<<< a_somjai a_somjai's blog === อ่านเขียนบล็อก อ่านเขียนโลก <<<== a_somjai อ่านเขียนบล็อก a_somjai a_somjai's blog
Group Blog
 
All Blogs
 
บล็อกเบา ๆ: บ่นกะเพื่อนเก่าในกระปุก (๔)

ชื่อนั้นสำคัญไฉน?

ในเอกสารราชการที่กรอกข้อมูลประวัติส่วนตัว เช่นทะเบียนสำมะโนครัว ระเบียนนักเรียน หรือแม้ในแฟ้มประวัติบุคคลของหน่วยงานต้นสังกัด ของพี่น้องท้องเดียวกันในครอบครัวเรานั้น ยกเว้นวันเดือนปีและสถานที่เกิดแล้ว พวกเราล้วนถูกระบุว่าเป็นคนเชื้อชาติไทย สัญชาติไทย นับถือศาสนาพุทธ และมีชื่อบิดามารดาตรงกันทั้งนั้น แต่ชื่อนามของพ่อแม่เรากลับไม่ใช่ชื่อดั้งเดิมที่ปู่ย่าตายายผู้เป็นพ่อแม่ของพ่อแม่เราอีกที ท่านตั้งไว้ให้เมื่อเกิดมาและเรียกขานใช้กันในกลุ่มเครือญาติสังคมชาวนาของท่าน

ชื่อที่ได้จากสังคมวัฒนธรรมชาวนาของแม่เรา คือ “แพง”
ส่วนพ่อเรานั้นก็มาจากสังคมชาวนาเหมือนกัน ชื่อว่า “พิมพา” ได้ยินญาติ ๆ เรียกสั้น ๆ ว่า “พิม” ฟังดูเหมือนชื่อผู้หญิง เข้าใจว่า พระที่เป็นหลวงตาหลวงลุง(ญาติ)ของพ่อคงจะเป็นคนตั้งให้


แต่ชื่อพ่อชื่อแม่ในทะเบียนราชการของพวกเรากลับไม่ใช่ชื่อนามที่เป็นมรดกตกทอดจากวัฒนธรรมสังคมชาวนาไท/ลาว โดยแม่เรามีชื่อเป็นทางการว่า “อนงค์” ส่วนพ่อเรามีชื่อเป็นทางการว่า “ยงยุทธ์” เกี่ยวกับเรื่องนี้แต่ก่อนเราก็ไม่ได้สงสัยอะไร แต่พอโตขึ้นได้เรียนหนังสือหนังหาว่าด้วยเรื่องราวทางสังคมวัฒนธรรม การเมืองการปกครองของเมืองไทยเรามาบ้าง จึงได้รู้สึกว่ามันเกี่ยวข้องกับ “เรื่องแปลก ๆ ในกรอบ/กระปุก ตามช่วงวันวัยชีวิตของพวกท่าน” นั้นเอง

พ่อแม่เราเป็นคนที่เติบโตขึ้นมาในช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองของประเทศ ตั้งแต่ปีพ.ศ. ๒๔๗๕ เป็นต้นมา ท่านเป็นหนุ่มสาวในยุคที่ จอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรีตลอดกาลของประเทศไทย ดังนั้นเราต้องไปดูว่าเกิดอะไรขึ้นกับชื่อ “แพง” และ “พิมพา” ของลูกชาวนาอย่างพวกท่าน



จอมพล ป. พิบูลสงคราม หรือ แปลก พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 3 ของประเทศไทย เดิมชื่อ แปลก ขีตตะสังคะ เกิดเมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2440 ถึงแก่อสัญกรรม เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2507 ท่านเคยดำรงตำแหน่งนายยกรัฐมนตรีของประเทศไทยถึง 8 สมัย (ได้แก่รัฐบาลไทยยุคหลังการเปลี่ยนแปลง พ.ศ. 2475; สมัยที่ 9, 10, 21, 22, 23, 24, 25, และ26 แต่ละสมัยดำรงตำแหน่งติดต่อกันบ้าง เว้นช่วงไปบ้าง เริ่มตั้งแต่วันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2481 ถึงสมัยสุดท้ายสิ้นสุดเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2500)

ยุคสมัยของท่าน ได้มีนโยบายที่สำคัญคือ การพัฒนาประเทศไทยให้เจริญรุ่งเรืองทัดเทียมกับนานาอารยะประเทศ มีการปลุกระดมให้คนไทยรู้สึกรักชาติ โดยมีการออกประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วย รัฐนิยม หลายอย่าง ซึ่งบางอย่างได้ประกาศเป็นกฎหมายในภายหลัง คำขวัญสำคัญของท่านผู้นี้คือ "เชื่อผู้นำ ชาติพ้นภัย"


