แหล่งรวบรววมวิธีเล่นหุ้น
 
 

ออโต้คลินิค : เรื่องของเกียร์อัตโนมัติ

ออโต้คลินิค : เรื่องของเกียร์อัตโนมัติ

พัฒนเดช อาสาสรรพกิจ
ท่ามกลางสภาวะบ้านเมืองในประเทศไทยกำลังยุ่งเหยิง ประชาชนแตกแยกทางความคิดและการกระทำ ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมรับซึ่งกันและกัน ไม่ว่าฝ่ายตรงข้ามจะกระทำการใดๆ ลงไป ต่อให้เป็นการกระทำที่ดีแสนดีเพียงใดก็ตาม ฝ่ายตรงข้ามก็จะไม่ยอมรับแถมยังป่าวประกาศโจมตีให้เสียหาย จึงส่งผลให้ประเทศไทยยามนี้จึงมีแต่ความยุ่งเหยิงวุ่นวาย

คนระดับอดีตนายกรัฐมนตรีของประเทศซึ่งหมายถึง พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร ที่ในสมัยยังดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เคยประกาศเอาไว้เมื่อครั้งมีการตัดสินคดีซุกซ่อนทรัพย์สินว่า กระบวนการยุติธรรมของไทยเป็นที่พึ่งที่บริสุทธิ์ สมควรที่ประชาชนฝากผีฝากไข้เอาไว้ได้

ครั้นพอท่านถูกกระบวนการที่เคยชื่นชมว่าดีที่สุด กระทำการตรวจสอบความบริสุทธิ์ใจของท่านอีกครั้งหนึ่ง ท่านและทนายหน้าหอของท่านกลับป่าวร้องว่า นี่คือกระบวนการที่ไม่สามารถไว้วางใจได้ อีกทั้งเมื่อครั้งที่ท่านอยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ท่านได้แสดงให้คนไทยทั้งชาติได้เห็นว่า ท่านคือผู้กล้าที่สามารถเดินทางไปที่ไหนในประเทศไทยได้อย่างเต็มที่ ขนาดไปนุ่งผ้าขาวม้านอนกลางดินกินกลางทรายที่ไหนๆ ก็ได้ แต่พอถึงเวลาที่มีคนเรียกร้องให้ท่านเดินทางกลับมาสู้คดี ท่านกลับแสดงความขี้ขลาดตาขาวรักตัวกลัวตายขึ้นมาทันที กลัวว่าคนโน้นคนนี้จะมาฆ่าแกง ทีนี้ทำเป็นขี้ขลาดตาขาวไปได้

ผมมีคำถามของคุณ วีระชาติ ถามมาว่า ใช้รถ ฮอนด้า แจ๊ซ เขาบอกว่าเป็นรถที่มีเกียร์อัตโนมัติแบบสายพาน แต่รถยนต์ โตโยต้า วีออส ใช้เกียร์อัตโนมัติแบบเฟือง อยากทราบว่ามันต่างกันตรงไหน ข้อดีข้อด้อยต่างกันอย่างไร วิธีการใช้ต้องใช้งานต่างกันหรือไม่

ตอบ เกียร์ (GEAR) หมายถึงชิ้นส่วนที่เป็นฟันเฟืองทั้งหลาย แต่เกียร์สำหรับความหมายที่คนไทยรู้จักกัน คืออุปกรณ์ที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อทดกำลังของเครื่องยนต์ก่อนจะถูกถ่ายทอดลงไปสู่ดิน และในแต่ละเกียร์ก็จะมีอัตราทดที่ต่างกันออกไปตามขนาดของเฟืองเกียร์ที่สร้างขึ้นมา

ข้อดีของเกียร์แบบเฟืองคือความทนทานต่อแรงกระชากหรือแรงฉุดทั้งหลาย การสึกหรอต่ำกว่าเกียร์ในแบบอื่นๆ ต้นทุนการผลิตต่ำ การซ่อมบำรุงทำได้ง่าย และมีความสลับซับซ้อนน้อย ส่วนข้อเสียของเกียร์แบบเฟืองก็คือ ควบคุมจังหวะการเปลี่ยนเกียร์ให้มีอัตราทดไหลต่อเนื่องได้ยาก

วิศวกรยานยนต์จึงหันมาใช้เกียร์แบบที่รู้จักกันในนามแบบสายพาน หรือ CVT เพื่อลดแรงกระตุกแรงกระชากจากเฟืองเกียร์ที่มีขนาดและจำนวนของซี่เฟืองเกียร์ต่างกัน

เกียร์แบบ CVT มีจุดเด่นคือ มีน้ำหนักเบากว่าเดิม มีความแม่นยำในการเปลี่ยนเกียร์สูง ทำให้รถเกิดอาการเร่งที่ดี จากอัตราทดเกียร์ที่ไหลลื่นต่อเนื่องมากระดับอัตราทดกว่าแบบเฟือง ข้อเสียคือ สายพานที่เป็นตัวขับเกียร์มักจะยืดหรือเสื่อมสภาพเร็วกว่าที่ควรจะเป็น แม้ว่าจะได้มีการพัฒนาสายพานให้มีส่วนผสมของโลหะที่ทนทานมากขึ้นแล้วก็ตาม และเป็นแบบที่ยังใหม่ต่อตลาดและช่างในเมืองไทย ค่าบำรุงรักษาจึงยังคงแพงกว่าแบบเฟือง

ทางแก้สำหรับรถยนต์ที่ใช้เกียร์อัตโนมัติเมื่อต้องการประหยัดน้ำมันคือ ต้องไม่ขับขี่ในลักษณะกระโชกโฮกฮาก และ/หรือ ต้องไม่เปลี่ยนเกียร์ไปมาบ่อยๆ ไม่ว่าจะเปลี่ยนด้วยการโยกคันเกียร์ หรือกดสวิตช์ควบคุมด้วยไฟฟ้า ตามที่วิศวกรของผู้ผลิตได้ทำการขุดบ่อล่อปลาเอาไว้ ควรปล่อยให้เกียร์ไหลลื่นไปทำหน้าที่ของมันตามธรรมชาติ

การใช้เกียร์อัตโนมัติที่ถูกต้องคือ ต้องไม่เร่งเครื่องจนรอบเครื่องยนต์พุ่งสูงขึ้นหรือตกลงอย่างรวดเร็ว ควรใช้ระดับความเร็วของการเดินทางที่เหมาะสมหรืออยู่ในวิสัยที่ผู้ขับขี่ และต้องมีการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเกียร์ตามที่ระบุไว้ในสมุดคู่มือ

