|
เอาเมีย (5)
ผู้เขียน: แพงพิมพา (a_somjai posted on 2005-09-01 / 1 กันยายน 2548)
เอาเมียสาวปานได้งัวซาวแม่ มีเมียสาวปานได้แม่วัวยี่สิบตัว
ได้ยินคำเว้านี้แล้ว ท่านสุภาพสตรีไทยสมัยนี้ คิดไปถึงไหนกันบ้างครับ?
ต้องกราบขออภัยกันไว้ก่อนนะครับ หากว่าในเรื่องนี้ ความเห็นของผมจะทำให้บางท่าน ลมบ่จอย
มาว่าถึงความหมายของ ลมบ่จอย กันก่อน เห็นพูดกัน ใช้กันไปทั่วแล้ว ท่านที่รู้แล้วก็หื้อดักปิ้งเย็นวอยไว้ก่อนนะครับ ท่านใดที่ยังไม่รู้ก็เอียงหูมานี่ครับผมจะบอกหื้อ (ดัก ดักปิ้ง=เงียบเสียง คนอีสานว่า มิด ส่วนคำว่า เย็นวอย นั้นคือเรื่องที่จะคุยกันต่อไปนี้แหละครับ)
คำว่า ลมบ่จอย เป็นสำนวนอู้ของคนทางเหนือครับ
หลายคนรวมทั้งลูกหลานคนเมืองเหนือรุ่นหลัง ยังมีผู้เข้าใจกันผิด ๆ ว่าคำอู้นี้กลายมาจาก อารมณ์ + No / Not / Non-enjoy ความจริงแล้ว คำอู้ว่า ลมจอย อักษรล้านนาเขียนว่า ลมชอย ตรงกับคำไทยกลางว่า ลมโชย คำคนเว้าลาวว่า ลมวอยวอย หรือ ลมพัดวอยวอย (จอยวอย ก็ได้ยินพูดกัน) คือลมพัดเอื่อย ๆ นั้นเอง
หากว่าใครได้อยู่อาศัยในทำเลถิ่นที่มีสายลมโชยผ่านอยู่ไม่ได้ขาดแล้วละก็ คงมีความสุขสบายไม่น้อยเลย อย่างมีหมู่บ้านหนึ่งตั้งอยู่ตีนดอยสุเทพชาวบ้านตั้งชื่อว่า บ้านสันลมจอย ก็ทำให้ผู้ผ่านทางไปแล้วเข้าใจความหมายของชื่อหมู่บ้าน พลอยเกิดความรู้สึกสบายกายเย็นใจไปด้วย
ดังนั้น ก็เมื่อลมบ่จอย ลมไม่โชยมาในที่นั้นขณะนั้นแล้ว คนเราจะรู้สึกอย่างไรกันล่ะเน่าะ? ผมตอบให้ก็ได้ว่า มันอยู่บ่ม่วน ครับ (บ่ม่วน=ไม่สนุกสุขสบาย)
หลายคนอาจจะคิดว่าหากชายใดได้เมียสาวแล้ว ย่อมอยู่ม่วนแท้ ๆ ม่วนอีหลีทุกที่ทุกเวลา ประหนึ่งว่าบ้านข้าบ้านข้อยมีสายลมจอยพัดวอยวอยโชยอยู่ทุกวี่ทุกวัน ฉะนั้นแล
แต่หากลองคิดกันให้ดี ๆ ถี่ ๆ ถ้วนแล้ว ผมว่าชายนั้นก็คงอยู่ม่วนได้แต่เมื่อเมียสาวอยู่เคียงข้าง อยู่ในสายตา และอยู่ในโอวาทของตนคนเป็นสามีเท่านั้นดอก (อย่างเนื้อเพลงลูกทุ่งฮิตกันอยู่เวลานี้ ชื่อ มีเมียเด็ก นั้นประไร)
ว่าไปแล้วเรื่องนี้มันมีแง่มุมให้ต้องขบคิดกันได้หลายทีเดียว อย่างเรื่องนี้ ผมก็ว่ากันไปตามวิสัยพวกผู้ชายทั้งหลายที่เชื่อว่า.. ทุกเรื่องราวในโลกนี้และโลกหน้า ล้วนต่างมีเหตุมีผลด้วยกันทั้งนั้น คือจะบอกแม่หญิงทั้งหลายว่า...เมื่อผู้ชายจะคิดอะไร ทำอะไร พวกกระผมก็จึงต้องอ้างอิงเอาหลังพิงด้วยเหตุด้วยผลเสมอ (ฮิ ฮิ)
พวกผู้ชายก็อย่างนี้แหละอีนางเอย อย่าเพิ่ง เซ้ย กันเลยเน้อ (ความหมายของคำ เซ้ย นี้ ขอติดไว้ก่อนก็แล้วกัน เพราะเดี๋ยวจะออกนอกเรื่องไปไกลเกินกู่)
กลับไปตั้งต้นกันใหม่ ที่ข้อเสนอหรือประโยคกระทู้ดีกว่าครับ เอาเมียสาวปานได้งัวซาวแม่ เป็นเรื่องจริงหรือเท็จประการใด?
