แหล่งรวบรววมวิธีเล่นหุ้น
 
มุมมองที่ "เปลี่ยนไป" ของธุรกิจ "โบรกเกอร์"

มุมมองที่ "เปลี่ยนไป" ของธุรกิจ "โบรกเกอร์"

หลังจากปรับเปลี่ยนโครงสร้างการบริหารองค์กรครั้งใหญ่ วันนี้ "บล.กรุงศรีอยุธยา" ภายใต้การนำของ "ม.ร.ว.ศศิพฤนท์ จันทรทัต" ประธานเจ้าหน้าที่บริหารคนใหม่ มองทิศทางธุรกิจหลักทรัพย์ (โบรกเกอร์) ว่า กำลังเปลี่ยน "แนวโน้ม" ครั้งใหญ่ จากเดิมที่เน้นรายได้ "ค่าคอมมิชชั่น" อย่างเดียว ต่อไปนี้ทุกคนจะต้องเปลี่ยนไปหารายได้จาก "ค่าธรรมเนียม" มากขึ้น เช่น จากธุรกิจวาณิชธนกิจ และบริหารพอร์ตลงทุนของบริษัท


"ผมมองว่าภาพรวมของธุรกิจนี้กำลังปรับตัว หันไปเน้นที่คุณภาพลูกค้า และรายได้อื่นๆ มากขึ้น เพราะในอนาคตจะมีการลดค่าคอมมิชชั่น (ปล่อยลอยตัว) จะมีผลกระทบมาก ซึ่งเทรนด์นี้จะคล้ายกับอเมริกา และ ยุโรป ท้ายที่สุดธุรกิจโบรกเกอร์จะอยู่ได้ด้วยตัวลูกค้า ไม่ใช่ "วอลุ่มเทรด" อีกต่อไป" ม.ร.ว.ศศิพฤนท์ จันทรทัต กล่าว

ขณะที่สถานการณ์ในปัจจุบัน ภาพรวมของธุรกิจหลักทรัพย์ได้รับผลกระทบมาก เนื่องจากมูลค่าการซื้อขายลดลงไปมาก ขณะที่รายได้ค่าที่ปรึกษานำหุ้นเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ก็ได้รับผลกระทบไปด้วย หลายบริษัทไม่ต้องการขายหุ้นในช่วงที่การเมืองอึมครึม และไม่เอื้ออำนวยเช่นนี้

แต่สำหรับ "บล.กรุงศรีอยุธยา" ได้ประเมินสถานการณ์ว่า ในปี 2549 (ทั้งปี) ตลาดหุ้นไทยไม่ได้มีทิศทางที่ดี และเอื้ออำนวยต่อการลงทุน จึงได้ปรับโครงสร้างธุรกิจรับมือไว้ก่อนแล้ว

ม.ร.ว.ศศิพฤนท์ เปิดเผยว่า ธุรกิจที่ยังเดินไปได้ดี คือ งานด้านรับเป็นที่ปรึกษาจัดหาแหล่งเงินทุนให้กับบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ รวมถึงงานที่ปรึกษาควบรวมกิจการ (M&A) งานด้านนี้ บล.กรุงศรีอยุธยา มีความถนัดอยู่แล้ว

"ผมทำ M&A โครงการขนาดใหญ่มาแล้วหลายโครงการ เช่น กรณีโรงไฟฟ้าราชบุรี มูลค่าเป็นหมื่นล้าน เรามองว่าธุรกิจนี้สามารถต่อยอดธุรกรรมโบรกเกอร์ และพอร์ตการลงทุนของบริษัทได้ เรายังมีจุดแข็งมีฐานการเงินที่แข็งแกร่ง เพราะมีธนาคารกรุงศรีอยุธยา (บริษัทแม่) ให้การสนับสนุนทำให้เกิดธุรกรรมใหม่ๆอยู่เสมอ"

ส่วนโครงสร้างธุรกิจใหม่ของ บล.กรุงศรีอยุธยา ต้องการลดสัดส่วนรายได้จากค่าคอมมิชชั่นลง แต่ไปเพิ่มรายได้จากค่าธรรมเนียมมากขึ้น

