All Blog
"ภูเขาทารานากิ: ความงดงามแห่งธรรมชาติที่สมบูรณ์แบบบนเกาะเหนือของนิวซีแลนด์"



นาซ่า ได้เผยภาพถ่ายที่สวยงามของ ภูเขาทารานากิ ซึ่งถูกบันทึกโดยดาวเทียม Landsat 8 ในเดือนมิถุนายน 2023 ภาพถ่ายนี้แสดงให้เห็นถึงความงดงามและสมบูรณ์แบบของภูเขาไฟรูปกรวยที่ถือว่าเป็นหนึ่งในภูเขาไฟที่มีรูปทรงที่สมบูรณ์ที่สุดในโลก ภูเขาทารานากิ ตั้งอยู่บนเกาะเหนือของประเทศนิวซีแลนด์ และมีความสูงประมาณ 2,518 เมตร

ภูเขาทารานากิเป็นจุดเด่นของภูมิภาค ทารานากิ และเป็นสัญลักษณ์สำคัญที่โดดเด่นของพื้นที่ ด้วยรูปทรงที่คล้ายภาพวาด ความงามอันสง่างามนี้ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลกที่ชื่นชอบการผจญภัยและธรรมชาติให้มาเยือนอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการเดินป่าหรือการสำรวจธรรมชาติ ภูเขาทารานากิเป็นจุดหมายปลายทางที่ไม่ควรพลาด โดยมีเส้นทางเดินป่าหลากหลายที่นำนักท่องเที่ยวไปสัมผัสกับทิวทัศน์ที่น่าประทับใจ ตั้งแต่ป่าหนาทึบไปจนถึงยอดเขาที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ

นอกจากความสวยงามทางธรรมชาติแล้ว ภูเขาทารานากิยังมีความสำคัญทางวัฒนธรรมสำหรับชาว เมารี (Māori) ชาวพื้นเมืองของนิวซีแลนด์ ในตำนานของเมารี ภูเขาทารานากิเป็นที่รู้จักในฐานะภูเขาศักดิ์สิทธิ์ที่เต็มไปด้วยความลี้ลับและความเคารพ ภูเขานี้มีความเกี่ยวข้องกับเทพเจ้าผู้คุ้มครองดินแดนและธรรมชาติ ทำให้ภูเขาทารานากิไม่เพียงเป็นสัญลักษณ์ทางธรรมชาติเท่านั้น แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ท้องถิ่นอีกด้วย

ภาพถ่ายจากดาวเทียม Landsat 8 ไม่เพียงเผยให้เห็นถึงความงดงามของภูเขาทารานากิเท่านั้น แต่ยังแสดงให้เห็นถึงการใช้เทคโนโลยีเพื่อสังเกตการณ์และศึกษาธรรมชาติของโลกอย่างลึกซึ้ง นาซ่าใช้ข้อมูลจากดาวเทียมนี้ในการศึกษาภูมิประเทศและสภาพแวดล้อมของพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วโลก ซึ่งช่วยให้เราเข้าใจและอนุรักษ์ธรรมชาติได้ดียิ่งขึ้น

ภูเขาทารานากิจึงเป็นมากกว่าสถานที่ท่องเที่ยว ด้วยความสวยงามทางธรรมชาติและความสำคัญทางวัฒนธรรม ทำให้ภูเขาลูกนี้เป็นหนึ่งในภูเขาไฟที่เป็นที่จดจำและน่าทึ่งที่สุดในโลก

------------------------------------------------------------------------------------------




Create Date : 27 กันยายน 2567
Last Update : 27 กันยายน 2567 10:36:32 น.
Counter : 182 Pageviews.