แรกสุดเลย ผมวิตกว่าอาจมีผู้ฟังเข้าใจไปว่า.. คนใช้ภาษาลาวชาวบ้านสมัยเก่าเห็นว่า สตรีเพศนั้นไม่ต่างอะไรกับโคกระบือเพศเมียดี ๆ นี้เอง อาจไปกันใหญ่
เพราะหากเป็นเช่นนั้น ผมเกรงว่า ชาวเฟมีนิสต์หรือเพื่อนหญิงนักต่อสู้เพื่อสิทธิสตรีทั้งโลกคงพากันออกมาประท้วง หักล้าง ล้มล้าง กวาดล้าง หรือว่าอาจจะถึงขั้นทำลายล้างชนิดขุดรากถอนโคนรากเหง้าความคิดแบบดูถูกดูหมิ่นกดข่มลดค่าศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ผู้หญิงลงไปเสมอด้วยสัตว์เลี้ยงเยี่ยงนี้ เสียให้สิ้นซาก โอหนอ ผีฟ้าพระญาแถน ซ่อยลูกแน้!
เรื่องนี้ กระผมของกราบเรียนว่าเราต้องเข้าใจบริบทของสังคมสมัยก่อน ที่ท่านเป็นคนในยุคคลื่นลูกที่หนึ่ง คือสังคม/ชุมชนเกษตรกรรมครับ
- เว้าก็เว้าเถาะ! แล้วการที่ผู้ชายคนหนึ่งในสังคมเกษตรกรรมชนบทสมัยก่อน เอา คือว่า มี และได้เป็นเจ้าของ งัวแม่ หรือ วัวตัวเมียในวัยเจริญพันธุ์พร้อมสำหรับการผสมพันธุ์ ตั้งท้อง ออกลูก และมีลูกได้หลาย ๆ ท้อง จำนวนแม่วัวมีมากถึง ซาวตัวคือยี่สิบตัว มันทำให้ตัวเขา ครอบครัวของเขา ลูกเมียของเขา ด้อยค่าต่ำศักดิ์ศรีลงไปตรงไหนกัน?
ก็ข้อเท็จจริงที่ว่า...แม่งัวที่มีคุณสมบัติดีเลิศตัวหนึ่งย่อมให้ลูกที่ดีได้หลายตัว ใช่ไหมเล่า
หากมองว่า...ลูกเต้า..ของคนเรา เป็นทรัพย์สมบัติที่พอกพูนขึ้นของครอบครัวก็ย่อมเป็นสิ่งดี ใช่ไหมเล่า
หากมองว่า....การมีลูกมีเต้ามากมาย หลายคน เต็มบ้านเต็มเมือง เป็นเรื่องดี เพราะเป็นการสืบสร้างความมั่งคั่งมั่นคงให้แก่วงศ์ตระกูลก็เป็นสิ่งที่งาม ใช่ไหมเล่า
ฉะนี้แล้ว ผมจึงได้คิดว่า
.คนสมัยก่อนท่านไม่ได้คิดแบบปัจเจกนิยม คือตัวใครตัวมันต่างหาก ตัดจากกันเด็ดขาด อย่างการแยกส่วนปัจเจกมนุษย์ออกจากหน่วยพื้นฐานทางสังคมทุกระดับ ตัวใครตัวมัน ต่างคนต่างอยู่ อย่างคนสมัยนี้
ขอขยายความอย่างนี้ครับ
.. หากเรายอมรับว่า...
