|
"โตโยต้า ยาริส" ปั๊มยอดขาย "ที.กรุงไทย"
"โตโยต้า ยาริส" ปั๊มยอดขาย "ที.กรุงไทย"
"ที.กรุงไทย" เปิดกลยุทธ์ธุรกิจในอีก 2-3 ปีข้างหน้า (ปี 2552) จะก้าวขึ้นเป็น "ซัพพลายเออร์" ของภูมิภาคอาเซียน ดันยอดขายเติบโตด้วยฐานลูกค้าและโมเดลรถยนต์รายใหม่ เตรียมร่วมลงทุนกลุ่มนักลงทุนญี่ปุ่น รองรับธุรกิจแม่พิมพ์เติบโต
"บริษัท ที.กรุงไทยอุตสาหกรรม" (TKT) ผู้ผลิตชิ้นส่วนพลาสติกครบวงจร ตั้งแต่การออกแบบ ผลิต และซ่อมแซมแม่พิมพ์ จนถึงให้บริการพ่นสีชิ้นงาน เพื่อจำหน่ายให้แก่ผู้ผลิตรถยนต์ และผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้า ของตระกูล "เตชะไกรศรี"
ล่าสุดบริษัทประกาศเป้าหมายใน 2-3 ปีข้างหน้า (2550-2552) จะก้าวขึ้นเป็น "ซัพพลายเออร์" หรือตัวแทนจำหน่ายชิ้นส่วนพลาสติกให้แก่ลูกค้าในภูมิภาคอาเซียน
"เราวางตำแหน่งบริษัทเป็นซัพพลายเออร์ของภูมิภาค เนื่องจากยอดขายที่เติบโต จากการให้บริการผลิตแม่พิมพ์และออกแบบผลิตภัณฑ์ แต่สายงานหลักเรายังคงอยู่ในธุรกิจการผลิตชิ้นส่วนพลาสติกครบวงจร แม้ปัจจุบันเราจะยังเป็นผู้ผลิตอยู่ในประเทศ แต่เราก็มั่นใจว่าในอนาคตอันใกล้หรือ 2-3 ปีนี้น่าจะมีความเป็นไปได้ที่จะไปถึงระดับภูมิภาค เพราะตลาดอาเซียนใหญ่กว่าตลาดไทยถึง 2เท่าตัว จึงยังมีช่องว่างให้เข้าไปได้อีก" จุมพล เตชะไกรศรี ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท ที.กรุงไทย อุตสาหกรรม กล่าว
ส่วนแนวทางที่จะผลักดันให้ ที.กรุงไทย ขับเคลื่อนรายได้ไปข้างหน้า ภายใต้อุตสาหกรรมรถยนต์ และชิ้นส่วนในช่วงปี 2549 หรือระยะ 2 ปีจากนี้ จุมพล วางแผนไว้ว่าส่วนหนึ่งจะมาจากการเติบโตของยอดขายปัจจุบันที่ยังเติบโตต่อเนื่อง ขณะเดียวกันจะมียอดขายใหม่จากการออกรถรุ่นใหม่ของลูกค้า ตลอดจนจะมียอดขายจากลูกค้ารายใหม่เข้ามาในอนาคต
"ปัจจุบันบริษัทมีคำสั่งการผลิตชิ้นส่วนพลาสติกสำหรับรถยนต์ให้กับ "โตโยต้า ยาริส" ประมาณ 6,000-8,000 คัน ซึ่งถือเป็นออเดอร์ในมือ เชื่อว่าในปีนี้จะทำให้ยอดขายของเราเติบโตไปได้ไม่น้อยกว่า 10%"
โดยเขาเชื่อมั่นว่า แนวโน้มอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์จะยังเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง คาดว่าปีนี้จะโตประมาณ 12-15% จากปัจจัยความต้องการในประเทศที่เพิ่มสูงขึ้น, นโยบายของผู้ผลิตที่ต้องการใช้ประเทศไทยเป็นฐานการเพื่อส่งออก, ศักยภาพของผู้ผลิตชิ้นส่วนทั้งบริษัทไทยและบริษัทต่างประเทศ และการสนับสนุนจากทางภาครัฐภายใต้นโยบายดีทรอยต์ออฟเอเชีย ซึ่งบริษัทคาดว่า จะมียอดการผลิตรถยนต์ได้ถึง 1.8 ล้านคันภายในปี 2553
