|
|
|
|
|
|
วันที่ 8 บ๊ายบาย เซี่ยงไฮ้
วันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้ว คณะทัวร์เราเที่ยวคุ้มมาก เพราะถึงแม้ว่าจะเป็นวันสุดท้ายแต่ก็ได้เที่ยวกันเต็มวัน เมื่อคืนนอนที่ห้องมี๊ ตื่นมาก็ไปกินข้าวเช้า เป็นมื้อเช้าที่ดีมากทีเดียว อาหารเช้าที่นี่มีแพนเค็กด้วยนะ มีส้อมกับมีด ด้วยที่อื่นมีแต่ตะเกียบ มีสลัด มัฟฟิน เค้ก เฟรนช์โทสต์ และอาหารเช้าแบบจีน มีความสุขสุด ๆ กินเสร็จขึ้นไปบนห้อง นึกได้ว่ายังไม่ได้เอาหมอนจากห้องมี๊มาคืนที่ห้อง แต่ขึ้นไปแล้วเค้าเก็บห้องแล้ว เค้าจะหาว่าขโมยหมอนเปล่านะ ทำไงดี พูดไม่เป็นซะด้วย น้องเราบอกว่าเดี๋ยวมันจัดการเอง มันก็เดินอย่างห้าวหาญไปที่พนักงานโรงแรม แล้วก็ทำมือไปที่หมอน อื้อๆ พนักงานงง คราวนี้เปิดผ้าปูเตียงให้เห็นหมอนชัด ๆ ทำมือเป็นรูปหมอน อื้อ ๆ แล้วก็ทำมือเหมือนยกหมอน หันไปทางห้องมี๊ อื้อ ๆ ฮ่อๆๆ รู้แล้วน่อ พนักงานพยักหน้าแบบเข้าใจมาก นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่าภาษาใบ้คือภาษาสากล
เราจะออกจากโรงแรมกันตอน 9 โมงเช้า เราไปห้องมี๊กะว่าจะไปอยู่เป็นเพื่อน มี๊บอกว่าไม่ต้อง เพราะคุยกับพนักงานแล้ว ว่ามีอะไรมี๊จะกดเรียก มี๊บ้านเค้าก็จะเข้ามาช่วย ให้เราไปเที่ยวได้เลย โรงแรมใหญ่แบบนี้พนักงานไว้ใจได้อยู่แล้วไม่ฆ่ามี๊ชิงทรัพย์แน่ ๆ เราก็เลยยกขบวนไปกัน
ที่แรกที่เราไปก็คือห้างขายยาเป่าฟูหลิง คาดว่าทุกคนคงรู้จักกันดีแล้ว มีหนุ่มไทยมาอธิบายคุณสมบัติของยา และ สาธิตด้วยการเอามือไปลูบโซ่ที่เผาไฟมาร้อน ๆ แล้วใช้เป่าฟูหลิงโปะลงไป รอยแดงนั้นก็หายไป เค้ายังมียาอีกหลายชนิด บอกว่ามีหมอแมะมาให้แมะได้ว่าเราเหมาะจะกินยาตัวไหน เราเลยบอกให้น้องแมะ เพราะมันชอบเป็นลมพิษขึ้น เราก็ให้หมอแมะเหมือนกัน อากงแปลให้ หมอบอกว่า เวลาเรามีประจำเดือน จะปวดท้อง ปวดหัวมาก และเป็นคนหนาวง่าย ร่างกายไม่แข็งแรง ให้กินยาตัวที่เค้าแนะนำ 3 ขวด รับรองหาย (ขวดละ 150 หยวนแน่ะ) เราถามป๊าว่าป๊าเห็นด้วยมั๊ย ป๊าบอกว่าไม่แน่ใจ เรื่องยามันก็แล้วแต่ใครกินถูกกัน ให้เราซื้อไปขวดนึงก่อน ถ้าดีก็ฝากคุณไฉไลซื้อได้เราเลยซื้อมาขวดนึง กินครั้งละ 10 เม็ด วันละ 2 ครั้ง ลองแกะกินบนรถ ยาเหม็นมากเลย แถมกินแล้วตกเย็นก็ปวดหัวอย่างแรงจนต้องกินยาแก้ปวด ยาอะไรฟะ
หลังจากนั้นก็ไปหาดเซี่ยงไฮ้ คุณไฉไลบอกว่าเราต้องจอดรถในสวนสาธารณะ เพราะที่จอดรถจริง ๆไกลมาก แต่เราต้องเข้าไปชอปปิ้งในร้านบังคับซัก 15 นาที เพื่อจะได้จอดรถใกล้ พวกเราโอเค ในร้านก็เป็นขนมและอาหารแห้งซะเป็นส่วนใหญ่ แต่ไม่มีอะไรน่าสนใจ พวกเราซื้อกันพอหอมปากหอมคอ แล้วก็เดินขึ้นบันได ไปหาดเซี่ยงไฮ้กัน เค้าเรียกว่าหาด แต่จริง ๆ แล้วไม่ใช่หาดเป็นเหมือนสะพานปูนกว้าง ๆ สูง ๆ เป็นทางยาว ๆ มองไปก็จะเห็นชายฝั่งเซี่ยงไฮ้ กว้างประมาณแม่น้ำเจ้าพระยา ฝั่งตรงข้ามก็เป็นหอทีวีที่เราไปกันเมื่อคืนนี้ มองลงไปที่ทะเล มีหมาเน่าลอยอืดด้วย เหมือนคลองบ้านเราเลย วิวสวย บรรยากาศดี มีร่มกางให้นั่งชมวิวเป็นแถวยาว ๆ ตลอดสะพาน มองไปทางด้านที่เป็นฝั่งก็จะเห็นตึกทรงยุโรปเรียงกันเป็นแถว ๆ เลยมีตึก AIA ด้วย มีหอนาฬิกา และ อนุสาวรีย์ ถ้าบรรดาร่มที่กางอยู่เป็นตัวหนังสือภาษาอังกฤษแทนที่จะเป็นภาษาจีนนะ จะรู้สึกเหมือนอยู่ในลอนดอนยังไงยังงั้น ที่นี่เป็นจุดที่ถ่ายทำเรื่องเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้ ถ้าเอาวิวแถว ๆ นี้ให้คนอายุซัก 40 ปีขึ้นไป ก็น่าจะบอกได้เลยว่าเป็นวิวของที่ไหน
เสร็จจากหาดเซี่ยงไฮ้เราก็ไปทานอาหารเที่ยงกัน ทางที่ไปค่อนข้างซับซ้อนและมีของขายเรียงรายน่าลงไปเดินมาก เพราะได้บรรยากาศท้องถิ่น อาหารอร่อยดีเหมือนกัน แต่เราก็ยังกินผักเป็นหลักอยู่ดี พอกินเสร็จรถยังไม่มา เราก็พาอาม่าไปเข้าห้องน้ำ เสร็จแล้วก็ถามอาม่าว่าจะนั่งมั๊ยเพราะเราเห็นมีเก้าอี้ว่างอยู่ตัวนึง อาม่าพยักหน้า ตัวทางซ้ายซิ่มสนุทรีนั่งอยู่ พี่บี๋นั่งอยู่ที่พนักเก้าอี้ เผื่อให้คนอื่นนั่งได้อีกตัวนึง เจ๊จ๋ายยืนอยู่ข้าง ๆ เก้าอี้ เราคิดในใจว่า
เดี๋ยวพอเราพาอาม่าไปจะถึงเก้าอี้ เจ๊จ๋ายนี่ต้องชิงนั่งก่อนอาม่าจะเดินถึงแหงๆ ถ้าเปลี่ยนเป็นแทงหวยต้องรวยเละอย่างเดียวค่ะ ท่านผู้ชม เจ๊จ๋ายหย่อนก้นลงไปนั่งก่อนอาม่าไปถึงไม่กี่ก้าว -_-"
หลังจากทานข้าวกลางวัน คุณไฉไลก็พาเราไปยังสวนสาธารณะเดิม เพื่อจะไปเดินที่ถนนนานกิง ตรงที่เราเห็นเป็นตึกฝรั่งเยอะ ๆ นั่นแหละ ให้เวลาเดิน 3 ชั่วโมง นัดเจอกันหน้าสวนสาธารณะ ถนนนานกิง เป็นถนนชอปปิ้งที่คึกคักมากของจีน ถนนยาวประมาณ 5 กิโลเมตร มีร้านและห้างตั้งเต็ม 2 ฝั่ง คนเยอะมาก มี๊เคยบอกว่า ไปถนนนานกิง ไปดูหัวคน คือคนเยอะประมาณประตู้น้ำบ้านเราได้ล่ะมั๊ง แต่โชคดีที่เราไปวันธรรมดา คนก็ไม่เยอะเท่าไหร่ เดินสบาย ๆ อากาศร้อน แบบอบ ๆ เพราะฝนจะตก เดินไปก็นึกถึงมี๊ ที่ไม่ได้มาเดินด้วยกัน มี๊เคยมาเซี่ยงไฮ้ แต่ไม่เคยมาถนนนานกิงเลย เรากับน้องแยกตัวอีกตามเคยไปเดินกัน 2 คน แวะเข้าทุกร้านที่น่าสนใจ น้องได้ขนมไส้ผลไม้แบบที่เราซื้อที่หนิงปอ แต่ไม่อร่อยเท่า เอาไปแจกเพื่อน ๆ ที่ทำงาน ราคาอันละ 1 หยวนเอง เราเดินกันไปเรื่อย ๆ แต่ไม่เห็นมีขนมไส้ส้มเลย ฮือๆๆ เดินไปเดินมา เจอห้าง อิโตคินด้วยนะ ไม่น่าเชื่อเลย ได้ข่าวว่าเมืองไทยเคยมาตั้งโรงงานที่นี่แล้วเจ๊งไปแล้วนี่นา ห้างใหญ่ซะด้วยนะ แต่ไม่ได้เข้าไปเดินหรอก เพราะดูเสื้อผ้าแล้วไม่ค่อยถูกใจ
