Simply , Easy , Me...
Group Blog
 
All Blogs
 
มงคลชีวิต 38 ประการ

พอดีไปตอบกระทู้หนึ่งไว้ แล้วแนะนำเค้าเรื่องนี่น่ะครับ

มีหนังสือ ของ ท่านหลวงพ่อ ปัญญานันทภิกขุ แต่ หาหนังสือไม่เจอ
แต่ใน Blog นี้... เนื้อหาหลักๆ หัวข้อต่างๆ ก็เหมือนกันแหละครับ
อาจจะต่างที่สำนวน หรือ คำอธิบายปลีกย่อย แต่เนื้อหาหลัก ก็เหมือนกัน
( เท่าที่รู้... เพราะนำมาจากคำสอน ของพระพุทธเจ้าเช่นเดียวกันนั่นเอง )

ก็เลยถือโอกาส ก๊อบเอามา ให้เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ไว้ได้อ่าน
แล้วก็ไว้ให้ตัวเองอ่านด้วย เราอาจจะยังไม่สามารถทำได้ทั้งหมด หรือตลอดเวลา
แต่... ได้รู้ไว้... ก็ได้ประโยชน์ ทำได้มาก ก็เกิดผลดีมาก
ทำได้น้อย ก็เกิดผลดีน้อยหน่อย

ไม่ทำเลย... ก็คงหา มงคล ในชีวิตไม่ได้เลย... เช่นกัน


เชิญทรรศนะ ใน ความคิดเห็น ที่ ๑ เป็นต้นไปครับ

รักษาธรรม ธรรมรักษาครับ


Create Date : 24 ธันวาคม 2548
Last Update : 24 ธันวาคม 2548 1:42:48 น. 49 comments
Counter : 515 Pageviews.

 
๑. การไม่คบคนพาล
ท่านว่าลักษณะของคนพาลมี ๓ ประการคือ

๑.คิดชั่ว คือการมีจิตคิดอยากได้ในทางทุจริต มีความพยาบาท และมิจฉาทิฐิ คือเห็นผิดเป็นชอบ
๒.พูดชั่ว คือคำพูดที่ประกอบไปด้วยวจีทุจริตเช่น พูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ และพูดเพ้อเจ้อ
๓.ทำชั่ว คือทำอะไรที่ประกอบด้วยกายทุจริตเช่น การฆ่าสัตว์ ลักขโมย ฉ้อโกง ฉุดคร่าอนาจาร ประพฤติผิดในกาม

รูปแบบของคนพาล มีข้อควรสังเกตคือ
๑. ชอบแนะนำไปในทางที่ผิด หรือที่ไม่ควรแนะนำ อาทิเช่น แนะนำให้ไปเล่นการพนัน ให้ไปลักขโมย ให้กินยาบ้า ให้เสพยา ชวนไปฉุดคร่าอนาจารเป็นต้น เหล่านี้ถือว่าเป็นพาล
๒.ชอบทำในสิ่งที่ไม่ใช่ธุระ อาทิเช่น ไม่ทำงานตามหน้าที่ของตนให้เรียบร้อย แต่กลับชอบจะไปก้าวก่ายยุ่งกับหน้าที่การงานของผู้อื่น หรือไปจับผิดเพื่อนร่วมงาน แกล้ง ยุยง นินทาว่าร้ายกันและกันเป็นต้น
๓. ชอบทำผิดโดยเห็นสิ่งผิดเป็นของดี อาทิเช่น การสูบยาได้เป็นฮีโร่ เห็นคนที่ซื่อสัตย์เป็นคนโง่ไม่กินตามน้ำ ชอบรับสินบน ทุจริตในหน้าที่ หรือช่วยพวกพ้องให้พ้นจากความผิดเป็นต้น
๔. จะโกรธเคืองเมื่อพูดเตือน อาทิเช่น การเตือนเรื่องการเที่ยวเตร่ เตือนเรื่องการดื่มเหล้า กลับบ้านดึก เตือนเรื่องการคบเพื่อนเป็นต้น คนพวกนี้จะโกรธเมื่อได้รับการตักเตือน และไม่รับฟัง
๕. ไม่มีระเบียบวินัย อาทิเช่น ไม่เข้าคิวตามลำดับก่อนหลัง แต่ชอบแซงคิวอย่างหน้าด้านๆ ทิ้งขยะลงคลอง หรือข้างทาง ไม่เคารพกฎหมายของบ้านเมือง หรือของท้องถิ่นเป็นต้น


โดย: Phoenixนิลมังกร วันที่: 24 ธันวาคม 2548 เวลา:2:06:04 น.  

 
๒. การคบบัณฑิต
บัณฑิต
หมายถึงผู้ทรงความรู้ มีปัญญา มีจิตใจที่งาม และมีการดำเนินชีวิตที่ถูกต้อง รู้ดีรู้ชั่ว (ไม่ใช่คนที่จบปริญญาโดยนัย) มีลักษณะดังนี้คือ
๑. เป็นคนคิดดี คือการไม่คิดละโมบ ไม่พยาบาทปองร้ายใคร รู้จักให้อภัย เชื่อเรื่องบาปบุญคุณโทษ ความกตัญญูรู้คุณเป็นต้น
๒. เป็นคนพูดดี คือวจีสุจริต พูดจริง ทำจริงไม่โกหก ไม่พูดหยาบ ถากถาง นินทาว่าร้าย
๓. เป็นคนทำดี คือทำอาชีพสุจริต มีเมตตา ทำทานเป็นปกตินิสัย อยู่ในศีลธรรม ทำสมาธิภาวนา

รูปแบบของบัณฑิต มีข้อควรสังเกตคือ
๑. ชอบชักนำในทางที่ถูกที่ควร อาทิเช่นการชักนำให้เลิกทำในสิ่งที่ผิด ตักเตือนให้ทำความดีอย่างเช่น ให้เลิกเล่นการพนันเป็นต้น
๒. ชอบทำในสิ่งที่เป็นธุระ อาทิเช่นการทำหน้าที่ของตนให้ลุล่วง และใช้เวลาที่มีอยู่ให้เป็นประโยชน์ ไม่ก้าวก่ายเรื่องของผู้อื่นเว้นแต่จะได้รับการร้องขอ
๓. ชอบทำและแนะนำสิ่งที่ถูกที่ควร อาทิเช่นการพูดและทำอย่างตรงไปตรงมา แนะนำการทำทานที่ถูกต้อง ทำตนให้เป็นประโยชน์ต่อคนอื่น
๔. รับฟังดี ไม่โกรธ อาทิเช่นเมื่อมีคนมาว่ากล่าวก็ไม่ถือโทษ หรือโกรธ หรือทำอวดดี แต่จะรับฟังแล้วนำไปพิจารณาโดยยุติธรรม แล้วนำมาแก้ไขปรับปรุง
๕. รู้ระเบียบกฏกติกามรรยาทที่ดี อาทิเช่นการรักษาระเบียบวินัยขององค์กร เพื่อให้หมู่คณะมีความเป็นระเบียบ และการดำเนินงานไม่สับสน หรือการรักษาความสะอาด ปฏิบัติ และเคารพกฎ ของสถานที่ ไม่ทำตามอำเภอใจ


โดย: Phoenixนิลมังกร วันที่: 24 ธันวาคม 2548 เวลา:2:18:11 น.  

 
๓. การบูชาบุคคลที่ควรบูชา
การบูชา คือการแสดงความเคารพบุคคลที่เรานับถือ ยกย่อง เลื่อมใสในบุคคลคนนั้น ซึ่งการบูชาแบ่งออกเป็น ๒ อย่างคือ

๑. อามิสบูชา คือการบูชาด้วยสิ่งของเช่น การนำเงินให้พ่อแม่ไว้ใช้จ่าย หรือมอบทรัพย์สินให้พ่อแม่ หรือการนำดอกไม้ ธูปเทียนไปบูชาพระก็ถือเป็นอามิสบูชาเป็นต้น
๒.ปฏิบัติบูชา คือการบูชาด้วยการเจริญสมาธิภาวนา การฝึกจิตให้ไม่ฟุ้งซ่าน เห็นความจริงในความเป็นไปของโลกเป็นต้น

บุคคลที่ควรบูชา มีดังนี้คือ

๑.พระพุทธเจ้า (คงไม่ต้องอธิบาย)
๒.พระปัจเจกพระพุทธเจ้า หมายถึงพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา
๓.พระมหากษัตริย์ผู้ตั้งอยู่ในทศพิศราชธรรม
๔.บิดามารดา
๕.ครูอาจารย์ ที่มีความรู้ดี มีความสามารถ และประพฤติดี
๖.อุปัชฌาย์ หรือผู้บังคับบัญชาที่มีความประพฤติดี ตั้งอยู่ในธรรม


โดย: Phoenixนิลมังกร วันที่: 24 ธันวาคม 2548 เวลา:2:28:13 น.  

 
๔. การอยู่ในถิ่นอันสมควร
ถิ่นอันสมควรควรประกอบด้วยสิ่งแวดล้อม ๔ อย่างได้แก่

๑.อาวาสเป็นที่สบาย หมายถึงอยู่แล้วสบาย เช่นสะอาด เดินทางไปมาสะดวก อากาศดี เป็นแหล่งชุมชน ไม่มีแหล่งอบายมุขเป็นต้น
๒.อาหารเป็นที่สบาย หมายถึงอาหารการกินอุดมสมบูรณ์ เช่นมีแหล่งอาหารที่สามารถจัดซื้อหามาได้ง่าย เป็นต้น
๓.บุคคลเป็นที่สบาย หมายถึงที่ที่มีคนดี จิตใจโอบอ้อมอารี ถ้อยทีถ้อยอาศัย มีศีลธรรม ไม่มีโจร นักเลง หรือใกล้แหล่งอิทธิพลเป็นต้น
๔.ธรรมะเป็นที่สบาย หมายถึงมีที่พึ่งด้านธรรมะ มีที่ฟังธรรมเช่น มีวัดอยู่ในละแวกนั้น มีโรงเรียน หรือแหล่งศึกษาหาความรู้เป็นต้น


โดย: Phoenixนิลมังกร วันที่: 24 ธันวาคม 2548 เวลา:2:34:20 น.  

 
๕. เคยทำบุญมาก่อน
ขึ้นชื่อว่าบุญนั้น มีคุณสมบัติดังต่อไปนี้คือ

๑. ทำให้กาย วาจา และใจ สะอาดได้
๒. นำมาซึ่งความสุข
๓. ติดตามไปได้ หมายถึงบุญจะติดตัวเราไปได้ตลอดจนถึงชาติหน้า
๔. เป็นของเฉพาะตน หมายถึงขอยืม หรือแบ่งกันไม่ได้ ทำเองได้เอง
๕. เป็นที่มาของโภคทรัพย์ทั้งหลาย คือว่าผลของบุญจะบันดาลให้เกิดขึ้นได้เองโดยไม่ได้หวังผล
๖. ให้มนุษย์สมบัติ ทิพย์สมบัติ และนิพพานสมบัติแก่เราได้ หมายถึงความสมบูรณ์ตั้งแต่ทางโลก จนถึงนิพพานได้เลย
๗. เป็นปัจจัยให้ถึงซึ่งนิพพาน ก็คือเป็นปัจจัยในการส่งเสริมให้บรรลุถึงนิพพานได้เร็วขึ้นเมื่อปฏิบัติ
๘. เป็นเกราะป้องกันภัยในวัฏสังสาร หมายถึงในวงจรการเกิด แก่ เจ็บ ตาย หรือที่เรียกว่าเวียนว่ายตายเกิดนั้น บุญจะคุ้มครองให้ผู้นั้นเกิดในที่ดี อยู่อย่างมีความสุข หรือตายอย่างไม่ทรมาน ขึ้นอยู่กับกำลังบุญที่สร้างสมมา

การทำบุญนั้นมีหลายวิธี แต่พอสรุปได้สั้นๆดังนี้คือ
๑.การทำทาน
๒.การรักษาศีล
๓.การเจริญภาวนา


โดย: Phoenixนิลมังกร วันที่: 24 ธันวาคม 2548 เวลา:2:44:14 น.  

 
๖. การตั้งตนชอบ

หมายถึงการดำเนินชีวิตอย่างมีเป้าหมาย ด้วยความถูกต้องและสุจริต อยู่ในสัมมาอาชีพ มีแผนการที่จะไปให้ถึงจุดหมายนั้นด้วยความไม่ประมาท มีการเตรียมพร้อม และมีความอดทนไม่ละทิ้งกลางคัน


ข้อนี้สั้นแฮะ...
และ... รู้สึกว่า... การอธิบายรายละเอียดนี่... อ่านๆแล้ว นึกนิยม เล่มที่หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ เขียนไว้มากกว่าน่ะครับ ( แต่หาไม่เจอ... ไปให้ใครยืมเป่าหว่า... ??? )

แต่... ก็เอาล่ะ เนื้อหาหลักๆ มันดีอยู่นานเป็นสองพันกว่าปีมาแล้ว...

คืนนี้... ขอไปนอนก่อนละกันนะครับ แล้วพอมีเวลา จะมาทยอย เพิ่มเติมลงไปให้ครบ มงคล ๓๘ ประการ

รักษาธรรม ธรรมรักษาครับ


โดย: Phoenixนิลมังกร วันที่: 24 ธันวาคม 2548 เวลา:2:50:23 น.  

 


โดย: โอน่าจอมซ่าส์ วันที่: 24 ธันวาคม 2548 เวลา:4:32:57 น.  

 

พรปีใหม่ จากสมเด็จพระญาณสังวรฯ ๒๕๔๙

เจริญพรสาธุชนทั้งหลาย ในวารดิถีขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช 2549 นี้ นับเป็นปีมหามงคลอีกปีหนึ่ง เพราะเป็นปีที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงครองราชย์ถ้วน 60 ปี

จึงใคร่ขอเชิญชวนพสกนิกรชาวไทยพร้อมใจกันถวายพระพรชัยมงคล
ขอจงทรงพระเจริญยั่งยืนนาน

ขอให้ทุกคนสำรวจตนเองว่า ในรอบปีที่ผ่านมา มีอะไรบกพร่อง จะปรับปรุงแก้ไขตนเองอย่างไร วันเวลามีค่า มีความหมาย ก็เพราะเราใช้ทำสิ่งที่มีคุณค่า ประกอบด้วยธรรม มีความหมายต่อชีวิต

ขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัยและอำนาจบุญกุศล
อำนวยให้ท่านทั้งหลาย เจริญสิริสวัสดิพิพัฒมงคล ตลอดไปทั่วกัน ขออำนวยพร


โดย: ป่ามืด วันที่: 31 ธันวาคม 2548 เวลา:23:29:03 น.  

 
แฮ่... ทิ้งช่วงไปหลายเพลาเลย...

