Group Blog All Blog
|
เมืองตูย์เมน เมืองที่มีเอกลักษณ์แห่งหนึ่งของประเทศรัสเซีย
![]() หากคุณกำลังมองหาเมืองที่เป็นจุดเชื่อมโยงระหว่างอดีตอันเก่าแก่และอนาคตอันสดใส ตูย์เมน (Tyumen) อาจเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางที่น่าหลงใหลที่สุดในรัสเซีย เมืองแห่งนี้ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำทูรา ทางตะวันออกของเทือกเขายูรัล เป็นประตูสู่ไซบีเรียอันกว้างใหญ่และเป็นเมืองแรกของภูมิภาคนี้เมื่อเดินทางจากทิศตะวันตก ตูย์เมนก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 และเติบโตขึ้นเป็นศูนย์กลางสำคัญของภูมิภาคยูรัล ปัจจุบัน เมืองนี้ไม่เพียงเป็นหัวใจด้านอุตสาหกรรมพลังงานของรัสเซีย แต่ยังเป็นศูนย์กลางแห่งความเจริญที่ดึงดูดผู้คนจากทุกสารทิศ ประชากรที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สะท้อนให้เห็นถึงพลังทางเศรษฐกิจและการพัฒนาอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคน้ำมันและก๊าซ ซึ่งเป็นเสาหลักของเศรษฐกิจรัสเซียมายาวนาน นอกจากความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจ ตูย์เมนยังมีบรรยากาศที่ผสมผสานระหว่างความทันสมัยและเสน่ห์ดั้งเดิมอย่างลงตัว ถนนสายหลักของเมืองเต็มไปด้วยอาคารประวัติศาสตร์ที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้ ขณะที่ย่านธุรกิจและเขตอุตสาหกรรมเต็มไปด้วยอาคารสูงและเทคโนโลยีล้ำสมัย สะพานข้ามแม่น้ำทูราที่เปล่งประกายยามค่ำคืนสะท้อนให้เห็นถึงชีวิตชีวาของเมืองที่ไม่เคยหลับไหล หากต้องการสัมผัสวัฒนธรรมของตูย์เมนอย่างแท้จริง คุณไม่ควรพลาดการเดินเล่นไปตามถนนโซเวียตสกายา ซึ่งเต็มไปด้วยคาเฟ่ บาร์ และร้านอาหารที่เสิร์ฟอาหารพื้นเมือง รวมถึงอาหารนานาชาติที่ได้รับอิทธิพลจากชนชาติต่างๆ ที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานที่นี่ ไม่เพียงแค่เป็นเมืองแห่งอุตสาหกรรมและพลังงาน ตูย์เมนยังเป็นเมืองแห่งชีวิตและความหวัง เมืองที่อดีตและปัจจุบันดำเนินไปเคียงข้างกัน สร้างเส้นทางแห่งอนาคตที่มั่นคง หากคุณอยากสัมผัสพลังของไซบีเรีย ตูย์เมนคือสถานที่ที่คุณควรมาเยือนสักครั้งในชีวิต จากเศรษฐีสู่พนักงานส่งอาหาร: บทเรียนชีวิตจากเซอร์เกย์ โนโชฟนี
![]() ท่ามกลางบรรยากาศอันเงียบเหงาของกรุงมอสโกในช่วงล็อกดาวน์ปี 2020 เมื่อท้องถนนไร้เสียงผู้คนและธุรกิจหยุดชะงัก ชายผู้หนึ่งตัดสินใจเปลี่ยนเส้นทางชีวิตของตนเองอย่างคาดไม่ถึง เซอร์เกย์ โนโชฟนี ผู้ประกอบการชาวรัสเซียผู้มั่งคั่ง ผู้มีรายได้ปีละหลายล้านเหรียญสหรัฐ ไม่ได้ใช้เวลาช่วงล็อกดาวน์ไปกับการพักผ่อนในคฤหาสน์หรูหรือท่องเที่ยวผ่านโลกเสมือน แต่กลับเลือกเส้นทางที่แตกต่าง เขาสวมหมวกกันน็อก หยิบกระเป๋าส่งอาหาร และก้าวเท้าออกสู่ท้องถนนในฐานะพนักงานส่งอาหาร แม้ว่ารายได้ต่อวันของเขาจะลดลงเหลือเพียง 13-20 ดอลลาร์ และต้องเดินทางไกลถึง 20 กิโลเมตรต่อวัน แต่นั่นไม่ใช่เป้าหมายของเขา