โน๊ตบุค

ช่วงนี้ไฟที่ห้องของผมตกบ่อยมาก ๆ

ประมาณซักสองอาทิตย์แล้วที่ตั้งแต่หัวค่ำจนถึงเที่ยงคืนไฟจะมาแบบกระปริดกระปรอย เดี๋ยวตกเดี๋ยวไม่ตก
บางทีก็เล่นดับไปเลย เวลาไฟตกแต่ละที หลอดไฟนีออนบนเพดานก็จะหรี่จนเป็นแสงสลัว ๆ เหมือนกับ
อนาคตการเมืองของประเทศสารขัณฑ์ไม่มีผิด เครื่องใช้ไฟฟ้าทุกเครื่องต่างพากันอู้ คอมเพรสเซอร์ของตู้เย็น
จะครางส่งเสียงสะเทือนดังลั่น พัดลมหมุนเอื่อยอย่างขี้เกียจ คอมพิวเตอร์นี่อาการหนักกว่าเพื่อน ไฟตกปุ๊บ
สิ้นชีพปั๊บ ปั๊มหัวใจยังไงก็ไม่ขึ้น ต้องรอไฟมาเท่านั้น งานการที่ทำไว้ ถ้าไม่เซฟไว้บ่อยๆ ก็อย่าหวังว่าจะเรียก
คืนกลับมาได้ จนผมต้องลงทุนซื้อเครื่องสำรองไฟมาใช้ ถึงกระนั้นก็ยังเอาไม่อยู่ เพราะเครื่องสำรองไฟจะ
สำรองได้แค่สิบห้านาที แต่ไฟมันตกนานกว่านั้น ก็เลยหวังพึ่งไม่ได้ เวลาช่วงที่ไฟตกผมก็เลยไม่สามารถใช้
คอมพิวเตอร์ได้ นี่จึงเป็นเหตุที่ทำให้ช่วงนี้ไม่ค่อยได้ลงงานเขียนของผมสักเท่าไร (ข้ออ้าง)

ผมเคยไปถามเจ้าของหอหลายทีแล้วว่า ทำไมไฟมันตกบ่อยจัง คำตอบที่ได้รับก็เป็นคำตอบที่ผมคาดเดาไว้แล้ว
นั่นคือ หม้อแปลงไม่พอ แล้วเจ้าของหอก็ชี้แจงต่อว่า ไฟหอพักใหม่ที่เพิ่งสร้างขึ้นมาก็ตกเหมือนกัน เนี่ย เจ๊ก็
เลยทำเรื่องขอเพิ่มหม้อแปลงไปที่การไฟฟ้าแล้ว เรื่องยังไม่ถึงไหนเลย ทำยังไงได้ ทนๆ ไปก่อนนะรอให้
การไฟฟ้ามาติดตั้งหม้อแปลงลูกใหม่ให้

แล้วทำไมไม่ติดตั้งหม้อแปลงใหม่ก่อนทำหอล่ะ ?

รู้ทั้งรู้ว่าอยู่ว่าทำหอใหม่ โหลดไฟมันก็ต้องเพิ่มขึ้น ทำไมไม่คำนวณโหลดคร่าวๆ ดูก่อน แล้วก็เทียบกับโหลด
ของหม้อแปลงที่มีอยู่ เช็คดูว่าโหลดมันพอไหม ? ถ้าไม่พอก็ขอเรื่องเพิ่มหม้อแปลงซะแต่เนิ่นๆ ระหว่าง
สร้างหอใหม่สิ นี่อะไร รอให้ไฟมันตกหนักๆ เสียก่อนแล้วค่อยทำเรื่องขอหม้อแปลงใหม่ ไม่วางแผนกัน
ล่วงหน้าซะเลย

พอไฟมาตกเสียอย่างนี้ ทำให้ผมใช้คอมพิวเตอร์ไม่ได้ งานต่างๆ ก็เลยเริ่มคั่งค้าง สะสมมากขึ้นเรื่อยๆ พอเริ่ม
ลงมือสะสาง ไฟก็ชอบตกแกล้งกันซะงั้น แล้วสภาพการณ์อย่างนี้ผมจะทำยังไงดี ย้ายหาหอใหม่เลยดีไหม ?