นึกออกแล้ว ( ที่จริง... นึกออกมาสองอาทิตย์แล้วแหละ )
ว่าหนังสือ มงคล 38 ประการของหลวงพ่อปัญญานันทภิกขุอยู่ที่เพื่อนผมเอง

ต่อเลยละกันนะครับ

๗. ความเป็นพหูสูต

คือเป็นผู้ที่ฟังมาก เล่าเรียนมาก เป็นผู้รอบรู้ โดยมีลักษณะดังนี้คือ

๑. รู้ลึก คือการรู้ในสิ่งนั้นๆ เรื่องนั้นๆอย่างหมดจดทุกแง่ทุกมุม อย่างมีเหตุมีผล รู้ถึงสาเหตุจนเรียกว่าความชำนาญ
๒. รู้รอบ คือการรู้จักช่างสังเกตในสิ่งต่างๆ รอบตัว เช่นเหตุการณ์แวดล้อมเป็นต้น
๓. รู้กว้าง คือการรู้ในสิ่งใกล้เคียงกับเรื่องนั้นๆ ที่เกี่ยวข้องกัน สัมพันธ์กันเป็นต้น
๔. รู้ไกล คือการศึกษาถึงความเป็นไปได้ ผลในอนาคตเป็นต้น

ถ้าอยากจะเป็นพหูสูตก็ควรต้องมีคุณสมบัติดังว่านี้คือ

๑. ความตั้งใจฟัง ก็คือชอบฟัง ชอบอ่านหาความรู้ และค้นคว้าเป็นต้น
๒. ความตั้งใจจำ ก็คือรู้จักวิธีจำ โดยตั้งใจอ่านหรือฟังในสิ่งนั้นๆ และจับใจความให้ได้
๓. ความตั้งใจท่อง ก็คือท่องให้รู้โดยอัตโนมัติ ไม่ลืม ในสิ่งที่เป็นสาระสำคัญ
๔. ความตั้งใจพิจารณา ก็คือการรู้จักพิจารณา ตรึกตรองในสิ่งนั้นๆอย่างทะลุปรุโปร่ง
๕. ความเข้าใจในปัญหา ก็คือการรู้อย่างแจ่มแจ้งในปัญหาอย่างถ่องแท้ด้วยปัญญา


โดย: Phoenixนิลมังกร วันที่: 16 มกราคม 2549 เวลา:0:16:50 น.  

 
๘. การรอบรู้ในศิลปะ

ศิลปะ
คือสิ่งที่แสดงออกถึงความงดงาม และมีความสุนทรีย์ โดยลักษณะของมันมีดังนี้คือ

๑. มีความประณีต
๒. ทำให้ของดูมีค่ามากขึ้น
๓. ทำให้เกิดความคิดสร้างสรรค์
๔. ไม่ทำให้เกิดกามกำเริบ
๕. ไม่ทำให้เกิดความพยาบาท
๖. ไม่ทำให้เกิดความเบียดเบียน

ถ้าท่านอยากเป็นคนมีศิลปะ
ควรต้องฝึกให้มีคุณสมบัติเหล่านี้ไว้ในตัวคือ


๑. มีศรัทธาในความงดงามของสิ่งต่างๆ
๒. หมั่นสังเกตและพิจารณา
๓. มีความประณีต อารมณ์ละเอียดอ่อน
๔. เป็นคนสุขุม มีความคิดสร้างสรรค์


โดย: Phoenixนิลมังกร วันที่: 16 มกราคม 2549 เวลา:0:39:41 น.  

 
๙. มีวินัยที่ดี

วินัย
ก็คือข้อกำหนด ข้อบังคับ กฏเกณฑ์เพื่อควบคุมให้มีความเป็นระเบียบนั่นเอง มีทั้งวินัยของสงฆ์และของคนทั่วไป

สำหรับของสงฆ์นั้นมีทั้งหมด ๗ อย่างหรือเรียกว่า อนาคาริยวินัย

ส่วนของบุคคลทั่วไปมี ๑๐ อย่าง คือการละเว้นจากอกุศลกรรม ๑๐ ประการ


อนาคาริยวินัยของพระมีดังนี้

๑.
ปาฏิโมกขสังวร
คือการอยู่ในศีลทั้งหมด ๒๒๗ ข้อ การผิดศีลข้อใดข้อหนึ่งก็ถือว่าต้องโทษแล้วแต่ความหนักเบา เรียงลำดับกันไปตั้งแต่ ขั้นปาราชิก สังฆาทิเสส ถุลลัจจัย ปาจิตตีย์ ปาฏิเทสนียะ ทุกฏ ทุพภาสิต เป็นต้น (ความหมายของแต่ละคำมันต้องอธิบายเยอะ จะไม่กล่าวในที่นี้)
๒. อินทรียสังวร คือการสำรวมอายตนะทั้ง ๕ และกาย วาจา ใจ ให้อยู่กับร่องกับรอย โดยอย่าไปเพลิดเพลินติดกับสิ่งที่มาสัมผัสเหล่านั้น
๓. อาชีวปาริสุทธิสังวร คือการหาเลี้ยงชีพในทางที่ชอบ นั่นก็คือการออกบิณฑบาตร ไม่ได้เรียกร้อง เรี่ยไรหรือเที่ยวขอเงินชาวบ้านมาเพื่อความอุดมสมบูรณ์ของตัวเอง
๔. ปัจจยปัจจเวกขณะ คือการพิจารณาในสิ่งของทั้งหลายถึงคุณประโยชน์โดยเนื้อแท้ของสิ่งของเหล่านั้นอย่างแท้จริง โดยใช้เพื่อบริโภค เพื่อประโยชน์ ความอยู่รอด และความเป็นไปของชีวิตเท่านั้น

วินัยสำหรับฆราวาส หรือบุคคลทั่วไป เรียกว่าอาคาริย วินัย มีดังนี้ (อกุศลกรรมบถ ๑๐ ประการ)

๑. ไม่ฆ่าชีวิต คน หรือสัตว์ไม่ว่าน้อย ใหญ่
๒. ไม่ลักทรัพย์ ยักยอกเงิน สิ่งของมาเป็นของตัว
๓. ไม่ประพฤติผิดในกาม ผิดลูกผิดเมีย ข่มขืนกระทำชำเรา
๔. ไม่พูดโกหก หลอกลวงให้หลงเชื่อ หรือชวนเชื่อ
๕. ไม่พูดส่อเสียด นินทาว่าร้าย ยุยงให้คนแตกแยกกัน
๖.ไม่พูดจาหยาบคาย ให้เป็นที่แสลงหูคนอื่น
๗. ไม่พูดจาไร้สาระ หรือที่เรียกว่าพูดจาเพ้อเจ้อไม่มีสาระ เหตุผล หรือประโยชน์อันใด
๘. ไม่โลภอยากได้ของเขา คือมีความคิดอยากเอาของคนอื่นมาเป็นของเรา
๙. ไม่คิดร้าย ผูกใจเจ็บ แค้น ปองร้ายคนอื่น
๑๐. ไม่เห็นผิดเป็นชอบ เช่น เห็นว่าพ่อแม่ไม่มีความสำคัญ บุญหรือกรรมไม่มีจริงเป็นต้น


โดย: Phoenixนิลมังกร วันที่: 16 มกราคม 2549 เวลา:1:16:01 น.  

 
๑๐. กล่าววาจาอันเป็นสุภาษิต

คำว่าวาจาอันเป็นสุภาษิตในที่นี้มิได้หมายถึงเพียงว่าต้องเป็นคำร้อยกรอง ร้อยแก้ว เป็นคำคมบาดใจมีความหมายลึกซึ้งเท่านั้น แต่รวมถึงคำพูดที่ดี มีประโยชน์ต่อผู้ฟัง ซึ่งสรุปว่าประกอบด้วยลักษณะดังนี้

๑. ต้องเป็นคำจริง คือข้อมูลที่ถูกต้อง มีหลักฐานอ้างอิงได้ ไม่ได้ปั้นแต่งขึ้นมาพูด
๒. ต้องเป็นคำสุภาพ คือพูดด้วยภาษาที่สุภาพ มีความไพเราะในถ้อยคำ ไม่มีคำหยาบโลน หรือคำด่า
๓. พูดแล้วมีประโยชน์ คือมีประโยชน์ต่อผู้ฟังถ้าหากนำแนวทางไปคิด หรือปฏิบัติในทางสร้างสรรค์
๔. พูดด้วยจิตที่มีเมตตา คือพูดด้วยจิตใจที่มีความปรารถนาดีต่อผู้ฟัง มีความจริงใจต่อผู้ฟัง
๕. พูดได้ถูกกาลเทศะ คือพูดในสถานที่เหมาะสม และในเวลาที่เหมาะสม โดยความเหมาะสมจะมีมากน้อยเช่นไรก็ขึ้นอยู่กับเรื่องที่พูด


โดย: Phoenixนิลมังกร วันที่: 16 มกราคม 2549 เวลา:1:22:26 น.  

 
๑๑.การบำรุงบิดามารดา

ท่านว่าพ่อแม่นั้นเปรียบได้เป็นทั้ง ครูของลูก เทวดาของลูก พรหมของลูก และอรหันต์ของลูก ความหมายโดยละเอียดมีดังต่อไปนี้คือ

ที่ว่าเป็นครูของลูก เพราะว่าท่านได้คอยอบรมสั่งสอนลูก เป็นคนแรกก่อนคนอื่นใดในโลก

ที่ว่าเป็นเทวดาของลูก เพราะว่าท่านจะคอยปกป้อง คุ้มครอง เลี้ยงดู ประคบประหงมมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก บำรุงให้เติบใหญ่เป็นอย่างดี ไม่ให้เกิดอันตรายต่อลูกในทุกด้าน

ที่ว่าเป็นพรหมของลูก เพราะว่าท่านมีพรหมวิหาร ๔ นั่นก็คือ มีเมตตา หมายถึงความเอ็นดู ความปรารถนาดีต่อลูกในทุกๆด้าน ไม่มีที่สิ้นสุด มีกรุณา หมายถึงให้ความกรุณาต่อลูก ลูกอยากได้อะไรก็หามาให้ลูก ให้การศึกษาเล่าเรียน ส่งเสียเท่าที่มีความสามารถจะให้ได้ มีมุทิตา หมายถึงความรักที่ยอมสละได้แม้ชีวิตของตัวเองเพื่อลูก ยอมเสียสละได้ทุกอย่าง และมีอุเบกขา หมายถึงการวางเฉย ไม่ถือโกรธเมื่อลูกประมาท ซน ทำผิดพลาดเพราะความไร้เดียงสา หรือเพราะความไม่รู้

ที่ว่าเป็นอรหันต์ของลูก

เพราะว่าท่านมีคุณธรรม ๔ ประการอันได้แก่

เป็นผู้มีอุปการะคุณต่อลูก คืออุปการะเลี้ยงดูมาด้วยความเหนื่อยยาก กว่าจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่

เป็นผู้มีพระเดชพระคุณต่อลูก คือให้ความอบอุ่นเลี้ยงดู ปกป้องจากภยันตรายต่างๆ นานา

เป็นเนื้อนาบุญของลูก คือลูกเป็นส่วนหนึ่งของกรรมดีที่พ่อแม่ได้ทำไว้ และเป็นผู้รับผลบุญที่พ่อแม่ได้สร้างไว้แล้วทางตรง

เป็นอาหุไนยบุคคล คือเป็นเหมือนพระที่ควรแก่การเคารพนับถือและรับของบูชา เพื่อเทอดทูนไว้เป็นแบบอย่าง



การทดแทนพระคุณบิดามารดาท่านสามารถทำได้ดังนี้
ระหว่างเมื่อท่านยังมีชีวิตอยู่ ก็เลี้ยงดูท่านเป็นการตอบแทน ช่วยเหลือเป็นธุระเรื่องการงานให้ท่าน ดำรงวงศ์ตระกูลให้สืบไปไม่ทำเรื่องเสื่อมเสีย รวมทั้งประพฤติตนให้ควรแก่การเป็นผู้สืบทอดมรดกจากท่าน ครั้นเมื่อท่านล่วงลับไปแล้ว ก็ทำบุญอุทิศกุศลให้ท่าน


ส่วนการเป็นลูกกตัญญูต่อพ่อแม่ในคำสอนของพระพุทธเจ้าท่านกล่าวว่าไว้ดังนี้

๑. ถ้าท่านยังไม่มีศรัทธา ให้ท่านถึงพร้อมด้วยศรัทธา คือพยายามให้ท่านมีความศรัทธาในพระพุทธศาสนา เชื่อในเรื่องการทำดี
๒. ถ้าท่านยังไม่มีศีล ให้ท่านถึงพร้อมด้วยศีล คือพยายามให้ท่านเป็นผู้รักษาศีล ๕ ให้ได้
๓. ถ้าท่านเป็นคนตระหนี่ ให้ท่านถึงพร้อมด้วยการให้ทาน คือพยายามให้ท่านรู้จักการให้ด้วยเมตตาโดยไม่หวังผลตอบแทน
๔. ถ้าท่านยังไม่ทำสมาธิภาวนา ให้ท่านถึงพร้อมด้วยปัญญา คือพยายามให้ท่านหัดนั่งทำสมาธิภาวนาให้ได้


โดย: Phoenixนิลมังกร วันที่: 16 มกราคม 2549 เวลา:1:38:19 น.  

 
๑๒.การสงเคราะห์บุตร

คำว่าบุตรนั้น มีอยู่ ๓ ประเภทได้แก่

๑. อภิชาติบุตร
คือบุตรที่มีความดี คุณธรรม และความสามารถเหนือกว่าบิดา มารดา
๒. อนุชาตบุตร
คือบุตรที่มีความดี คุณธรรม และความสามารถเสมอบิดา มารดา
๓. อวชาตบุตร
คือบุตรที่มีความดี คุณธรรม และความสามารถต่ำกว่าบิดา มารดา


การที่เราเป็นพ่อ เป็นแม่ของบุตรนั้น
มีหน้าที่ที่ต้องให้กับลูกของเราคือ


๑. ห้ามไม่ให้ทำความชั่ว
๒. ปลูกฝัง สนับสนุนให้ทำความดี
๓. ให้การศึกษาหาความรู้
๔. ให้ได้คู่ครองที่ดี
(ใช้ประสพการณ์ของเราให้คำปรึกษาแก่ลูก ช่วยดูให้)
๕. มอบทรัพย์ให้ในโอกาสอันควร
(การทำพินัยกรรม ก็ถือว่าเป็นสิ่งถูกต้อง)


โดย: Phoenixนิลมังกร วันที่: 16 มกราคม 2549 เวลา:1:48:24 น.  

