..ถ้าจักตายก็ขอตายในหน้าที่ ถ้าจักพลีก็ขอพลีแด่เหนือหัว ถ้าจักอยู่ก็ขออยู่เพื่อครอบครัว ถ้าจักชั่วก็ขอชั่วแก่ไพรี..
Group Blog
 
All Blogs
 

"..ผู้กองครับ..พาผมกลับบ้านที.."

*เรื่องนี้ผมย่อมาจากบทเขียนเรื่องเล่าชีวิตส่วนตัวของ พล.ต ผู้ช่วยฑูตทหารไทยประจำต่างประเทศท่านหนึ่งในหนังสือศิทย์เก่าของเวสพอยท์ภาคเอเชียแปซิฟิค ที่รวมเล่มอยู่ในหนังสือประจำปีของ ฟอร์ทลีเวนเวิร์ธ อ่านแล้วก็แล้วแต่วิจารณญาณของแต่ละคนนะครับ ผมเห็นว่ามันแปลกดีก็เลยเอามาถ่ายทอดให้อ่านกัน ที่ไม่เขียนชื่อท่านเจ้าของเรื่องนั้นเพราะ ด้วยหน้าที่และฐานะที่ท่านดำรงอยู่นั้นไม่เหมาะที่จะแพร่ไปในแง่นี้* ***เริ่มเลยละกันนะ***

*เมื่อห้าปีที่แล้ว ผมมีโอกาสได้ไปประเทศเวียดนาม จากคำเชิญของนายทหารระดับสูงของเวียดนามการไปครั้งนี้เป็นการไปแบบส่วนตัวเป็นการตอบแทนที่ครั้งนายทหารเวียดนามผู้นั้นมาประเทศไทยและผมก็คอยอำนวยความสะดวกให ้กับเขา เขาเลยอยากชวนผมไปเที่ยวบ้านเขาบ้าง*

**เมื่อไปถึงนั้น เขาพาผมเที่ยมชมสถานที่ต่างๆในหลายๆเมือง โดยเฉพาะเมืองที่ทหารไทยเคยมารบในสมัยสงครามเวียดนาม เช่น ลองถั่น โนนทรัค ฟุคโถ ฯลฯ รวมทั้งพาชมมิวเซี่ยมทางทหารต่างๆสถาพหมู่บ้าน อำเภอ ที่ทหารไทยเคยมาอยู่ ท่านนายพลท่านนั้นบอกกับผมว่า ยังคงสภาพเหมือนสมัยสงครามแทบไม่เปลี่ยนแปลงเลย เมื่อมาชมแล้วก็พาให้นึกถึงฉากการรบต่างๆที่ทหารรุ่นหลังอย่างผมได้เพียงแค่อ่า นจากตำราและหนังสือต่างๆ ในใจคิดไปว่า ทหารไทยไม่น่าจะต้องมาตายที่นี่ ทั้งนายทหาร ทั้งนายสิบ ก็หลายร้อยคนอยู่ เกิดเมืองไทยแต่ต้องมาตายเพื่อบ้านอื่นเมืองอื่นแท้ๆ น่าสงสารจริงๆ *ป่านนี้ดวงวิญญาณจะอยู่ที่ไหนหนอ ไทยหรือเวียดนาม* พอคิดได้เท่านี้ก็เกิดลมพัดเย็นซู่แบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ท่านนายพลหันมามองหน้าผมแล้วบอกว่า วิญญาณทหารไทยคงดีใจที่มีทหารไทยเหมือนกันมาเยี่ยมพวกเขา**

***คืนนั้นเป็นคืนสุดท้ายก่อนที่พรุ่งนี้ผมจะกลับเมืองไทยผมพักที่บ้าน รับรองที่ทางท่านนายพลจัดเตรียมไว้ให้ อยู่ในอำเภอลองถั่น จังหวัดเบียนหว่า ไม่ไกลจากสมรภูมิเดือดฟุคโถ เท่าไรนัก(ห่างประมาณ ๑๕-๒๕ กม.)คืนนั้นผมนอนไม่ค่อยหลับ จึงออกมายืนบริเวณนอกชานบ้านพักชั้นสอง เวลาประมาณ ตี ๑ กว่าๆได้มั้ง จู่ๆอากาศที่เย็นสบายกลับมีลมแรงเหมือนฝนจะตก ผมรู้สึกขนลุกซู่ขึ้นมาอย่างประหลาด หันหลังกลับจะเดินเข้าห้อง พลันในหูแว่วได้ยินเสียงปืน เหมือนมีการยิงกันแว่วๆอยู่ไกล เสียงปืนดังเป็นชุดๆสลับด้วยเสียงวี๊ดของลูกระเบิด นาทีนั้นผมขาแข็ง ตัวชา ใจอยากเดินกลับเข้าห้อง แต่ขามันไม่ยอมเดิน แล้วสายตาที่มองเข้าไปในบ้านก็มองเห็นภาพสะท้อนจากกระจกเงาบานใหญ่ในห้อง ภาพทหารในชุดสนามสีเขียวจางๆนับได้ ๖ คนยืนถือปืนทำท่าวันทยาวุธหน้ากระดานเรียงหกมองมาทางผม ทั้งหกยืนอยู่บนเนินสนามหญ้าหน้าบ้านพัก ผมหันหลังขวับหันไปมองทันที ไม่มี ไม่มีอะไรเลย มีแต่เนินสนามหญ้าว่างเปล่า ลมก็สงบบรรยากาศเงียบสนิท ไม่มีเสียงแมลงกลางคืน ไม่มีหมาหอน เงียบจนแทบจะได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้น***