เดินไปได้ 2 ชั่วโมงเมื่อยมากเลย ก็เลยจะหาร้านนั่ง เข้าไปที่แมค โห ชุดนึงทำไมแพงจัง เราเลยย้ายร้านไป KFC ชี้สั่งชุด A เป็น Naked มันบด แล้วก็เป๊ปซี่ พอซื้อเสร็จถึงได้รู้ว่าเป็นชุดเด็กเพราะมีของเล่นแถมมาให้ด้วย เป็นไก่ KFC อยู่บนล้อหมุนได้ เลย KFC ไปหน่อยก็สุดถนน เราก็เลยข้ามถนนไปอีกฝั่งแล้วเดินกลับ อีกฝั่งนึงเหมือนคลองถมบ้านเรา มีเต๊นท์มาวางขายพวกกระเป๋าเดินทาง ของประดับ ชุดทหาร และที่เรากับน้อง ตื่นเต้นมาก คือจักรเย็บผ้าอันเล็ก ๆ เย็บเองอัติโนมัติได้ด้วยสงสัยจะใช้ถ่าน แต่มันน่ารักมากเลย อันละ 200 เหรียญ เดินไปจนจะถึงสุดทางออก เจอ sex shop โอ้ ว้าว ฮ่าๆๆ เรากับน้องหัวเราะคิกคัก ๆ เราบอกน้องว่าไม่เข้าไปหรอก เพราะเราว่ามันน่าเกลียด ไม่ได้มีอะไรน่าดู น้องเลยเข้าไปคนเดียว บอกให้เราคอยอยู่ข้างหน้าร้าน เราเดินเบี่ยง ๆ ไปคอยร้านข้าง ๆ เดี๋ยวใครเค้าจะเข้าใจผิด นึกว่าเป็นกุ๊กๆ ล่ะแย่เลย สงสัยต้องคอยนานแหง ๆ ผิดคาด เข้าไปไม่ถึง 10 นาที ก็ออกมาแล้วหน้าตาพูดยาก บอกว่า
น่าเกลียดฉิบหาย แถมซิ่มแก่ ๆ เป็นคนขายอีก
เหอ เหอ เหอ เรารู้แต่แรกแล้วล่ะเพราะเคยไปดูที่อังกฤษ ในโซโหร้านใหญ่มาก มีเป็นดงเลย อยากบอกว่าไม่ได้น่าดู แถมน่าเกลียดอีกต่างหาก สามโมงครึ่งเราก็ไปที่สวนสาธารณะแล้ว เค้านัดกัน 4 โมงเราก็เลยไปเดินบนหาดอีกที คราวนี้ไปนั่งพัก ระหว่างนั่งอยู่เราก็มองโน่นมองนี่ไปเรื่อย เห็นธงไทยปลิวไสว มีคนไทยมาเที่ยวด้วยเราคาดว่าน่าจะเป็นข้าราชการเพราะแต่งตัวกันเรียบร้อยมาก ๆ เรากับน้องก็เลยนั่งเงียบ ๆ ซุบซิบกันว่าถ้าเรานั่งเฉย ๆ แบบนี้เค้าจะรู้มั๊ยว่าเราเป็นคนไทย เราว่าเค้าไม่รู้หรอก ออกจะตี๋ หมวย กันซะขนาดนี้ น้องนั่งไปก็บ่นไปว่าไม่เห็นมีสาวจีนหุ่นดี ๆ เลย ไม่มีแต่งตัวโป๊ ๆ เหมือนเซ็นเตอร์พอยท์ด้วย นั่งอยู่สักพักก็เห็นพี่หมวยเดินผ่านหน้าเราไป ประมาณมองไม่เห็น แล้วก็เห็นอี๊จ๋าย กับแปะประสงค์ เดินซื้อของที่ระลึกอยู่ที่ร้านใกล้ๆ กับที่เรานั่ง (อี๊จ๋ายให้แปะประสงค์มาช่วยต่อราคาของ) ไม่มีใครเห็นเราเลย ท่าเราหน้าตาเรากับน้องจะกลมกลืนกับชาวท้องถิ่นมาก เราก็เลยเรียกพี่หมวย พี่หมวยตกใจ บอกว่ามองไม่เห็น พี่หมวยซื้อของเยอะแยะเลย เค้าบอกว่าคนอื่น ๆ รออยู่ด้านล่าง เราก็เลยเดินลงไป ป๊าบอกว่าขึ้นรถเลย คุณไฉไลกับเจ็กประเวศอยู่กับมี๊ที่โรงแรม
พอขึ้นรถไปอากงก็บอกว่า ไม่รู้จักอยู่เฝ้ามี๊มึง มี๊มึงไปโรงบางอีกรอบแล้วรู้รึเปล่า เฮ้อ...เรารอกันอยู่บนรถให้คนขึ้นมาให้ครบ แล้วก็กลับโรงแรม ไปถึงโรงแรมประมาณ 5 โมงเย็น เจอมี๊ มี๊บอกว่าไม่เป็นไร คือเมื่อคืนปวดหลังมาก รู้สึกไม่ค่อยดี ก็เลยไปหาหมออีกทีนึง หมอเค้าก็ให้ที่ดามหลังมา แข็งแรงกว่าแบบเดิม มี๊บอกว่าดีขึ้นแล้ว พวกเราก็ขึ้นรถกันไปทานอาหารเย็นที่เดิมที่ไปเมื่อคืนนี้ มื้อสุดท้ายแล้วนะเนี่ย