ไม่ได้หรอก ตอนเข้าพักใหม่ ผมจ่ายค่ามัดจำหอไปตั้งสองพันห้า แถมต้องอยู่ให้ครบปีจึงจะได้เงินคืน แต่ผม
ยังอยู่ไม่ครบปีเลย ถ้าหาหอใหม่ก็ชวดเงินค่ามัดจำน่ะสิ

แล้วจะทำยังไง ?

เรื่องไฟตกนี่ จะว่าไป ผมเดือดร้อนแค่เรื่องใช้คอมพิวเตอร์ไม่ได้เท่านั้น เครื่องใช้ไฟฟ้าตัวอื่นไม่มีปัญหากับ
ผมเลย ดังนั้นผมต้องหาวิธีที่สามารถใช้คอมพิวเตอร์ตอนไฟตกได้ เครื่องสำรองไฟที่ซื้อมาใช้ก็ไม่ได้ผล
มันไม่สามารถจ่ายไฟได้ตลอดระยะเวลาที่ไฟตก ผมต้องหาวิธีอื่น

ผมนั่งเค้นมันสมองอยู่นาน นึกขึ้นมาได้ว่า ผมยังมีโน๊ตบุคอยู่เครื่องหนึ่งนี่ เอามาทดลองใช้ดูดีกว่า เพราะว่า
โน๊ตบุคกินไฟต่ำกว่าเดสก์ทอป เวลาไฟตกเครื่องอาจจะไม่ดับ คงจะยังพอใช้งานอยู่ได้ล่ะมั้ง

สงสัยล่ะสิว่า ทำไม ผมไม่ใช้โน๊ตบุคซะตั้งแต่แรก

โน๊ตบุคที่ผมมีอยู่เครื่องนี้ ผมซื้อมาตั้งแต่สมัยเรียน ตอนนั้นก็ประมาณปี 2003 ผมลงเรียนคอมพิวเตอร์
ซิมมูเลชั่น ก็เลยลงทุนถอยโน๊ตบุคมาเพื่อการศึกษา พอเรียนจบก็หอบหิ้วกระเตงเอาเข้าไปทำงานด้วย ใช้งาน
กันอย่างสมบุกสมบัน บางครั้งถึงขั้นทำตกพื้นโครมใหญ่ แต่ก็ไม่น่าเชื่อว่าตัวเครื่องแค่เป็นแผลถลอกเท่านั้น
ยังสามารถใช้ได้ตามปกติ ไม่มีปัญหาอะไรเลย เรียกได้ว่าทนสุด ๆ

ถ้าดีขนาดนั้นแล้วทำไมซื้อคอมพิวเตอร์ใหม่ล่ะ ?

เรื่องของเรื่องคือ ตอนที่ซื้อมา โน๊ตบุคตัวนี้รองรับแค่พอร์ท USB 1.1 เท่านั้น ทำให้ไม่สามารถรองรับอุปกรณ์
ต่อเชื่อมที่ต้องใช้พอร์ท USB 2.0 ได้ แต่นั่นก็ยังไม่ใช่ปัญหา เพราะผมเองก็ไม่ค่อยมีอุปกรณ์ที่ต้องต่อเชื่อม
กับ USB 2.0 เท่าไรนัก แต่ปัญหาหลักมันคือแบตเตอรี่เสื่อมต่างหาก

ก็อย่างว่าซื้อมานานแล้ว ไอ้กาลเวลานี่แหละที่ทำให้ทุกสิ่งเริ่มถดถอย แบตเตอรี่ของผมก็เลยเสื่อมเป็นธรรมดา
ไม่สามารถเก็บไฟไว้ได้เลย และในเมื่อมีก็เหมือนไม่มี ดังนั้นผมถอดแบตเตอรี่ทิ้ง ก็จะเก็บไว้ทำไมให้หนัก
เปล่าๆ โน๊ตบุคของผมก็เลยกลวงโบ๋ เห็นเครื่องในเต้นตุบๆ