เรื่องชื่อของ “แม่แพง” กับ “พ่อพิม” ของเราต้องมากลายเป็น “แม่อนงค์” กับ “พ่อยงยุทธ์” ไปเสียนี้ ก็ด้วยนโยบาย “รัฐนิยม” ของท่านนายยกฯ ชื่อเดิมว่า “แปลก” ท่านนี้แหละครับ

รัฐนิยมในสมัยนั้น ที่เป็นรูปธรรมก็คือ การปลูกฝังความนิยมไทย และการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมไทยบางอย่าง ซึ่งก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงและความขัดแย้งในหมู่ประชาชนพอสมควร เช่น ให้สตรีเลิกนุ่งโจงกระเบน หันมาสวมกระโปรง สวมหมวก, ให้เลิกกินหมากพลู, ให้เปลี่ยนชื่อผู้ชายให้มีลักษณะเข้มแข็ง ผู้หญิงให้มีลักษณะอ่อนหวาน เป็นต้น ทั้งนี้ยังได้ประกาศรัฐนิยมเชิญชวนให้ประชาชนปฏิบัติตามหลายข้อ

ตัวอย่างของประกาศว่าด้วยรัฐนิยม ในสมัยจอมพล ป. ได้แก่
• การเปลี่ยนชื่อประเทศจาก "สยาม" เป็น "ไทย" (ถือกันว่าเป็น "รัฐนิยม ฉบับที่ 1")
• การเปลี่ยนเพลงชาติ
• การเคารพธงชาติ
• การยกเลิกพยัญชนะในภาษาไทยที่ 'ซ้ำซ้อน' บางตัว และเปลี่ยนแปลงการสะกดคำ (ตัวอย่างเช่น 'ประกาศสำนักนายกรัถมนตรี วันที่ 12 พรึสภาคม พุทธสักราช 2487')
• การรณรงค์ให้ประชาชนใส่หมวก (โดยมีคำขวัญคือ "มาลาพาไทยสู่มหาอำนาจ")

นอกจากนี้ ยังมีประกาศสำนักรัฐมนตรี วันที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2487 ว่าด้วย วีระธัมของชาติไทย เป็นการกำหนดนิสัยประจำชาติไทย 14 ข้อ ดังนี้ (คงการสะกดตามเดิม):
1. ไทยรักชาติยิ่งชีวิต
2. ไทยเปนนักรบชั้นเยี่ยม
3. ไทยเปนชาติดีต่อมิตร และร้ายที่สุดต่อสัตรู
4. ไทยเปนชาติบูชาพุทธสาสนายิ่งชีวิต
5. ไทยเปนชาติปากกับไจตรงกัน
6. ไทยเปนชาติรักสงบ
7. ไทยเปนชาติซื่อสัจ และกตัญญู
8. ไทยเปนชาติขยัน
9. ไทยเปนชาติเพาะปลูกอาหารไว้กินเอง
10. ไทยเปนชาติสะสมมรดกไว้ไห้แก่ลูกหลาน
11. ไทยเปนชาติชอบหยู่ดีกินดี
12. ไทยเปนชาติชอบแต่งตัวดี
13. ไทยเปนชาติยกย่อง เด็ก หยิง และผู้ชรา
14. ไทยเปนชาติว่าตามกันและตามผู้นำ


เรื่องนี้มีผู้เล่าไว้สนุก ๆ แล้ว อย่างเรื่อง รัฐนิยม โดย เทาชมพู จึงขอหยิบยกสำนวนสนุก ๆ ของเทาชมพูมาลงไว้ ให้อ่านกันเลยดังนี้

“.....ออกจากบ้านไปไหนมาไหนต้องสวมหมวก ...ข้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อยต้องมาขายก๋วยเตี๋ยวกัน เพราะเป็นนโยบายระดับชาติ ...ผู้ชายผู้หญิงต้องเปลี่ยนชื่อให้สมกับเพศของตน ชื่อพ่อแม่ตั้งมาใช้ไม่ได้ ...คนไทยถูกห้ามกินหมาก ...ควรเลี้ยงไก่ ปลูกผักในบ้าน ...พูดกันให้ใช้คำว่า “ฉัน” “ท่าน” และลงท้ายว่า “จ๊ะ” ไม่ใช่ “คุณ” “ผม” “ฉัน” หรือ “ครับ” และ “ค่ะ”