หลังจากทานข้าวเย็น เราก็ไปสนามบินกัน ถึงสนามบินประมาณเกือบ 2 ทุ่ม ยังไม่ถึงเวลาเช็คอิน เจ็กประเวศประสานงานกับสนามบินและสายการบินแล้วว่าจะต้อมีรถเข็นมารับมี๊ และ เหล่าอี๊ส้มลิ้ม ส่วนที่เมืองไทยก็จะมีรถพยาบาลของรพ.ธนบุรี มารับอันนี้เป็นไอเดียเราเอง เพราะตอนแรกซิ่มสุนทรีเสนอว่าให้นั่งรถเค้าไป เค้าจะไปส่งที่โรงพยาบาล เราบอกว่าทำไมต้องให้เค้าไปส่ง มีประกัน ก็ให้รถโรงพยาบาลมารับสิ ได้นอนด้วย เพราะนั่งนาน ๆ ถึงรถจะขับนิ่มก็ทรมานหลังอยู่ดี ตอนเช็คอินกระเป๋า เราก็หลบไปแปรงฟันก่อน จะได้นอนสบาย ๆ ได้เวลาเข้าไปที่เกท ตอนผ่านเครื่อง x-ray กระเป๋า เค้าบอกให้เราหยุด แล้วค้นกระเป๋าถือของมี๊ (เรากับน้องรับผิดชอบดูแลกระเป๋าป๊า มี๊ อาม่า อากง) น้องบอกว่า มี๊ลืมเอามีดโหลดไปที่กระเป๋าใหญ่ แหงๆ แล้วก็จริง ๆ ด้วย มีดคู่ใจ ที่มี๊พกเวลาเดินทาง มีปลอกน่ารักสีแดง โดนยึดไปเรียบร้อยแล้ว ที่นี่เค้าไม่มีการโหลดตามหลังไปให้ จะยึดเอาไปเลย เราพยายามเถียงกับเค้าแต่เค้าไม่ยอมพูดกับเราเลย โกรธมาก
มี๊กับเหล่าอี๊ส้มลิ้ม อยู่หน้าประตูขึ้นเครื่องเรียบร้อยแล้ว เที่ยวนี้คนเยอะ ท่าจะไม่ค่อยมีที่ว่าง ตอนขามาเรานั่งแยกกับน้องคนละแถวเลยนั่งแถวที่เป็นเก้าอี้คู่ นอนสบาย พอได้ที่นั่งเรียบร้อย มี๊ได้ที่นั่งด้านหน้า น้องสั่งไว้เลยว่าถ้าเห็นมันหลับไม่ต้องสั่งอะไรให้มันและไม่ต้องปลุกมัน ดี ถ้ามันไม่ตื่นจะเหมาข้าวมันให้หมด มองไปด้านเยื้อง ๆ ไปทางซ้าย เห็นหนุ่มสาวจีนนอนหนุนตักกัน เราชี้ให้มันดูบอกว่าดูเด่ะ เดี๋ยวนี้คนจีนใจกล้าดีนะ น้องตอบว่ามันไม่เห็นว่าการแสดงความรักจะผิดตรงไหน มันไม่น่าเกลียดหรอก ถ้าเค้าทำออกมาแบบธรรมชาติ ไม่ใช่ตั้งใจทำเพื่อโชว์ให้คนอื่นดู ว่าชั้นมีแฟนนะ
เครื่องบินเริ่มเคลื่อนตัว และเชิดหน้าขึ้นฟ้าแล้ว เรามองท้องฟ้ามืดมิดของเซี่ยงไฮ้ ก็อดดีใจไม่ได้ เราจะได้กลับบ้านแล้ว พวกเราถึงเมืองไทยโดยสวัสดิภาพ ต่างคนก็ต่างรีบกลับไปนอนเพราะว่าจะถึงดอนเมืองก็ตีหนึ่งครึ่งแล้ว ทริปนี้เป็นทริปน่าเบื่อเพราะสถานที่ท่องเที่ยวไม่มีอะไร (สำหรับเรา) แต่คนที่ไปด้วย ก็แซวกันสนุกสนานเป็นกันเอง ไกด์ก็เยี่ยม และเจ็กประเวศก็ดูแลลูกทัวร์ทุกคนเป็นอย่างดี เราบอกป๊าว่า เมืองจีนกับเราจะไม่มีทางได้มาเจอกันอีก เพราะไม่ใช่สไตล์เรา ถ้าไปประเทศอื่นเมื่อไหร่ค่อยมาว่ากันนะ หวังว่าเราจะได้ไปทริปสนุก ๆ อื่น ๆ แล้วมาเขียนบันทึกให้เพื่อน ๆ ได้อ่านกันอีก สำหรับทริปนี้ ขอบคุณทุกท่าน ที่ติดตามจนจบนะจ๊ะ
Create Date : 14 กรกฎาคม 2549 | | |
Last Update : 18 พฤศจิกายน 2551 21:45:28 น. |
Counter : 667 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
วันที่ 7 หอไข่มุก