 
๑๓.การสงเคราะห์ภรรยา


มีคู่ครอง ต้องไม่ทำ ให้ช้ำจิต
จะพาผิด ไปข้าง ทงผุยผง
ต้องสงเคราะห์ แก่กัน ให้มั่นคง
รักยืนยง ด้วยกัน ถึงวันตาย


เมื่อว่าด้วยเรื่องคนที่จะมาเป็นคู่ครองของชาย หรือที่เรียกว่าจะมาเป็นภรรยานั้น...
ในโลกนี้ท่านแบ่งลักษณะของภรรยาออกเป็น ๗ ประเภทได้แก่

๑.วธกาภริยา
หมายถึงภรรยาเสมอด้วยเพชรฆาต เป็นพวกที่มีจิตใจคิดไม่ดี ชอบทำร้าย ชอบด่าทอสาปแช่ง คิดฆ่าสามี หรือมีชู้กับชายอื่น

๒.โจรีภริยา
หมายถึงภรรยาเสมอด้วยโจร เป็นคนล้างผลาญ สร้างหนี้สิน หาได้เท่าไรก็ไม่พอ หรือเอาเรื่องในบ้านไปโพทนาให้คนข้างนอกรับรู้ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง

๓.อัยยาภริยา
หมายถึงภรรยาเสมอด้วยนาย เป็นคนชอบข่มสามีให้อยู่ในอำนาจ ไม่ให้เกียรติสามีเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้อื่น ชอบสั่งการหรือเอาแต่ใจตัวเอง เห็นสามีเป็นคนไร้ความสามารถ แต่ตัวเองเป็นผู้นำ

๔.มาตาภริยา
หมายถึงภรรยาเสมอด้วยแม่ คือผู้ที่มีความรักต่อสามีอย่างสุดซึ้ง ไม่เคยทอดทิ้งแม้ยามทุกข์ยาก ป่วยไข้ ไม่ทำให้มีเรื่องสะเทือนใจ

๕.ภคินีภริยา
หมายถึงภรรยาเสมอด้วยน้องสาว คือผู้ที่มีความเคารพต่อสามีในฐานะพ่อบ้าน แต่ขัดใจกันบ้างตามประสาคนใกล้ชิดกันแล้วก็ให้อภัยกัน โดยไม่คิดพยาบาท เดินตามแนวทางของสามี ต้องพึ่งพาสามี

๖.สขีภริยา
หมายถึงภรรยาเสมอด้วยเพื่อน ต่างคนต่างก็มีอะไรที่เหมือนกัน ความสามารถพอกัน ไม่จำเป็นต้องพึ่งพากัน ไม่ค่อยยอมกัน เป็นตัวของตัวเอง แต่ก็รักกันและช่วยเหลือกันโดยต่างคนต่างทำหน้าที่ของตัวเอง

๗.ทาสีภริยา
หมายถึงภรรยาเสมอด้วยคนรับใช้ คือภรรยาที่อยู่ภายใต้คำสั่งสามีโดยไม่มีข้อโต้แย้ง สามีเป็นผู้เลี้ยงดู สั่งอะไรก็ทำอย่างนั้น แม้จะไม่เห็นด้วยก็ไม่ออกความเห็น อดทนทำงานตามหน้าที่ตามแต่สามีจะสั่งการ แม้ถูกดุด่า เฆี่ยนตีก็ยังทนอยู่ได้โดยไม่โต้ตอบ



ท่านว่าคนที่จะมาเป็นสามี ภรรยาได้ดีหรือคู่สร้างคู่สมนั้นควรต้องมีคุณสมบัติดังนี้


๑.สมสัทธา
คือมีศรัทธาเสมอกัน

๒.สมสีลา
คือมีศีลเสมอกัน

๓.สมจาคะ
คือมีการเสียสละเหมือนกัน

๔.สมปัญญา
คือมีปัญญาเสมอกัน


เมื่อได้แต่งงานกันแล้ว
แต่ละฝ่ายก็มีหน้าที่ที่ต้องทำดังนี้


สามีมีหน้าที่ต่อภรรยาคือ

๑.ยกย่องนับถือว่าเป็นภรรยา คือการแนะนำเปิดเผยว่าเป็นภรรยา ไม่ปิดบังกับผู้อื่น และให้เกียรติภรรยาในการตัดสินใจเรื่องต่างๆด้วย

๒.ไม่ดูหมิ่น คือไม่ดูถูกภรรยาเมื่อทำไม่เป็น ทำไม่ถูก หรือเรื่องชาติตระกูล การศึกษาว่าต่ำต้อยกว่าตน แต่ต้องสอนให้

๓.ไม่ประพฤตินอกใจภรรยา คือการไปมีเมียน้อยนอกบ้าน เลี้ยงต้อย หรือเที่ยวเตร่หาความสำราญกับหญิงบริการ

๔.มอบความเป็นใหญ่ให้ในบ้าน คือการมอบธุระทางบ้านให้กับภรรยาจัดการ รับฟังและทำตามความเห็นของภรรยาเกี่ยวกับบ้าน

๕.ให้เครื่องแต่งตัว คือให้ความสุขกับภรรยาเรื่องการแต่งตัวให้พอดี เพราะสตรีเป็นผู้รักสวยรักงามโดยธรรมชาติ

ฝ่ายภรรยาก็มีหน้าที่ต้องตอบแทนสามีคือ

๑.จัดการงานดี คืองานบ้านการเรือนต้องไม่บกพร่อง ดูแลด้านความสะอาด ทำนุบำรุงรักษา ด้านโภชนาการให้เรียบร้อยดี

๒.สงเคราะห์ญาติสามีดี คือให้ความเอื้อเฟื้อญาติฝ่ายสามี เท่าที่ตนมีกำลังพอทำได้ ไม่ได้หมายถึงเรื่องทรัพย์สินเงินทองอย่างเดียว

๓.ไม่ประพฤตินอกใจสามี คือไม่คบชู้ หรือปันใจให้ชายอื่น ซื่อสัตย์ต่อสามีคนเดียว

๔.รักษาทรัพย์ให้อย่างดี คือรู้จักรักษาทรัพย์สินไว้ไม่ให้หมดไปด้วยความสิ้นเปลือง แต่ก็ไม่ถึงกับตระหนี่

๕.ขยันทำงาน คือไม่เกียจคร้านเอาแต่ออกงาน นอน กิน หรือเที่ยวแต่อย่างเดียว ต้องทำงานบ้านด้วย


แฮ่... หายศีรษะไปนานเลย... ไม่ได้มาอัพบล๊อกนี้เลย... แล้วก็...ผมเปลี่ยนแหล่งข้อมูลน่ะครับ คราวนี้... เลยยาวหน่อย พยายามอ่านหน่อยละกันนะครับ


โดย: Phoenixนิลมังกร วันที่: 10 มีนาคม 2549 เวลา:0:38:57 น.  

 
มงคลที่ ๑๔.การทำงานไม่ให้คั่งค้าง

จะทำงาน การใด ตั้งใจมั่น
อย่าผัดวัน ทำเล่น เช้า เย็น สาย
ไม่ทิ้งคา อากูล มากมูลมาย
เร่งคลี่คลาย ให้เสร็จ สำเร็จการ


ว่าด้วยสาเหตุที่ทำให้งานคั่งค้างนั้นสรุปสาเหตุได้เพราะว่า

๑.ทำงานไม่ถูกกาล

๒.ทำงานไม่ถูกวิธี

๓.ไม่ยอมทำงาน

หลักการทำงานให้เสร็จลุล่วงมีดังนี้

๑.ฉันทะ คือมีความพอใจในงานที่ทำ

๒.วิริยะ คือมีความตั้งใจ พากเพียรในงานที่ทำ

๓.จิตตะ คือมีความเอาใจใส่ในงานที่ทำ

๔.วิมังสา คือมีการคิดพิจารณาทบทวนงานนั้นๆ


โดย: Phoenixนิลมังกร วันที่: 10 มีนาคม 2549 เวลา:0:44:47 น.  

 
มงคลที่ ๑๕.การให้ทาน

ควรบำเพ็ญ ซึ่งทาน คือการให้
ท่านว่าไว้ สวยงาม สามสถาน
หนึ่งให้ของ สองธรรมะ ขนะมาร
อภัยทาน ที่สาม งามเหลือเกิน


การให้ทาน คือการให้ที่ไม่หวังผลตอบแทนโดยหมายให้ผู้ได้รับได้พ้นจากทุกข์ แบ่งออกเป็น ๓ อย่างได้แก่

๑.อามิสทาน คือการให้วัตถุ สิ่งของ หรือเงินเป็นทาน

๒.ธรรมทาน คือการสอนให้ธรรมะเป็นความรู้เป็นทาน

๓.อภัยทาน คือการให้อภัยในสิ่งที่คนอื่นทำไม่ดีกับเรา ไม่จองเวร หรือพยาบาทกัน

การให้ทานที่ถือว่าเป็นความดี และได้บุญมากนั้นจะประกอบด้วยปัจจัย ๓ ประการอันได้แก่

๑.วัตถุบริสุทธิ์ คือเป็นของที่ได้มาโดยสุจริต ไม่ได้ไปยักยอกมา โกงมา หรือได้มาด้วยวิธีแยบยล

๒.เจตนาบริสุทธิ์ คือมีจิตยินดี ผ่องใสเบิกบาน ไม่รู้สึกเสียดายสิ่งที่ให้ ตั้งแต่ก่อนให้ ขณะให้ และหลังให้

๓.บุคคลบริสุทธิ์ คือให้กับผู้รับที่มีศีลธรรม ตัวผู้ให้เองก็ต้องมีศีลที่บริสุทธิ์

การให้ทานที่ถือว่าไม่ดี และยังอาจเป็นบาปกรรมถึงเราทางอ้อมอีกด้วยได้แก่

๑.ให้สุรา ยาเสพย์ติด เป็นต้น (ถ้าเขาเมาแล้วขับรถชนตาย เราก็มีส่วนบาปด้วย)

๒.ให้อาวุธ (ถ้าอาวุธนั้นถูกเอาไปใช้ประหัตประหาร บาปก็มาถึงเราด้วย)

๓.ให้มหรสพ คือการบันเทิงทุกรูปแบบ

๔.ให้สัตว์เพศตรงข้ามเพื่อผสมพันธุ์ อันนี้รวมถึงการจัดหาสาวๆ ไปบำเรอผู้มีอำนาจหรือผู้น้อยด้วยเป็นต้น

๕.ให้ภาพลามก หรือสิ่งพิมพ์ลามก เพราะทำให้เกิดความกำหนัด เกิดกามกำเริบ (เมื่อดูแล้วเกิดไปฉุดคร่า ข่มขืนใคร บาปก็ตกทอดมาถึงเราด้วย)

อะไรไม่ดี...รู้แล้ว... อย่าทำ...


โดย: Phoenixนิลมังกร วันที่: 10 มีนาคม 2549 เวลา:0:52:30 น.  

 
มงคลที่ ๑๖.การประพฤติธรรม


การประพฤติ ตามธรรม คำพระสอน
ไม่เดือดร้อน ถอนทุกข์ ยามฉุกเฉิน
คนรักธรรม ธรรมรักษ์คน ผลเจริญ
นั่ง,ยืน,เดิน นอน,สุข ทุกข์ไม่มี



การประพฤติธรรม
ก็คือ การปฏิบัติให้เป็นไป แบ่งออกได้เป็น ๒ อันได้แก่

กายสุจริต คือ

๑.การไม่ฆ่าสัตว์ หมายรวมหมดตั้งแต่สัตว์เล็กสัตว์ใหญ่ และมนุษย์

๒.การไม่ลักทรัพย์ หมายรวมถึงการคอรัปชั่น ไปหลอกลวง ปล้นจี้ชาวบ้านด้วย

๓.การไม่ประพฤติผิดในกาม หมายรวมถึงการคบชู้ นอกใจภรรยา และการข่มขืนด้วย

วจีสุจริต คือ

๑.การไม่พูดเท็จ คือการพูดแต่ความจริง ไม่หลอกลวง

๒.การไม่พูดคำหยาบ คือคำที่ฟังแล้วไม่รื่นหู เกิดความรู้สึกไม่สบายใจรวมหมด

๓.การไม่พูดจาส่อเสียด การนินทาว่าร้าย

๔.การไม่พูดเพ้อเจ้อเหลวไหล คือการพูดที่ไม่เป็นสาระ หาประโยชน์อันใดมิได้

มโนสุจริต คือ

๑.การไม่โลภอยากได้ของผู้อื่น คือการนึกอยากได้ของเขามาเป็นของเรา

๒.การไม่คิดพยาบาทปองร้ายผู้อื่น คือการนึกอยากให้คนอื่นประสพเคราะห์กรรม คิดจะทำร้ายผู้อื่น

๓.การเห็นชอบ คือมีความเชื่อความเข้าใจในความเป็นจริง ความถูกต้อง ตามหลักคำสอนตามแนวทางพระพุทธศาสนา


โดย: Phoenixนิลมังกร วันที่: 10 มีนาคม 2549 เวลา:1:08:19 น.  

 
มงคลที่ ๑๗.การสงเคราะห์ญาติ


เมื่อยามญาติ อัตคัด เกินขัดข้อง
ควรหาช่อง สงเคราะห์ ไม่เลาะหนี
เขาซาบซึ้ง ถึงคุณ อบอุ่นดี
หากถึงที เราจน ญาติสนใจ


ลักษณะของญาติที่ควรให้การสงเคราะห์
เมื่ออยู่ในฐานะดังนี้คือ


๑.เมื่อยากจนหาที่พึ่งมิได้

๒.เมื่อขาดทุนทรัพย์ในการค้าขาย

๓.เมื่อขาดยานพาหนะ

๔.เมื่อขาดอุปกรณ์ทำมาหากิน

๕.เมื่อเจ็บไข้ได้ป่วย

๖.เมื่อคราวมีธุระการงาน

๗.เมื่อคราวถูกใส่ความหรือมีคดี

การสงเคราะห์ญาติ ทำได้ทั้งทางธรรมและทางโลกได้แก่

ในทางธรรม ก็ช่วยแนะนำให้ทำบุญกุศล
ให้รักษาศีล และทำสมาธิภาวนา


ในทางโลก ก็ได้แก่


๑.ให้ทาน คือการสงเคราะห์เป็นทรัพย์สิน หรือเงินทองเพื่อให้เขาพ้นจากทุกข์หรือความลำบากตามแต่กำลัง

๒.ใช้ปิยวาจา คือการพูดเจรจาด้วยถ้อยคำที่อ่อนโยน สุภาพ และประกอบไปด้วยความปรารถนาดี

๓.มีอัตถจริยา คือการประพฤติตนให้เป็นประโยชน์กับเขา อาจช่วยเหลือด้วยแรงกาย กำลังใจ หรือด้วยความสามารถที่มี

๔.รู้จักสมานัตตตา คือการวางตัวให้เหมาะสม อย่างเสมอต้นเสมอปลาย ร่วมทุกข์ร่วมสุข ไม่ถือตัว


โดย: Phoenixนิลมังกร วันที่: 10 มีนาคม 2549 เวลา:1:17:31 น.  

 
มงคลที่ ๑๘.ทำงานที่ไม่มีโทษ


งานรับจ้าง ล้างชาม ก็ตามเถิด
หากไม่เกิด โทษทัณฑ์ นั่นสดใส
เมื่อได้ช่อง ต้องจำ กระทำไป
ได้กำไร ทุกทาง ไม่ว่างงาน


งานที่ไม่มีโทษ ประกอบด้วยลักษณะดังต่อไปนี้

๑.ไม่ผิดกฏหมาย คือทำให้ถูกต้องตามกฏหมายของบ้านเมือง

๒.ไม่ผิดประเพณี คือแบบแผนที่ปฏิบัติกันมาแต่เดิม ควรดำเนินตาม

๓.ไม่ผิดศีล คือข้อห้ามที่บัญญัติไว้ในศีล ๕

๔.ไม่ผิดธรรม คือหลักธรรมทั้งหลายอาทิเช่น การพนัน การหลอกลวง


ส่วนอาชีพต้องห้ามสำหรับพุทธศาสนิกชนได้แก่


๑.การค้าอาวุธ

๒.การค้ามนุษย์

๓.การค้ายาพิษ

๔.การค้ายาเสพย์ติด

๕.การค้าสัตว์เพื่อนำไปฆ่า


แหะ ๆ คืนนี้... ขอลาไปพักผ่อนก่อนนะครับ...