“.......เคยอ่านพบเรื่องนี้แล้วขำกลิ้ง มารู้ทีหลังว่าคนสมัยนั้น นอกจากไม่ขำยังถือเป็นเรื่องซีเรียส เพราะเป็นยุครัฐนิยม หรือยุค “วัธนธัม” เมื่อพ.ศ. ๒๔๘๒ สมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี ประชาชนต้องปฎิบัติตามนโยบายของท่านผู้นำอย่างเคร่งครัด

“........จอมพล ป.ประสงค์จะปลูกฝังความรักชาติและให้คนไทยสมานสามัคคี มองเห็นความสำคัญของชาติไทย ตลอดจนทำให้ประเทศมีความเจริญเช่นเดียวกับประเทศอารยะทั้งหลายทางตะวันตก จึงออกประกาศมา ๑๒ ฉบับ เนื้อความเป็นยังไงขอไม่เอามาลงเพราะยาวมาก แต่ในจำนวนนี้มีหลายเรื่องที่กระทบกระเทือนความเป็นอยู่ของคนไทย เพราะมันเข้ามากำกับชีวิตความเป็นอยู่ประจำวันกันเลยทีเดียว

“......เรื่องแรกคือเริ่มต้นด้วยการชักชวนให้ชายหญิงแต่งกายให้ดีมีระเบียบแบบสากล ผู้หญิงเลิกนุ่งโจงกระเบนมานุ่งผ้านุ่งหรือกระโปรง ผู้ชายนุ่งกางเกงฝรั่ง ทุกคนควรสวมรองเท้าและไม่กินหมากเพื่อจะได้ไม่บ้วนน้ำหมากเลอะเทอะ ออกจากบ้านต้องสวมหมวก แต่เมื่อไม่ได้ผลเพราะประชาชนไม่ชิน รัฐก็มีคำสั่งให้ข้าราชการทุกคนสวมหมวก ไม่กินหมาก ไม่งั้นตำรวจจะมาเตือนได้ง่าย ๆ ส่วนจะเป็นหมวกอะไรแบบไหนรัฐไม่ว่า คุณยายจะยืมหมวกกะโล่ของคุณตามาสวมก็ไม่เป็นไร คุณตาหาหมวกไม่ได้จะยืมหมวกเด็กนักเรียนข้างบ้านมาสวมแก้ขัดตอนออกนอกบ้าน ก็ไม่มีใครว่าอีกเหมือนกัน

“....อีกเรื่องคือการกำหนดชื่อคนไทยเสียใหม่ เพราะรัฐเห็นว่าชื่อคนไทยแต่เดิมไม่มีระเบียบ เป็นชื่อไม่ไพเราะก็มี และชื่อไม่แบ่งเพศเป็นหญิงชายก็มี จึงมีประกาศมากำหนดเสียใหม่ว่าผู้หญิงควรชื่อแบบไหน ในประกาศบอกไว้ละเอียดเช่นชื่อผู้หญิงควรมีความหมายถึงความสวยงาม เครื่องประดับหรือดอกไม้ ส่วนผู้ชายก็ควรชื่ออะไรที่เข้มแข็งเช่นแปลว่าอาวุธ ทำให้เกิดอลหม่านล้านแจ๊ดในหมู่ผู้มีชื่อไม่คล้อยตามเพศมาแต่เกิดเพราะพ่อแม่ตั้งให้แบบนั้น อย่างนักหนังสือพิมพ์อาวุโสท่านหนึ่งชื่อนายประหยัดศรี ก็ต้องเปลี่ยนเป็นนายประหยัด ศ. สุภาพสตรีผู้หนึ่งชื่อสมัย ก็ต้องเติมคำว่าสวาทเข้าไปเป็นสมัยสวาท ขนาดนางสาวไทยชื่อเรียม ก็เปลี่ยนเป็นเรียมรมย์ ... (มีนางสาวเชียงใหม่ รุ่นยุคนั้น ชื่อนวลสวาท ก็คงเปลี่ยนชื่อจากเหตุเดียวกันนี้กระมัง...เอ_สมใจ)

“......ส่วนเรื่องขายก๋วยเตี๋ยว เป็นนโยบายของจอมพล ป. ที่เห็นความสำคัญของการค้าขาย เมื่อในประกาศอีกข้อหนึ่งได้สนับสนุนให้คนไทยเลี้ยงหมู ปลูกผัก เพาะถั่วงอก ก็ควรขายก๋วยเตี๋ยวเสียให้ครบวงจร เพราะก๋วยเตี๋ยวมีรสอร่อย มีทั้งหมูและผักและถั่วงอกอยู่ในนั้น จึงมีนโยบายทำหนังสือเวียนแจกไปทุกจังหวัด ให้ผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอและครูใหญ่ทุกโรงเรียนขายก๋วยเตี๋ยวคนละหนึ่งหาบ และให้กรมประชาสงเคราะห์พิมพ์คู่มือการทำก๋วยเตี๋ยวออกแจกจ่าย สมัยนั้นข้าราชการที่ขึ้นหน้าขึ้นตาทั้งหลายจึงมีหน้าที่ขายก๋วยเตี๋ยวกันเป็นการใหญ่ ถือเป็นส่วนหนึ่งของการสนองนโยบายรัฐด้วยดี”