****คืนนั้นผมสับสน ใจคิดถึงแต่เรื่องภาพที่เห็นในกระจก คิดไป เราเครียดรึเปล่า เราคิดถึงแต่เรื่องสงครามในอดีตมากไปรึเปล่า ตาเลยฝาด แต่บอกตรงๆว่าภาพมันชัดเจน ชัดมากจนเห็นสีหน้าของทหารทั้ง ๖ คนนั้นได้ทั้งที่ระยะไกลประมาณนั้น และยังสะท้อนจากกระจกอีก สีหน้าทุกคนเศร้าหมอง แต่ทุกคนท่าทางเข้มแข็ง ที่สำคัญคือ ทหารเวียดนามไม่ได้ใช้ปืนเอ็ม ๑๖ ผมนอนคิดพิจารณาจนหลับไปตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ แล้วก็ฝัน ในความฝันนั้น ผมรู้สึกว่ามันชัดเจนจนเหมือนตื่นอยู่ ในฝันนั้นผมแต่งชุดสนามเขียวสะพายปืนเฉียง ยืนอยู่ใต้ต้นตาล มีทหาร ๖ คนยืนเรียงหน้ากระดานอยู่ตรงหน้าผม คนหัวแถวพูดกับผมว่า "..ผู้กองครับ พาพวกเรากลับบ้านที.. พวกเราอยู่ที่นี่มานานเหลือเกิน พวกเราหิวโหย ต้องต่อสู้กับพวกอื่นเพื่อรักษาฐานไว้ พวกเราต้องสู้กับมันทุกวันทุกคืน พวกเราไม่ยอมแพ้ แต่พวกเราอยากกลับบ้าน ที่นี่ไม่ใช่บ้านของเรา เรารอผู้กองมานานแล้ว.. ผู้กองเคยบอกพวกเราว่าผู้กองจะไม่ทิ้งพวกเรา.." จากนั้นผมก็จำอะไรไม่ได้อีก ในฝันนั้นผมน้ำตาไหลรู้สึกเหมือนได้เจอเพื่อนเก่า เมื่อรู้สึกตัวตื่นมา น้ำตายังเปียกหน้าอยู่เลย****

*****ตื่นมา ๗ โมงกว่า นั่งทบทวนความฝันเมื่อคืน ยิ่งสับสนหนัก เพราะสงสัยทำไมในฝันทหารพวกนั้นเรียกผมว่าผู้กอง ทั้งที่ตอนนั้นผมเป็นพันเอก แต่ก็เริ่มเอ่ะใจ รู่สึกไม่ชอบมาพากลบางอย่าง จนกระทั่งท่านนายพลมารับเพื่อเลี้ยงอาหารเช้าและเพื่อไปส่งผมกลับที่สนามบิน ผมบอกท่านว่า เมื่อคืนผมนอนไม่ค่อยหลับ ฝันก็แปลก ท่านนายพลตอบผมว่า ผมเตรียมทุกอย่างไว้ให้คุณพาพวกเขากลับบ้านแล้ว ผมงี้ตกใจแทบตกเก้าอี้ ท่านพูดต่อว่า นายทหารที่นี่โดนกันจนไม่มีใครกล้ามาพัก ผมเองก็เคย เขามาพูดซ้ำแล้วซ้ำอีกว่า เขาอยากกลับบ้าน ผมเลยคิดว่าถ้าคุณมาเวียดนาม ผมจะให้คุณมาพักที่นี่ เพื่อให้คุณซึ่งเป็นทหารไทยเหมือนพวกเขาได้สัมผัสและช่วยเหลือพวกเขา เราลองมาแล้วทุกวิธีก่อนที่คุณจะมา แต่พวกเขาก็ไปไม่ได้ ซินแสอาจารย์ของผมท่านบอกว่า ดวงวิญญาณทหารไทยเหล่านี้จิตยึดติดอยู่กับสัญญา ต้องให้พวกพ้องเขาเท่านั้นที่จะปลดปล่อยเขาได้*****