ราตรีสวัสดิ์
รักษาธรรม
ธรรมรักษา
บุญรักษาครับ...


โดย: Phoenixนิลมังกร วันที่: 10 มีนาคม 2549 เวลา:1:25:09 น.  

 
มงคลที่ ๑๙.ละเว้นจากบาป

กรรมชั่วช้า ลามก ต้องยกเว้น
หากขืนเล่น ด้วยกัน ถูกมันผลาญ
งดเว้นบาป กำราบให้ ไกลสันดาน
ในดวงมาลย์ ไม่ร้อน และอ่อนเพลีย


บาป
คือสิ่งที่ไม่ดี เสีย ความชั่วที่ติดตัว ซึ่งไม่ควรทำ ท่านว่าสิ่งที่ทำแล้วถือว่าเป็นบาปได้แก่ อกุศลกรรมบถ ๑๐ คือ

๑.ฆ่าสัตว์

๒.ลักทรัพย์

๓.ประพฤติผิดในกาม

๔.พูดเท็จ

๕.พูดส่อเสียด

๖.พูดคำหยาบ

๗.พูดเพ้อเจ้อ

๘.โลภอยากได้ของเขา

๙.คิดพยาบาทปองร้ายคนอื่น

๑๐.เห็นผิดเป็นชอบ

ที่จริง... มงคลที่ ๑๙ นี้... ผม up ไปแล้วเมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2549 แต่... ตอนที่จะ up มงคลที่ 20 ไปกดผิด กดพลาด ขาดสติ... เลยกลายเป็นลบ มงคลที่ 19 ออกไปเฉยเลย... แฮ่


โดย: Phoenixนิลมังกร วันที่: 22 มีนาคม 2549 เวลา:23:42:11 น.  

 
มงคลที่ ๒๐.สำรวมจากการดื่มน้ำเมา

ของมึนเมา ทุกชนิด พิษคล้ายเหล้า
ใครเสพเข้า น่าตำหนิ สติเสีย
เกิดโรคร้าย แรงร้อน กายอ่อนเพลีย
ใครงดเสีย เป็นสุข ไปทุกวัน




ว่าด้วยเรื่องของน้ำเมานั้น อาจทำมาจากแป้ง ข้าวสุก การปรุงโดยผสมเชื้อ หรืออะไรก็แล้วแต่ที่ดื่มแล้วทำให้มึนเมา เช่นเบียร์ ไวน์ ไม่ใช่แค่เหล้าเท่านั้น

ล้วนมีโทษอันได้แก่


๑.ทำให้เสียทรัพย์ เพราะต้องนำเงินไปซื้อหา ทั้ง ๆ ที่เงินจำนวนเดียวกันนี้ สามารถนำเอาไปใช้ในสิ่งที่เป็นประโยชน์อย่างอื่นได้มากกว่า

๒.ทำให้เกิดการทะเลาะวิวาท ซึ่งนำไปสู่ความวุ่นวาย เจ็บตัว หรือถึงแก่ชีวิต และคดีความ เพราะน้ำเมาทำให้ขาดการยับยั้งชั่งใจ

๓.ทำให้เกิดโรค โรคที่เกิดเนื่องมาจากการดื่มสุราล้วนแล้วแต่บั่นทอนสุขภาพกายจนถึงตายได้เช่น โรคตับแข็ง โรคหัวใจ โรคความดัน

๔.ทำให้เสียชื่อเสียง เมื่อคนเมาไปทำเรื่องไม่ดีเข้าเช่นไปลวนลามสตรี ปล่อยตัวปล่อยใจ ก็ทำให้วงศ์ตระกูล และหน้าที่การงานเสี่อมเสีย

๕.ทำให้ลืมตัวไม่รู้จักอาย คนเมาทำสิ่งที่ไม่ควรทำ ทำสิ่งที่คนมีสติจะไม่ทำ เช่นแก้ผ้าเดิน หรือนอนในที่สาธารณะเป็นต้น

๖.ทอนกำลังปัญญา ทานแล้วทำให้เซลล์สมองเริ่มเสื่อมลง ก็จะทำให้สุขภาพและปัญญาเสื่อมถอย ความสามารถโดยรวมก็ด้อยลง


วันนี้วันพระ
เพื่อนๆ ได้ทำอะไรกันไปบ้างเอ่ย ? ( มาถามเอาป่านนี้เนี่ยนะ ? )


โดย: Phoenixนิลมังกร วันที่: 22 มีนาคม 2549 เวลา:23:56:38 น.  

 

มงคลที่ ๒๑.
ไม่ประมาทในธรรมทั้งหลาย


ไม่ประมาท คือมี สติพร้อม
คอยหน่วงน้อม ธรรมคุณ ไม่ผลุนผลัน
ธรรมอันใด ไม่ดี หลีกหนีพลัน
ธรรมดีนั้น ยึดแน่น ไม่แคลนคลอน



ธรรม ในที่นี้ก็คือ หลักปฏิบัติที่ทำแล้วมีผลในทางดี และเป็นจริงที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงโปรดแนะทางไว้

คนที่ประมาทในธรรมนั้น
มีลักษณะที่สรุปได้ดังนี้คือ


๑.ไม่ทำเหตุดี แต่จะเอาผลดี

๒.ทำตัวเลว แต่จะเอาผลดี

๓.ทำย่อหย่อน แต่จะเอาผลมาก

สิ่งที่ไม่ควรประมาทได้แก่


๑.การประมาทในเวลา คือการปล่อยให้เวลาล่วงเลยไปโดยไม่ทำอะไรให้เกิดประโยชน์ หรือผลัดวันประกันพรุ่งเป็นต้น

๒.การประมาทในวัย คือคิดว่าอายุยังน้อย ไม่ต้องทำความเพียรก็ได้เพราะยังต้องมีชีวิตอยู่อีกนานเป็นต้น

๓.การประมาทในความไม่มีโรค คือคิดว่าตัวเองแข็งแรงไม่ตายง่ายๆ ก็ปล่อยปละละเลยเป็นต้น

๔.การประมาทในชีวิต คือการไม่กำหนดวางแผนถึงอนาคต คิดอยู่แต่ว่ายังมีชีวิตอยู่อีกนานเป็นต้น

๕.การประมาทในการงาน คือไม่ขยันตั้งใจทำให้สำเร็จ ปล่อยตามเรื่องตามราว หรือปล่อยให้ดินพอกหางหมูเป็นต้น

๖.การประมาทในการศึกษา คือการไม่คิดศึกษาเล่าเรียนในวัยที่ควรเรียน หรือขาดความเอาใจใส่ที่เพียงพอ

๗.การประมาทในการปฏิบัติธรรม คือการไม่ปฏิบัติสมาธิภาวนา หรือศึกษาหลักธรรมให้ถ่องแท้ เพราะคิดว่าเป็นเรื่องไกลตัวเป็นต้น


โดย: Phoenixนิลมังกร วันที่: 23 มีนาคม 2549 เวลา:0:21:19 น.  

 

มงคลที่ ๒๒.มีความเคารพ

ความเคารพ นับถือ คือเสน่ห์
ไม่โลเล เหมือนลิง วิ่งหลอกหลอน
ทั้งต่อหน้า ลับหลัง พึงสังวร
ย่อมงามงอน สวยสง่า ราคาแพง



ท่านได้กล่าวว่าสิ่งที่ควรเคารพมีอยู่ดังนี้
๑.พระพุทธเจ้า
๒.พระธรรม
๓.พระสงฆ์
๔.การศึกษา
๕.ความไม่ประมาท คือการดำเนินตามหลักธรรมคำสอนพระพุทธศาสนาอื่นๆ ด้วยความเคารพ
๖.การสนทนาปราศรัย คือการต้อนรับอาคันตุกะผู้มาเยือนด้วยความเคารพ


โดย: Phoenixนิลมังกร วันที่: 23 มีนาคม 2549 เวลา:0:36:27 น.  

 

มงคลที่ ๒๓.มีความถ่อมตน

ไม่พองลม ก้มหัว เจียมตัวด้วย
มรรยาทสวย นิ่มนวล สิ้นส่วแข็ง
เหมือนงูพิษ ถอดเขี้ยว หมดเรี่ยวแรง
ยามแถลง นอบน้อม พร้อมใจกาย



ความอ่อนน้อมถ่อมตน คือ การไม่แสดงออกถึงความสามารถที่ตัวเองมีอยู่ให้ผู้อื่นทราบเพื่อข่มผู้อื่น หรือเพื่อโอ้อวด การไม่อวดดี เย่อหยิ่งจองหอง แต่แสดงตนอย่างสงบเสงี่ยม

ท่านว่าไว้ว่าโทษของการอวดดีนั้นมีอยู่ดังนี้คือ

๑.ทำให้เสียคน คือไม่สามารถกลับมาอยู่ในร่องในรอยได้เหมือนเดิม เสียอนาคต

๒.ทำให้เสียมิตร คือไม่มีใครคบหาเป็นเพื่อนด้วย ถึงจะมีก็ไม่ใช่เพื่อนแท้

๓.ทำให้เสียหมู่คณะ คือถ้าต่างคนต่างถือดี ก็ทำให้ไม่สามารถตกลงกันได้ ในที่สุดก็ไม่ถึงจุดหมาย หรือทำให้เป็นที่เบื่อหน่ายของคนอื่น

การทำตัวให้เป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตนนั้นมีหลักดังนี้คือ

๑. ต้องคบกัลยาณมิตร คือเพื่อนที่ดี มีศีล มีธรรม คอยตักเตือนหรือชักนำไปในทางที่ดีที่ถูกที่ควร

๒. ต้องรู้จักคิดไตร่ตรอง คือการรู้จักคิดหาเหตุผลอยู่ตลอดถึงความเป็นไปในธรรมชาติของมนุษย์ ต่างคนย่อมต่างจิดต่างใจ และรวมทั้งหลักธรรมอื่นๆ

๓. ต้องมีความสามัคคี คือการมีความสามัคคีในหมู่คณะ อลุ่มอล่วยในหลักการ ตักเตือน รับฟังและเคารพความคิดเห็นของผู้อื่นอย่างมีเหตุผล


ท่านว่าลักษณะของคนถ่อมตนนั้นมีดังนี้

๑. มีกิริยาที่นอบน้อม

๒. มีวาจาที่อ่อนหวาน

๓. มีจิตใจที่อ่อนโยน

สรุปแล้วก็คือ สมบูรณ์พร้อมด้วยกาย วาจา และใจนั่นเอง



โดย: Phoenixนิลมังกร วันที่: 23 มีนาคม 2549 เวลา:0:58:56 น.  

 

มงคลที่ ๒๔.มีความสันโดษ


ความสันโดด พอใจ ในสิ่งของ
เช่นเงินทอง ของตน แม้ล้นหลาย
เมื่อมีน้อย จ่ายน้อย ค่อยสบาย
ความจนหาย เลยลับ กลับมั่งมี





คำว่า สันโดษ
ไม่ได้หมายถึงการอยู่ลำพังคนเดียวอย่างเดียวก็หาไม่
แต่หมายถึงการพอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่ ในของของตัว
ซึ่งท่านได้ให้นิยามที่เป็นลักษณะของความสันโดษเป็นดังนี้ คือ

๑. ยถาลาภสันโดษ หมายถึงความยินดีตามมีตามเกิด คือมีแค่ไหนก็พอใจเท่านั้น เป็นอยู่อย่างไรก็ควรจะพอใจ ไม่คิดน้อยเนื้อต่ำใจในสิ่งที่ตัวเองเป็นอยู่

๒. ยถาพลสันโดษ หมายถึงความยินดีตามกำลัง เรามีกำลังแค่ไหนก็พอใจเท่านั้น ตั้งแต่กำลังกาย กำลังทรัพย์ กำลังบารมี หรือกำลังความสามารถเป็นต้น

๓. ยถาสารูปสันโดษ หมายถึงความยินดีตามควร ซึ่งโยงใยไปถึงความพอเหมาะพอควรในหลายๆเรื่อง เช่นรูปลักษณ์ของตนเอง และรวมทั้งฐานะที่เราเป็นอยู่


โดย: Phoenixนิลมังกร วันที่: 23 มีนาคม 2549 เวลา:1:18:56 น.  

 

มงคลที่ ๒๕.มีความกตัญญู


กตัญญู รู้บุญ คุณพ่อแม่
คนเฒ่าแก่ แลอาจารย์ ท่านทรงศีล
จอมมุนินทร์ ปิ่นเกล้า เจ้าธานี
หาวิธี แทนคุณ สมดุลกัน



คือ การรู้คุณ และตอบแทนท่านผู้นั้น
บุญคุณที่ว่านี้มิใช่ว่าตอบแทนกันแล้วก็หายกัน แต่หมายถึงการรำลึกถึงพระคุณที่เคยให้ความอุปการะแก่เราด้วยความเคารพยิ่ง ท่านว่าสิ่งของหรือผู้ที่ควรกตัญญูนั้นมีดังนี้

๑. กตัญญูต่อบุคคล บุคคลที่ควรกตัญญู คือ ใครก็ตามที่มีบุญคุณควรระลึกถึงและตอบแทนพระคุณ เช่น บิดา มารดา อาจารย์ หรือผู้ที่เคยช่วยเหลือเรา เป็นต้น

๒. กตัญญูต่อสัตว์ ได้แก่ สัตว์ที่มีคุณต่อเราช่วยทำงานให้เรา เราก็ควรเลี้ยงดูให้ดีเช่นช้าง ม้า วัว ควาย หรือสุนัขที่ช่วยเฝ้าบ้าน เป็นต้น

๓. กตัญญูต่อสิ่งของ ได้แก่ สิ่งของทุกอย่างที่มีคุณต่อเราเช่น หนังสือที่ให้ความรู้แก่เรา อุปกรณ์ทำมาหากินต่างๆ เราไม่ควรทิ้งขว้าง หรือทำลายโดยไม่เห็นคุณค่า รวมไปถึง ธรรมชาติ ต้นไม้ และสิ่งแวดล้อมต่างๆ



โดย: Phoenixนิลมังกร วันที่: 23 มีนาคม 2549 เวลา:1:29:05 น.  