ก็และชื่อนาม คนในสังคมชาวนา รุ่นพ่อรุ่นแม่ของคนรุ่นเราหรือเป็นรุ่นปู่ย่าตายายของคนรุ่นนี้ ก็จึงถูก"กระปุกแปลก ๆ" บีบให้เปลี่ยนชื่อนามตนเสียใหม่ให้ทันสมัยสังคมที่นิยมว่าดีงามกัน ด้วยประการะฉะนี้แล.



ปล. เรื่องเปลี่ยนชื่อนี้ยังมีปรากฏการณ์มัน ๆ อีกในคนรุ่นอายุห้าสิบขึ้นอย่างเราอีก คราวนี้เป็นเพื่อนลูกเจ๊ก(ขออภัย...เราทั้งไทยทั้งจีนทั้งญวนเรียนด้วยกันก็เรียกกันอย่างนั้นจริง ๆ ...พวกเขาเป็นลูกคนจีนขายของในตลาด เดี๋ยวนี้มันร่ำรวยกันไปหมดแล้ว ไม่เหมือนเรา...อิอิ) อย่าง ไอ้ “ตี๋น้อย” เพื่อนเรานั้นมันได้ชื่อใหม่ว่า “ด.ช. รักตี๋” โตขึ้นก็เห็นว่าเปลี่ยนชื่ออีกรอบ หรือ ยัย “กิมฮวย” เพื่อนเราก็เปลี่ยนเป็น “ด.ญ. สุพรรณิการ์” เป็นต้น ...เดี๋ยวเมื่อถึงเรื่องเล่าตอนเราเข้าโรงเรียนแล้ว จะเก็บมาลงบล็อกให้ได้อ๊อก ๆ ม่วนชื่นกัน.




Posted by a_somjai | January 3, 2006 @ 11.59 am | ครอบครัว, เพื่อน, เรื่องส่วนตัว | รัฐนิยม, สังคมชาวนา, ความทันสมัย |



Create Date : 03 มกราคม 2549
Last Update : 4 มกราคม 2549 4:19:58 น. 7 comments
Counter : 376 Pageviews.

 



สวัสดีปี๋ใหม่เน่อ


ชื่อนั้น สำคัญมั่กๆ ต้องตั้งให้ตรงตามเลขศาสตร์จะได้เฮงๆ





โดย: อย่ามาทำหน้าเขียวใส่นะยะ วันที่: 3 มกราคม 2549 เวลา:12:21:25 น.  

 


สวัสดีปีใหม่ 2549 / 2006 ครับ
เนื่องในวาระดิถีวันขึ้นปีใหม่
ตี๋น้อยขออัญเชิญพรอันประเสริฐสุด
นำส่งความสุขความเจริญความมั่งคั่งร่ำรวย
และสุขภาพที่แข็งแรงสมบูรณ์สดใสสวยงาม
แด่เพื่อนๆพี่ๆน้องๆลุงป้าน้าอาลูกๆหลานชาวบล็อกทุกๆท่าน





โดย: Zantha วันที่: 3 มกราคม 2549 เวลา:12:48:23 น.  

 



มาเยี่ยม


โดย: Mr.Vop วันที่: 3 มกราคม 2549 เวลา:12:55:11 น.  

 
มาอ่าน


โดย: samranjai วันที่: 3 มกราคม 2549 เวลา:14:11:55 น.  

 
ตามมาอ่านเรื่องคนชื่อแปลก


โดย: แม่น้องธัย วันที่: 3 มกราคม 2549 เวลา:14:36:22 น.  

 
มาอ่านเรื่องค่ะ



โดย: รักดี วันที่: 3 มกราคม 2549 เวลา:15:21:17 น.  

 
เข้ามาอ่านความรู้ค่ะ...ท่านผู้นำ (ความรู้)
ขอบคุณอ.สมใจสำหรับคำอวยพรด้วยค่ะ


โดย: เ ฉ ลี ย ง ห น้ า บ้ า น ค่ะ IP: 69.225.227.98 วันที่: 4 มกราคม 2549 เวลา:0:38:34 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

a_somjai
Location :
เชียงใหม่ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




Friends' blogs
[Add a_somjai's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.