ช่วงเช้าที่ผู่ถัวซานก็ยังคงเป็นการท่องเที่ยวไหว้พระบนเกาะ เราก็เลยอยู่เฝ้ามี๊ ส่วนน้องเราว่าจะไปเที่ยวเกาะ แต่ดันลืมตื่น กำลังเดินไปห้องมี๊ คุณไฉไลโทรมาบอกว่าน้องไม่ต้องมาหรอก เดี๋ยวไฉไลเฝ้าให้ เราบอกว่าคุณไฉไลไปเถอะ ยังไงเราก็ไม่ไปเที่ยวอยู่แล้ว แต่คุณไฉไลยืนยันจะเฝ้าให้ เราก็เลยอยู่ที่ห้องเรา
11 โมง คนที่ไปเที่ยวกันก็กลับมาทานข้าวเที่ยง บอกว่าเห็นผู้หญิงคนนึงศรัทธามาก เค้าเดินขึ้นเขาเอง โดยไม่ใช้รถ และ เดินไป ก้มกราบไปทุก ๆ 3 ก้าว เรื่องนี้ไม่เชื่อแต่อย่าลบหลู่เนอะ พวกเราต้องรีบกินเร็วเพราะเรือออกตอนเที่ยงครึ่ง
ไปถึงท่าเรือประมาณเที่ยง 20 พวกเราขึ้นเรือกันแบบไม่รีบร้อน เพราะคนไม่เยอะ ที่ว่างเยอะแยะเลยใช้เวลานั่งเรือประมาณ 3 ชั่วโมงครึ่ง ก็จะถึงท่าที่เซี่ยงไฮ้ เรือที่เรานั่งคือเรือด่วนเฟยเสียง มี๊นั่งนาน ๆ แล้วก็ปวดหลัง ป๊าเลยไปถามเค้าว่ามีที่นอนมั๊ย เค้าบอกว่าไม่มีแต่ให้แผ่นพลาสติกใหญ่ ๆ มา 2 ใบให้ปูนอน (ยังดีที่ไม่ใช่หนังสือพิมพ์) เค้าบอกว่าไม่บอกก่อน ถ้าบอกก่อนก็จะเตรียมเบาะไว้ให้ ถึงเซี่ยงไฮ้ตอนบ่าย 3 ครึ่ง
จากท่าเรือเซี่ยงไฮ้เราต้องนั่งรถเข้าไปในเมืองใช้เวลาอีก 2 ชั่วโมง สังเกตว่าบ้านที่เซี่ยงไฮ้ที่ชานเมืองทำหน้าตาเหมือน ๆ กันหมด คือ เป็นบ้านตั้งโดด ๆ รูปร่างคล้ายปราสาทหลังเล็ก ๆ มียอดแหลม บ้านช่องที่นี่ได้รับอิทธิพลจากฝรั่งมาก เพราะส่วนใหญ่ตามในเมืองก็จะทำเหมือนบ้านสไตล์อังกฤษ ที่เหมือนในโฆษณาบ้านทองหล่อ แบน ๆ มีเหล็กดัดสีดำ แต่ดันไปทาสี เหมือนอพาร์ทเมนท์ คือบ้างก็ขาว บ้างก็ฟ้า บางที่ก็ชมพู ทำให้ดูหมดสง่าไปเลย
5 โมงถึงที่โรงแรมเดิม คือกวงต้า เราลงจากรถแล้วก็รีบวิ่งไปถามหารถเข็น เค้าบอกว่ามีแต่ต้องเสียค่ามัดจำ 1,000 หยวน ก็เลยให้ไกด์ไปเจรจา ว่าเรามากับทัวร์นะ พักตั้งหลายห้อง ไม่เอารถเข็นไปเฉย ๆ หรอก เค้ายอมให้มา
เอาของไปเก็บที่ห้องแล้วก็เดินไปดูมี๊ ห้องมี๊เป็นห้อง suite ซะด้วย มี 2 ห้องน้ำ มีห้องรับแขก หรูจัง คุณไฉไลสั่งข้าวให้แล้วเป็นข้าวต้มปลา แต่ปลาดันเป็นปลาเค็ม มี๊บอกว่าคืนนี้ให้เราไปเที่ยว เพราะที่ ๆ จะไปเป็นหอทีวี ค่าชมแพงมาก และไม่ควรพลาด ส่วนมี๊ก็จะนอนพักที่โรงแรม คงไม่มีปัญหาอะไร
หลังจากนั้นพวกเราก็ไปกินข้าวกัน ร้านอาหารที่จะพาไปคุณไฉไลบอกว่ามีชื่อมาก ชื่อภัตตาคารร่างกุ้ง อร่อยมากเลย มีขาหมูด้วย วันนี้กินได้เยอะเป็นพิเศษเพราะมีปลาแค่จานเดียว พนักงานที่ร้านน่ารักมาก พยายามเรียนภาษาไทย แถมสอนง่าย พูดถูกสำเนียงอีกต่างหาก พวกเราเลยแย่งกันสอนภาษาไทยให้เค้าใหญ่เลย พนักงานที่นี่พูดได้หลายภาษา พูดภาษาอังกฤษได้ด้วยเพราะเป็นร้านที่มีแขกต่างชาติมาทานกันมาก แต่เราว่าข้าง ๆ ร้านน่ากินกว่า เพราะมีร้านขายพวกติ๋มซำ มีน่ากินหลายอย่าง ควันฉุยเลย ตอนมาวันแรกเห็นคนยืนต่อคิวซื้อด้วยนะ