0 comment
ความวิตกกังวลกับผลกระทบต่อการนอนหลับ : สาเหตุของความฝันที่วุ่นวายและน่ากลัว แล้วเราจะแก้ไขได้อย่างไร


        ความวิตกกังวลเป็นภาวะทางจิตใจที่ส่งผลกระทบต่อการทำงานของสมองและร่างกายอย่างมีนัยสำคัญ เมื่อคนเรารู้สึกกังวล สมองจะทำงานหนักขึ้นกว่าปกติ ส่งผลให้ระบบประสาทมีความตื่นตัวสูง สิ่งนี้ทำให้ยากที่จะผ่อนคลายและเข้าสู่สภาวะการนอนหลับที่สงบ การที่สมองยังคงตื่นตัวในช่วงที่ควรจะพักผ่อนอาจนำไปสู่การเกิดความฝันที่วุ่นวายและน่ากลัว

        กระบวนการเกิดความฝันนั้นเกี่ยวข้องกับระยะการนอนที่เรียกว่า REM sleep หรือ Rapid Eye Movement ซึ่งเป็นช่วงที่สมองทำงานอย่างหนักและมีกิจกรรมของสมองที่คล้ายกับขณะที่เราตื่น ในช่วงนี้สมองจะประมวลผลความรู้สึก ความคิด และข้อมูลต่าง ๆ ที่เราเจอในชีวิตประจำวัน หากมีความกังวลสะสมอยู่ การประมวลผลเหล่านี้อาจทำให้สมองสร้างภาพความฝันที่ไม่เป็นระเบียบและเต็มไปด้วยความเครียด ซึ่งเป็นผลจากการพยายามจัดการกับความคิดและอารมณ์ที่ค้างคา

        นอกจากนี้ ความวิตกกังวลยังส่งผลให้ระดับฮอร์โมนในร่างกายเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะฮอร์โมนคอร์ติซอล ซึ่งเกี่ยวข้องกับความเครียด เมื่อระดับคอร์ติซอลสูงขึ้นในช่วงที่เราควรจะนอนหลับ จะทำให้ร่างกายและจิตใจไม่สามารถผ่อนคลายได้อย่างเต็มที่ ผลที่ตามมาคือการตื่นขึ้นกลางดึกบ่อยครั้ง นอนหลับไม่สนิท หรือมีความฝันที่สะท้อนถึงความกังวลและความกลัว เช่น ฝันว่าถูกไล่ล่า ตกจากที่สูง หรือเหตุการณ์ที่สร้างความกดดัน

        วิธีการลดผลกระทบจากความวิตกกังวลต่อการนอนหลับอาจเริ่มจากการจัดการกับความเครียดก่อนเข้านอน เช่น การทำสมาธิ การฝึกการหายใจลึก ๆ การทำกิจกรรมผ่อนคลาย เช่น การอ่านหนังสือ ฟังเพลงเบา ๆ หรือใช้เวลากับกิจกรรมที่ไม่ก่อให้เกิดความเครียด นอกจากนี้ การจัดการเวลานอนและตื่นที่สม่ำเสมอก็จะช่วยให้ระบบการนอนหลับมีประสิทธิภาพมากขึ้น


***************************************************************




Create Date : 26 กันยายน 2567
Last Update : 26 กันยายน 2567 12:28:18 น.
Counter : 87 Pageviews.

0 comment
การปลูกต้นไม้แบบไดซูกิ: วิถีภูมิปัญญาเก่าแก่ของญี่ปุ่นที่สร้างความยั่งยืน


 การปลูกต้นไม้แบบ "ไดซูกิ" เป็นเทคนิคการเพาะปลูกที่มีต้นกำเนิดในประเทศญี่ปุ่นตั้งแต่ช่วงศตวรรษที่ 14 วิธีการนี้เป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นของชาวเมือง Kitayama ที่ถูกคิดค้นขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนพื้นที่ในการปลูกต้นไม้ยืนต้น โดยเฉพาะในพื้นที่ลาดชัน ซึ่งเป็นภูมิประเทศที่พบได้ทั่วไปในประเทศญี่ปุ่น

หลักการของการปลูกต้นไม้แบบไดซูกิ

        การปลูกต้นไม้แบบไดซูกิมีความคล้ายคลึงกับการปลูกบอนไซ แต่ต้นไม้ที่ใช้ในวิธีนี้ส่วนใหญ่เป็นต้นซีดาร์ ซึ่งถูกตัดแต่งอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้ต้นไม้เติบโตขึ้นไปในแนวตรงและสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง วิธีนี้ไม่เพียงแค่ทำให้ต้นไม้เติบโตเป็นระเบียบ แต่ยังช่วยให้ลำต้นไม่มีตาไม้ ซึ่งทำให้ไม้มีคุณภาพดีสำหรับการใช้งานในอนาคต