 

มงคลที่ ๒๖.การฟังธรรมตามกาล

การฟังธรรม ตามกาล ผ่านมาถึง
ควรคำนึง นิ่งนั่ง ฟังขยัน
ย่อมจะเกิด ปัญญา สารพัน
ตั้งใจมั่น ฟังดี นี่สมควร



เมื่อมีโอกาส เวลา หรือตามวันสำคัญต่างๆ ก็ควรต้องไปฟังธรรมบ้าง
เพื่อสดับตรับฟัง สิ่งที่เป็นประโยชน์ในหลักธรรมนั้นๆ
และนำมาใช้กับชีวิตเรา เพื่อปรับปรุงให้ดีขึ้น

ท่านว่าเวลาที่ควรไปฟังธรรมนั้นมีดังนี้คือ



๑. วันธรรมสวนะ
ก็คือ วันพระ หรือวันที่สำคัญทางศาสนา

๒. เมื่อมีผู้มาแสดงธรรม ก็อย่างเช่น การฟังธรรมตามวิทยุ การที่มีพระมาแสดงธรรมตามสถานที่ต่างๆ หรือการอ่านจากสื่อต่างๆ

๓. เมื่อมีโอกาสอันสมควร อาทิเช่น ในวันอาทิตย์เมื่อมีเวลาว่าง หรือในงานมงคล งานบวช งานกฐิน งานวัดเป็นต้น

คุณสมบัติของผู้ฟังธรรมที่ดีควรต้องมีดังนี้คือ

๑. ไม่ดูแคลนในหัวข้อธรรมว่าง่ายเกินไป

๒. ไม่ดูแคลนในความรู้ความสามารถของผู้แสดงธรรม

๓. ไม่ดูแคลนในตัวเองว่าโง่ ไม่สามารถเข้าใจได้

๔. มีความตั้งใจในการฟังธรรม และนำไปพิจารณา

๕. นำเอาธรรมนั้นๆไปปฏิบัติให้เกิดผล



โดย: Phoenixนิลมังกร วันที่: 19 เมษายน 2549 เวลา:19:57:40 น.  

 

มงคลที่ ๒๗.มีความอดทน

ความอดทน ตรากตรำ ยามลำบาก
เจ็บไข้มาก ทนได้ ไม่โหยหวน
ถูกเขาด่า ให้ฟัง นั่งหน้านวล
ยิ้มเสสรวล ด้วยขันติ งามวิไล



ท่านว่าลักษณะของความอดทนนั้นสามารถจำแนกออกได้
เป็นดังต่อไปนี้คือ



๑. ความอดทนต่อความลำบาก คือ ความลำบากที่ต้องประสพตามธรรมชาติ ซึ่งอาจมาจากสภาพแวดล้อมเป็นต้น

๒. ความอดทนต่อทุกขเวทนา คือ ทุกข์ที่เกิดจากสังขารของเราเอง เช่นความไม่สบายกายเป็นต้น

๓. ความอดทนต่อความเจ็บใจ คือ การที่คนอื่นทำให้เราต้องผิดหวัง หรือพูดจาให้เจ็บช้ำใจ ไม่เป็นอย่างที่หวังเป็นต้น

๔. ความอดทนต่ออำนาจกิเลส คือ สิ่งยั่วยวนทั้งหลายถือเป็นกิเลสทั้งทางใจและทางกายอาทิเช่น ความนึกโลภอยากได้ของเขา หรือการพ่ายแพ้ต่ออำนาจเงินเป็นต้น

วิธีทำให้มีความอดทนคือ มีหิริโอตัปปะ


๑. หิริ ได้แก่ การมีความละอายต่อบาป การที่รู้ว่าเป็นบาปแล้วยังทำอีกก็ถือว่าไม่มีความละอายเลย

๒. โอตัปปะ ได้แก่ การมีความเกรงกลัวในผลของบาปนั้นๆ


โดย: Phoenixนิลมังกร วันที่: 19 เมษายน 2549 เวลา:20:16:15 น.  

 

มงคลที่ ๒๘. เป็นผู้ว่าง่าย

ควรเป็นคน สอนง่าย ไม่ตายด้าน
ก่อรำคาญ ค่ำเช้า ไม่เข้าไหน
ไม่ซัดโทษ ของตน ให้คนใด
เมื่อมีใคร สอนพร่ำ ให้นำมา



ท่านว่าผู้ว่าง่ายนั้นมีลักษณะที่สังเกตได้ดังนี้คือ


๑. ไม่พูดกลบเกลื่อนเมื่อได้รับการว่ากล่าวตักเตือน คือ การรับฟังด้วยดี ไม่ใช่แก้ตัวแล้วปิดประตูความคิดไม่รับฟัง

๒. ไม่นิ่งเฉยเมื่อได้รับการเตือน คือ การนำคำตักเตือนนั้นมาพิจารณาและแก้ไขข้อบกพร่องนั้นๆ

๓. ไม่จับผิดผู้ว่ากล่าวสั่งสอน คือ การที่ผู้สอนอาจจะมีความผิดพลาด เนื่องจากความประมาท เราควรให้อภัยต่อผู้สอน เพราะการจับผิดทำให้ผู้สอนต้องอับอายขายหน้าได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ดีงาม

๔. เคารพต่อคำสอนและผู้สอน คือ การรู้จักสัมมาคารวะต่อผู้ทำให้คำสอน และเคารพในสิ่งที่ผู้สอนได้นำมาแนะนำ

๕. มีความอ่อนน้อมถ่อมตน คือ ไม่แสดงความยะโส ถือตัวว่าอยู่เหนือผู้อื่นเพราะสิ่งที่ตัวเองเป็นตัวเองมี

๖. มีความยินดีต่อคำสอนนั้น คือ ยอมรับในคำสอนนั้นๆ ด้วยความยินดีเช่นการไม่แสดงความเบื่อหน่ายเพราะเคยฟังมาแล้ว เป็นต้น

๗. ไม่ดื้อรั้น คือ การไม่อวดดี คิดว่าของตัวเองนั้นผิดแต่ก็ยังดันทุรังทำต่อไปเพราะกลัวเสียชื่อ เสียฟอร์ม

๘. ไม่ข้ดแย้ง เพราะว่าการว่ากล่าวตักเตือนหรือสั่งสอนนั้นก็คือ สิ่งที่ตรงข้ามกับที่เราทำอยู่แล้ว เราควรต้องเปิดใจให้กว้างไม่ขัดแย้งต่อคำสอน คำวิจารณ์นั้นๆ

๙. ยินดีให้ตักเตือนได้ทุกเวลา คือ การยินดีให้มีการแสดงความคิดเห็น ตักเตือนได้โดยไม่มีข้อยกเว้นเรื่องเวลา

๑๐. มีความอดทนต่อการเป็นผู้ถูกสั่งสอน คือ การไม่เอาความขัดแย้งในความเห็นเป็นอารมณ์ แต่ให้เข้าใจเจตนาที่แท้จริงของผู้สอนนั้น

การทำให้เป็นคนว่าง่ายนั้นทำได้ดังนี้

๑. ลดมานะของตัว คือ การไม่ถือดี ไม่ถือตัว ความไม่สำคัญตัวเองว่าเป็นอย่างโน้นอย่างนี้ อาทิเช่นถือตัวว่าการศึกษาดีกว่าเป็นต้น

๒. ละอุปาทาน คือ การไม่ยึดถือในสิ่งที่เรามี เราเป็น หรือถือมั่นในอำนาจกิเลสต่างๆ

๓. มีสัมมาทิฏฐิ คือ มีปัญญาที่เห็นชอบ การเห็นถูกเห็นควรตามหลักอริยสัจ ๔ เชื่อเรื่องความไม่เที่ยง เชื่อในเรื่องบุญเรื่องบาปเป็นต้น


โดย: Phoenixนิลมังกร วันที่: 19 เมษายน 2549 เวลา:20:36:40 น.  

 

มงคลที่ ๒๙.การได้เห็นสมณะ

การพบเห็น สมณะ ผู้สงบ
แล้วนอบนบ ถามไถ่ ไตรสิกขา
หมั่นฝึกหัด ทุกวัน ด้วยปัญญา
ย่อมชักพา จิตตรง มงคลมี



คำว่าสมณะ
แปลตรงตัวได้ว่า ผู้สงบ (หมายถึงผู้อยู่ในสมณเพศ) ท่านว่าคุณสมบัติของสมณะต้องประกอบไปด้วย ๓ อย่างคือ

๑. ต้องสงบกาย คือ มีความสำรวมในการกระทำทุกอย่าง รวมถึงกิริยา มรรยาท ตามหลักศีลธรรม

๒. ต้องสงบวาจา คือ การพูดจาให้อยู่ในกรอบของความพอดี มีความสุภาพสงบเสงี่ยมในคำพูดและภาษาที่ใช้ เป็นไปตามข้อปฏิบัติ ประเพณี

๓. ต้องสงบใจ คือ การทำใจให้สงบปราศจากกิเลสครอบงำ ไม่ว่าจะเป็น โลภ โกรธ หลง หรือความพยาบาทใดๆ ตั้งมั่นอยู่ในสมาธิภาวนา

การได้เห็นสมณะมีอยู่ดังนี้คือ

๑. เห็นด้วยตา ความหมายก็ตรงตัวคือการเห็นจากการสัมผัสด้วยสายตาของตนเอง แล้วมีความประทับใจในความสำรวมในกาย

๒. เห็นด้วยใจ เนื่องจากความสำรวมกาย วาจา ใจของสมณะจะช่วยโนัมน้าวจิตใจของเราให้โอนอ่อนผ่อนตาม และรับฟังหลักคำสอนด้วยใจที่ยินดี ซึ่งนั่นก็หมายถึงการเปิดใจเราให้สมณะได้ชี้นำนั่นเอง

๓. เห็นด้วยปัญญา หมายความถึง การรู้โดยการใช้ปัญญาใคร่ครวญ พิจารณาในการสัมผัส และเข้าถึงและรับรู้ถึงคำสอนของสมณะผู้นั้น และรู้ว่าท่านเป็นผู้ตั้งมั่นอยู่ในศีลธรรมอย่างแท้จริง

เมื่อเห็นแล้วก็ต้องทำอย่างนี้คือ

๑. ต้องเข้าไปหา คือ เข้าไปขอคำแนะนำ ชี้แนะจากท่าน หรือให้ความเคารพท่าน

๒. ต้องเข้าไปบำรุงช่วยเหลือ คือ การช่วยเหลือท่านในโอกาสอันควร เพื่อแบ่งเบาภาระของท่าน

๓. ต้องเข้าไปฟัง คือ การรับฟังคุณธรรม หลักคำสอนของท่านมาไว้เป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหาชีวิต

๔. หมั่นระลึกถึงท่าน คือ การระลึกถึงความดีที่ท่านมีแล้วนำมาเป็นตัวอย่างกับตัวเราเอง

๕. รับฟังรับปฏิบัติ คือ การรับคำแนะนำของท่านมาปฏิบัติทำตามเพื่อให้เกิดผล ครั้นเมื่อติดขัดก็ใคร่แก้ไขเพื่อให้รู้จริงเห็นจริงตามนั้น


โดย: Phoenixนิลมังกร วันที่: 19 เมษายน 2549 เวลา:20:52:31 น.  

 

มงคลที่ ๓๐.การสนทนาธรรมตามกาล

ยามหดหู่ ฟุ้งซ่าน กาลสงสัย
เป็นสมัย ไต่ถาม ตามเหตุผล
เพื่อบรรเทา คลี่คลาย หายกังวล
ควรจะสน- ทนาธรรม ตามที่ควร



การได้สนทนากันเรื่องธรรม ทำให้ขยายขอบเขตการเรียนรู้ แลกเปลี่ยนความรู้ และได้รู้ในสิ่งใหม่ๆ ที่เราอาจนึกไม่ถึง หรือเป็นการเผื่อแผ่ความรู้ที่เรามีให้แก่ผู้อื่นได้ทราบด้วย


ก่อนที่เราจะสนทนาธรรม ควรต้องพิจารณาและคำนึงถึงสิ่งต่อไปนี้คือ

๑. ต้องรู้เรื่องที่จะพูดดี

๒. ต้องพูดเรื่องจริง มีประโยชน์

๓. ต้องเป็นคำพูดที่ไพเราะ

๔. ต้องพูดด้วยความเมตตา

๕. ต้องไม่พูดจา่โอ้อวด หรือยกตนข่มท่าน

ข้อปฏิบัติเมื่อมีการสนทนาธรรม



๑. มีศีลธรรม คือ การเป็นผู้ที่รักษาศีล ๕ หรือศีล ๘ เป็นนิจศีลอยู่แล้ว การเป็นผู้ปฏิบัติถือเป็นหน้าที่ขั้นต้นในการเป็นพุทธศาสนิกชนที่ดี

๒. มีสมาธิดี คือ การมีจิตใจจดจ่ออยู่กับเรื่องที่สนทนา ไม่ว่อกแวก พร้อมทั้งเป็นผู้ที่หมั่นเจริญสมาธิภาวนาด้วย

๓. แต่งกายสุภาพ คือ การแต่งตัวให้เหมาะสมกับยุคสมัย อยู่ในกรอบประเพณีของสังคมแวดล้อม ณ ที่นั้นๆ ถูกกาลเทศะ

๔. มีกิริยาสุภาพ คือ มีความสุภาพในท่วงท่าไม่ว่าจะเดิน นั่ง ยืน หรือการกระทำใดๆ การที่มีกิริยางดงาม สุภาพย่อมโน้มน้าวจิดใจผู้พบเห็นให้เกิดความประทับใจที่ดี

๕. ใช้วาจาสุภาพ คือ การใช้ถ้อยคำที่สุภาพในการสนทนา ไม่ใช้คำหยาบคาย หรือก้าวร้าว

๖. ไม่กล่าวค้านพระพุทธพจน์ คือ การไม่นำเอาคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้ามาเป็นข้อสงสัย หรือกล่าวค้าน เพราะสิ่งที่กล่าวไว้ในพระพุทธพจน์ย่อมเป็นความจริงตลอดกาล

๗. ไม่ออกนอกประเด็นที่ตั้งไว้ คือ การพูดให้อยู่ในหัวข้อที่ตั้งไว้ ไม่พูดแบบน้ำท่วมทุ่งผักบุ้งโหรงเหรง

๘. ไม่พูดนานจนน่าเบื่อ คือ การเลือกเวลาที่เหมาะสมตามสถานการณ์ เนื่องจากเรื่องบางเรื่องอาจไม่จำเป็นต้องขยายความมากเกินไป

คืนนี้...ขอลาไปเท่านี้ก่อนนะครับ
ตอนแรก คิดว่าจะให้เสร็จคืนนี้เลย... แต่... ไปเปิด MSN ซะ



โดย: Phoenixนิลมังกร วันที่: 19 เมษายน 2549 เวลา:23:56:51 น.  