เกียร์อัตโนมัติควรหลีกเลี่ยงการใช้รถในสภาพที่มีน้ำท่วมขังสูง และต้องระมัดระวังอย่าให้มีสิ่งสกปรกเช่นฝุ่นละอองหรือหยดน้ำเข้าไปในห้องเกียร์ได้ ถ้าหากหลีกเลี่ยงไม่ได้ ก็ต้องรีบเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเกียร์โดยเร็ว ทำได้เพียงเท่านี้เกียร์ของคุณก็มีอายุใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพ และจะเสียค่าใช้จ่ายเพื่อการซ่อมหรือเปลี่ยนเกียร์น้อยลง

ส่วนข้อแนะนำสำหรับการเลือกใช้เกียร์อัตโนมัติ เอากันแบบคร่าวๆ ไม่ใช่หลักการตามตำราเป๊ะๆ อย่างที่คนอื่นแนะนำกันก็คือ ถ้าคุณตัดสินใจเลือกรถเกียร์อัตโนมัติแล้ว แต่ยังอยากจะทำการขับขี่แบบเกียร์ธรรมดาอยู่ คือหมายถึงยังชอบที่จะเร่งเครื่องปรู๊ดปร๊าด ดึงคันเกียร์ลงมาต่ำเพื่อเร่งแซงให้ทันอกทันใจ หรือแม้แต่กดคันเร่งแบบคิกดาวน์บ่อยๆ แม้ว่าทางที่ดีที่สุดอยากจะแนะนำให้ท่านเลิกวิธีการขับแบบนี้ก็ตาม แต่เมื่อแนะนำแล้วท่านยังอยากจะขับอยู่ ก็จงเลือกเกียร์แบบเฟืองนะครับ เพราะการสึกหรอจะต่ำกว่าเกียร์แบบสายพาน หรือ CVT

ส่วนใครที่ชอบขับรถแบบไปเรื่อยๆ สบายๆ ขับในเมืองเป็นหลัก เครื่องยนต์มีแรงม้าและแรงบิดไม่มากนัก เน้นความต้องการที่ความนุ่มนวลและอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงต่ำ แบบนี้ท่านควรเลือกเกียร์แบบ CVT หรือที่เรียกกันว่าเกียร์สายพานครับ




 

Create Date : 12 กรกฎาคม 2550   
Last Update : 12 กรกฎาคม 2550 19:20:53 น.   
Counter : 851 Pageviews.  


นายประโยชน์ : หาเสียง (2)

นายประโยชน์ : หาเสียง (2)

เมื่อรถวิ่งอยู่บนถนน การที่จะค้นหาที่มาที่ไปของเสียงผิดปกติที่เกิดขึ้นนั้น ดูจะเป็นเรื่องยากสำหรับผู้ขับรถและแม้แต่ช่าง แต่ถ้าหากเป็นคนที่หมั่นสังเกต รู้จักเรื่องรถพอสมควรก็ไม่ยากนักที่จะหาที่มาที่ไป ข้อเท็จจริงก็คือเสียงที่เกิดขึ้นต้องแยกให้ออกก่อนว่าเป็นเสียงที่เกิดจากภายในห้องโดยสารหรือเป็นเสียงจากภายนอกให้ได้ยิน


ในขณะที่รถเคลื่อนที่อยู่นั้นเสียงที่จะเกิดจากภายในห้องโดยสารก็มีอยู่ไม่มาก เช่น เสียงจากพัดลมแอร์ มอเตอร์ขับพัดลม ทดสอบง่ายๆ เริ่มจากลดความแรงของพัดลม ปิดแอร์ปิดพัดลม ก็จะรู้ได้ว่าเสียงเกิดจากที่ใดเมื่อไร อีกเสียงหนึ่งที่อาจจะได้ยินก็คือเสียงดังที่หน้าปัดเรือนไมล์ เสียงนี้ก็หาได้ยากมากถ้าเสียงเกิดขึ้นในขณะขับรถก็ลองหยุดรถดูว่าเสียงเงียบไปไหมเพราะเข็มวัดความเร็วของตัวรถจะทำงานเมื่อรถเคลื่อนที่

เสียงอย่างอื่นที่เกิดจากในห้องโดยสารก็มีอีกเช่นเสียงดังจากแผงประตู เสียงดังจากเบาะนั่งทั้งเบาะหน้าหรือเบาะหลัง เสียงพวกนี้ไม่ยากที่จะค้นหาสาเหตุ ต่อมาเสียงที่เกิดจากภายนอก ก็ต้องพยายามแยกแยะให้ได้ว่าเสียงที่เกิดขึ้นนั้นเกิดจากชิ้นส่วนของตัวรถหรือเป็นเสียงจากปัจจัยภายนอกมากระทบกับตัวรถทำให้เกิดเสียง เช่น เสียงลมเข้ารถ เสียงลมปะทะตัวถัง เสียงลมปะทะกระจกมองข้าง เสียงจากเม็ดฝน ก็เก็บเป็นข้อมูลเอาไว้บอกให้กับผู้ที่จะทำงานแก้ไข ส่วนเสียงที่เกิดจากชิ้นส่วนของตัวรถนอกห้องโดยสาร เราก็ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า เสียงที่เกิดขึ้นนั้นเกิดจากการเคลื่อนไหวของชิ้นส่วนต่างๆ ก็พยายามแยกให้ได้ ทั้งนี้ชิ้นส่วนที่เคลื่อนไหวเมื่อรถอยู่บนถนนนั้นแยกออกได้ 3 ส่วนคือเสียงที่เกิดจากเครื่องยนต์ เสียงที่เกิดจากระบบขับเคลื่อน และเสียงที่เกิดจากระบบรองรับการสั่นสะเทือนหรือช่วงล่าง

ถ้าเริ่มกันที่การทดสอบเสียงจากระบบต่างๆ เช่น ได้ยินเสียงหนึ่งเกิดขึ้นในขณะที่รถวิ่งอยู่แล้วแยกไม่ออกว่ามาจากระบบใด เครื่องยนต์ ช่วงล่าง หรือเกียร์ ก็ไม่ยากนักที่จะค้นหา แต่ต้องใช้ความระมัดระวังเพราะรถยังเคลื่อนที่อยู่ โอกาสที่จะเกิดอุบัติเหตุนั้นมีสูง ก็เริ่มด้วยการเปิด-ปิด ระบบแอร์ ถ้าเสียงหายไปเมื่อปิดแอร์และเกิดขึ้นอีกเมื่อเปิดแอร์ก็พอจะบอกได้ว่าเสียงนั้นเกิดจากระบบแอร์ ส่วนจะเป็นที่จุดใดของระบบก็ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับช่างจะค้นหา แต่ถ้าเปิดแอร์ก็ดังปิดแอร์ก็ยังดังอยู่ ตรวจดูถนนรอบข้างดับเครื่องปล่อยให้รถไหลด้วยแรงเฉื่อย แล้วฟังดู ถ้าดับเครื่องแล้วแต่รถยังเคลื่อนที่ด้วยแรงเฉื่อยเสียงเงียบไปก็สันนิษฐานเบื้องต้นได้ว่าเสียงนั้นเกิดจากการทำงานของเครื่องยนต์