******สิ่งที่ท่านนายพลเตรียมไว้ให้คือ ธูปเทียน และรูปของทหารไทยทุกคนในหนังสือที่มาประจำที่ฐานนี้ โดยให้ผมตั้งจิตและเอ่ยเรียกชื่อทหารทุกคนในหนังสือ(เพราะเราไม่รู้ว่าคนไหน)ซึ่่งมีรายชื่อทหารทั้งหมด ๑๐๕ คน แต่ผมคัดเพราะผมจำได้จากในฝันว่า เป็นเป็นจ่าสิบเอก ๑ คน(คนนี้แหล่ะที่พูดกับผมในฝัน)สิบเอก ๒คน พลทหาร๓ คน ก็เลยเอ่ยแต่ชื่อ จ่าสิบเอก สิบเอก พลทหาร ซึ่งก็น้อยลงไปแยะ ระหว่างตั้งจิตอฐิษฐานอยู่นั้น ลมแบบเมื่อคืนมาอีกแล้วพัดเหมือนฝนจะตก สักพักก็สงบ ผมเห็นสีหน้าท่านนายพล และนายทหารเวียดนามท่านอื่นพออกพอใจกันถ้วนหน้า แล้วสิ่งที่เหมือนปาฎิหารย์ก็เกิดจนได้ อฐิษฐานเสร็จ ปักธูปลงบนดินปุ๊บ พอผมวางหนังสือ(เล่มขนาดสมุดโทรศัพท์)ลงบนโต๊ะ ลมพัดกรรโชกอย่างแรง หนังสือเปิดพรึบๆๆๆ พอลมสงบ ปรากฎว่าหน้าที่ลมพัดเปิดค้างอยู่นั้น คือหน้าที่บรรยายการรบในคืนที่ทั้ง๖เสียชีวิตไว้เป็นภาษาเวียดนามว่า *เวลา ๗ โมงเช้า กำลังทหารไทย-อเมริกัน เข้าเคลียร์พื้นที่บริเวณปะทะ พบศพทหารไทย ๖ นาย เป็นเป็นจ่าสิบเอก ๑ นาย สิบเอก ๒ นายพลทหาร ๓ นาย บาดเจ็บสาหัส ๙ คน ศพเวียดกง ๙๕ ศพ และได้ทำการเคลื่อนย้ายศพทหารไทยทั้ง ๖ นาย มายังจุดบราโว่ ๑(ที่ๆผมยืนอยู่นี่เอง โอ้ว แทบช๊อคตอนนั้น) เพื่อเตรียมส่งขึ้น ฮ.ชีนุค ของอเมริกันกลับฐานแบร์แคท******

*******เมื่อกลับเมืองไทยวันแรก ผมรีบค้นคว้าเรื่องการรบที่ฟุคโถอย่างละเอียด ผลคือ ใน ๙ คนที่บาดเจ็บสาหัสในการรบมาราธอนกว่า ๘ ชั่วโมงนั้น(เวียดกงประมาณ ๖๐๐ คนเข้าโจมตีฐานทหารไทยซึ่งมีกำลังเพียง ๘๕ นายตั้งแต่ ๔ ทุ่ม จนถึงตี ๕ ครึ่งจึงล่าถอยไป)มาเสียชีวิตที่โรงพยาบาลอีก ๑ คนคือ ผบ.ร้อย ซึ่งมียศเป็นร้อยเอก และยิ่งค้นลงไปลึกๆแล้ว การนำศพทหารไทยทั้ง ๖ ออกจากเวียดนามนั้น ทำโดยทหารอเมริกันเพราะอเมริกันมอบเหรียญเชิดชูให้เป็นพิเศษเพราะเขายกย่องและทึ่งในความกล้าหาญ เลยตอบแทนด้วยการจัดส่งให้เป็นกรณีพิเศษ ซึ่งต่างจากทหารไทยทำเองเพราะจะมีพิธีเชิญดวงวิญญาณกลับประเทศด้วยพระสงฆ์ แต่อเมริกันหวังดีเลยไม่ได้ทำ กรรมแท้ๆ นี่แหล่ะคงเป็นสาเหตุให้ดวง วิญญาณทหารหาญทั้ง ๖ ต้องทนทุกข์ติดอยู่ในสมรภูมิรบนานหลายสิบปี ตัวร้อยเอก ผบ.ร้อยนั้น มาตายทีหลังจึงได้ทำพิธีเชิญวิญญาณโดยพระสงฆ์ไทย ส่วนจะเกี่ยวข้องยังไงกับผมนั้น ผมคงไม่อยากคิดแล้ว คิดแค่ได้มารับเพื่อนกลับบ้านก็รู้สึกเป็นเกียรติเป็นสุขในใจเป็นล้นพ้นแล้ว*** ****










 

Create Date : 12 เมษายน 2549    
Last Update : 16 ธันวาคม 2552 16:02:33 น.
Counter : 736 Pageviews.  