ในปี 2548 ที่ผ่านมาโครงสร้างรายได้ของ บล.กรุงศรีอยุธยา มาจากรายได้ค่าคอมมิชชั่น 60% ธุรกิจวาณิชธนกิจ 20% และที่เหลือเป็นรายได้จากพอร์ตการลงทุนของบริษัท

"ในปี 2549 นี้ เราจะลดสัดส่วนรายได้ค่าคอมมิชชั่น ลงเหลือ 50-60% และผลักดันให้รายได้จากงานด้านวาณิชธนกิจขึ้นมาอยู่ระดับ 25% ส่วนที่เหลือเป็นรายได้จากการลงทุน ซึ่งมองว่าถ้าทำได้ในระดับนี้ก็น่าจะสร้างเสถียรภาพให้กับตัวบริษัทได้มากขึ้น"

สำหรับพอร์ตการลงทุนของบริษัท พอร์ตลงทุนระยะสั้นจะเน้นลงทุนในตลาดหุ้น และจะเทรดหุ้นตามภาวะตลาด โดยเฉลี่ยช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมามีกำไรมาตลอด แต่ปัจจุบันได้ลกน้ำหนักเงินลงทุนลงเหลือเพียงหลัก "สิบล้านบาท" เพราะภาวะตลาดไม่เอื้ออำนวย

ส่วนพอร์ตลงทุนระยะยาวจะเน้นลงทุนในบริษัท ที่มีปัญหาทางการเงิน และกำลังจะล้มละลาย โดยจะทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาการเงิน จัดหาแหล่งเงินทุน และนำเข้าตลาดหลักทรัพย์ในอนาคต

"หลักในการลงทุนเราจะพิจารณาด้านสภาพคล่อง ศักยภาพของธุรกิจ ตลอดจนมูลค่าเพิ่มที่จะเกิดขึ้นเป็นหลัก เช่น กรณีเข้าลงทุนใน "บริษัท แม็ทชิ่ง สตูดิโอ" ถ้าหากเราและเขายังเห็นว่าบริษัทมีมูลค่าเพิ่มขึ้นได้เรื่อยๆ และราคาหุ้นปรับขึ้น เราก็จะถือไว้ จนกว่ากิจการจะไม่มีมูลค่าเพิ่มแล้วเราก็ต้องออก อาจจะขายออกในตลาด ขายให้ผู้ถือหุ้นใหญ่ หรือหาคนอื่นมารับซื้อ เป็นต้น แต่ถ้าวัตถุประสงค์ไปด้วยกันได้ ก็จะยังเป็นพาร์ทเนอร์กันต่อไป"

นอกจากนี้จะเน้นความร่วมมือกับ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ซึ่งเป็นบริษัทแม่ให้มากขึ้น ซึ่งตอนนี้จัดบ้านเกือบเสร็จแล้ว เหลือเพียงการเชื่อมฐานข้อมูลกับทางธนาคารในการแชร์ฐานลูกค้าระหว่างกัน เพื่อเสริมศักยภาพด้านงานบริการลูกค้า

หลังจากปรับโครงสร้างองค์กรใหม่เสร็จแล้ว "ม.ร.ว.ศศิพฤนท์" วางแผนธุรกิจ 3 ปีข้างหน้า (2550-2552) ไว้ว่า จะผลักดันส่วนแบ่งการตลาดซื้อขายหลักทรัพย์ขึ้นสู่อันดับที่ 5 ภายในปี 2552 โดยมีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ 5% จากปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 2.9%

ปัจจุบันธนาคารกรุงศรีอยุธยา มีสาขามากกว่า 500 แห่ง จะเป็นตัวช่วยเพิ่มฐานลูกค้าด้านหลักทรัพย์ ซึ่งถ้าแต่ละสาขาส่งลูกค้าเป้าหมายมายังบริษัทสาขาละ 10-20 ราย ก็น่าพอใจ และจะทำให้ บล.กรุงศรีอยุธยา ไปถึงเป้าหมายได้โดยไม่ยากนัก