โนโชฟนีไม่ได้ทำเพื่อเงิน แต่เพื่อสัมผัสชีวิตอีกแง่มุมหนึ่งที่เขาไม่เคยรู้จัก การเดินส่งอาหารในเมืองที่เคยคุ้นเคยแต่กลับให้ความรู้สึกแปลกใหม่ เปิดโอกาสให้เขาเห็นมุมที่ถูกมองข้าม—ผู้คนที่ยังต้องดิ้นรนหาเลี้ยงชีพในช่วงเวลาวิกฤติ ความเหนื่อยล้าของผู้ทำงานหนักแต่กลับได้รับค่าตอบแทนเพียงน้อยนิด และพลังใจของคนธรรมดาที่ไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา การตัดสินใจครั้งนี้ของเขากลายเป็นเรื่องราวที่โด่งดังไปทั่วโลก สะท้อนถึงคุณค่าของความเรียบง่าย การออกกำลังกายเพื่อสุขภาพกายและใจ และการค้นพบความหมายใหม่ของชีวิต ท่ามกลางยุคสมัยที่ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โนโชฟนีพิสูจน์ให้เห็นว่า ไม่ว่าใครจะร่ำรวยเพียงใดก็ยังคงโหยหาความสมดุลและการเติบโตทางจิตใจ เรื่องราวของเขาไม่เพียงสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้คนทั่วโลก แต่ยังเป็นเครื่องเตือนใจว่า บางครั้ง การก้าวออกจากเขตปลอดภัยของตัวเองอาจนำมาซึ่งมุมมองใหม่ๆ ที่มีค่ามากกว่าตัวเลขในบัญชีธนาคาร ![]() ป้อมปราการเกียนเซ่: อัญมณีแห่งซีจ้างท่ามกลางหิมะขาว
![]() เมื่อหิมะโปรยปรายลงมาแต่งแต้มผืนแผ่นดินทิเบตให้ขาวโพลน ป้อมปราการเกียนเซ่ หรือที่รู้จักกันในชื่อ "รื่อคาเจ๋อ" (Gyantse Fortress) ก็ยิ่งเผยเสน่ห์อันขรึมขลังเหนือกาลเวลา ตั้งตระหง่านอย่างสง่างามบนยอดเนินเขา เปรียบเสมือนยามเฝ้าประวัติศาสตร์ที่ผ่านกาลเวลามาหลายศตวรรษ ป้อมปราการแห่งนี้มีประวัติศาสตร์ยาวนาน ย้อนกลับไปถึงปี พ.ศ. 1510 และได้รับการขยายใหญ่ขึ้นในปี พ.ศ. 1933 มันไม่ได้เป็นเพียงแค่กำแพงหินหรือสิ่งปลูกสร้างทางทหารเท่านั้น แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของจิตวิญญาณและความศรัทธาของชาวทิเบต ด้วยทำเลที่ตั้งบนจุดสูงสุดของเมืองเกียนเซ่ ทำให้สามารถมองเห็นทัศนียภาพกว้างไกลของหุบเขาและเมืองเบื้องล่างได้อย่างชัดเจน เมื่อฤดูหนาวมาเยือน หิมะสีขาวโพลนปกคลุมหลังคาและกำแพงหินโบราณ เสริมให้ป้อมปราการแห่งนี้ดูยิ่งใหญ่และทรงพลังมากยิ่งขึ้น แสงแดดที่ส่องกระทบผิวหิมะสะท้อนเป็นประกายราวกับป้อมปราการนี้ยังคงมีชีวิตและลมหายใจแห่งอดีตกาล นอกจากป้อมปราการแล้ว วัดไป่จู (Pelkor Chöde Monastery) ที่อยู่ใกล้เคียงก็เป็นอีกหนึ่งอัญมณีที่งดงาม วัดแห่งนี้เป็นศูนย์กลางทางศาสนาและศิลปะที่หลอมรวมสถาปัตยกรรมของนิกายพุทธต่าง ๆ เข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว โครงสร้างอันวิจิตรและสถูปคุมบุม (Kumbum Stupa) อันเลื่องชื่อ ทำให้ที่นี่กลายเป็นจุดหมายปลายทางที่ต้องมาเยือนสักครั้ง เมื่อยืนอยู่บนป้อมปราการเกียนเซ่ ลมหนาวพัดผ่านชวนให้จินตนาการถึงกองทัพทิเบตในอดีตที่เคยยืนหยัดปกป้องดินแดนแห่งนี้ เสียงกระซิบของประวัติศาสตร์ยังดังก้องอยู่ในสายลม เสริมให้ทิวทัศน์ที่ปกคลุมด้วยหิมะยิ่งดูน่าตื่นตาตื่นใจ ความเงียบสงบที่ปกคลุมทั่วบริเวณกลับทำให้สัมผัสได้ถึงความยิ่งใหญ่ที่มิอาจลบเลือน ป้อมปราการเกียนเซ่ไม่ใช่เพียงแค่สถานที่ทางประวัติศาสตร์ แต่เป็นประจักษ์พยานของกาลเวลาที่ไม่อาจลบเลือนได้ เป็นเสน่ห์ของทิเบตที่ยังคงสะกดทุกสายตาไว้ตราบนานเท่านาน ![]() ข้าวเหนียวมะม่วง อัญมณีแห่งขนมไทย