หลังจากทานข้าวเสร็จ ก็จะไปหอโทรทัศน์กัน หอโทรทัศน์ที่นี่มีชื่อภาษาจีนว่า ตงฟังหมิงจูถ่า หรือภาษาอังกฤษว่า Pearl Tower (ไม่ใช่ Pearl Harbor นะ) เป็นหอทีวีที่สูงที่สุดในเอเชีย และสูงที่สุดเป็นอันดับ 3 ของโลกที่เรียกว่าหอไข่มุก เพราะรูปร่างสูง และ มีปล้อง ๆ เป็นกลม ๆ 3 ปล้อง ที่กลมๆ นี่เหมือนไข่มุก เป็นสีชมพู สวยมาก รถทัวร์จอดอยู่ตรงข้ามหอทีวี เรากับโจ้สังเกตุรอบ ๆ แล้วว่าน่าเดินเที่ยวมาก เพราะมีห้างใหญ่ และ ดูสว่าง ๆ ดี คุณไฉไลบอกว่าที่นี่เป็นย่านธุรกิจ ประมาณสีลม สุขุมวิทบ้านเรา แต่ใหญ่กว่ามาก พวกร้านขายของที่เห็น ไม่มีเสื้อผ้าขาย แปลกมาก มีแต่ร้านอาหารเต็มไปหมด แล้วคุณไฉไลก็ชี้ให้ดูตึก ๆ นึง บอกว่าเป็นโรงแรมที่สูงที่สุด 88 ชั้น ชาวต่างชาติมาพักกัน ค่าใช้จ่ายในโรงแรมนี้คิดเป็นดอลล่าร์ กาแฟแก้วนึงก็ 40 เหรียญสหรัฐแล้วจ๊ะ พวกเราตัดพ้อ ว่าทำไมคุณไฉไลไม่พามาพักที่นี่
เราต้องขึ้นลิฟต์ 2 ต่อ ต่อแรก ขึ้นไปที่ลอบบี้ ต่อที่ 2 ขึ้นไปที่ตรงกลม ๆ เวลาอยู่ในลิฟท์พนักงานก็จะอธิบายเป็นภาษาจีน และ อังกฤษว่าลิฟท์จะขึ้นไปบนจุดชมวิว ด้วยความเร็วกี่เมตรต่อนาที อะไรประมาณนี้ (ฟังไม่ค่อยออกง่ะ) มาเที่ยวนี้เบื่อคนจีนอยู่อย่าง ไม่ค่อยมีมารยาท ชอบเบียด ชอบแซงคิว เวลารอห้องน้ำก็ชอบเคาะประตูเร่ง กว่าจะขึ้นลิฟท์เข้าไปได้ เจอคู่สามีภรรยาจีนอยู่คู่นึง เบียดพวกเราเข้ามา
ไปถึงที่ชมวิว คุณไฉไลบอกว่าให้เวลาเดินรอบ ๆ 15 นาที รอบ ๆ นั้นก็จะเป็นกระจกกลม ทุกด้านจะมีป้ายติดไว้ว่าจากจุดนี้ไปตรง ๆ จะไปเจอเมืองไหน กี่กิโลเมตร และตามทางเดินก็มีของที่ระลึกขาย และมีรูปประวัติศาสตร์จีน สมัยคนต่างชาติเข้ามาในประเทศ แต่เราอ่านไม่ออกว่าเค้าเขียนว่าอะไร เพราะเขียนเป็นภาษาจีน เรากำลังดูกล้องส่องทางไกลที่เค้ามีให้ มองว่าต้องใช้กี่เหรียญ อีผัวเมียคู่ที่เจอบนลิฟท์ก็มาเบียดเราดูกล้องนี่มั่ง ฮึ่มม...อีคู่นรก เหมาะกันราวผีกับโลง ไม่มีมารยาทเลย เราเลยมองหน้ามันมันทำเป็นไม่เห็นแล้วชี้ชวนกันทำมึนเดินหนีไป
เราเบื่อคนเยอะ ๆ ดูไปก็ไม่มีอะไร เพราะถ่ายรูปก็ไม่ได้ (หอสูงมาก จนวิวที่เห็นเล็กมาก ถ่ายไปก็ไม่เห็นอะไร) พอได้เวลาพวกเราก็ลงลิฟท์ไปที่ชั้นล่าง ข้างล่างเค้ามีรูปวิวประเทศต่าง ๆ ขนาดใหญ่มาก ติดไว้ที่ผนังแต่ละด้าน พวกเราก็ถ่ายรูปกันยกใหญ่เสมือนได้ไปประเทศนั้นจริง ๆ อีกมุมนึงมีรูปปั้นหุ่นขึ้นผึ้ง ทำเป็นรูปชีวิตความเป็นอยู่ของจีนโบราณ มีอยู่อันนึงเป็นรูปคนขายก๋วยเตี๋ยว หัวล้านผูกเปียแบบแมนจู เราเลยให้ป๊าถ่ายรูปเอาแบงค์ยื่นออกไปประมาณ เพ่ ๆ ก๋วยเตี๋ยวชามนึง ไอเดียนี้ลูกทัวร์คนอื่นชอบมาก เลยต่อคิวซื้อก๋วยเตี๋ยวกันใหญ่