นอกจากนี้การที่บริษัทได้มีการเซ็นสัญญา กับบริษัททำแม่พิมพ์ในประเทศญี่ปุ่น เพื่อขยายการผลิตแม่พิมพ์ชิ้นส่วนพลาสติก ซึ่งจะทำให้บริษัทได้รับถ่ายทอดเทคโนโลยี สามารถส่งพนักงานไปอบรมที่ญี่ปุ่น ในขณะที่บริษัทญี่ปุ่นจะใช้ที.กรุงไทย เป็นฐานสนับสนุนด้านแม่พิมพ์ให้กับลูกค้าในไทยของบริษัทญี่ปุ่น เนื่องจากบริษัทจะเป็นผู้ให้บริการซ่อมแซมแม่พิมพ์สำหรับลูกค้าในไทย ซึ่งเป็นแหล่งรายได้ที่เพิ่มขึ้นให้แก่บริษัทในระยะอันใกล้นี้
"ตอนนี้เราได้เจรจาเสร็จสิ้นแล้ว ซึ่งจะทำให้บริษัทมีโอกาสที่จะได้ออเดอร์จากเขามากขึ้น โดยในขั้นแรกจะเป็นลักษณะการแลกเปลี่ยนธุรกิจระหว่างกัน แต่ในอนาคต หากมีปริมาณคำสั่งซื้อสินค้าที่เพิ่มขึ้น ก็อาจจะมีการร่วมลงทุนเกิดขึ้นแน่นอน"
จุมพล กล่าวว่า กลยุทธ์ธุรกิจของบริษัทที่ต้องการเน้นอีกอย่างหนึ่งก็คือ จะมุ่งเน้นการยกระบบมาตรฐานจัดการอย่างเต็มรูปแบบ ทั้งในด้านการใช้ข้อมูลเพื่อการตรวจสอบและการตัดสินใจ การรักษาระดับบริการด้านคุณภาพและการส่งมอบ ตลอดจนการตรวจสอบความต้องการของลูกค้าในด้านผลิตภัณฑ์
ขณะเดียวกันบริษัทได้นำระบบ TPS (Toyota Production System) เข้ามาใช้ในการลดต้นทุนของบริษัท ซึ่งจะส่งผลดีในแง่ของขีดความสามารถในการบริหารจัดการด้านต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งบริษัทได้ตั้งเป้าจะเพิ่มมาร์เก็ตแชร์เพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวในอีก 5 ปีข้างหน้า
ปัจจุบันรายได้หลักของบริษัทจะมาจากการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ให้กับ บริษัทโตโยต้า และ นิสสัน เป็นหลัก โดยมีสัดส่วนรายได้ปี 2549 จะมาจากอุตสาหกรรมยานยนต์ประมาณ 49-55% ,อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า 35-40% และออกแบบแม่พิมพ์ 10%
ทั้งนี้สัดส่วนรายได้ของบริษัทได้เปลี่ยนไปจากเดิมบ้าง โดยเฉพาะสัดส่วนยอดขายอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า ซึ่งจะปรับลงลงประมาณ 5-10% จากปี 2548 อยู่ที่ 44% โดยปีก่อนมียอดขายจากเครื่องใช้ไฟฟ้าอยู่ที่ 411 ล้านบาท หรือจะลดลงประมาณ 20-30 ล้านบาทในปีนี้ เนื่องจากบริษัทปรับฐานลูกค้าใหม่ โดยเน้นขยายฐานลูกค้าด้านแม่พิมพ์ ซึ่งจะมีมาร์จินมากกว่าเครื่องใช้ไฟฟ้า