นี่ก็เลยเป็นเหตุให้ผมต้องซื้อเดสก์ทอปมาใช้งานแทน

ว่าแล้วผมก็ไปหยิบโน๊ตบุคมาจากกระเป๋าใส่โน๊ตบุค เสียบปลั๊ก ทดลองเปิดเครื่องดู ไฟเครื่องติดและก็ทำการ
บูทเครื่องเหมือนเดิมอย่างที่เคย หน้าจอวินโดวส์ปรากฎขึ้นมา ทุกโปรแกรมพร้อมใช้งานเหมือนเดิม ผมเลย
เอางานของผมที่คั่งค้างมาสะสาง แล้วก็เป็นดังคาด ระหว่างนั่งทำงาน ไฟก็จะตกเป็นระยะ แต่ก็ไม่มีปัญหา
อะไรเกิดขึ้น โน๊ตบุคยังคงใช้งานได้อยู่เหมือนกับที่คาดการณ์ไว้ไม่มีผิด ผมก็เลยทำงานอย่างสบายอารมณ์

แต่อยู่ดีๆ ไฟก็ตกจนหลอดนีออนดับไปเลย พัดลมก็แทบจะไม่กระดิก

แต่ไม่น่าเชื่อ แม้ไฟจะตกถึงขนาดนี้ โน๊ตบุคของผมกลับทำงานได้เหมือนเดิมยังกับไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้น
หน้าจอยังคงส่องสว่าง โปรแกรมยังทำงานได้เหมือนเดิม ดูราวกับว่าไอ้ไฟตกแค่นี้ ไม่สะเทือนซางเลย
แน่จริงก็ไฟดับสิถึงจะได้สะดุ้งสะเทือน พอเป็นแบบนี้ ผมก็เลยทึ่งกับศักยภาพของโน๊ตบุคเครื่องนี้มากๆ

มันสามารถทำงานภายใต้ภาวะแรงดันไฟตกได้เป็นอย่างดี

ถึงแม้อาจจะเรียกได้ว่าเป็นโน๊ตบุคที่ตกรุ่นไปแล้ว แต่พอไฟตก มันกลับทำงานได้อย่างสบายๆ ตรงกันข้ามกับ
เดส์กทอปที่สามารถรองรับเทคโนโลยีใหม่ๆ ได้ง่าย แต่กลับไม่สามารถทำงานได้เลยในสภาวะที่ไฟตกอย่างนี้
เรียกได้ว่าโน๊ตบุคเครื่องนี้มีศักยภาพในการทำงานในสภาวะไฟตกได้อย่างดีเยี่ยม

พอเห็นศักยภาพของโน๊ตบุค ผมก็ย้อนกลับมาคิดเรื่องของตัวเอง

ตลอดชีวิตที่ผ่านมา ผมล้วนแต่ดำเนินชีวิตไปตามคำแนะนำของผู้อื่น ไม่ว่าเรื่องเรียนมหาวิทยาลัย เพื่อนก็
เลือกคณะให้ผม พอจบไปทำงาน ผมก็ได้แต่ทำตามคำสั่งของหัวหน้า พอทำมากๆ เข้า ก็กลายเป็นว่า รอให้
หัวหน้าสั่งก่อนแล้วจึงค่อยทำ มันทำให้ผมรู้สึกราวกับว่า ผมอยู่ในกรอบ ในกรงอะไรซักอย่าง ที่ผมไม่สามารถ
แหกออกมาได้ ต้องเป็นอยู่อย่างนี้ตลอด

จนทำให้ผมสงสัยในตัวเอง ผมมีศักยภาพหรือไม่ ?

มันจะมีเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่ผมสามารถทำมันได้อย่างเต็มที่ อย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ต้องให้ใครชี้แนะ ไม่ต้องให้
ใครมาสั่ง ผมรีดเร้นทุกสิ่งที่ผมมี ทุ่มเททำเจ้าเรื่องนั้นอย่างเต็มกำลัง แสดงศักยภาพของผมออกมาให้เห็น
ให้เหมือนกับโน๊ตบุคของผมที่แสดงศักยภาพความสามารถในการทำงานในสภาวะไฟตกได้เป็นอย่างดี

ผมอยากค้นหาศักยภาพของตัวเองให้เจอ




 

Create Date : 25 กุมภาพันธ์ 2552    
Last Update : 25 กุมภาพันธ์ 2552 21:32:56 น.
Counter : 735 Pageviews.  

ความเหงาที่เท่ากัน

เนื่องจากความเหงาไม่มีหน่วยวัด
ดังนั้นความเหงาจึงเป็นอะไรที่ปัจเจกบุคคลต้องกะประมาณเอาเอง

แม้ในชีวิตจะไม่มีใครเลยเหมือนกัน
บางคนบอก เหงาจับใจ
บางคนบอก สบาย ชิล ๆ
นั่นก็เป็นเรื่องของแต่ละคน

แต่รู้รึเปล่า ความเหงาแบ่งปันกันได้
คนที่เหงามากก็มาแบ่งปันให้คนที่เหงาน้อย
คนที่เหงาน้อยก็ขอแบ่งปันความเหงาจากคนที่เหงามากกว่า
เราจะได้เหงาเสมอภาคกัน
เพราะเราเหงาเท่าๆ กันไง

มาแบ่งปันความเหงากันเถอะ





 

Create Date : 22 กุมภาพันธ์ 2552    
Last Update : 22 กุมภาพันธ์ 2552 17:44:22 น.
Counter : 835 Pageviews.  

วิธียืดอายุ

14.21 น. ... งั้นเรอะ
ผมก้มหน้ากลับเข้าหางานต่อหลังจากดูนาฬิกาที่ติดอยู่ข้างผนังเสร็จแล้ว

14.43 น. ... งั้นเรอะ
ผมก้มหน้ากลับเข้าหางานต่ออีกครั้ง หลังจากดูนาฬิกาที่ติดอยู่ข้างผนังเสร็จแล้ว

เมื่อไรจะเลิกงานซะที

ทนนั่งทำงานอันสุดแสนจะจุกจิกวุ่นวาย ไม่รู้อะไรกันนักกันหนา ย้ายไลน์แต่ละที ต้อง
ดีไซน์ไปให้ดูถึง 5-6 แบบ ต้องเขียนข้อดีข้อเสีย คำนวณ Transportation ให้ดู
ต้องทำ Line Balancing ทุกแบบที่เขียนไป แต่พอเสนอไปก็ดันไม่เอา จะเอาแบบที่
ตัวเองคิดไว้ในใจ

แล้วจะให้ตูดีไซน์เยอะแยะทำถ้วยอะไรฟร้า ! ก็ร่างแบบที่อยากได้มาเซ่ เดี๋ยวจะจัดให้

บ่นไปก็เท่านั้น ไม่มีอะไรงอกเงยขึ้นมา งานตัวเองก็มากมาย หัวหน้าก็ดั๊นไม่รู้จักปฏิเสธ
เอาแต่ คร้าบ คร้าบ เดี๋ยวให้ลูกน้องทำให้นะครับ แล้วก็รับงานคนอื่นมาสุมหัวให้อีก
งานเยอะจนจะทับหัวตายอยู่แล้วเนี่ย

15.00 น. ... ฮ่วย ! อะไรฟะ

ราวกับเวลาโดนยืดออกไป ทั้ง ๆ ที่ผมคิดว่านั่งทำงานมาช่วงโมงหนึ่งแล้ว แต่พอดู
นาฬิกาข้างผนัง ทำไมเวลามันผ่านมาแค่ยี่สิบนาทีเอง นาฬิกาตายรึเปล่าเนี่ย ? พอมอง
ดูนาฬิกาที่หน้าจอคอม มันบอกเวลาบ่ายสาม ควักมือถือออกมาดูยืนยัน เวลาก็ยังเป็น
บ่ายสามโมงอยู่ดี

ตูโดนโกงค่าแรงซะแล้ว !