พอลงจากหอทีวี ประมาณ เกือบ 3 ทุ่ม เราก็แอบกระซิบบอกป๊าว่าจะอยู่เที่ยวแถวนี้ต่อ แล้วจะนั่งแท๊กซี่กลับโรงแรมเอง ต้องกระซิบเพราะตอนที่ไปหนิงปอ เราเดินไปบอกแล้วอาม่ากับคนอื่น ๆ ได้ยิน ก็ห้ามไม่ให้เราไป เราต้องเดิน ๆ ตามเค้าไปก่อนแล้วค่อยหลบไป คราวนี้เลยกระซิบถามป๊า ป๊าบอกว่าไปสิ แต่เอาพี่หมวยกับพี่บี๋ไปด้วยนะ
หลังจากแยกกับคณะทัวร์แล้ว เราก็เขียนชื่อโรงแรม ด้วยภาษาจีนโย้เย้แบบเด็ก 6 ขวบให้พี่บี๋เก็บเอาไว้ กันหลง (เรามีหยิบกระดาษโน๊ตที่มีชื่อและที่อยู่ของโรงแรมมาด้วย รอบคอบมะ) แล้วเราก็มุ่งหน้าเดินไปที่ห้างใหญ่นั่น เรากับโจ้เรียกว่าเอ็มโพเรียม เพราะมันดูหรูหราดี แต่พอเข้าไปแล้ว ทำไมมันดูเล็ก ๆ แล้วเหมือนจะยังเปิดไม่หมด มี starbucks แล้วก็มีป้ายบอกร้านยี่ห้ออื่น ๆ แต่ร้านยังไม่เปิด เราเลยลองเดินลงไปดูชั้นใต้ดิน เป็นห้างโลตัสครับทั่น ใหญ่เหมือนกัน เราไม่รู้จะไปไหนกันก็เลยลองเดินโลตัสเมืองจีนดูซิว่าจะเป็นยังไง น้องบอกว่าสงสัยเป็นของซีพี เพราะซีพีเคยออกข่าวว่าจะสร้างห้างขนาดใหญ่ที่เซี่ยงไฮ้ เราเข้าไปถึงโลตัสแล้วก็แยกย้ายกันเดิน ให้เวลาครึ่งชั่วโมง คือประมาณ 3 ทุ่มครึ่ง มาเจอกันที่หน้าทางเข้าโลตัส ที่หน้าทางเข้ามีโปรโมทท่องเที่ยวไทยด้วย ประมาณซื้อของแล้วชิงโชคจะได้ package tour ไปเมืองไทย มีวีดีโอบรรยายอาหารไทยและสถานที่ท่องเที่ยวด้วยนะ แถมจุดประชาสัมพันธ์เค้ามีพูดภาษาไทยได้ด้วย มีธงไทย และธงนา ๆ ชาติแขวนอยู่ และตัวพิมพ์ภาษาไทยว่ามีพนักงานพูดไทยได้ แต่พอไปถามจริง ๆ พูดได้แต่ภาษาจีน ฮ่อๆๆ อังกิดก็พูกไม่ล่ายอ่ะ
ข้างในโลตัสก็เหมือนบ้านเราคือมีของกิน ของกินนำเข้า และชั้นบนก็เป็นเสื้อผ้าและของใช้ เรากะว่าจะซื้อโอรีโอรสมินต์ แต่พี่บี๋บอกว่าไม่อร่อยนะ แล้วที่เมืองไทยก็มีขายที่ฟู้ดแลนด์ เราเลยไปซื้อคุกกี้ที่เป็นหน้าครีมพีช 2 ห่อ แต่ไม่มีขนมครีมส้มเลย เราอยากบอกว่ามันอร่อยจริง ๆ นะ ไส้ก็เยอะ รูปร่างเหมือนยูโรคัสตาร์ด แต่ยูโร ทำเราอเมซิ่งด้วยการกินเข้าไปจนจะหมดแล้วถึงเจอไส้ แถมชิ้นนิดเดียว เดินถือคุกกี้นี่ไป ก็สังหรณ์ใจว่าจะไม่อร่อยเลยลองแกะกินดู แหวะ รีบเอาที่เหลือไปคืน
น้องเดินดูเบียร์กระป๋องแปลก ๆ มีอันนึงมันภูมิใจมาก เป็นเบียร์ บัดไวเซอร์ กระป๋องทรงเหลี่ยมมีเหลี่ยม ๆ รอบ ๆ กระป๋อง (งงป่ะ) คือมันไม่กลมๆ เรียบ ๆ นะ แล้วก็ที่เปิดกระป๋องยังเป็นแบบเก่า คือ ไม่ใช่แบบที่เปิดแล้วที่เปิดติดกับกระป๋อง แต่เปิดแล้วที่เปิดจะหลุดออกมาเลย เดินจนหมดแล้วก็ไม่มีขนมอะไรน่ากิน หมี่เกาหลีที่นี่ถูกมาก ห่อละ 11 บาท เราจะหอบไปก็ขี้เกียจ เปลืองเนื้อที่กระเป๋า สุดท้ายก็ไปซื้อชาเขียวมา 3 ขวดเพราะที่นี่ถูก ขวดละ 3.75 หยวนเอง ซื้อไปเผื่อป๊า เราออกมาเจอกันประมาณ เกือบ 4 ทุ่ม เพราะคิวจ่ายเงินยาวมาก พี่หมวยกับพี่บี๋ได้ขนมมาหลายอย่าง ออกมาก็ไม่มีที่จะเดินแล้วเพราะห้างปิด ก็เลยนั่งแท๊กซี่กลับกัน แท๊กซี่ที่นี่แพงเหมือนกัน นั่งแค่ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง 50 เหรียญ (ระยะทางประมาณเพลินจิตไปอ่อนนุช)