 

มงคลที่ ๓๑. การบำเพ็ญตบะ

พึงบำเพ็ญ ตบะ ละกิเลส
อันเป็นเหตุ หักห้าม กามฉันท์
มุ่งทำลาย ถ่ายบาป สาบสูญพันธุ์
เข้าสู่ขั้น สุโข ฌาณโกลีย์




ตบะ โดยความหมายแปลว่า ทำให้ร้อน ไม่ว่าด้วยวิธีใด การบำเพ็ญตบะหมายความถึงการทำให้กิเลส ความรุ่มร้อนต่างๆ หมดไป หรือเบาบางลง ลักษณะการบำเพ็ญตบะมีดังนี้

๑. การมีใจสำรวมในอินทรีย์ทั้ง ๖ (อายตนะภายใน ๖ อย่าง) ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ ไม่ให้หลง ติดอยู่กับสัมผัสภายนอกมากเกินไป ไม่ให้กิเลสครอบงำใจเวลาที่รับรู้อารมณ์ผ่านอินทรีย์ทั้ง ๖ (อินทรีย์สังวร)

๒. การประพฤติรักษาพรหมจรรย์ เว้นจากการร่วมประเวณี หรือกามกิจทั้งปวง

๓. การปฏิบัติธรรม คือ การรู้และเข้าใจในหลักธรรมเช่นอริยสัจ เป็นต้น ปฏิบัติตนให้อยู่ในศีล และถึงพร้อมด้วยสมาธิ และปัญญา โดยมีจุดหมายสูงสุดที่พระนิพพาน กำจัดกิเลส ละวางทุกสิ่งได้หมดสิ้นด้วยปัญญา


โดย: Phoenixนิลมังกร วันที่: 20 เมษายน 2549 เวลา:23:48:48 น.  

 

มงคลที่ ๓๒. การประพฤติพรหมจรรย์

เร่งประพฤติ พรหมจรรย์ อันประเสริฐ์
เพื่อให้เกิด สุขล้วน โดยถ้วนถี่
ตั้งแต่ทาน ถึงสิกขา บรรดามี
สมบูรณ์ดี พรหมจรรย์ ย่อมมั่นคง



คำว่าพรหมจรรย์หมายความถึง
...
การบวชซึ่งละเว้นเมถุน การครองชีวิตที่ปราศจากเมถุน
การประพฤติธรรมอันประเสริฐ ท่านว่าลักษณะของธรรม
ที่ถือว่าเป็นการประพฤติพรหมจรรย์นั้น
(ไม่ใช่ว่าต้องบวชเป็นพระ)


มีอยู่ดังนี้คือ



๑. ให้ทาน บริจาคทานไม่ว่าจะเป็นทรัพย์ สิ่งของ เงินทอง หรือปัญญา

๒. ช่วยเหลือผู้อื่นในกิจการงานที่ชอบ ที่ถูกที่ควร (เวยยาวัจจมัย)

๓. รักษาศีล ๕
คือ
- ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่เบียดเบียนชีวิตอื่น
- ไม่ลักขโมย เบียดบัง หรือเอาของที่เขาไม่ได้ให้
- ไม่ทำผิดในกาม ลูกเขา ภรรยา หรือ สามีใคร
- ไม่พูดปด ไม่พูดเพ้อเจ้อ ไม่พูดส่อเสียด
- ไม่ดื่มน้ำเมา หรือสิ่งเสพติดอื่นๆ (เบญจศีล)

๔. มีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขากับคนที่เราต้องพบปะด้วยทุกคน (อัปปมัญญา)

๕. งดเว้นจากการเสพกาม (เมถุนวิรัติ)

๖. ยินดีในคู่ของตน คือ การมีสามีหรือภรรยาคนเดียว (สทารสันโดษ)

๗. เพียรพยายามที่จะละความชั่ว ไม่ท้อถอยในความบากบั่น (วิริยะ)

๘. รักษาซึ่งศีล ๘
คือ
1 ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่เบียดเบียนชีวิตอื่น
2 ไม่ลักขโมย เบียดบัง หรือเอาของที่เขาไม่ได้ให้
3 ไม่ร่วมประเวณี แม้กับภรรยาตน ก็ให้*งดเว้น*
4 ไม่พูดปด ไม่พูดเพ้อเจ้อ ไม่พูดส่อเสียด
5 ไม่ดื่มน้ำเมา หรือสิ่งเสพติดอื่นๆ
6 ไม่บริโภคอาหารตั้งแต่เที่ยงวันเป็นต้นไปรวมทั้งของเคี้ยว และอาหารอื่นๆ ดื่มได้แต่น้ำปานะเท่านั้น
7 ไม่ฟ้อนรำ ขับร้อง บรรเลงดนตรี ดูการละเล่น ใช้ของหอมหรือเครื่องประดับ
8 ไม่นอนบนที่สูงใหญ่ หรูหรา หรือหนานุ่ม (อุโบสถ)

๙. ใช้ปัญญาเห็นแจ้ง ใน ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค (อริยธรรม)

๑๐. ศึกษาปฏิบัติในศีล สมาธิ ปัญญา ให้รู้แจ้งเห็นจริง (สิกขา)

*ขออธิบายเพิ่มเติมว่าข้อ ที่บอกว่าให้งดเว้นการเสพกาม แต่ข้อ ๖ ให้ยินดีในคู่ของตนนั้น เพราะว่าการประพฤติพรหมจรรย์ในที่นี้หมายถึง บุคคลทั่วไปที่อาจมีครอบครัวแล้ว ก็ประพฤติพรหมจรรย์ได้โดยการงดเว้นการร่วมประเวณี เช่นในวันสำคัญๆ เป็นต้น


โดย: Phoenixนิลมังกร วันที่: 21 เมษายน 2549 เวลา:0:37:38 น.  

 

มงคลที่ ๓๓ การเห็นอริยสัจ

การรู้เห็น ความจริง สิ่งเที่ยงแท้
ไม่ผันแปร สี่ชนิด ไม่ผิดหลง
ตัดตัณหา มูลราก พรากทุกข์ลง
เป็นการส่ง ข้ามฟาก จากสาคร




อริยสัจ หมายถึงความจริงอันประเสริฐ หลักแห่งอริยสัจมีอยู่ ๔ ประการตามที่ท่านได้สั่งสอนไว้

มีดังนี้

๑.ทุกข์ คือ ความไม่สบายกายไม่สบายใจ ความเป็นจริงของสัตว์โลกทุกผู้ทุกนามต้องมีทุกข์ ๓ ประการคือ การเกิด ความแก่ ความตาย นอกจากนี้ก็มีความทุกข์ที่เป็นอาการ หรือเกิดจากสภาพแวดล้อมสรุปได้ดังนี้ คือ

- ความโศกเศร้า (โสกะ)

- ความรำพันด้วยความเสียใจ (ปริเทวะ)

- ความเจ็บไข้ได้ป่วย (ทุกขะ)

- ความเสียใจ (โทมนัสสะ)

- ความท้อแท้ สิ้นหวัง คับแค้นใจ (อุปายาสะ)

- การตรอมใจ ผิดหวังจากสิ่งที่ไม่รัก (อัปปิเยหิ สัมปโยคะ)

- การพลัดพรากจากสิ่งที่รัก (ปิเยหิ วิปปโยคะ)

- ความหม่นหมองเมื่อปรารถนาแล้วไม่ได้สิ่งนั้น (ยัมปิจฉัง นลภติ)



๒.สมุทัย คือ เหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ นอกจากเหตุแห่งทุกข์ดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ต้นตอของทุกข์ก็อยู่ที่ใจของเราด้วยนั่นก็คือความอยาก ท่านว่าเป็นตัณหา ๓ อย่าง ซึ่งแบ่งออกได้เป็นดังนี้คือ

- ความอยากได้ หมายรวมถึงอยากทุกอย่างที่นำมาสนองสัมผัสทั้ง ๕ และกามารมณ์ (กามตัณหา)

- ความอยากเป็น คือความอยากเป็นโน่นเป็นนี่ (ภวตัณหา)

- ความไม่อยากเป็น คือความไม่พอใจในสิ่งที่ตัวเองเป็นอยู่ (วิภวตัณหา)



๓.นิโรธ คือ ความดับทุกข์ ภาวะที่ตัณหาดับสิ้นไป ความหลุดพ้น หรือหมายถึงภาวะของพระนิพพานนั่นเอง



๔.มรรค คือ ข้อปฏิบัติ หรือหนทางที่นำไปสู่การดับทุกข์ การเดินทางสายกลางเพื่อไปให้ถึงการดับทุกข์ คือ มรรคมี ๘ ประการ คือ

- ความเห็นชอบ เช่นความศรัทธาในเบื้องต้นต่อหลักธรรม คำสอน เช่นการเชื่อว่ากรรมดีกรรมชั่วมีจริงเป็นต้น (สัมมาทิฏฐิ)

- ความดำริชอบ หรือความคิดชอบ มีความคิดที่ถูกต้องตามหลักธรรม เช่นการใช้ปัญญาพิจารณา ความไม่เที่ยงของสังขาร หรือการไม่คิดอยากได้ของเขามาเป็นของเรา เป็นต้น (สัมมาสังกัปปะ)

- เจรจาชอบ คือการปฏิบัติตามหลักธรรม ไม่พูดโกหก ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดคำหยาบ ไม่พูดเพ้อเจ้อเป็นต้น (สัมมาวาจา)

- ทำการชอบ หรือการมีการกระทำที่ไม่ผิดหลักศีลธรรม เช่นไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์เป็นต้น (สัมมากัมมันตะ)

- เลี้ยงชีพชอบ คือการทำมาหากินในทางที่ถูก ไม่เบียดเบียนหรือทำความเดือดร้อนให้กับสัตว์หรือผู้อื่น อยู่ในหลักธรรมที่กำหนด เช่น ไม่มีอาชีพค้ามนุษย์ หรืออาชีพค้าอาวุธเป็นต้น (สัมมาอาชีวะ)

- ความเพียรชอบ คือการหมั่นทำนุบำรุงในสิ่งที่ถูกต้อง อาทิเช่นการพยายามละกิเลสออกจากใจ หรือการพยายามสำรวม กาย วาจา ใจให้ดำเนินตามหลักธรรมของท่านเป็นต้น (สัมมาวายามะ)

- ความระลึกชอบ คือมีสติตั้งมั่นในสิ่งที่ถูกต้องตามหลักธรรม เช่นการพึงระลึกถึงความตายที่ต้องเกิดกับทุกคนเป็นต้น (สัมมาสติ)

- จิตตั้งมั่นชอบ คือมีจิตที่มีสมาธิ ไม่ว่อกแวกหรือคิดฟุ้งซ่าน และการทำสมาธิภาวนาตามหลักการที่ท่านได้บัญญัติแนะนำเอาไว้ (สัมมาสมาธิ)




๓๔.การทำให้แจ้งในพระนิพพาน

นิพพาน
คือ ภาวะของจิตที่ดับกิเลสได้หมดสิ้น หลุดจากอำนาจกรรม และไม่ต้องวนเวียนอยู่ในสังสารวัฏอีก ซึ่งก็คือพ้นจากทุกข์นั่นเอง

ท่านว่าลักษณะของนิพพานมีอยู่ ๒ ระดับดังนี้คือ



๑. การดับกิเลสขณะที่ยังมีเบญจขันธ์เหลืออยู่ หรือการเข้าถึงนิพพานขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ - สอุปาทิเสสนิพพาน

๒. การดับกิเลสที่ไม่มีเบญจขันธ์เหลืออยู่เลย คือการที่ร่างกายเราแตกดับแล้ว ไปเสวยสุขอันเป็นอมตะในพระนิพพาน (ตรงนี้ไม่สามารถอธิบายให้กระจ่างมากไปกว่านี้ได้) - อนุปาทิเสสนิพพาน

การที่จะเข้าถึงพระนิพพานได้
ก็ต้องปฏิบัติธรรมและเจริญสมาธิภาวนาจนถึงขั้นสูงสุด





พรุ่งนี้... ผมต้องไปสัมนาต่างจังหวัด...

ขอพักไว้เท่านี้ก่อน...
( จริงๆแล้วอยากจะให้เสร็จในวันนี้ ซึ่งเป็นวันวิสาขบูชาและเป็นวันสันติภาพโลกด้วย )


ขอให้ทุกท่าน...
เจริญทั้งธรรม และทางโลกตามควรแก่ผู้มีธรรมครับ



โดย: Phoenixนิลมังกร วันที่: 12 พฤษภาคม 2549 เวลา:23:58:39 น.  

 

มงคลที่๓๔.การทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน

ทำให้แจ้ง นิพพาน ผลาญสังโยชน์
ตรวจตราโทษ ธาตุ ขันธ์ หมั่นฝึกถอน
เอาอรหัต มรรคญาณ เผาราญรอน
ดับทุกข์ร้อน นิพพาน สำราญนัก



ท่านพระพุทธโฆษาจารย์ ผู้รจนาคัมภีร์วิสุทธิมรรค ท่านเป็นพระอรหันต์ขั้นปฏิสัมภิทาญาณ

ท่านอธิบายถึงการระลึกถึงคุณพระนิพพาน โดยท่านยกบาลี ๘ ข้อ ไว้เป็นแนวเครื่องระลึก ดังจะนำมา
เขียนไว้เพื่อเป็นเครื่องอุปกรณ์ในการระลึก


ดังต่อไปนี้

บาลีปรารภพระนิพพาน ๘

๑. มทนิมฺมทโน แปลว่า พระนิพพานย่ำยีเสียซึ่งความเมา มีความเมาในความเป็น
คนหนุ่ม และเมาในชีวิต โดยคิดว่าตนจะไม่ตายเป็นต้น ให้สิ้นไปจากอารมณ์ คือคิดเป็นปกติเสมอว่า
ชีวิตนี้ไม่มีอะไรแน่นอน โลกนี้ทั้งสิ้น มีความฉิบหายเป็นที่สุด

๒. ปิปาสวินโย แปลว่า พระนิพพาน บรรเทาซึ่งความกระหาย คือความใคร่กำหนัด
ยินดีในกามคุณ ๕ ได้แก่ รูป เสียง กลิ่น รส และการถูกต้องสัมผัส

๓. อาลยสมุคฺฆาโต แปลว่าพระนิพพาน ถอนเสียซึ่งอาลัยในกามคุณ ๕ หมายความ
ว่า ท่านที่เข้าถึงพระนิพพาน คือมีกิเลสสิ้นแล้ว ย่อมไม่ผูกพันในกามคุณ ๕ เห็นกามคุณ ๕ เสมือน
เห็นซากศพ

๔. วัฏฏปัจเฉโท แปลว่า พระนิพพาน ตัดเสียซึ่งวนสาม คือ กิเลสวัฏได้แก่ ตัดกิเลส
ได้สิ้นเชิง ไม่มีความมัวเมาในกิเลสเหลืออยู่แม้แต่น้อย กรรมวัฏ ตัดกรรม อันเป็นบาปอกุศล วิปากวัฏ
คือตัดผลกรรมที่เป็นอกุศลได้สิ้นเชิง

๕. ตัณหักขโย, วิราโค, นิโรโธ แปลว่า นิพพานธรรมนั้น ถึงความสิ้นไปแห่ง
ตัณหา ตัณหาไม่กำเริบอีก มีความหน่ายในตัณหา ไม่มีความพอใจในตัณหาอีก ดับตัณหาเสียได้สนิท
ตัณหาไม่กำเริบขึ้นอีกได้แม้แต่น้อย