-
. คน ๆ หนึ่งไม่ได้เป็นฉันเป็นเธอแยกออกจากครอบครัว
. คน ๆ หนึ่งไม่ได้เป็นฉันเป็นเธอแยกออกจากบ้าน หรือหมู่บ้าน ชุมชน
. คน ๆ หนึ่งไม่ได้เป็นฉันเป็นเธอแยกออกจากเมือง อย่างคนในรุ่นสมัยเรานี้
ดังนั้น การเอาเมีย การมีเหย้าเรือน การครองเรือน ของคน ๆ หนึ่งจึงถือเป็นเรื่องของคนในเรือนเดียวกันนั้นด้วย
การเอาเมีย การมีเหย้าเรือน การครองเรือน ของคน ๆ หนึ่งจึงถือเป็นเรื่องของกลุ่มเครือญาติด้วย
การเอาเมีย การมีเหย้าเรือน การครองเรือน ของคน ๆ หนึ่งจึงถือเป็นเรื่องของไทบ้านไทเมืองด้วย
เพราะทุกคนทุกหน่วยเป็นอาณาจักรเดียวกันจักแบ่งแยกมิได้ ฉะนี้แล
การเปรียบเทียบว่า เอาเมียสาวเหมือนมีวัวตัวเมียยี่สิบแม่ จึงเป็นการยืนยันภาพความมั่งคั่งมั่นคงของครอบครัวในอุดมคติ
นอกจากนี้แล้วหากเราเข้าใจว่า คนสมัยก่อนต้องอาศัยอยู่ในหมู่บ้านชุมชนที่ผูกพันกันด้วยความสัมพันธ์แบบพึ่งพากันเชิงเครือญาติ แล้วละก็
สมาชิกทุกคนจึงเสมือนหนึ่งเป็นญาติพี่น้องกันทั้งหมด
การที่ใครคนหนึ่งจะมีเหย้าเรือนเป็นครอบเป็นครัว
จึงไม่ใช่เรื่องของตัวใครตัวมัน หรือของครอบครัวใดครอบครัวหนึ่งเท่านั้น
บุคคลชายก็ดีหญิงก็ดี จะไปต้านจา เอาผัว เอาเมีย มาใส่ไว้ในกลุ่มก้อนบ้านเกิดเมืองนอนแห่งตน จึงจะต้องฟังเสียงของญาติพี่น้องและชาวบ้านชาวเมืองเขา ให้ครบถ้วนซู่แจบ้านแจ่งเมืองเสียก่อน (ซู่ จุ้=ครบ ถ้วน ทุก (แจ แจ่ง =มุม ขอบ, (ต้าน=พูดจา)
ดังคำผญา ภาษิตอีสานว่า... สิเอาเมียให้ถามซู่แจบ้าน สิต้านชู้ให้ถามซู่แจเมือง
เพราะคนเราจะเป็นอยู่อย่างเป็นสุขได้ ก็ย้อนไทบ้านไทเมืองคนอื่นเขาด้วย (ย้อน=เพราะ)
บ่าวก็ดี สาวก็ดี ที่กำลังคึดสิเอาผัวเอาเมีย จื่อจำคำคนโบราณท่านสอนไว้ให้ดีเด้อ ครับเด้อ แหวนดีย้อนหัว ผัวดีย้อนเมีย
สุขสวัสดีทุกคน ทุกครอบครัวผัวเมียครับ.
Create Date : 01 กันยายน 2548 |
Last Update : 24 พฤศจิกายน 2550 4:44:51 น. |
|
5 comments
|
Counter : 2029 Pageviews. |
|
|
|
โดย: โสมรัศมี วันที่: 1 กันยายน 2548 เวลา:19:21:05 น. |
|
|
|
โดย: สำราญใจ IP: 202.156.2.210 วันที่: 4 กันยายน 2548 เวลา:19:02:10 น. |
|
|
|
โดย: tismarketing IP: 58.10.205.235 วันที่: 22 กันยายน 2548 เวลา:20:47:18 น. |
|
|
|
โดย: นา IP: 125.24.4.97 วันที่: 1 กรกฎาคม 2552 เวลา:9:58:38 น. |
|
|
|
| |
|
|
ไม่มีคำว่า 'ความยุติธรรม'
โดย: มาตามกฏของลมรำเพย
^
^
ชอบค่ะ ชอบมาก
ขอบคุณที่ไปเยี่ยนเยียนกันค่า