แต่เมื่อดับเครื่องคาเกียร์ไว้ปล่อยให้ไหลด้วยแรงเฉื่อยแล้วยังมีเสียงดังเกิดขึ้นอีกก็ต้องมาทบทวนดูว่า ในขั้นตอนนี้มีชิ้นส่วนใดบ้างที่เคลื่อนไหว เช่น ในห้องเกียร์ เพลาขับ เพลากลาง ล้อหรือยาง ก็แยกกันพิจารณาเป็นเรื่องๆไป เช่น ในกรณีนี้รถไหลคาเกียร์ด้วยแรงเฉื่อยแล้วมีเสียง ลองปล่อยให้ไหลไปโดยปลดเกียร์ว่าง ก็ฟังดูว่าในขณะที่รถเคลื่อนที่โดยเกียร์ว่างเครื่องดับ ก็คือเครื่องยนต์ไม่เคลื่อนไหว ภายในเกียร์ชิ้นส่วนหยุดการเคลื่อนไหวก็มาดูว่าส่วนที่เคลื่อนไหวในขณะนี้ก็เหลืออยู่เพียงแค่ล้อหรือยางเพลาขับและเพลากลาง เสียงที่เกิดขึ้นจากส่วนใดใน 3 ส่วนนี้จะเป็นเสียงที่เกิดขึ้นจากการเคลื่อนที่โดยไม่มีแรงขับ ต้องพยายามแยกแยะให้ได้ว่ามาจากส่วนไหน ถ้าเป็นคนช่างสังเกตหรือพอรู้จักระบบการทำงานรถยนต์ก็ไม่ยากที่จะบอกถึงที่มาของต้นเสียง เพราะเสียงจากล้อหรือยาง เสียงจากเพลาขับ เสียงจากเพลากลางนั้นต่างกัน

ข้อที่ควรระวังคือเสียงที่เกิดขึ้นในขณะที่รถเคลื่อนที่นั้น ถ้ารถยิ่งวิ่งเร็วหรือไหลด้วยแรงเฉื่อยที่เร็วที่พูดกันว่ายิ่งเร็วยิ่งดัง นั่นเป็นสิ่งบอกเหตุว่าชิ้นส่วนนั้นอยู่ในขั้นวิกฤติ ควรที่จะต้องจอดรถแล้วลากจูงยกเข้าอู่ซ่อม แต่ถ้าเสียงที่เกิดขึ้นเป็นเสียงที่อยู่ในระดับที่คงที่รถวิ่งช้าก็เสียงนี้รถวิ่งเร็วก็เสียงนี้ พอจะบอกได้ว่าสาเหตุที่เกิดขึ้นนั้นยังไม่รุนแรงมากมายนัก ยังพอมีเวลาที่จะตรวจสอบค้นหาสาเหตุจนกว่าจะได้ที่ไปที่มาของเสียง

รถยนต์ประกอบด้วยชิ้นส่วนมากมาย พร้อมที่จะทำให้เกิดเสียงได้ตลอดเวลา อย่างที่พูดกันว่าชิ้นส่วนที่เคลื่อนไหวต้องมีเสียง ในชิ้นส่วนหลายอย่างที่มารวมกันเป็นตัวรถถ้าสรุปเพื่อหาที่มาที่ไปของการทำให้เกิดเสียงก็แยกได้เพียง 2 อย่าง คือ เสียงที่เกิดจากการเคลื่อนไหวเป็นรอบวงกลมและเสียงที่เกิดจากการเคลื่อนไหวในแนวดิ่งหรือขึ้นลง ถ้าจับจุดนี้ได้ถูกต้องก็ไม่ยากที่จะจำแนกแยกแยะถึงต้นเหตุหรือที่มาของเสียง

เสียงที่เกิดจากการเคลื่อนที่เป็นวงกลมก็คือเสียงที่เรียกว่าการหมุนและต้องเกิดจากการหมุนเป็นวงกลมของวงกลมสองวงที่อยู่ด้วยกัน เช่นเมื่อติดเครื่องยนต์สายพานจะหมุนเป็นวงกลม ถ้าจะดูว่าเสียงที่เกิดขึ้นมาจากจุดใดก็ต้องไปดูวงกลมอีกวงหนึ่งที่หมุนไปพร้อมกับสายพานก็ได้แก่มูเลย์ต่างๆ เช่นมูเลย์ของปั๊มน้ำ มูเลย์ของพัดลม มูเลย์ของคอมแอร์ หรือเมื่อรถเคลื่อนที่ส่วนที่เป็นวงกลมที่ต้องหมุนก็คือล้อ กระทะล้อ อยู่กับวงกลมที่เป็นลูกปืนล้อ ลูกปืนล้อต่อเนื่องหมุนเป็นวงกลมไปกับเพลาขับเพลากลาง ก็มาแยกดูว่าเสียงเกิดจากจุดใด เพราะแต่ละจุดเสียงจะแตกต่างกัน ไม่ยากที่จะรู้ว่าชิ้นส่วนใดเคลื่อนที่แบบหมุนหรือเป็นวงกลม แม้แต่เสียงที่เกิดขึ้นภายในเครื่องยนต์ ก็จะเกิดจากการเคลื่อนไหว 2 อย่างคือหมุนและขึ้นลง เพลาข้อเหวี่ยงหมุนเป็นวงกลม ลูกสูบเคลื่อนที่เป็นแนวดิ่ง ถ้าจับจุดเหล่านี้ได้ก็ไม่ยากที่จะหาที่มาที่ไปของเสียง