๖. นิพพานัง แปลว่า ดับสนิทแห่งกิเลส ตัณหา อุปาทาน กรรมอำนาจทั้ง ๔ นี้ ไม่มีโอกาสจะให้ผล แก่ท่านที่มีจิตเข้าถึงพระนิพพานแล้วได้อีก ตามข้อปรากฏว่ามีเพียง ๖ ข้อ ความจริงข้อที่ ๕ ท่านรวมไว้ ๓ อย่าง คือ ตัณหักขโย ๑ วิราโค ๑ นิโรโธ ๑ ข้อนี้รวมกันไว้เสีย ๓ ข้อแล้ว ทั้งหมดจึงเป็น ๘ ข้อพอดี ท่านลงในแบบว่า ๘ ก็เขียนว่า ๘ ตามท่าน ความจริงเมื่อท่านจะรวมกัน ท่านน่าจะเขียนว่า ๖ ข้อก็จะสิ้นเรื่อง เมื่อท่าน เขียนเป็นแบบมาอย่างนี้ ก็เขียนตามท่าน

ท่านสอนให้ตั้งจิตกำหนดความดีของพระนิพพาน ตามในบาลีทั้ง ๘
แม้ข้อใด ข้อหนึ่งก็ได้ตามความพอใจ แต่ท่านก็แนะไว้ในที่เดียวกัน
ว่า บริกรรมภาวนาว่า "นิพพานัง" นั่นแหละดีอย่างยิ่งภาวนาไป
จนกว่าจิตจะเข้าสู่อุปจารฌาน โดยที่จิตระงับนิวรณ์ ๕ ได้สงบแล้ว
เข้าถึงอุปจารฌานเป็นที่สุด กรรมฐานนี้ ที่ท่านกล่าวว่าได้ถึงที่สุด เพียงอุปจารฌานก็เพราะ เป็นกรรมฐานละเอียดสุขุม และใช้อารมณ์ใคร่ครวญเป็นปกติ กรรมฐานนี้จึงมีกำลังไม่ถึงฌาน


อานิสงส์
อานิสงส์ที่ใช้อารมณ์ใคร่ครวญถึงพระนิพพานนี้มีผลมาก เป็นปัจจัยให้ละอารมณ์ที่คลุกเคล้าด้วยอำนาจกิเลส และตัณหา เห็นโทษในวัฏฏะ เป็นปัจจัยให้แสวงหาทางปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์ อันเป็นปฏิปทาไปสู่พระนิพพาน เป็นกรรมฐานที่นักปฏิบัติได้ผลเป็นกำไร เพราะเป็นปัจจัยให้เข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้าได้อย่างสบาย ขอท่านนักปฏิบัติจงสนใจกรรมฐานกองนี้ให้มาก ๆ และแสวงหาแนวปฏิบัติ ที่เข้าตรงต่อพระนิพพานมาปฏิบัติ ท่านมีโอกาสจะเข้าสู่พระนิพพานได้อย่างไม่ยากนัก เพราะระลึกนึกถึงพระนิพพานเป็นอารมณ์นี้ เป็นองค์หนึ่งในองค์สามของพระโสดาบัน ชื่อว่าท่านก้าวเข้าไปเป็นพระโสดาบันหนึ่งในสามขององค์พระโสดาบันแล้ว เหลืออีกสองต้องควรแสวงหาให้ครบถ้วน

พระนิพพานไม่สูญ

ท่านนักปฏิบัติได้กำหนดกรรมฐานในอุปสมานุสสตินี้แล้ว ท่านอาจจะต้องประสบกับปัญหายุ่งสมอง ในเรื่องพระนิพพานอีกตอนหนึ่ง เพราะบรรดานักคิดนักแต่งทั้งหลาย ได้พากันโฆษณามาหลายร้อยปีแล้วว่า พระนิพพานเป็นสภาพสูญ แต่พอมาอ่านหนังสือของพระอรหันต์ท่านเขียน คือหนังสือวิสุทธิ- มรรค ท่านกลับยืนยันว่า พระนิพพานไม่สูญ ดังท่านจะเห็นตามบาลีทั้ง ๘ ที่ท่านยกมาเป็นองค์ภาวนา นั้น คือ มทนิมฺมทโน พระนิพพานตัดความเมาในชีวิต ปิปาสวินโย นิพพานบรรเทาความกระหายใน กามคุณ ๕ อาลยสมุคฺฆาโต พระนิพพานถอนอาลัยในกามคุณ วัฏฏปัจเฉโท พระนิพพานตัดวนสาม
ให้ขาด ตัณหักขโย พระนิพพานมีตัณหาสิ้นแล้ว หรือสิ้นตัณหาแล้วเข้าสู่นิพพาน วิราโค มีความเบื่อหน่ายในตัณหา นิโรโธ ดับตัณหาได้สนิทแล้ว โดยตัณหาไม่กำเริบอีก นิพพานัง มีความดับสนิทแล้วจากกิเลส ตัณหา อุปาทานกรรม อันเป็นเหตุให้เกิดอีกในวัฏสงสาร




โดย: Phoenixนิลมังกร วันที่: 20 พฤษภาคม 2549 เวลา:23:18:39 น.  

 

มงคลที่ ๓๕.มีจิตไม่หวั่นไหวในโลกธรรม

ท่านผู้ใด ใจดำรง อยู่คงที่
ในเมื่อมี โลกธรรม ครอบงำหนัก
เช่น ลาภ ยศ สุข เศร้า เข้าง้างชัก
มิอาจยัก โยกท่าน ให้หวั่นใจ



คำว่าโลกธรรม มีความหมายถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นอยู่เป็นประจำบนโลกนี้
ซึ่งเราไม่ควรมีจิดหวั่นไหวต่อสิ่งต่างๆ เหล่านี้
ท่านว่าลักษณะของโลกธรรมมี ๔ ประการคือ
๑. การได้ลาภ
เมื่อมีลาภผลก็ย่อมมีความเสื่อมเป็นธรรมดา มีแล้วก็ย่อมหมดไปได้ เป็นแค่ความสุขชั่วคราวเท่านั้น

๒. การได้ยศ
ยศฐาบรรดาศักดิ์ล้วนเป็นสิ่งสมมุติขึ้นมาทั้งนั้น เป็นสิ่งที่คนยอมรับกันว่าเป็นอย่างโน้นอย่างนี้ พอหมดยศก็หมดบารมี

๓. การได้รับการสรรเสริญ
ที่ใดมีคนนิยมชมชอบ ที่นั่นก็ย่อมต้องมีคนเกลียดชังเป็นเรื่องธรรมดา การถูกนินทาจึงไม่ใช่เรื่องผิดปกติ

๔. การได้รับความสุข
ที่ใดมีสุขที่นั่นก็จะมีทุกข์ด้วย มีความสุขแล้วก็อย่าหลงระเริงไปจนลืมนึกถึงความทุกข์ที่แฝงมาด้วย


การทำให้จิตไม่หวั่นไหวในโลกธรรม
มีวิธีดังนี้คือ
๑. ใช้ปัญญาพิจารณา โดยตั้งอยู่ในหลักธรรมของพระพุทธศาสนา พิจารณาอยู่เนืองๆ ถึงหลักธรรมต่างๆ

๒.เจริญสมาธิภาวนา ใช้กรรมฐานพิจารณาถึงความเป็นไปในความไม่เที่ยงในสรรพสิ่งทั้งหลายในโลก และสังขาร


โลกธรรมนี้... ก็มีตำรา ว่าเป็นโลกธรรม ๘
๑. เพราะมีลาภ
๒. ก็เสื่อมลาภได้
๓. มียศ บารมี
๔. ก็เสื่อมยศ บารมีได้
๕. มีคนนิยม สรรเสริญ
๖. ก็มีเกลียดชัง และ นินทา
๗. มีความสุข

๘. ก็ย่อมมีความทุกข์ เป็นธรรมดา



โดย: Phoenixนิลมังกร วันที่: 20 พฤษภาคม 2549 เวลา:23:56:12 น.  

 

มงคลที่ ๓๖.มีจิตไม่โศกเศร้า

คราวพลักพราก จากญาติ ขาดชีวิต
ถูกพิชิต จองจำ ทำโทษใหญ่
มีสติ คุมจิต เป็นนิตย์ไป
ไม่เสียใจ โศกเศร้า เฝ้าประคอง



ท่านว่ามีเหตุอยู่ ๒ ประการที่ทำให้จิตเราต้องโศกเศร้าคือ

๑. ความโศกเศร้าที่เกิดเนื่องมาจากความรัก รวมถึงรักสิ่งของ ทรัพย์สินเงินทองด้วย

๒. ความโศกเศร้าที่เกิดจากความใคร่...



การทำให้จิตใจไม่โศกเศร้านั้น มีข้อแนะนำดังนี้

๑. ใช้ปัญญาพิจารณาอยู่เนืองๆ ถึงความไม่เที่ยงในสิ่งของทั้งหลาย และร่างกายของเรา

๒. ไม่ยึดมั่นในตัวตน หรือความจีรังยั่งยืน ในคนหรือสิ่งของว่าเป็นของเรา

๓. ทุกอย่างในโลกล้วนเปลี่ยนแปลงอยู่ทุกขณะ แม้ร่างกายเราก็ใช้เป็นที่อาศัยชั่วคราวเท่านั้น

๔. คิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างล้วนไม่เที่ยงด้วยกันทั้งนั้น...



โดย: Phoenixนิลมังกร วันที่: 21 พฤษภาคม 2549 เวลา:0:15:36 น.  

 

มงคลที่ 37
จิตปราศจากธุลี



บัวย่อมมีใบ
อันหยาดน้ำไม่อาจเกาะติดได้ฉันใด
ผู้ทำพระนิพพานให้แจ้งแล้ว
ก็ย่อมมีจิตอันธุลีกิเลสไม่อาจเกาะติดได้ฉันนั้น




จิตปราศจากธุลีคืออะไร


ธุลี แปลว่า ฝุ่นละอองที่ละเอียดมาก ในที่นี้หมายถึงกิเลสอย่างละเอียดที่เกาะ ซึม แทรก หุ้มใจของเราอย่างซ่อนเร้นบาง ๆ ทำให้ความผุดผ่อง ความใสสะอาดเสียไป ถ้าไม่สังเกตจะไม่เห็นไม่รู้

จิตปราศจากธุลี หมายถึง จิตที่หมดกิเลสแล้วทั้งหยาบทั้งละเอียด อย่างถอนรากถอนโคน ไม่มีทางที่ฟื้นกลับเข้ามาในใจได้อีก ทำให้จิตสะอาดผ่องใส นุ่มนวลควรแก่การงาน ได้แก่จิตของพระอรหันต์




ประเภทของกิเลส

กิเลสในใจคนมีอยู่ 3 ตระกูลใหญ่
คือ ตระกูลราคะ โทสะ และโมหะ กิเลสแต่ละตระกูลก็มีหลายระดับ ตั้งแต่ที่หยาบมาก ๆ เห็นได้ชัดเจนเหมือนขยะมูลฝอย และเล็กลงเหมือนฝุ่นผง จนถึงที่ละเอียดมาก ๆ เหมือนธุลี บางคนเจอแล้วยังไม่รู้ว่าเป็นกิเลสมองไม่ออก ดังนี้

ตระกูลราคะหรือโลภะ คือ ความกำนัดยินดีรัก อยากได้ในคน สัตว์ สิ่งของ หรืออารมณ์ที่น่าใคร่ มีตั้งแต่หยาบจนถึงละเอียดดังนี้

อภิฌาวิสมโลภะ ความโลภอย่างแรงแสดงออก เช่น ปล้น จี้ ลักขโมย
อภิชฌา ความเพ่งเล็งทรัพย์ของผู้อื่น จ้อง ๆ จะเอาของเขาละ แต่ยังสงวนท่าที ไม่แสดงออก
โลภะ ความอยากได้ในทางทุจริต อยากได้ในทางที่ไม่ชอบ แต่ยังไม่แสดงออก
ปาปิจฉา ความอยากได้โดยวิธีสกปรก เช่น อยากได้สตางค์ เลยไปเล่นการพนัน ไม่รักเกียรติ ไม่รักชื่อเสียงของตน
มหิจฉา ความอยากใหญ่ ความมักมาก เช่น รับประทานอาหารวงเดียวกัน ก็คว้าเอากับอร่อย ๆ ไปทานเสียคนเดียว ไม่รู้จักเกรงใจคนอื่น ไม่รู้จักประมาณ
กามราคะ ความพอใจในกาม รักเพศตรงข้าม ยังมีความรู้สึกทางเพศ
รูปราคะ ความยินดีในอารมณ์ของรูปฌาน เป็นเรื่องของผู้ฝึกสมาธิจนได้รูปฌานแล้ว
อรูปราคะ ความยินดีในอารมณ์ของอรูปฌาน เป็นเรื่องของผู้ฝึกสมาธิจนได้อรูปฌานแล้ว

ข้อ 6-8 นี่แหล่ะที่จัดเป็นกิเลสละเอียด ที่เรียกว่าธุลีในตระกูลราคะ



ตระกูลโทสะ คือ ความไม่ชอบใจ ความคิดร้าย คิดทำลายผู้ที่ทำให้ตนโกรธ มีตั้งแต่หยาบจนถึงละเอียดดังนี้

พยาบาท ความผูกอาฆาต จองเวร อยากแก้แค้น ไม่ยอมอภัย บางทีข้ามภพข้ามชาติก็ยังไม่ยอม เช่น พระเทวทัตผูกพยาบาทพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตั้งแต่ภพชาติในอดีต
โทสะ ความคิดร้าย คิดทำลาย เช่น คิดจะฆ่า คิดจะเตะ คิดจะด่า คิดจะเผาบ้าน คิดจะทำให้อาย ฯลฯ
โกรธะ ความเดือดดาล คือคิดโกรธแต่ยังไม่ถึงกับคิดทำร้ายใคร
ปฏิฆะ ความขัดใจ เป็นความไม่พอใจลึก ๆ ยังไม่ถึงกับโกรธ แต่มันขัดใจ

ข้อ 4 ปฏิฆะ นี้แหล่ะที่จัดเป็นกิเลสละเอียดในตระกูลโทสะ



ตระกูลโมหะ คือ ความหลง เป็นอาการที่จิตมืดมน ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี ไม่รู้จักบุญบาป ส่วนความไม่รู้วิทยาการต่าง ๆ ไม่ใช่โมหะ คนที่มีความรู้วิทยาการมากเพียงใด มีปริญญากี่ใบก็ตาม หากยังไม่รู้จักบุญบาป ไม่รู้ว่าอะไรควรทำอะไรไม่ควรทำละก็ ได้ชื่อว่าตกอยู่ในโมหะทั้งนั้น กิเลสตระกูลโมหะ มีตั้งแต่หยาบถึงละเอียดดังนี้