มีอย่างที่ไหน นั่งทำงานมาเป็นชั่วโมง เวลาจริงดันผ่านไปแค่ยี่สิบนาที ต่างกันตั้ง
สามเท่าตัว อย่างนี้เขาเรียกทำงานเกินค่าแรงแล้ว เวลาจริงหนึ่งชั่วโมงแต่เวลาทำงาน
เป็นสามชั่วโมง ถ้างั้นชั่วโมงการทำงาน แปดชั่วโมงต่อวันก็จะกินเวลาของผมไปตั้ง
ยี่สิบสี่ชั่วโมง ป้าด ! ยิ่งกว่าโดนปล้นซะอีกนะเนี่ย ทำงานตั้งยี่สิบสี่ชั่วโมงแต่ได้ค่าแรง
แค่แปดชั่วโมง ขาดทุนซะไม่มี

ว่าแล้วก็อู้ดีกว่า

เรื่องอะไรจะยอมขาดทุนไปมากกว่านี้ ผมลุกจากโต๊ะทำงาน เดินเอ้อละเหยไปห้องน้ำ
แวะกดน้ำดื่ม คุยกับเด็กในไลน์ โต๋เต๋ไปจนถึงห้องน้ำ ทำธุระส่วนตัวเสร็จก็ล้างมือ
จัดองค์ทรงเครื่องที่หน้ากระจก เพื่อนที่ทำงานด้วยกันก็เข้ามาล้างมือและหวีผมข้าง ๆ
เราก็เลยถือโอกาสยืนอู้คุยกัน คุยกันไป บ่นกันไป หัวเราะกันไป แต่พอตอนหัวเราะ ผมก็
สังเกตเห็นรอยตีนกาฝุดขึ้นบนหน้าของเพื่อน ก็เลยหันไปดูตัวเองที่กระจก

รอยตีนกาของเราทั้งสองคนมีพอ ๆ กัน

จะว่าไปเจ้าเพื่อนคนนี้ก็อายุไล่เลี่ยกันกับผม เราเข้างานมาพร้อม ๆ กันแต่คนละ
สายงานกัน หมอนี่โชคดีได้สายงานที่เบากว่าผม งานที่ได้รับมอบหมายก็เป็นงานที่รัน
มานานแล้ว Process เลยค่อนข้างจะนิ่ง ไม่ค่อยมีปัญหาเกิดขึ้นมากมายนัก ก็เลยทำงาน
สบาย ๆ ส่วนตัวผมนี่สิ ต้องรับงานที่เพิ่งเข้ามาใหม่ มีการปรับเปลี่ยน ปรับปรุงแก้ไขอยู่
ตลอด ปัญหาจุกจิกยุกยิกเกิดขึ้นมากมาย งานก็เลยไหลเข้ามาโครม ๆ ยุ่งวุ่นวายทุกวัน
งานหนักขนาดนี้ ผมนึกว่าผมจะหน้าตาแก่กว่า แต่ที่ไหนได้ หน้าตาของพวกเรากลับแก่
พอ ๆ กัน สงสัยคงเป็นเพราะอายุเท่ากันละมั๊ง ?