        ต้นไม้ที่ถูกตัดแต่งกิ่งไม้อย่างสม่ำเสมอทุก ๆ สองปีนั้น จะทำให้การเจริญเติบโตของต้นไม้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง การตัดแต่งนี้ไม่ได้ทำลายระบบรากหรือลำต้นส่วนล่าง ดังนั้น เมื่อมีการตัดกิ่งหรือลำต้นในส่วนที่เติบโตขึ้นไปใหม่ ต้นไม้ก็ยังคงสามารถงอกขึ้นมาใหม่ได้อย่างรวดเร็ว เป็นการสร้างความยั่งยืนในการปลูกต้นไม้โดยไม่ต้องโค่นต้นไม้ทั้งหมด
คุณภาพของไม้ไดซูกิ

        นอกจากการช่วยประหยัดพื้นที่ในการปลูกแล้ว ไม้ที่ได้จากการปลูกต้นไม้แบบไดซูกิยังมีคุณสมบัติพิเศษที่ทำให้แตกต่างจากไม้ซีดาร์ทั่วไป ความยืดหยุ่นของไม้ไดซูกิสูงกว่าไม้ซีดาร์ธรรมดาถึง 140% และมีความแข็งแรงมากกว่าถึง 200% คุณสมบัติเหล่านี้ทำให้ไม้ไดซูกิเป็นที่นิยมในการใช้ก่อสร้างบ้านเรือนที่ต้องการความแข็งแกร่งและทนทานต่อภัยธรรมชาติ เช่น แผ่นดินไหว ซึ่งเป็นปัญหาที่พบบ่อยในประเทศญี่ปุ่น

ความสำคัญในอดีตและปัจจุบัน

        แม้ว่าวิธีการปลูกต้นไม้แบบไดซูกิจะได้รับความนิยมลดลงตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 เนื่องจากความต้องการไม้ซีดาร์ที่ลดลง แต่เทคนิคนี้ยังคงเป็นที่ชื่นชอบในหมู่คนรักการจัดสวนและชาวบ้านท้องถิ่นบางกลุ่มในญี่ปุ่น ปัจจุบันเรายังสามารถพบต้นไม้ที่ปลูกด้วยวิธีไดซูกิในป่าบางส่วนของประเทศญี่ปุ่น เนื่องจากต้นไม้เหล่านี้ถูกตัดเพื่อใช้ไม้ไปสร้างบ้านเมื่อหลายร้อยปีก่อน แต่รากและโคนต้นยังคงอยู่ ทำให้ต้นไม้สามารถงอกใหม่ได้ตามธรรมชาติ แม้ว่าลำต้นอาจจะไม่ได้ตั้งตรงเหมือนเดิมเพราะขาดการดูแลอย่างต่อเนื่อง

ประโยชน์ของการปลูกต้นไม้แบบไดซูกิ

        การปลูกต้นไม้แบบไดซูกิไม่เพียงแค่ประหยัดพื้นที่ แต่ยังเป็นวิธีที่มีความยั่งยืนต่อสิ่งแวดล้อม เนื่องจากต้นไม้ไม่ถูกโค่นลงทั้งหมด ลำต้นและรากของมันยังคงอยู่ในดิน และสามารถงอกขึ้นใหม่ได้รวดเร็วกว่าการปลูกใหม่ตั้งแต่ต้น เทคนิคนี้ยังช่วยลดการทำลายป่าและเพิ่มการใช้ประโยชน์จากพื้นที่ที่มีจำกัด โดยเฉพาะในพื้นที่ลาดชันที่ยากต่อการเพาะปลูกต้นไม้ยืนต้น

        นอกจากนี้ การปลูกต้นไม้แบบไดซูกิยังแสดงถึงความชาญฉลาดในการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างมีประสิทธิภาพ ไม้ที่ได้จากวิธีนี้ไม่เพียงแต่มีคุณภาพสูง แต่ยังใช้เวลาในการเจริญเติบโตสั้นกว่าการปลูกใหม่ จึงเป็นวิธีการปลูกต้นไม้ที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตและความต้องการของผู้คนในอดีตและปัจจุบัน