ขณะเดียวกัน บล.กรุงศรีอยุธยา ก็มีแผนขยายสาขาออกไปยังต่างจังหวัดตามหัวเมืองใหญ่ให้มากขึ้น เช่น จ.เชียงใหม่, จ.นครราชสีมา, จ.ขอนแก่น, จ.อุบลราชธานี และจ.อุดรธานี เป็นต้น จากปัจจุบันที่มีสาขาเพียง 9 แห่ง อยู่ในเขตกรุงเทพฯ 5 สาขา และต่างจังหวัด 4 สาขา

โดยฐานลูกค้ากว่า 90% เป็นนักลงทุนรายย่อย ขณะที่นักลงทุนสถาบัน และนักลงทุนรายใหญ่มีรวมกันประมาณ 10% เนื่องจากเดิมบริษัทไม่ได้เข้าไปให้บริการลูกค้าในเครือ แต่ในอนาคตอยากจะเพิ่มให้มากขึ้นเป็น 20-30% ขณะที่สัดส่วนลูกค้ารายย่อยอยากให้อยู่ที่ระดับ 70%

"เป้าหมายของเราจะเน้นคุณภาพสินค้า และหาช่องทางเข้าถึงผู้บริโภคให้มากขึ้น โดยใช้เน็ตเวร์คร่วมกับแบงก์ และบริษัทในเครือ ในที่สุดแล้วเมื่อเชื่อมโยงกับฐานลูกค้าในเครือธนาคารได้ เราจะไปสู่การเป็นแหล่งรวมสินค้าการเงิน หรือ Financial Department Store" ม.ร.ว.ศศิพฤนท์ กล่าวทิ้งท้าย



Create Date : 20 เมษายน 2549
Last Update : 20 เมษายน 2549 20:01:32 น. 1 comments
Counter : 520 Pageviews.  
 
 
 
 
มิตรแท้เพิ่มพูน ประกันภัยรถยนต์ สุดประหยัด เพียงราคา 7,777 บาท/ปี

จ่ายน้อยคุ้มครองเท่ากับประเภท 1 ประเภท 3 มิตรแท้เพิ่มพูน

ความคุ้มครองสุงกว่าบริษัทอื่นๆ
ความคุ้มครอง จำนวนเงิน

รถเสียหาย 100,000 บาท/ครั้ง
ชีวิตร่างกายบุคคลภายนอก 500,000 บาท/ปี
10,000,000 บาท/ปี
ทรัพย์บุคคลภายนอก 1,000,000 บาท/ปี
อุบัติเหตุส่วนบุคคล 5 คน 100,000 บาท/คน
ค่ารักษาพยาบาล 5 คน 50,000 บาท/คน
ประกันตัวผู้ขับขี่ 300,000 บาท/ ครั้ง


หมายเหตุ * เวลาเกิดเหตุต้องที่เฉี่ยวชนกับยานพาหนะทางบก
*ในกรณีที่ผู้เอาประกันภัยเกินเหตุไม่ว่าจะเป็นฝ่ายถูกหรือผิด ไม่ต้องเสียค่าเสียหายส่วนแรก
* รับสมัครตัวแทนขายด้วย สนใจติดต่อด่วน จ่ายค่าคอมสูงสุดๆ
หรือติดต่อทางเมล์ taw-d@msn.com
สนใจติดต่อคุณ สุนทรี (แพรว) 081-7786141
 
 

โดย: แพรว IP: 125.25.16.231 วันที่: 29 สิงหาคม 2551 เวลา:13:53:32 น.  

Name
Opinion
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก

hoon_vi
 
Location :
ขอนแก่น Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 41 คน [?]




เป็นนักลงทุนมือใหม่ กำลังหาวิธีการเหมาะสำหรับตัวเอง ชอบการถ่ายรูป ท่องเที่ยว เขียนบทความ
[Add hoon_vi's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com