เอ๊ะ เดี๋ยวก่อน ไม่ใช่สิ เวลาที่ผมทำงานมันเป็นสามเท่าของเวลาจริง ผมทำงานที่นี่มา
แล้วสามปี ไอ้เวลาจริงสามปีที่ผ่านมา มันก็จะแปลงได้ว่าผมทำงานมาแล้วเก้าปี ถ้าจะ
พูดให้ง่ายก็คือ เวลาจริงสามปี แต่เวลาของผมกลับถูกยืดไปเป็นเก้าปี

แบบนี้ผมก็มีอายุเพิ่มจากเดิมอีกหกปีน่ะสิ

ถ้างั้น ถ้าเกิดผมทู่ซี้ทำงานที่นี่ต่อไปจนอายุห้าสิบ พอถึงตอนนั้น ผมจะทำงานที่นี่เป็น
เวลายี่สิบปีพอดี เวลาทำงานจริงยี่สิบปี เวลาของผมถูกยืดไปเป็นหกสิบปี พอหักลบกัน
ก็จะได้เวลาที่ถูกยืดเป็นสี่สิบปี พอมารวมเข้าอายุก็จะได้ว่า ตอนที่ผมอายุห้าสิบปีใน
เวลาจริงแต่ผมกลับมีอายุถึงเก้าสิบปีในเวลาของตัวผม

แต่รอยตีนกาและความแก่จะเท่ากับเพื่อนที่ทำงานด้วย (ถ้ามันยังทำงานที่นี่อยู่ ... นะ)

โอ้ว ! นี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น ผมกำลังยืดอายุตัวเองโดยไม่รู้ตัวอยู่เหรอเนี่ย ตอนแรก
ผมนึกว่าโดนโกงค่าแรง เอ๊ะ ก็ถูกแล้วนี่โดนโกงค่าแรง แต่ถ้าเทียบการโดนโกงค่าแรง
กับอายุที่ยืดขึ้น หักลบกันแล้วยังไงก็ยังคุ้มค่าอยู่ดี คุ้มเสียยิ่งกว่าเกินคุ้ม

ว่าแล้วผมก็รีบกลับไปทำงานต่อเพื่อยืดอายุตัวเองอย่างปรีเปรม




 

Create Date : 19 กุมภาพันธ์ 2552    
Last Update : 19 กุมภาพันธ์ 2552 16:01:40 น.
Counter : 583 Pageviews.  

วิ่ง

ผมขยับรองเท้าวิ่งคู่เก่งให้กระชับ วอร์มเล็กน้อย ก่อนเริ่มออกวิ่งเหยาะ ๆ

จะว่าไป ผมเองก็ไม่ได้ออกวิ่งมานานพอสมควรแล้ว ตั้งแต่จบมาทำงาน ผมก็ไม่ได้
ออกกำลังกายให้เป็นกิจลักษณะเท่าใดนัก ไม่เหมือนกับสมัยเรียน ช่วงนั้นผมเป็น
นักกีฬา ต้องฝึกซ้อมและวิ่งอยู่เสมอๆ ร่างกายเลยแข็งแรง รู้สึกตัวเองคล่องแคล่วและ
ปราดเปรียวกว่าที่เป็นอยู่ในตอนนี้

ราวกับว่าหน้าที่การงานดูดความกระฉับกระเฉงของผมออกไปเรื่อย ๆ

เนื่องจากเป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือน วันนี้ผมก็เลยตั้งเป้าไว้ว่าจะวิ่งสักสองกิโล
เพราะขืนฝืนมากไปจะไม่มีแรงทำงานเอาได้ วิ่งแค่นี้ก็เพียงพอที่จะเรียกเหงื่ออกจากตัว
ของผมแล้ว

เสียงรองเท้ากระทบพื้นเบา ๆ เป็นจังหวะสม่ำเสมอ สายตาของผมมองทางแค่ไม่เกิน
สองเมตรข้างหน้าเท่านั้น พยายามควบคุมลมหายใจให้ผ่านเข้าออกแต่ทางรูจมูกเท่านั้น
รักษาจังหวะการวิ่งให้สม่ำเสมอ