"เราคาดว่ายอดขายในส่วนของยานยนต์ ซึ่งมีสัดส่วน 55% จะยังเติบโตสูงถึง 20% เติบโตมากกว่าอุตสาหกรรมยานยนต์ที่คาดจะเติบโต 12-15% เพราะบริษัทได้รับคำสั่งซื้อสำหรับรถรุ่นใหม่ๆ ได้แก่ Yaris และอีก 2 รุ่น"
สำหรับแผนการลงทุนของบริษัทในปี 2549 บริษัทได้เตรียมงบลงทุนไว้ประมาณ 50- 80 ล้านบาท โดยเป็นงบลงทุนสำหรับพัฒนาเทคโนโลยีภายในองค์กรประมาณ 20-25 ล้านบาท และส่วนที่เหลือสำหรับการลงทุนในด้านการขยายธุรกิจในส่วนอื่นๆ
โดยในไตรมาส 3 ปี 2549 บริษัทอาจจะมีการพิจารณางบการลงทุนใหม่ แต่จะต้องพิจารณาออเดอร์จากลูกค้าก่อนว่าจะเข้ามามากน้อยเพียงใด หากมีคำสั่งซื้อเข้ามามาก ก็จำเป็นต้องขยายกำลังการผลิตหรือปรับปรุงการดำเนินงานใหม่ เพื่อรองรับออเดอร์ของลูกค้า
"ในปีนี้เราตั้งเป้าไว้ว่าอัตรากำไรขั้นต้นน่าจะอยู่ที่ประมาณ 20% จากปีก่อนที่อยู่ที่ประมาณ 16.5% เนื่องจากบริษัทเน้นการผลิตชิ้นส่วนแม่พิมพ์มากยิ่งขึ้น ซึ่งน่าจะทำให้เราได้มาร์จินสูงถึง 20-25% ขณะเดียวกันเราได้ลดสัดส่วนของยอดขายจากเครื่องใช้ไฟฟ้า ซึ่งมีมาร์จินน้อยกว่ามาร์จินของแม่พิมพ์ "
ทั้งนี้ปัจจุบันบริษัทมีกำลังการผลิตจากโรงงานกิ่งแก้วประมาณ 70- 75% และมีกำลังการผลิตในโรงงานที่กบินทร์บุรีประมาณ 60-65% ส่วนโรงงานสุวินทวงศ์นั้น เป็นโรงงานผลิตแม่พิมพ์ ที่สามารถผลิตได้เต็มกำลังการผลิต
Create Date : 20 เมษายน 2549 |
Last Update : 20 เมษายน 2549 19:56:36 น. |
|
3 comments
|
Counter : 601 Pageviews. |
|
|
|
|
โดย: แพรว IP: 125.25.88.215 วันที่: 18 ตุลาคม 2550 เวลา:14:17:58 น. |
|
โดย: ผู้หวังดี (คนนอกองค์กร) IP: 203.152.25.62 วันที่: 6 พฤษภาคม 2551 เวลา:15:40:42 น. |
|
โดย: แพรว IP: 125.25.42.164 วันที่: 14 กรกฎาคม 2552 เวลา:10:35:39 น. |
|
|
|
|
hoon_vi |
|
|
|
|
รับผิดชอบต่อร่างกายและ ชีวิตบุคคลภายนอก 500,000 บาท/คน
10,000,000บาท/ครั้ง
รับผิดชอบต่อทรัพย์สินบุคคลภายนอก 1,000,000 บาท/ครั้ง
ประกันอุบัติเหตุบุคคลในรถ 4 ที่นั่ง 100,000 บาท/คน
ประกันตัวผู้ขับขี่ 300,000 บาท
ความเสียหายต่อทรัพย์สิน(รถยนต์) 100,000 บาท/ครั้ง*/**
เบี้ยประกันรวมภาษีอากร รถเก๋ง รถกระบะ รถตู้ ราคา 6,800 บาท (ไม่จำกัดอายุรถ)หมายเหตุ
*เมื่อเกิดอุบัติเหตุรถผู้เอาประกันชนกับยานพาหนะทางบก
**ในกรณีผู้เอาประกันเป็นฝ่ายผิดต้องรับผิดชอบความเสียหายส่วนแรก 2,000 บาท/ครั้ง
สนใจติดต่อคุณ สุนทรี (แพรว) 081-7786141