![]() ไม่มีใครสามารถบอกได้แน่ชัดว่าข้าวเหนียวมะม่วงถือกำเนิดขึ้นมาเมื่อใด แต่มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์และการกล่าวถึงในวรรณคดีไทย เช่น อิเหนา และขุนช้างขุนแผน ทำให้สันนิษฐานได้ว่าขนมไทยจานนี้อาจมีมาแล้วตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนปลายถึงต้นรัตนโกสินทร์ ด้วยรสชาติที่ลงตัวระหว่างความหวานมันของข้าวเหนียวมูลและรสเปรี้ยวอมหวานของมะม่วงสุก ข้าวเหนียวมะม่วงจึงเป็นของหวานที่ครองใจผู้คนทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติอย่างไม่มีข้อกังขา หัวใจของข้าวเหนียวมะม่วงอยู่ที่ข้าวเหนียวมูล ซึ่งเป็นข้าวเหนียวที่ผ่านกระบวนการนึ่งจนสุกนุ่ม แล้วนำไปคลุกเคล้ากับกะทิสด น้ำตาล และเกลือเล็กน้อยเพื่อให้ได้รสชาติกลมกล่อม หอมมัน ส่วนมะม่วงที่ใช้มักเป็นมะม่วงพันธุ์อกร่องหรือมะม่วงน้ำดอกไม้ ที่มีเนื้อเนียนละเอียดและมีกลิ่นหอมชวนหลงใหล การจัดเสิร์ฟนั้นเรียบง่ายแต่ทรงเสน่ห์ ข้าวเหนียวสีขาวขุ่นเนียนนุ่มวางคู่กับมะม่วงสีเหลืองทอง ราดด้วยกะทิเพิ่มความเข้มข้นและโรยถั่วทองกรอบเพื่อเพิ่มเนื้อสัมผัส ในช่วงฤดูร้อน ซึ่งเป็นฤดูกาลของมะม่วง ข้าวเหนียวมะม่วงจะได้รับความนิยมเป็นพิเศษ ร้านขนมไทยและตลาดต่างๆ จะเต็มไปด้วยร้านค้าที่ขายเมนูนี้ บางแห่งถึงกับต่อคิวยาวเพื่อรอชิมรสชาติที่คุ้นเคย นอกจากนี้ข้าวเหนียวมะม่วงยังมักปรากฏในโอกาสพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นงานเลี้ยง งานเทศกาล หรือแม้แต่ในช่วงสงกรานต์ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ครอบครัวมักจะมารวมตัวกัน และแบ่งปันอาหารรสเลิศให้แก่กัน ข้าวเหนียวมะม่วงไม่เพียงเป็นของหวานยอดนิยม แต่ยังแฝงไปด้วยความหมายทางวัฒนธรรมของไทย ในบางท้องถิ่นเชื่อว่าการรับประทานข้าวเหนียวมะม่วงจะช่วยเสริมสิริมงคลและนำพาความเจริญรุ่งเรืองมาให้ การที่ข้าวเหนียวมะม่วงสามารถเป็นตัวแทนของความอุดมสมบูรณ์และน้ำใจไมตรีของคนไทย ทำให้ขนมหวานชนิดนี้กลายเป็นสัญลักษณ์สำคัญที่แสดงถึงเอกลักษณ์ของอาหารไทยไปโดยปริยาย ปัจจุบัน ข้าวเหนียวมะม่วงไม่เพียงได้รับความนิยมในประเทศไทยเท่านั้น แต่ยังเป็นที่รู้จักในระดับสากล มีการนำไปดัดแปลงเป็นขนมในรูปแบบต่างๆ เช่น ไอศกรีมข้าวเหนียวมะม่วง หรือพุดดิ้งข้าวเหนียวมะม่วง ซึ่งช่วยให้คนทั่วโลกสามารถสัมผัสเสน่ห์ของของหวานชนิดนี้ได้ง่ายขึ้น แม้ว่ารูปแบบอาจเปลี่ยนไปบ้าง แต่รสชาติและจิตวิญญาณของข้าวเหนียวมะม่วงก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ข้าวเหนียวมะม่วงจึงไม่ได้เป็นเพียงขนมหวานทั่วไป แต่เป็นตัวแทนของวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ไทย เป็นความภาคภูมิใจของคนไทยที่ได้รับการถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น และยังคงสร้างความสุขให้กับผู้คนทั่วโลกไม่เสื่อมคลาย ![]() ประภาคารสุดหวาดเสียว Þrídrangaviti Rock Islets (Westman Islands) แห่งประเทศไอซ์แลนด์