สมองว่างเปล่า ไม่มีเรื่องใดให้คิด

วิ่งได้สักหน่อย ผมก็เร่งจังหวะการวิ่งขึ้นเรื่อยๆ รู้อยู่ว่ามันเริ่มที่จะฝืนตัวเองแล้ว แต่ผมก็
อยากจะไปข้างหน้าให้เร็วขึ้นกว่านี้ อยากวิ่งเสร็จเร็วขึ้น จังหวะการหายใจที่อุตส่าห์
ควบคุมมาตั้งแต่เริ่มวิ่งก็เสียจังหวะไป ผมเริ่มออกอาการหมายิ้ม วิ่งไล่งับอากาศ เสียง
หายใจดังฟืดฟาด

รู้สึกได้ถึงการเต้นของหัวใจและการไหลเวียนของเลือดในตัว

ในที่สุดก็วิ่งครบสองกิโล ผมโซซัดเซกลับหอ ระหว่างเดินกลับ จมูกผมก็แสบจนน้ำมูก
ไหลออกมาอยู่เรื่อย ผมต้องคอยเช็ดทิ้ง มันเป็นอย่างนี้ทุกครั้งเวลาที่ผมเริ่มกลับมา
ออกกำลังกาย อาการนี้จะหายไปเมื่อออกกำลังกายจนเริ่มอยู่ตัว

แต่ก็น่าแปลก ทั้งๆ ที่น้ำมูกไหลออกมาตลอดอย่างนั้น ผมกลับได้กลิ่นเหม็นของควันรถ
กลิ่นน้ำมันเบนซินจากการสันดาปที่ไม่สมบูรณ์ปะปนในอากาศอย่างชัดเจน ทั้งๆ ที่ก่อน
เริ่มวิ่ง ผมไม่ได้กลิ่นพวกนี้เลย

ราวกับว่าจมูกผมกลับมามีความสามารถในการดมกลิ่นเหมือนเดิม

ใช่แล้วล่ะ ในที่สุดผมก็เริ่มนึกขึ้นมาได้ว่า ทำไม ทั้งๆ ที่วันนี้เป็นวันฟ้าหม่นและมืดครึ้ม
บรรยากาศไม่เป็นใจสำหรับการวิ่งแบบนี้ ผมกลับหยิบรองเท้าออกมาวิ่ง ที่แท้ก็เป็นเพราะ
ผมต้องการเรียกบางสิ่งบางอย่างกลับคืนมาสู่ตัวผม สิ่งที่ค่อยๆ ลบเลือนหายไปเรื่อย ๆ

ความมีชีวิต

ทุกครั้งที่วิ่ง ผมจะรู้สึกถึงหัวใจที่เต้นโครมคราม ใช่แล้ว หัวใจยังไม่ตายด้าน
ทุกครั้งที่วิ่ง ผมจะปวดเส้นเลือดที่ขมับ ใช่แล้ว ร่างกายผมยังไม่ได้แห้งแล้ง ยังมีเลือด
หล่อเลี้ยงอยู่
ทุกครั้งที่วิ่ง ผมจะดมกลิ่นได้ดีขึ้น ใช่แล้ว ผมยังสามารถได้กลิ่นหอมหวลที่อาจลอยมา
ตามลมได้

ดังนั้นต่อไปนี้ ทุกครั้งเวลาที่ฟ้าครึ้มหรือฝนตก ผมจะออกวิ่งเพื่อไล่กวดตัวผมที่แอบหนี
ไปกลับคืนมา ผมจะเรียกตัวผมกลับคืนมาด้วยการวิ่ง





 

Create Date : 15 กุมภาพันธ์ 2552    
Last Update : 15 กุมภาพันธ์ 2552 15:46:53 น.
Counter : 636 Pageviews.  