เสียงที่ทำให้เกิดปัญหาเสียเงินกันมากๆ อีกเสียงก็คือเสียงจากการเคลื่อนที่เป็นแนวดิ่งหรือจากการขึ้นลงของชิ้นส่วน เช่น โช้คอัพ สปริง ยางแท่นเครื่อง ยางแท่นเกียร์ ลูกหมาก ในขณะที่รถเคลื่อนที่อยู่มีเสียงผิดปกติจากการทำงานของชิ้นส่วนที่เคลื่อนไหวแบบขึ้นลง อย่างแรกเลยต้องจับเสียงให้ได้ก่อนว่ามาจากที่ใด หน้า หลัง ซ้าย ขวา เมื่อได้ตำแหน่งที่มาของเสียงแล้ว เช่น เสียงดังจากช่วงล่างหน้าด้านขวาเมื่อรถวิ่งอยู่บนถนนที่ไม่เรียบ ก็มาดูว่าในระบบของช่วงล่างหน้าขวานั้นมีชิ้นส่วนใดบ้างที่เคลื่อนไหวเป็นแนวดิ่ง เมื่อรู้แล้วก็ต้องรู้ต่อไปอีกว่าชิ้นส่วนที่เคลื่อนไหวนั้นประกอบไปด้วยอะไรบ้าง เช่น โลหะกับโลหะ โลหะกับยาง โลหะกับพลาสติก พลาสติกกับยาง แล้วก็ทบทวนดูว่าเสียงที่ได้ยินนั้นเป็นเสียงของวัตถุชนิดใด เช่นยางกับเหล็ก ก็ย้อนไปดูว่าชิ้นส่วนใดที่เป็นเหล็กและยางเคลื่อนไหวไปด้วยกัน

คงไม่ใช่เรื่องยากสำหรับผู้ใช้รถที่จะรู้ว่าเสียงที่เกิดจากการหมุนนั้นมีอะไรบ้างและเป็นอย่างไรเช่นเดียวกับเสียงที่เกิดจากการขึ้นลง ตลอดจนเสียงที่เกิดจากวัตถุชนิดเดียวกัน ต่างชนิดกัน หมั่นสังเกต หมั่นฟัง หมั่นแยกแยะเอาไว้ คุณก็จะจ่ายเงินค่าซ่อมค่าบำรุงน้อยลง

ครับ ไม่มีใครรู้จักรถคุณไปกว่าตัวคุณ




 

Create Date : 12 กรกฎาคม 2550   
Last Update : 12 กรกฎาคม 2550 19:20:21 น.   
Counter : 509 Pageviews.  


นายประโยชน์ : หาเสียง (1)

นายประโยชน์ : หาเสียง (1)

เรื่องของเสียงดังจากรถที่ใช้งานตามปกตินั้น สำหรับคนที่ใช้รถโดยไม่ประมาทแล้วนับว่าเป็นเรื่องที่ก่อให้เกิดความหงุดหงิดรำคาญใจ และบ่อยครั้งที่เสียงดังที่เกิดขึ้นทำให้เป็นเรื่องที่ต้องเสียเงินเสียทองมากมาย เป็นเรื่องราวใหญ่โต ที่แย่มากที่สุดสำหรับผู้ใช้รถแล้วก็คือเสียเงินไปแล้วเสียงนั้นก็ยังไม่หายขาด



ผมอยากให้คุณเชื่อไว้ก่อนว่า รถที่คุณขับอยู่เป็นประจำนั้นต่อให้ได้ช่างเทวดาที่ไหนมาก็รู้จักรถของคุณไม่ได้ดีเท่าคุณที่เป็นเจ้าของ ช่างหรือผู้วิเคราะห์เพื่อที่จะแก้ไขเสียงดังที่เกิดขึ้นในรถของคุณนั้นเชื่อเถอะว่าหลายๆ คนไม่เคยที่จะขับรุ่นหรือยี่ห้อที่คุณขับอยู่ ปัญหาหรือเสียงที่เกิดขึ้นจนทำให้คุณกังวลใจจนต้องเสียเงินเสียทองส่วนมากแล้วเกิดจากการสื่อสารที่ไม่เข้าใจระหว่างเจ้าของเสียงกับผู้ที่รับอาสาหาเสียง ลองมาหาที่มาของเสียงด้วยตัวของคุณเองกันดีกว่า แม้ว่าคุณจะไม่มีความสามารถที่จะแก้ไขให้เสียงนั้นหายไปได้แต่เมื่อคุณรู้ที่มาที่ไปแล้วคุณก็มีข้อมูลมากพอที่จะเอาไปบอกให้ผู้ที่ขันอาสาแก้ไขได้ตรงจุดมากขึ้น

เริ่มต้นด้วย ตอนเช้าเข้าไปนั่งในรถก่อนติดเครื่องคลายล็อกที่คอกุญแจ เหยียบเบรกเอาไว้ สาวพวงมาลัยไปซ้ายสุดขวาสุดช้าๆ ในขั้นตอนนี้คุณจะต้องออกแรงมากกว่าปกติเพราะระบบตัวช่วยผ่อนแรงยังไม่ทำงานฟังดูว่ามีเสียงอะไรเกิดขึ้นบ้าง ในการสาวพวงมาลัยไปมานั้นกลไกของระบบบังคับเลี้ยวและช่วงล่างบางส่วนจะทำงาน เริ่มตั้งแต่วงพวงมาลัย แกนพวงมาลัย แร็กพวงมาลัย ลูกหมากปลายแร็ก ลูกหมากปีกนก คอยล์สปริง ยางเบ้าโช้ค การหมั่นสังเกตฟังเสียงจากการสาวพวงมาลัยก็ไม่ใช่เรื่องยาก ถ้าเสียงเกิดขึ้นจากในห้องโดยสาร เสียงที่เกิดขึ้นก็มีเพียงวงพวงมาลัยกับแกนพวงมาลัย ถ้าถามว่าจะรู้ได้อย่างไรว่าเสียงเกิดจากภายในหรือภายนอก ก็ต้องทดสอบกัน 2 ครั้งคือเปิดกระจกหน้าต่างฟังเสียงข้างนอกและปิดหน้าต่างฟังเสียงข้างใน ถ้าคุณฝึกสังเกตกันบ่อยๆ ก็จะแยกได้เองว่าเสียงที่ได้ยินจากนอกรถกับเสียงที่ได้ยินในห้องโดยสารนั้นจะต่างกัน ซึ่งก็หมายถึงว่าวิธีการในการแก้ไขปัญหาก็ต่างกัน ค่าใช้จ่ายในการซ่อมก็ต่างกัน

สมมติว่าคุณไม่พบเสียงผิดปกติจากการสาวพวงมาลัย ในขณะที่เครื่องยนต์ยังไม่ทำงานต่อมาคุณก็ ติดเครื่องยนต์สาวพวงมาลัยในแบบเดียวกัน ในครั้งนี้ถ้าเกิดมีเสียงดังที่ผิดปกติให้คุณได้ยิน ก็ตั้งสมมติฐานได้ว่าเสียงที่เกิดขึ้นเกิดจากระบบช่วยผ่อนแรงหรือระบบเพาเวอร์ อาจจะเป็นเสียงจากสายพานขับปั๊มเพาเวอร์เสียงจากตัวปั๊มเสียงจากการไหลของน้ำมันในท่อแรงดันสูง เสียงที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะเกิดจากการติดเครื่องหรือไม่ติดเครื่องคุณจำเสียง จำระยะเวลาที่เกิดเสียงได้เอาไปบอกให้ช่างแก้ไข ก็จะง่ายสำหรับช่าง ก็จะรอดจากการถูกโขกถูกฟัน และเมื่อช่างแก้ไขไปแล้วก่อนที่คุณจะจ่ายเงินก็ทดสอบในแบบเดียวกันกับเมื่อคุณหาเสียง ว่าเสียงที่ผิดปกตินั้นได้รับการแก้ไขแล้ว