สรุป

        การปลูกต้นไม้แบบไดซูกิเป็นภูมิปัญญาโบราณที่ยังคงมีความสำคัญในปัจจุบัน แม้ว่าความนิยมอาจลดลงตามยุคสมัย แต่เทคนิคนี้ยังคงสะท้อนถึงการปรับตัวของมนุษย์ต่อธรรมชาติและการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า การปลูกแบบไดซูกิไม่เพียงแต่ช่วยประหยัดพื้นที่และลดการโค่นต้นไม้ แต่ยังผลิตไม้ที่มีคุณภาพสูงสำหรับการใช้งานในหลายด้าน ทำให้เป็นวิธีการปลูกต้นไม้ที่น่าชื่นชมและควรค่าแก่การเรียนรู้


 



Create Date : 26 กันยายน 2567
Last Update : 26 กันยายน 2567 12:26:58 น.
Counter : 155 Pageviews.

0 comment
รวม 10 ประโยชน์ที่มีมากมายของมะละกอสุกจ้า



   มะละกอสุกมีประโยชน์มากมายต่อสุขภาพ โดยเฉพาะด้านการบำรุงร่างกายและระบบย่อยอาหาร นี่คือ 10 ประโยชน์ของมะละกอสุก:

  1. ช่วยในการย่อยอาหาร
    มะละกอมีเอนไซม์พาเพน (Papain) ที่ช่วยย่อยโปรตีน ทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น

  2. เสริมระบบภูมิคุ้มกัน
    มะละกอมีวิตามินซีสูง ซึ่งช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน ป้องกันโรคหวัดและการติดเชื้อต่าง ๆ

  3. บำรุงผิวพรรณ
    วิตามินเอและสารต้านอนุมูลอิสระในมะละกอช่วยลดเลือนริ้วรอย บำรุงผิวให้เนียนใสและชุ่มชื้น

  4. ช่วยในการขับถ่าย
    เส้นใยอาหารในมะละกอช่วยในการขับถ่าย ป้องกันอาการท้องผูก

  5. บำรุงสายตา
    วิตามินเอในมะละกอช่วยบำรุงสายตา ลดความเสี่ยงของโรคต้อกระจกและจอประสาทตาเสื่อม

  6. ลดการอักเสบ
    เอนไซม์พาเพนในมะละกอช่วยลดการอักเสบของกล้ามเนื้อและบรรเทาอาการเจ็บปวดต่าง ๆ

  7. ช่วยลดความดันโลหิต
    มะละกอมีโพแทสเซียมสูง ซึ่งช่วยควบคุมความดันโลหิตให้เป็นปกติ

  8. เสริมสร้างการทำงานของหัวใจ
    สารต้านอนุมูลอิสระ วิตามินซี และโพแทสเซียมในมะละกอช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ

  9. ป้องกันมะเร็ง
    มะละกอมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งปอดและมะเร็งเต้านม

  10. ช่วยควบคุมน้ำหนัก
    มะละกอมีแคลอรี่ต่ำและเส้นใยอาหารสูง ทำให้อิ่มนาน และช่วยในการควบคุมน้ำหนักได้ดี

    ----------------------------------------------------------------------------------------


     




Create Date : 17 กันยายน 2567
Last Update : 17 กันยายน 2567 13:09:08 น.
Counter : 166 Pageviews.

0 comment
องุ่นโคชูสีชมพู: สมบัติล้ำค่าแห่งแดนอาทิตย์อุทัย

   
        องุ่นโคชู (Koshu) สีชมพู เป็นอีกหนึ่งอัญมณีแห่งวงการองุ่นโลก ที่กำลังได้รับความนิยมอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา องุ่นสายพันธุ์นี้มีสีชมพูสวยงามสะดุดตา และมีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่แตกต่างจากองุ่นสายพันธุ์อื่น ๆ

ประวัติศาสตร์อันยาวนาน:

  • ต้นกำเนิด: องุ่นโคชูมีต้นกำเนิดในประเทศญี่ปุ่น โดยมีหลักฐานยืนยันว่ามีการปลูกองุ่นสายพันธุ์นี้มาแล้วกว่า 1,000 ปี ทำให้มันกลายเป็นหนึ่งในองุ่นสายพันธุ์โบราณของญี่ปุ่น
  • การผสมข้ามพันธุ์: จากการศึกษาทางพันธุกรรม พบว่าองุ่นโคชูเกิดจากการผสมข้ามพันธุ์ระหว่าง Vitis vinifera ซึ่งเป็นองุ่นสายพันธุ์ยุโรปที่ใช้ทำไวน์ชั้นดี กับ Vitis Davidii ซึ่งเป็นเถาองุ่นป่าชนิดหนึ่งที่พบในเอเชีย การผสมข้ามพันธุ์ตามธรรมชาตินี้เองที่ทำให้องุ่นโคชูมีลักษณะเฉพาะตัวที่โดดเด่น

ลักษณะเด่นขององุ่นโคชู:

  • สีสัน: องุ่นโคชูมีสีชมพูอ่อน ๆ บ้าง สีชมพูเข้มบ้าง ซึ่งขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมในการปลูกและระยะเวลาในการสุก
  • รสชาติ: รสชาติขององุ่นโคชูมีความซับซ้อน มีทั้งความหวานอมเปรี้ยว และกลิ่นหอมที่เป็นเอกลักษณ์ ซึ่งมักจะเปรียบเทียบกับกลิ่นดอกไม้และผลไม้รสเปรี้ยว เช่น กลิ่นเลมอน หรือส้ม
  • ความเป็นกรด: องุ่นโคชูมีความเป็นกรดสูง ทำให้ไวน์ที่ผลิตจากองุ่นโคชูมีรสชาติสดชื่นและมีความซับซ้อนทางรสชาติ
  • ความทนทานต่อโรค: องุ่นโคชูมีความทนทานต่อโรคและแมลงศัตรูพืชได้ดี ทำให้สามารถปลูกได้ในสภาพแวดล้อมที่หลากหลาย

ไวน์จากองุ่นโคชู:

องุ่นโคชูถูกนำมาใช้ผลิตไวน์หลากหลายชนิด ทั้งไวน์ขาว ไวน์โรเซ่ และไวน์สปาร์กลิง ไวน์จากองุ่นโคชูมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่โดดเด่น โดยมีกลิ่นหอมของดอกไม้ ผลไม้รสเปรี้ยว และความเป็นกรดที่สูง ทำให้ไวน์จากองุ่นโคชูมีรสชาติสดชื่นและมีความซับซ้อนทางรสชาติ เหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบไวน์รสชาติพิเศษ

อนาคตขององุ่นโคชู:

ในปัจจุบัน องุ่นโคชูได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทั้งในประเทศญี่ปุ่นและต่างประเทศ ผู้ผลิตไวน์หลายรายกำลังให้ความสนใจและพัฒนาไวน์จากองุ่นโคชูให้มีคุณภาพและหลากหลายมากยิ่งขึ้น ทำให้เราได้เห็นไวน์จากองุ่นโคชูที่มีรสชาติและรูปแบบที่น่าสนใจมากขึ้นในอนาคต

บทสรุป:

องุ่นโคชูสีชมพู เป็นองุ่นสายพันธุ์โบราณของญี่ปุ่นที่มีความสวยงามและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ด้วยรสชาติที่ซับซ้อนและกลิ่นหอมที่เป็นเอกลักษณ์ ทำให้องุ่นโคชูกลายเป็นหนึ่งในองุ่นที่น่าสนใจที่สุดในโลก และมีแนวโน้มที่จะได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในอนาคต





Create Date : 16 กันยายน 2567
Last Update : 16 กันยายน 2567 16:30:38 น.
Counter : 221 Pageviews.

0 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  

สมาชิกหมายเลข 2288960
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed

 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



ย้ายจาก Meogui.bloggang.com มาอยู่ที่ เว็บ Blog นี้แทนเด้อครับเด้อ โดนยึดอมยิ้มไปแหล่ว