![]() กลางมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ ท่ามกลางเกลียวคลื่นที่ซัดสาดและสายลมที่พัดโหมประภาคาร Þrídrangaviti ตั้งตระหง่านอยู่บนโขดหินสูงราว 120 ฟุตราวกับเป็นป้อมปราการแห่งแสงที่โดดเดี่ยวและน่าเกรงขาม ห่างจากชายฝั่งไอซ์แลนด์ราว 6 ไมล์ทะเล สถานที่แห่งนี้ไม่ใช่เพียงเครื่องนำทางแก่เหล่ากะลาสี หากแต่ยังเป็นเครื่องหมายแห่งความท้าทายของมนุษย์ต่อพลังของธรรมชาติ Þrídrangaviti มีความหมายว่า “หินสามก้อน” และแน่นอนว่ามันไม่ได้เป็นเพียงชื่อเล่น หากแต่เป็นความจริงที่ว่าประภาคารตั้งอยู่บนกลุ่มหินกลางทะเล ซึ่งก่อตัวเป็นฐานที่แคบและท้าทายต่อการก่อสร้างอย่างยิ่ง ถูกสร้างขึ้นในปี 1939 ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 จะอุบัติขึ้นเพียงไม่กี่ปี การก่อสร้างในยุคที่ไม่มีเทคโนโลยีสมัยใหม่เช่นเฮลิคอปเตอร์เป็นเรื่องยากลำบากและอันตรายอย่างถึงที่สุด นักปีนเขาผู้กล้าหาญต้องปีนป่ายหน้าผาสูงชัน ฝ่าลมกรรโชกแรง และต้องมั่นใจว่าทุกย่างก้าวของพวกเขาจะไม่พลาดพลั้ง เพราะการลื่นเพียงครั้งเดียวหมายถึงชีวิต ปัจจุบัน ประภาคารแห่งนี้ถูกเข้าถึงได้ทางเฮลิคอปเตอร์เท่านั้น มีลานจอดขนาดเล็กที่ช่วยให้เจ้าหน้าที่สามารถลงจอดได้สะดวกขึ้น แต่ถึงอย่างนั้นการเดินทางไปยังที่แห่งนี้ก็ยังเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะกับผู้ที่ขวัญอ่อน วิวจากด้านบนงดงามเกินบรรยาย ทะเลที่กว้างไกลสุดสายตาและขอบฟ้าที่หลอมรวมกับผืนน้ำทำให้ผู้มาเยือนรู้สึกถึงความเล็กจ้อยของตนเองเมื่ออยู่ท่ามกลางอ้อมกอดอันเวิ้งว้างของธรรมชาติ แม้จะเป็นสถานที่ที่มีมนต์เสน่ห์และความลึกลับ แต่ประภาคาร Þrídrangaviti ก็ไม่ใช่ที่พักพิงของมนุษย์อีกต่อไป ไม่มีผู้เฝ้าประภาคารอาศัยอยู่ถาวร มีเพียงการมาเยือนเป็นครั้งคราวเพื่อซ่อมบำรุงและตรวจสอบความเรียบร้อย และถึงแม้จะอยู่ที่นี่เพียงไม่กี่ชั่วโมง มันก็เพียงพอให้หัวใจเต้นแรง ด้วยความหวาดหวั่นต่อแรงลมที่อาจพัดพาคุณให้ลอยหายไปกับทะเล หรือก้าวพลาดเพียงครั้งเดียวอาจนำไปสู่จุดจบที่ไม่มีใครช่วยเหลือได้ ประภาคาร Þrídrangaviti จึงเป็นดั่งเครื่องเตือนใจถึงพลังอันยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ และความมุ่งมั่นของมนุษย์ที่กล้าท้าทายมัน แม้มันจะโดดเดี่ยวอยู่ท่ามกลางท้องทะเลที่โหมกระหน่ำ แต่แสงของมันก็ยังส่องนำทางเช่นที่เคยเป็นมา เป็นสัญลักษณ์ของความกล้า และเป็นเรื่องเล่าที่ไม่เคยเลือนหายไปจากเกลียวคลื่นของแอตแลนติกเหนือ ![]() |
สมาชิกหมายเลข 2288960
![]() ![]() ![]() ![]() ย้ายจาก Meogui.bloggang.com มาอยู่ที่ เว็บ Blog นี้แทนเด้อครับเด้อ โดนยึดอมยิ้มไปแหล่ว Link |