เรื่องหาเสียงประการต่อมาก็คือ เสียงจากเครื่องยนต์ ติดเครื่องเข้าเกียร์ว่าง ดึงเบรกมือหรือเกียร์จอด P ปิดแอร์ฟังเสียงเครื่องว่าขณะที่ติดเครื่องใหม่ๆ (เครื่องเย็น) มีเสียงที่ผิดปกติเกิดขึ้นบ้างไหม ถ้ามีก็ยังไม่ต้องกังวลอดทนรอต่อไปจนอุณหภูมิของเครื่องยนต์ถึงเกณฑ์ทำงานตามปกติ แล้วฟังดูว่าเมื่อเครื่องร้อนเสียงนั้นหายไปหรือไม่ ถ้าหายไปก็พอจะบอกได้ว่าเครื่องยนต์ของคุณยังไม่มีปัญหาที่น่าวิตก เสียงที่เกิดขึ้นในขณะที่เครื่องยนต์เย็นอยู่นั้นอาจจะเกิดจากเสียงของโซ่ราวลิ้น ในรุ่นที่ใช้โซ่ราวลิ้น เมื่อคุณดับเครื่องจอดรถทิ้งค้างคืนไว้นั้นน้ำมันเครื่องจะไหลลงกลับคืนอ่างน้ำมันเครื่องเมื่อคุณติดเครื่อง (เครื่องเย็น) น้ำมันเครื่องยังไม่ทันจะไปหล่อเลี้ยงที่โซ่ราวลิ้น จึงทำให้เกิดเสียงขึ้น ต่อเมื่อเครื่องร้อนน้ำมันฉีดเลี้ยงไปทั่วทุกชิ้นส่วน เสียงนั้นก็จะหายไป อีกเสียงหนึ่งที่เกิดขึ้นในขณะติดเครื่องและเครื่องยังเย็นอยู่ก็คือเสียงจากตัวไฮดรอลิกควบคุมการปิดเปิดของวาล์วหรือที่ช่างเรียกว่าไฮดรอลิกวาล์ว เสียงเกิดขึ้นจากสาเหตุเดียวกันกับที่เกิดกับโซ่

ถ้าหากว่าเสียงที่ได้ยินเมื่อตอนเครื่องเย็นยังดังอยู่เมื่อเครื่องร้อนแล้ว แม้ว่าคุณจะแยกไม่ออกว่าเป็นเสียงจากโซ่ราวลิ้นหรือจากไฮดรอลิกวาล์วก็ไม่ต้องกังวลมากนัก เก็บเป็นข้อสังเกตเอาไว้ เมื่อคุณสะดวกหรือมีโอกาสเข้าหาช่างก็ปรึกษาช่างดูว่าเป็นเรื่องเร่งด่วนรีบร้อนแค่ไหนที่จะต้องแก้ไข แต่ถ้าหากว่าเสียงที่คุณได้ยินตั้งแต่เมื่อตอนเครื่องเย็นจนเครื่องร้อนและเสียงดังมากขึ้นตามความเร็วของรอบเครื่อง นั่นหมายความว่าคุณจะนิ่งนอนใจไม่ได้แล้วจะต้องรีบนำรถเข้าหาช่างให้แก้ไขปัญหา

กรรมวิธีหาเสียงที่กล่าวมานั้นคุณไม่จำเป็นที่จะต้องทำทุกวันก่อนออกรถคุณอาจจะตรวจสอบทุก 3 วัน 5 วัน หรือสัปดาห์ละครั้งก็ขึ้นอยู่กับอายุของรถที่คุณใช้งาน ถ้าเก่ามากก็ตรวจสอบกันบ่อยๆ ถ้ารถยังใหม่ก็ทอดระยะเวลาออกไปได้ การหาเสียงผิดปกติที่คุณได้ยินนั้นเป็นเรื่องยากสำหรับช่างถ้าคุณตรวจสอบแล้วเอาข้อมูลไปบอกช่างงานที่ว่ายากก็จะง่ายขึ้นงานที่ว่าต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงก็จะจ่ายได้น้อยลง




 

Create Date : 12 กรกฎาคม 2550   
Last Update : 12 กรกฎาคม 2550 19:19:18 น.   
Counter : 582 Pageviews.  


เซฟตี้คอร์เนอร์ : รู้จักอาการหลับใน



วณัฐสุข สงวนศิริ
ใช่ว่าเฉพาะพนักงานขับรถโดยสารเท่านั้น ที่จะพลั้งพลาดหลับในจนเกิดอุบัติเหตุ สร้างความสูญเสียรุนแรงขั้นขาดเจ็บสาหัสหรือเสียชีวิต คนประกอบอาชีพอื่นก็มีโอกาสหลับในเช่นกัน เพราะหลับในไม่ได้เลือกตำแหน่งหน้าการงานทั้งทางสังคมและการงาน ในภาษาขับรถที่สอนผู้เรียนหรือผู้อบรมเรามักจะบอกเสมอว่า "จงอย่าล้อเล่นกับอาการหลับในโดยเด็ดขาด"

หมายความว่าความผิดปกติทุกอย่างมันล้วนมีลางหรือข้อสังเกตบางอย่าง โดยเฉพาะการหลับในมีอาการบ่งบอกให้เจ้าตัวรู้ก่อนพันเปอร์เซ็นต์ ความรู้ที่ผมนำมาเสนอคือสิ่งที่ผมได้มาจากสถาบันพัฒนาพฤติกรรมการขับประเทศอเมริกา ย้ำอีกครั้งครับว่าก่อนจะหลับต้องมีลางหรืออาการ

ก่อนจะนอนหลับมันก็ต้องเริ่มจากอาการง่วง อาการหาว หากกำลังขับ ลางของหลับในมันก็มีมากมายยกตัวอย่าง เช่น ใช้ความเร็วไม่สม่ำเสมอ (ทั้งที่ใจต้องการให้ความเร็วสม่ำเสมอ) บางครั้งรถไม่อยู่กึ่งกลางช่องทางเดินรถ บางครั้งลืมคืนสัญญาณ เช่น เปิดไฟสูงหรือไฟเลี้ยวค้างไว้นานๆ ลืมหรือจำสถานที่ที่กำลังถึงไม่ได้ มีอาการงงหรือบางครั้งสมองอยากจะเบรกแต่เท้ากลับไม่ยอมรับคำสั่งจากสมอง หรือภาษาการขับรถเขาพูดกันว่ายกเท้าไม่ขึ้น