Westpoint
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]




* ทหารต้องมีวินัย วินัยเป็นเครื่องมือที่ใช้ควบคุมกองทัพ ทหารในกองทัพคือผู้ถืออาวุธของแผ่นดิน คำสั่ง สำหรับทหารนั้นคือสิ่งสำคัญที่เราไม่อาจละเลยได้ หากทหารทุกคนในทัพเอาความคิดของตนเป็นที่ตั้ง โดยไม่นำพาต่อวินัยในการเป็นผู้ถืออาวุธของชาติ ไม่ว่าตัวเล็กตัวน้อย อาวุธเล็กอาวุธน้อย กองทัพจะเป็นกองโจร ในการมีการใช้ในการถือครองอาวุธของแผ่นดินด้วยหน้าที่นั้น วินัยล้วนเป็นหลักทั้งสิ้น ในสังคมทหาร ในกรมกองทหาร ไม่มีคำว่าประชาธิปไตย ไม่มีการออกสิทธิออกเสียง ไม่มีโหวต ทุกสิ่งขึ้นอยู่กับคำสั่งของผู้บังคับบัญชา การวางปืนแล้วหันหลังออกจากแนวไป ไม่สนใจไม่ปฎิบัติตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชามิว่าด้วยเหตุผลใดไม่ว่าในสนามรบหรือในที่ตั้ง นั่นคือการหนีทัพ ในสนามรบนั้นหากทำอย่างนี้ ถูกยิงเป้าทันที หากทำนอกสนามรบ นั่นคือการละทิ้งหน้าที่ มีโทษไม่น้อยเหมือนกัน มีทหารอีกมากมายนักในกองทัพที่ไม่ได้เห็นด้วยกับผู้บังคับบัญชาไปทุกเรื่อง แต่ทำได้แค่คิดเท่านั้น เราไม่มีสิทธิโต้แย้งใดๆในคำสั่ง สิ่งเดียวที่ทำได้สำหรับระดับปฎิบัติคือ เมื่อเราเห็นว่าเป็นคำสั่งที่ผิด เป็นคำสั่งที่ผิดศีลธรรมจรรยาของทหารแห่งชาติที่ดี ไม่ว่าด้วยแง่มุมใดๆ เรายังคงต้องปฎิบัติไปตามคำสั่งนั้น เราอาจทำให้ไม่สำเร็จ ทำได้แค่นี้เท่านั้น เราทำแล้ว แต่ทำไม่สำเร็จ นี่เป็นทางออกเดียวเท่านั้นของระดับผู้ปฎิบัติหรือระดับสั่งการในสนามเล็กๆ รูปการณ์อย่างนี้มิใช่ว่ามิเคยมี ตัวอย่างมีให้ดูมาแล้วจากในอดีต เรามิได้ผิดวินัย แต่เราทำตามความรู้สึกผิดชอบชั่วดีในเบื้องลึกในจิตใจเท่านั้น นี่เป็นคำตอบที่ว่า ทำไมทหารค่อนกองทัพ ถึงต้องทำอย่างที่ประชาชนทุกคนเห็นตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา ในรร.ทหารในระดับเริ่มต้น ก้าวย่างแรกของการเป็นทหาร ทุกคนในกองทัพจะต้องถูกหล่อหลอมเรื่องวินัยอย่างสุดขั้ว รร.ทหารที่ไหนๆในโลกก็ทำอย่างนี้กันทั้งนั้น เพราะทุกคนในโลกรู้กันดีว่า ผู้ที่จะจบออกไป จะเป็นผู้ที่ต้องถืออาวุธของชาติ และจะต้องใช้อาวุธในมือไปตามหน้าที่ และวินัยที่ รร.ทหารเฝ้าหลอมให้ทหารทุกคนนั่นก็คือ วินัยในการมีหน้าที่ ส่วนการจะถือจะใช้อาวุธในมือของตนตามหน้าที่และคำสั่งนั้น มันขึ้นอยู่กับจิตสำนึกเฉพาะตนในความเป็นชาติ และความเป็นคนไทยเท่านั้น *นี่เป็นสิ่งเดียวที่จะมีอำนาจเหนือกว่า หน้าที่ในทางเป็นจริงของทหาร *
Friends' blogs
[Add Westpoint's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.