
ในห้วงเวลาที่ความเชื่อมั่นในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ครอบงำจิตใจผู้คน ยุคกลางได้ให้กำเนิดตำนานเล่าขานมากมาย หนึ่งในนั้นคือเรื่องราวของ "Codex Gigas" หรือ "คัมภีนักษรยักษ์" หนังสือโบราณที่ถูกกล่าวขานว่าเป็นผลงานชิ้นเอกของปีศาจเอง
ด้วยขนาดที่มหึมา หนักถึง 74 กิโลกรัม สูงเกือบหนึ่งเมตร และหนาเท่าขาคน หนังสือเล่มนี้ต้องใช้หนังสัตว์กว่า 160 ชิ้นมาประกอบเข้าด้วยกัน ตัวอักษรที่บรรจุอยู่ภายในเขียนด้วยลายมืออย่างประณีตงดงาม บ่งบอกถึงความพยายามอันมหาศาลที่ผู้สร้างสรรค์ได้ทุ่มเทลงไป แต่สิ่งที่ทำให้ Codex Gigas โดดเด่นและเป็นที่จับตามองของคนทั่วโลกก็คือเรื่องราวอันน่าสะพรึงกลัวที่ถูกเล่าขานสืบต่อกันมา
ตำนานกล่าวขานว่ามีนักบวชผู้หนึ่งถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดร้ายแรง เขาจึงทำข้อตกลงกับปีศาจเพื่อแลกกับการรอดพ้นจากโทษประหารชีวิต โดยสัญญาว่าจะเขียนคัมภีร์เล่มนี้ให้เสร็จภายในหนึ่งคืน และเพื่อเป็นการแสดงความเคารพต่อปีศาจ ผู้เขียนจึงได้วาดภาพของลูซิเฟอร์ลงไปในหนังสือเล่มนี้ด้วยใบหน้าที่งดงามราวกับเทพเจ้า แต่กลับแฝงไปด้วยความชั่วร้ายและอำนาจมืด
ภาพวาดของลูซิเฟอร์ใน Codex Gigas นั้นเป็นภาพที่น่าสะพรึงกลัวและน่าขยะแขยง มันเป็นภาพสะท้อนของความกลัวและความเชื่อในสิ่งชั่วร้ายของผู้คนในยุคนั้น ภาพนี้ถูกมองว่าเป็นสัญลักษณ์ของพลังอำนาจมืดที่ซ่อนอยู่ภายในหนังสือเล่มนี้ และเป็นสาเหตุที่ทำให้ Codex Gigas ได้รับฉายาว่า "คัมภีร์ปีศาจ"
นอกจากภาพวาดของลูซิเฟอร์แล้ว ภายใน Codex Gigas ยังบรรจุเรื่องราวและคาถาอาคมมากมายที่เกี่ยวข้องกับเวทมนตร์คาถาและศาสตร์ลึกลับต่างๆ ทำให้หนังสือเล่มนี้ถูกเชื่อมโยงเข้ากับเรื่องราวของการทำพิธีกรรมดำและการปลุกผี ซึ่งยิ่งตอกย้ำความลึกลับและน่ากลัวของมันเข้าไปอีก
แม้ว่าเรื่องราวของ Codex Gigas จะเต็มไปด้วยความลึกลับและน่าสะพรึงกลัว แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันเป็นหนึ่งในผลงานทางศิลปะและประวัติศาสตร์ที่สำคัญที่สุดชิ้นหนึ่งของโลก หนังสือเล่มนี้เป็นตัวแทนของความเชื่อ ความกลัว และจินตนาการของผู้คนในยุคกลาง และยังคงเป็นปริศนาที่ท้าทายให้นักประวัติศาสตร์และนักวิชาการได้ศึกษาค้นคว้ากันต่อไป
จนถึงปัจจุบัน Codex Gigas ยังคงถูกเก็บรักษาไว้ในหอสมุดแห่งชาติของสวีเดน และเปิดให้สาธารณชนได้เข้าชม แต่ถึงกระนั้นก็ยังคงมีผู้คนมากมายที่เชื่อว่าหนังสือเล่มนี้ยังคงซ่อนเร้นความลับและพลังอำนาจที่น่าสะพรึงกลัวเอาไว้
