า หน้าที่ในทางเป็นจริงของทหาร *
Friends' blogs
[Add Westpoint's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.