มิจฉาทิฐิ ความเห็นผิดจากทำนองคลองธรรม เช่น เห็นว่าพ่อแม่ไม่มีคุณ เห็นว่าบุญบาปไม่มี เห็นว่าโลกนี้โลกหน้าไม่มี เป็นต้น ไม่เพียงแต่ไม่รู้เท่านั้น ยังคิดเห็นผิดอีกด้วย
โมหะ ความหลงผิด ความไม่รู้ผิดชอบชั่วดี
สักกายทิฐิ ความเห็นว่ามีตัวตน เช่น คิดว่าร่างกายนี้เป็นของเราจริง ๆ
วิจิกิจฉา ความลังเลสงสัยในการปฏิบัติธรรม เช่น ยังไม่มั่นใจ 100% ว่าบุญบาปมีจริงไหม ทำสมาธิแล้วจะหมดกิเลสจริงหรือ
สีลพตปรามาส ความติดอยู่ในศีลพรตอันงมงาย เช่น เชื่อหมอดู เชื่อศาลพระภูมิ เชื่อพระเจ้า เหล่านี้เป็นต้น
มานะ ความถือตัว ถือเขาถือเรา
อุทธัจจะ ความฟุ้งซ่าน
อวิชชา ความไม่รู้พระสัทธรรม เช่น ไม่รู้ว่าตัวเรามาจากไหน ตายแล้วจะไปไหน

ตั้งแต่ข้อ 3-8 เป็นธุลี กิเลสอย่างละเอียดในตระกูลโมหะ





โดยสรุป ธุลี หมายถึง กิเลสอย่างละเอียดของทั้ง 3 ตระกูล
รวม 10 ประการได้แก่

สักกายทิฐิ
วิจิกิจฉา
สีลพตปรามาส
กามราคะ
ปฏิฆะ
รูปราคะ
อรูปราคะ
มานะ
อุทธัจจะ
อวิชชา



ทั้ง 10 ประการนี้บางทีเราเรียกว่า สังโยชน์ 10 พระโสดาบันจะสามารถละ สักกายทิฐิ วิจิกิจฉา สีลพตปรามาสได้ มีความเชื่อมั่นในคุณของพระรัตนตรัยเต็มที่ ไม่มีความลังเลเลย ส่วนพระสกิทาคามีก็ละได้ 3 ข้อแรกเช่นกันกับพระโสดาบัน แต่กิเลสข้อที่เหลือเบาบางลง ส่วนพระอนาคามีจะได้เพิ่มอีก 2 ข้อ คือ กามราคะและปฏิฆะ มีแต่พระอรหันต์เท่านั้นที่ใจจรดพระนิพพานตลอดเวลา จึงละสังโยชน์ธุลีกิเลสทั้ง 10 ประการ ได้อย่างสิ้นเชิง มีจิตผ่องใส บริสุทธิ์ตลอด
ระดับโทษของกิเลสทั้ง 3 ตระกูล

ราคะ มีโทษน้อย แต่คลายช้า คนจะรักกัน อยู่กันฉันสามีภรรยา ถือว่าไม่ผิดศีลธรรม ขออย่าไปนอกใจหรือไปมีชู้ก็แล้วกัน โทษของราคะไม่ค่อยหนักหนา แต่ว่าจะให้เลิกละก็ยากมาก คลายช้า คนลองรักกันแต่ไม่เห็นหน้าไม่กี่วันก็ทำท่าจะตายเอาให้ได้ บางทีตายแล้วเกิดใหม่ใจยังผูกพันกันอยู่เลย จะให้เลิกรักเลิกยาก

โทสะ มีโทษมาก แต่คลายเร็ว เวลาโกรธ ขัดใจขึ้นมาฆ่ากันได้ บางทีถึงขนาดฆ่าพ่อ ฆ่าแม่ทำอนันตริยกรรมก็ยังได้ มีโทษมาก แต่ทว่าคลายเร็ว ถ้าเขามาขอโทษขอโพย เอาอกเอาใจไม่นานก็หาย โทสะคลายเร็วอย่างนี้

โมหะ มีโทษมากด้วย คลายช้าด้วย ความหลง ความไม่รู้ พระสัทธรรมนี้มีโทษมาก ทำให้เราหลงไปทำบาปตกนรกเสียย่ำแย่เราต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารกันมานับภพนับชาติไม่ถ้วน ทนทุกข์กันตลอดมาก็เพราะโมหะนี่เอง และแถมเจ้าโมหะความหลงนี้ยังคลายช้าอีกด้วย คนลงไม่รู้จักบุญจักบาปละก็กว่าจะแก้ได้ ท่านว่าหืดขึ้นคอเลย บางทีก็ต้องรอพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ต่อ ๆ ไปโน้นยังไม่รู้จะแก้หายหรือเปล่า




ข้อควรปฏิบัติ


เราต้องทราบว่ากิเลสทั้ง 3 ตระกูลนี้ มันฟูมันงอกงามได้ เช่น คนบางคนเดิมอาจจะเป็นคนไม่โลภอะไร พอใจอยู่กับของของตน แต่ไม่ระวังตัว เผลอไปหน่อยเดียว มีลาภยศมาล่อมาก ๆ เข้า อาจกลายเป็นคนโลภไปทำบาปทำชั่วเพราะความอยากได้ก็ได้ เดิมอาจเป็นคนใจเย็น แต่ถูกยุถูกแหย่มาก ๆ เข้ากิเลสก็อาจงอกงาม กลายเป็นคนเจ้าโทสะไปได้เหมือนกัน หรือเดิมก็เป็นคนธรรมดาทั่วไป เข้าใจธรรมะบ้าง ไม่เข้าใจบ้าง บุญบาปก็แค่สงสัยว่ามีหรือไม่ แต่ไปคบคนพาลเข้า กลายเป็นมิจฉาทิฐิไม่เชื่อบุญเชื่อบาป ปฏิเสธนรกสวรรค์ คิดว่าพ่อแม่ไม่มีพระคุณต่อตัวเองเป็นไปได้เหมือนกัน

เราจึงต้องระวังตัวไม่ประมาทในการทำความดี ตั้งใจทำสมาธิภาวนาไปตามลำดับ ไม่ย่อท้อ สักวันหนึ่งก็คงจะสามารถทำพระนิพพานให้แจ้งได้ และกำจัดธุลีกิเลสทั้งหลายให้ร่อนหลุดไปจากใจ เป็นพระอรหันต์ เสวยสุขอันเป็นอมตะได้เหมือนกัน


"ผู้ใดกำจัดโลภะได้แล้ว
ไม่โลภในอารมณ์อันเป็นที่ตั้งแห่งความโลภ
ผู้ใดกำจัดโทสะได้แล้ว
ไม่ประทุษร้ายในอารมณ์อันเป็นที่ตั้งแห่งความประทุษร้าย
ผู้ใดกำจัดโมหะได้แล้ว
ไม่หลงในอารมณ์อันเป็นที่ตั้งแห่งความหลง
กิเลสทั้ง 3 ตระกูลย่อมหมดไปจากใจผู้นั้น
เหมือนหยาดน้าตกจากใบบัว
เหมือนผลตาลสุกหล่นจากขั้ว
เหมือนอาทิตย์อุทัย ขจัดความมืดให้หมดไปฉะนั้น
"


(พุทธพจน์)

วันนี้ ( ๒๗ พค. ๔๙ ) วันพระ _/\\_



โดย: Phoenixนิลมังกร วันที่: 28 พฤษภาคม 2549 เวลา:0:16:40 น.  

 

มงคลที่ ๓๘.มีจิตเกษม


จิตเกษม เปรมปรีดิ์ ดีตลอด
เป็นจิตปลอด จากโอฆ ในโลกสาม
เครื่องผูกมัด สลัดหมด แสนงดงาม
เข้าถึงความ สุขสันต์ นิรันดร



เกษม หมายถึง มีความสุข สบาย หรือสภาพที่มีจิตใจที่เป็นสุข มีจิดเกษมก็คือว่า มีจิตที่เป็นสุข ในที่นี้หมายถึงการละแล้วซึ่งกิเลส ที่ท่านว่าไว้ว่าเป็นเครื่องผูกอยู่ ๔ ประการ

คือ

๑.การละกามโยคะ คือการละความยินดีในวัตถุ สิ่งมีชีวิตทั้งหลายเรียกว่ากามคุณซึ่งประกอบด้วย รูป รส กลิ่น เสียง และสัมผัส

๒.การละภวโยคะ คือการละความยินดีในภพ โดยให้เห็นว่าสิ่งใดๆในโลกล้วนไม่เที่ยงแท้ หรือคงอยู่ตลอดไป

๓.การละทิฏฐิโยคะ คือการละความยินดีในความเห็นผิดเป็นชอบ โดยให้ดำเนินตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าที่กล่าวมาแล้ว

๔.การละอวิชชาโยคะ คือการละความยินดีในอวิชชาทั้งหลาย ความไม่รู้ทั้งหลาย โดยให้มุ่งปฏิบัติเพื่อปัญญาที่รู้แจ้งเห็นจริง





ในที่สุด วันนี้ ก็ครบ ก็จบซักที สำหรับ มงคลชีวิต ๓๘ ประการ...
กว่าจะครบ...ปาเข้าไปหลายเดือน

( ไม่น่าจะต้องนานขนาดนี้เลย ฮ่า ๆ ๆ )

ที่จริง ตามเว๊บอื่น ก็มี... แต่... ไม่รู้สินะครับ...
อยากจะอัพไว้ ไว้อ่านเอง ไว้เป็นเครื่องเตือนสติตัวเองด้วย


ขณะนี้...
ยังเป็นวันพระอยู่ คืนนี้ ผมก็จะสวดมนต์ นั่งสมาธิ เพื่อฝึกสติ
และทบทวนเหตุการณ์ต่างๆที่ได้ทำไปในหลายวันมานี้ด้วย...


ขอให้ทุกท่าน มีความสุข ความเจริญ
ทั้งทางโลก และทางธรรมนะครับ




สังคมดี... ไม่มีขาย
อยากได้... ต้องช่วยกันสร้าง
โดยเริ่มจาก... ตัวเราเอง... เดี๋ยวนี้...



โดย: Phoenixนิลมังกร วันที่: 4 มิถุนายน 2549 เวลา:23:59:24 น.  

 
คราวนี้เนื้อหาเยอะจังค่ะพี่..

แวะมาทักทายนะคะ ^^;


โดย: nods วันที่: 5 มิถุนายน 2549 เวลา:13:40:12 น.  

 
สวัสดีครับ น้อง nods

ฮ่า ๆ ๆ ครับ... เนื้อหา... ล้วนๆเลย...

แต่... ก็เล่นไปเกือบครึ่งปี... กว่าจะเสร็จ กว่าจะครบ

( เพราะไปอัพบล๊อกโน้นบ้าง บล๊อกนี้บ้าง สลับๆกันไปน่ะ )

สำหรับ nods และเพื่อนๆ ทุกๆท่าน

ว่างๆ ก็เชิญเข้ามาอ่านได้ครับ
( ถ้ายังไม่เคยอ่าน หรือ ไม่ได้มีหนังสือ "มงคล ๓๘ ประการ" อยู่แล้วละก็ )

คิดว่า คงได้ประโยชน์บ้าง... ไม่มากก็น้อย


โดย: Phoenixนิลมังกร วันที่: 5 มิถุนายน 2549 เวลา:23:23:23 น.  

 
พออ่านถึงข้อ 38 ลืมข้อ 1-20 ไปละครับ


โดย: White_Cloud วันที่: 14 มิถุนายน 2549 เวลา:9:59:27 น.  

 
อนุโมทนาสาธุ ค่ะ

ปลื้มมากๆ ปิติมากๆ ย้อนไปอ่านความเห็นที่ 40 เหมือนธรรมะจัดสรรค่ะ ...ให้มาเปิดหน้านี้วันนี้ รับเอาธรรมะ ที่ละเลยไป ตามการโลดแล่นของกิเลส ตัณหา มาเติมใจ มาเตือนใจ ใหม่อีกหนึ่งวาระ ....ชื่นใจจังค่ะ



โดย: ประกายดาว วันที่: 15 มิถุนายน 2549 เวลา:7:25:02 น.  

 
นาย White_Cloud
ก็... อ่านบ่อยๆละกัน...
print ออกมาต้มกินก็ได้ กับ อีก copy นึง... ก็ไปหนุนนอน

ที่จริง... พี่ก็จำได้ไม่กี่ข้อเหมือนกัน
เลยต้องมา post ไว้ใน blog ตัวเอง ไว้อ่านได้เรื่อยๆไง
หนังสือ... บางทีก็ไม่อยู่กับตัว แต่ blog เราก็เปิดดูได้ จากที่ไหนก็ได้...


คุณ ประกายดาว
สาธุ... กับคุณ ประกายดาวด้วยครับ...
ยินดีด้วยครับ... กับความปิติ

และผมก็ยินดี ที่ blog นี้ ช่วยให้คุณได้มีความยินดี

กิเลส ตัณหา วิภวตัณหาต่างๆ... มันก็เป็นของธรรมดา ที่เกิดขึ้นมา ( ก่อนเราจะรู้ตัวด้วยซ้ำไป... ใช่ไหมครับ... )

เราจึงต้องรักษา ศีล สมาธิ และปัญญา ไว้เป็นเครื่องขจัดกิเลส จนกว่าจะพ้นจากอวิชชา...



ขอให้คุณประกายดาว และทุกท่าน เจริญในธรรม
และ มีจิตเกษมเสมอครับ




โดย: Phoenixนิลมังกร วันที่: 18 มิถุนายน 2549 เวลา:22:50:58 น.  

 
อนุโมธนาบุญด้วยค่ะ

อันนี้มีประโยชน์ดีจริง
ต้องค่อยๆอ่านๆไปเรื่อยๆ


โดย: prncess วันที่: 23 มิถุนายน 2549 เวลา:7:53:48 น.  

 
มาทักทายอีกครั้งนะคะ


โดย: nods วันที่: 26 มิถุนายน 2549 เวลา:22:18:51 น.  

 
...อนุโมทนาบุญค่ะคุณเอก

สวัสดีค่ะคุณเอก

ในช่วงวันที่ ๘ - ๑๑ กรกฎาคม นี้ ตู่จะเข้าถือศีลและปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน แถวๆ กรุงเทพฯ นี้แหละค่ะ แล้วจะนำบุญมาฝากนะคะ...

บุญรักษาค่ะ




โดย: pataree วันที่: 8 กรกฎาคม 2549 เวลา:11:38:38 น.  

 
blog

blog





หวัดดีจ้า วันนี้แวะมาเยี่ยมจ้า ...


โดย: ทิชชูนิดนิด วันที่: 9 กรกฎาคม 2549 เวลา:17:03:34 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Phoenixนิลมังกร
Location :
นนทบุรี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




ยิ้มง่าย หัวเราะง่าย แต่ไม่ใช่ Joker
จริงจัง จริงใจ แต่ไม่เอาเป็นเอาตาย
ง่ายๆ ไม่เรื่องมาก ไม่ทำร้ายใครก่อน...



- It is only with the heart
that one can see rightly
what is essential is
invisible to the eye.


- ด้วยหัวใจเท่านั้น
ที่เราจะมองเห็นอย่างถ่องแท้ว่า
สิ่งสำคัญ ที่ไม่อาจเห็นได้ด้วยตา
คืออะไร.


//- Antoine de Saint-Exupery

Friends' blogs
[Add Phoenixนิลมังกร's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.