เมาเหล้ากับหลับในไม่เหมือนกัน เพราะเหล้าทำให้การตัดสินใจและคาดการณ์ผิดพลาด ส่วนหลับในนั้นไม่รู้ว่ามันจะเกิดอะไรหลังจากหลับใน บางคนที่โชคดีหน่อยหลับ 2 วินาที ขณะที่รถวิ่งทางตรงแล้วสะดุ้งตื่นแล้วไม่หลับอีกต่อไป ส่วนพวกที่โชคร้ายคือหลับเพียงเสี้ยววินาทีแล้วรู้สึกตัว หลังจากนั้นก็จะหลับสั้นเพียงเสี้ยววินาทีแล้วก็ตื่นขึ้นมาอีกมันจะเป็นอาการแบบนี้วนไปมาสักพักหนึ่งก็จะนำไปสู่การหลับที่ยาวขึ้น เพราะครั้งแรกมันจะหลับเพียงแค่นิดเดียวระยะเวลาสั้นมาก ระยะที่ 2 คือตื่นๆ หลับๆ ส่วนระยะที่ 3 ก็คือ ระยะหลับจริง

ยาแก้อาการหลับในเท่าที่ทราบยังไม่มีโรงพยาบาลไหนมียาจำหน่าย พูดภาษาชาวบ้านเพื่อให้เข้าใจกันง่ายๆ ก็คือการนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอสะสมเรื่อยๆ ก็จะอยู่ในภาวะหนี้หลับ พออยู่ในภาวะหนี้หลับมากๆ ก็ง่วงนอน คนที่รู้ตัวก็จะรีบนอนพักผ่อน ส่วนคนที่ไม่รู้ตัวก็วัดดวงไปเรื่อยๆ แต่ยังมีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่รู้จักอาการหรือลางของหลับในแต่ไม่ยอมปฏิบัติตามกฎความปลอดภัยคือการจอดนอนหรือจอดรถไว้ตามสถานที่ปลอดภัยแล้วนั่งรถแท็กซี่กลับบ้าน คนในกรุงเทพฯ สามารถหาทางออกกับอาการหลับในได้มากกว่าคนในต่างจังหวัด เพราะมีแท็กซี่ตลอดคืน

ผมขอเล่าประสบการณ์ที่เคยบริหารงานบรรทุกขนส่งน้ำมันและก๊าซ LPG เดือนละล้านกิโลเมตรว่า ร้อยละ 80 ของอุบัติเหตุและความสูญเสียที่เคยเกิดขึ้นเกี่ยวข้องกับหลับใน คนขับพักผ่อนไม่เพียงพอ แทนที่จะจอดรถหลับแต่กลับพยายามฝืนขับรถและทำงานด้านอื่นๆ ความรุนแรงที่เกิดแต่ละครั้งไม่ต่ำกว่า 5 แสนบาท แต่โชคดีที่ไม่เคยมีความสูญเสียถึงชีวิตและเกี่ยวข้องกับคน ยกตัวอย่างเช่นเมื่อปี 2546 เดือนกุมภาพันธ์รถหัวลากพร้อมหางลากสำหรับบรรทุกน้ำมัน เกิดอุบัติเหตุตกลงข้างทางความเสียหายประมาณ 5 แสนบาท คนขับเริ่มง่วงตั้งแต่จุดพักรถที่มอเตอร์เวย์ จอดงีบพอฝืนขับไปเรื่อยๆ จนถึงหน้าโรงก๊าซ ปตท. สี่แยกบายพาส พนัสนิคม ชลบุรี ก็จอดงีบหลับอีก หลังจากนั้นก็ตื่นฝืนขับได้อีกประมาณ 10 กิโลเมตร รถก็ลงข้างทาง พอสอบประวัติย้อนหลังก็พบว่าคนขับรถคันที่เกิดเหตุมีอาการง่วงนอนสะสมมา 2 วันแล้ว รวมวันที่เกิดเหตุก็คือวันที่ 3 ส่วนรากเหง้าของการเกิดอุบัติเหตุคือความแก่วัดลัดขั้นตอน เพราะในอดีตก็เคยง่วงบ่อยครั้ง แต่สามารถผ่านพ้นมาได้เพราะดื่มเครื่องดื่มชูกำลังที่มีวางขายและตามความเชื่อว่าจะสามารถช่วยแก้อาการง่วง

ผมเคยง่วงอย่างมากและทดลองกินกาแฟแพงๆ ของเพื่อนรักก็แก้อาการง่วงไม่ได้ ผมคือคนหนึ่งที่มีความเชื่อว่าการแก้การง่วงคือการนอน ผมจึงต้องแวะจอดนอนข้างทาง ปัจจุบันนี้อายุผมมากขึ้นแล้ว สิ่งที่ผมพยายามทำคือเดินทางเวลากลางวันและมีความตั้งใจที่จะให้ร่างกายได้พักผ่อน ไม่งกเงินมากจนเกินไป เพราะชีวิตสำคัญมากกว่าเงิน

พอมีกินพอมีใช้ มีความปลอดภัย ชีวิตนี้ก็น่าจะถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้แล้วครับ




 

Create Date : 12 กรกฎาคม 2550   
Last Update : 12 กรกฎาคม 2550 19:18:44 น.   
Counter : 574 Pageviews.  


โรดเทสต์ : วีโก้ 2.5I-/C เพิ่มม้าให้รถงานตัวกลั่น

โรดเทสต์ : วีโก้ 2.5I-/C เพิ่มม้าให้รถงานตัวกลั่น

ยุทธพงษ์ ภาษี
ในตลาดรถปิกอัพที่ดูเหมือนว่า มีโครงสร้างคล้ายกันนั้นแต่แท้จริงแล้ว สามารถแบ่งรายละเอียดแยกย่อย เป็นกลุ่มเป็นก้อนที่เรียกว่าเซ็กเมนท์ ได้มากมายเช่น ปิกอัพ หัวเดียวเครื่องยนต์ขนาดต่างๆ เป็นรถใช้งานหนัก ปิกอัพ มีแค็บ ก็เป็นกลุ่มใช้งาน และกลุ่มรถบ้าน ไล่สูงระดับขึ้นไปอีกจนถึง ท็อปไลน์ที่แบบ 4 ประตู มีทุกอย่าง เช่นระบบขับ เคลื่อน 2 ล้อ ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ เรียกว่าพรีเมียมปิกอัพ