หุงข้าวไม่เช็ดน้ำ

หม้อหุงข้าวคู่บารมีของผมเพิ่งมาขาดใจตาย

หลังจากที่ผมซาวข้าวเรียบร้อยแล้ว ผมก็เสียบปลั๊ก กดสวิทช์หม้อข้าว แต่ไฟไม่ติดแฮะ
ขยับปลั๊กไปมาก็แล้ว ขยับหม้อไปมาก็แล้ว เคาะ ทุบ ทำยังไงไฟก็ไม่ติด

เจ๊งแน่นอน

ผมเลยรื้อหม้อหุงข้าวออกมาดู ก็พบว่าหน้าสัมผัสของสายชักเสีย ต้องทำการบัดกรีซ่อม
แต่ที่ห้องไม่มีหัวแร้งต้องออกไปหาซื้อมาก่อนจึงจะซ่อมได้ แต่ไอ้ครั้นจะออกไปซื้อมา
ซ่อม ท้องก็ดันร้องโยเยไม่ให้ความร่วมมือแถมข้าวก็ซาวไว้แล้ว เสียดายข้าว

แล้วจะทำยังไงดี ?

เหลียวมองรอบตัว ก็เห็นกระทะไฟฟ้าวางคว่ำอยู่ เอาวะ ใช้กระทะหุงข้าวก็ได้ ว่าแล้ว
ก็ถ่ายข้าวลงใส่กระทะไฟฟ้า เสียบปลั๊ก ไฟแดงติดขึ้น น้ำค่อยๆร้อนจนเริ่มเป็นไอ

ว่าแต่ว่าจะหุงยังไงล่ะ ?

สมัยอยู่บ้านนอก ตอนเด็กๆ บ้านผมยังนิยมใช้ฟืนอยู่ ดังนั้นการหุงข้าวที่คุ้นเคยก็คือ
การหุงแบบเช็ดน้ำ ซึ่งก็ง่ายๆ แค่ต้มจนข้าวเดือด เอาไม้ขัดหม้อควักเม็ดข้าวออกมาดู
ถ้าเม็ดข้าวสุกแล้วก็รินน้ำได้เลย รินเสร็จก็เอามาดงต่อสักหน่อยเป็นอันเสร็จพิธี

แต่ว่านี่ไม่ใช่หม้ออลูมิเนียม นี่คือกระทะไฟฟ้า ไม่เป็นการดีแน่ถ้าจะเอามาหุงข้าวแบบ
เช็ดน้ำ เพราะด้วยที่ปากหม้อกว้างเกินไป เม็ดข้าวมีโอกาสไหลลงพื้นได้ และที่สำคัญ
ไอ้นี่เป็นอุปกรณ์ไฟฟ้า เกิดรินน้ำไหลเข้าไปข้างใน พอเสียบปลั๊กอีกทีอาจจะมีศพขึ้น
อืดคาห้องก็ได้

ผมก็เลยเลือกหุงแบบไม่เช็ดน้ำ

ประสบการณ์การหุงข้าวแบบไม่เช็ดน้ำของผมมีแค่ครั้งเดียวเท่านั้น ตอนนั้นผมลองหุง
แบบนี้เล่น ๆ ดู ผลก็คือข้าวแฉะให้คนทั้งบ้านบ่นปอดแปด

และนี่จะเป็นครั้งที่สอง

พอข้าวเดือด ผมก็คนข้าวไปเรื่อยป้องกันข้าวติดก้นกระทะ หยิบเม็ดข้าวมาดู เม็ดข้าว
ก็ยังไม่สุกเลยแต่น้ำกลับงวดลงไปทุกทีๆ ข้าวจะสุกไหมเนี่ย ทำไงดี ?

1. หรี่ไฟลง ต้มไปเรื่อยๆ จนข้าวสุก
( ถ้าเลือกข้อนี้ให้อ่านความคิดเห็นที่ 1 ห้ามอ่านความคิดเห็นที่ 2 )

2. เติมน้ำลงไป ต้มต่อจนข้าวสุก
( ถ้าเลือกข้อนี้ให้อ่านความคิดเห็นที่ 2 ห้ามอ่านความคิดเห็นที่ 1 )




 

Create Date : 11 กุมภาพันธ์ 2552    
Last Update : 11 กุมภาพันธ์ 2552 16:37:43 น.
Counter : 4511 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  

garnet19th
Location :
ขอนแก่น Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add garnet19th's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.