สำหรับชนิดของปิกอัพที่ขายมากสุดในตลาดบ้านเรายังคงเป็นรถขับเคลื่อน 2 ล้อแบบมีแค็บซึ่งเป็นเช่นนี้มานาน

รถมีแค็บเป็นรถใช้งาน คนในตลาดนี้ เล่นเครื่องไซส์เล็ก 2.5 ลิตรมานาน ก่อนหน้านี้ ทำท่าว่าเครื่องไซส์ใหญ่ (3.0 -3.2) จะมาแรงพอเจอราคาน้ำมันลิตรละ 30 บาทเครื่องใหญ่ก็แทบหมดอนาคต มีแต่บรรดานักเล่นตัวยงเท่านั้นที่กัดฟัน ซื้อเพราะรักและชอบจริงๆ

รถใช้งานแบบมีแค็บในตลาดชัดเจนว่าเป็นรถที่เถ้าแก่ซื้อให้ลูกจ้างขับ ส่วนหนึ่งและอีกส่วนหนึ่งผมว่าส่วนใหญ่ เจ้าของที่มีกิจการเล็กๆ ขับเองดูจากพื้นฐานความต้องการคือต้องใช้งานหนักมีพื้นที่บรรทุกมาก อึดและทน ส่วนสิ่งอำนวยความสะดวกก็ต้องมีด้วยเพราะเจ้าของกิจการเล็กๆ ก็มีหัวใจ..

ค่ายรถที่ฟาดฟันกันแบบมวยคู่เอก ในเซ็กเมนท์นี้ คือ อีซูซุ ซึ่งเป็นเจ้าตลาดล่าสุดก็เพิ่งเปิดตัวดีแมคซ์ไมเนอร์เชนจ์ไปหมาดๆ กับ โตโยต้า โดยมี นิสสัน ตามมาแบบม้านอกสายตาเพราะว่า มีแฟนพันธุ์แท้ ใช้งานบรรทุกคุ้มค่าคุ้มราคา เป็นตัวยืนให้น้ำอยู่นี่นิสสันก็รอส่งปิกอัพโฉมใหม่ออกมาสู่ตลาดตั้งท่านานเหลือเกินตลาดจะวายเสียหมด

ล่าสุด ในกลุ่มปิกอัพ มีแค็บ เครื่องไซส์เล็ก โตโยต้า ก็เพิ่มทางเลือกขึ้นมาอีกหนึ่งรุ่นนั้นคือ ไฮลักซ์ วีโก้ 2.5 I/C อินเตอร์คูลเลอร์ และก็จัดการทดสอบประสิทธิภาพ ระหว่างเส้นทาง กรุงเทพฯ-เชียงใหม่ ซึ่งผมได้ไปร่วมกับเขาด้วย

การขับครั้งนี้ เป็นการเดินทางในรูปแบบ คาราวาน มีชื่อทางการว่า ประหยัดสุดใจ ไปกับ โตโยต้า ไฮลักซ์วีโก้ 2KD-FTV (I/C) 2500 อินเตอร์คูลเลอร์ ซึ่งงานหลักๆ นั้นคือ ขับรถ เพื่อแข่งประหยัดน้ำมัน แถมด้วยการไปเที่ยวอยุธยา-เชียงใหม่ ได้ไปชมอดีตที่น่าสนใจของอยุธยา ไปจนถึงดูความคืบหน้าของงาน พืชสวนโลก ที่โตโยต้าลงทุนไปสร้างพาวิลเลี่ยวมูลค่า 20 ล้านบาท เพื่อจัดแสดง โครงการพระราชดำริฯ ซึ่งงานพืชสวนโลกนั้นจะเปิดให้คนทั่วไป เข้าชมได้ในต้นเดือนพฤศจิกายน

ซึ่งเวลานี้ใครที่อยากจะไปชมแนะนำให้ไปจองบัตรไว้เสียแต่เนิ่น เพราะว่า นอกจากจะได้ราคาโปรโมชั่นแล้ว เขาจำกัดคนเข้าชมหากเต็มแล้วก็จะไม่รับอีก

ผมดูเส้นทางการทดสอบ เป็นการขับที่ยาวพอสมควรเพราะว่าจากเช้าตรู่ที่กรุงเทพฯ -ไปอยุธยา เข้าชม อุทยานประวัติศาสตร์ของกรุงศรีอยุธยา เชิงลึก ด้วยบรรดาหัวหน้าทัวร์ระดับปรมจารย์ จากนั้นก็วิ่งฟรีรันไปถึงนครสวรรค์ แล้วเริ่มต้นแข่งขันการขับแบบประหยัดน้ำมันไปถึงตาก เส้นทางยาว 201 กิโลเมตรให้เวลาขับ 230 นาที จากนั้นก็เป็นช่วยฟรีรันเข้าเชียงใหม่

ในสินค้าปิกอัพ เอ็กซ์ตร้าแค็บ แบบขับเคลื่อน2 ล้อของโตโยต้า ก่อนหน้านี้แบ่งออกเป็นแบบ เครื่องยนต์ดีเซล 3.0 ลิตร (1KD-FTV) 2 เกรด ให้เลือก คือ 3.0 G กับ 3.0E กับเครื่องยนต์ 2.5 ลิตร (2KD-FTV) อีก 2 เกรดคือ 2.5J-PS และ 2.5 J

รถตัวใหม่ ที่เพิ่มขึ้นมานำมาสอดไว้กึ่งกลางระหว่าง 3.0 กับ 2.5 ใช้ระหัส 2KD-FTV(I/C) หลักๆ คือ ออปชั่นจะปีนไปอยู่แถว 3.0 ลิตร ส่วนสมรรถนะเครื่องยนต์ ก็เพิ่มให้ดีกว่า เกรดJ ในเครื่องยนต์ดีเซลสมัยใหม่มีเทคโนโลยีที่สำคัญ 2 ตัวที่เรียกว่า เปลี่ยนเครื่องดีเซลโบราณให้เป็น ดีเซลทันสมัย มีสมรรถนะสูงขึ้นและเปลี่ยนการยอมรับเครื่องดีเซลด้วยว่ามีเทคโนโลยี ที่มี ประสิทธิภาพสูง ให้ข้อดีข้อเด่น ไม่น้อยกว่าหรือดีกว่าเบนซินด้วยซ้ำ

อย่างแรกคือระบบฉีดน้ำมันเชื้อเพลิง ที่เรียกว่า คอมมอนเรล ซึ่งกลายเป็นระบบมาตรฐานของเครื่องยนต์ดีเซลสมัยใหม่ อย่างที่สองคือระบบอัดอากาศ ที่เรียกว่า เทอร์โบชาร์จเจอร์ ซึ่งหากจะให้สมบูรณ์ตามแบบฉบับแล้วระบบอัดอากาศนี้ ต้องมีตัวจัดการลดอุณภูมิของอากาศก่อนเข้าของเผาใหม้ที่เรียกว่า อินเตอร์คูลเลอร์ ร่วมอยู่ด้วย

การที่โตโยต้า เอา 2KD-FTV(I/C) มาใส่ใน ตัวถังมีแค็บ คือเอาโครงสร้างทางวิศวกรรมตัวเต็มของระบบ เครื่องยนต์ดีเซลสมัยใหม่ มาใส่ไว้จะเก็บส่วนที่เรียกว่า เหลือใช้ไม่เอามาใส่ก็ตรงที่เทอร์โบไม่ได้เป็นแบบแปรผัน เท่านั้น สมรรถนะของเครื่องยนต์ดีเซล 2KD-FTV(I/C) ให้กำลัง 120 แรงม้า ที่ 3,600 รอบต่อนาที เทียบกับ เอา 2KD-FTV นั้นให้แรงม้าที่ 102 แรงม้าที่รอบเท่ากัน

การใส่อินเตอร์คูลเลอร์ ทำให้มีม้าเพิ่มขึ้น 18 แรงม้าในขณะที่ รอบเท่าเดิมอย่างนี้ ต่อการใช้น้ำมันซีซีเท่ากันก็ได้กำไรแล้วเห็นๆ

แรงบิดนั้นเพิ่มขึ้นมหาศาล วีโก้ 2.5I/C นั้นให้แรงบิด 325 นิวตัน-เมตรที่ 2,000 รอบต่อนาที ส่วน 2KD-FTV ให้แรงบิด ที่ 200นิวตัน-เมตร ในรอบตั้งแต่ 1,400-3,400 รอบ แรงบิดเพิ่มมาอีก 125 นิวตัน-เมตร แรงบิดเพิ่มก็อาจจะมองไม่เห็นชัดหากไม่ไปสนใจลองขับแต่ดูนี่ดีกว่า

น้ำหนักตัวรถวีโก้ 2.5 ลิตรขับสองล้อทุกรุ่นหนักเฉลี่ย 1,530 กิโลกรัม ถ้าคิดอัตราส่วนเทียบกัน แรงม้าต่อน้ำหนัก จะเห็นว่า 1แรงม้าของ วีโก้ 2.5I/C แบกของน้อยกว่า 2KD-FTV

ตัวที่มีอินเตอร์คูล อยู่ที่ 1 :12.75 ส่วนของ 2KD-FTVอยู่ที่ 1: 15

มาดูการขับเจ้า วีโก้ 2.5I/C ที่ได้สัมผัสก่อนจะต้อง ขับแบบสัมมาคารวะ ที่ 40 กม./ชม.

ต้องบอกว่า วีโก้ 2.5I/C นั้นได้ความคล่องตัว และมีอัตราเร่งที่ดี รวมถึงตีนปลาย ไหลยาว ไปสุดคันเร่ง

ความไหลลื่นของเครื่องยนต์ กับเกียร์สัมผัสได้ ในขณะที่เครื่องมาดีเกินคาด ส่วนความเร็วเดินทางของรถหมายถึง ความเร็วที่ขับแล้วไม่รู้สึกเร็ว ของปิกอัพเวลานี้สูงมาก อย่าง วีโก้ 2.5I/C นั้นไปได้ถึง 140-150 กม. /ชม.เหลือสำหรับการเดินทาง

ส่วนการขับประหยัดน้ำมันซึ่งเป็นรูปแบบการแข่งขันซึ่งมีกติกาว่า ต้องขับในเวลาไม่มากกว่า 230 นาที (3ชั่วโมงครึ่ง) ระยะทาง 210 กิโลเมตร เปิดแอร์เย็นกึ่งกลางพัดลม เบอร์ 2 บรรดาเพื่อนนักข่าวทั้ง 20 คัน ขับกันเอาจริงเอาจัง รถคันที่ทำสถิติ ดีที่สุด คือ 36.18 กิโลเมตรต่อลิตร สถิติแย่สุดในกลุ่มคือ 20.44 กิโลเมตร/ลิตร

ส่วนผมกับคุณ คุณเบญจพล อาราเม จากหนังสือพิมพ์บ้านเมือง ทำได้ 22.38 กิโลเมตร/ลิตร

ด้วยเทคโนโลยีใหม่ๆ ทำให้ปิกอัพ เดี๋ยวนี้ประหยัดน้ำมันขึ้นมากบางทีหากดูความสามารถในการใช้น้ำมันต่อระยะทางแล้วบางทีดิ้นรนไป ดัดแปลงรถ ไปหาเชื้อเพลิงอื่นๆ คิดแล้วจะได้ไม่คุ้มเสีย เพราะว่าเวลานี้ มันคือที่สุดของเทคโนโลยี ที่เผาน้ำมันให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุดของช่วงนี้แล้วล่ะครับ

รู้จักระบบอินเตอร์คูลเลอร์ I/C

ระบบอินเตอร์คูลเลอร์ จะช่วยลดอุณหภูมิของอากาศที่ถูกส่งมาจากเทอร์โบ ชาร์จเจอร์ให้ต่ำลงก่อนที่จะส่งไปยังเครื่องยนต์ การลดอุณหภูมิของอากาศดังกล่าว จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเทอร์โบชาร์จเจอร์ให้ดีขึ้น อีกทั้งยังช่วยให้เครื่องยนต์มีกำลังแรงขึ้นอีกด้วย ระบบอินเตอร์คูลเลอร์จะติดตั้งอยู่ที่ท่อทางเดินอากาศไอดีระหว่างเทอร์โบชาร์จเจอร์และเครื่องยนต์ ซึ่งอากาศที่ถูกบีบอัดจนทำให้มีอุณหภูมิให้ต่ำลง ด้วยแรงลมที่เคลื่อนผ่านระบบอินเตอร์คูลเลอร์ การลดอุณหภูมิของอากาศนี้จะทำให้อากาศมีความหนาแน่น เพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้ปริมาณอากาศที่ถูกส่งไปยังเครื่องยนต์มีเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย




 

Create Date : 21 สิงหาคม 2549   
Last Update : 21 สิงหาคม 2549 11:51:50 น.   
Counter : 4263 Pageviews.  


1  2  

hoon_vi
 
Location :
ขอนแก่น Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 41 คน [?]




เป็นนักลงทุนมือใหม่ กำลังหาวิธีการเหมาะสำหรับตัวเอง ชอบการถ่ายรูป ท่องเที่ยว เขียนบทความ
[Add hoon_vi's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com