ถึงโรงแรม เราก็ขึ้นไปเคาะประตูหามี๊แต่มี๊ไม่เปิด ป๊าคงออกไปเดินเที่ยวเหมือนกัน เรากับน้องเลยเดินลงไปข้างล่าง หาซื้อของต่อ เพราะตรงข้ามโรงแรมเป็นคล้าย ๆ service apartment ชั้นล่างมีร้านเปิด และมีมินิมาร์ทอยู่ 3 ร้าน โจ้ไปสำรวจราคาแล้วบอกว่าดูดี ๆ เพราะ 3 ร้านนี้ของราคาไม่เท่ากัน ลงมาถึง lobby เจอคุณไฉไลกำลังทะเลาะกับพนักงานเราเลยเดินข้าไปถาม เค้าบอกว่าจะขอกุญแจเปิดประตูห้องมี๊ เพราะมี๊ปวดฉี่แล้วลุกไปฉี่ไม่ได้ เราเลยบอกพนักงานว่าเราเป็นลูกสาวของแขกห้องนี้ เค้าก็ยังเถียงกันเป็นภาษาจีนอะไรไม่รู้ เหมือนจะทะเลาะกัน สุดท้ายเค้าก็ให้กุญแจมา (เป็นบัตรรูด) แต่เปิดได้แค่ครั้งเดียว พอเราขึ้นไปก็ปรากฎว่าป๊าขึ้นไปแล้ว ก็เลยเดินไปฝั่งตรงข้ามกับโจ้กัน สังเกตว่าคุณไฉไลตอนเย็น ๆ นี่เค้าจะแต่งตัวสวย เป็นกระโปรงลายดอก หรือว่าเธอกำลังมีรักครั้งใหม่
เราวิ่งข้ามถนนกันไป อยากบอกว่าการข้ามถนนที่นี่ถือเป็นการเสี่ยงชีวิตอย่างหนึ่ง เพราะรถที่นี่มักไม่ค่อยเบรคให้คนข้าม และไฟแดงไฟเขียวที่นี่ก็ดูวุ่นวายมาก ประกอบกับเมืองไทยเดินรถทางซ้าย เมืองจีนเดินรถทางขวา เวลาเราเดินข้ามถนนไปตามปรกติเราก็เดินดูทางขวาก่อน แล้วพอข้ามไปก็จะมองดูทางซ้ายโดยอัตโนมัติ ซึ่งตรงนี้จะทำเราเสียชีวิตหลายทีแล้วเพราะรถมันจะมาทางขวาไม่ใช่ทางซ้าย ที่เซี่ยงไฮ้จะต่างจากหนิงปอ เพราะที่หนิงปอ ถนนกว้างแต่ข้ามถนนปลอดภัย ไฟเขียวเค้าจะมีของคนข้ามถนนด้วย เวลาเป็นไฟเขียวก็จะเป็นรูปคนเดินแบบกราฟฟิก คือเป็นรูปตุ๊กตาเขียว ๆ เดิน ถ้าตุ๊กตาเดินเร็วขึ้นก็หมายถึงให้เรารีบๆ ข้าม ส่วนของรถยนต์ไฟเขียวเค้าจะเป็นลูกศร ถ้าให้เดินรถตรงไป ลูกศรก็จะเป็นพุ่งตรงไป ถ้าเลี้ยวก็จะพุ่งเป็นรูปโค้ง ถ้าพุ่งเร็วขึ้นก็คือจะไฟแดงแล้วนั่นเอง
หลังจากรอดชีวิตมาได้ เราก็เดินดูทั้ง 3 ร้านซื้อขนมมานิดหน่อย น้องซื้อเบียร์กับไก่เปรี้ยวหวานมากิน ตอนกลับขึ้นห้องเราก็แวะห้องมี๊อีกที เอาชาที่ซื้อมาให้ป๊า แล้วก็นั่งกินไก่กันที่ห้องมี๊เลย มี๊บ่นว่าปวดหลังมาก เราเลยเอาหมอนกับผ้าห่มมานอนที่ห้องมี๊
พรุ่งนี้ก็วัดสุดท้ายแล้ว เค้าจะพาไปชายหาดเซี่ยงไฮ้ ซึ่งเป็นจุดที่ถ่ายทำเรื่องเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้
Create Date : 14 กรกฎาคม 2549 | | |
Last Update : 18 พฤศจิกายน 2551 21:51:34 น. |
Counter : 406 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
วันที่ 6 ตกดังตุ๊บ!
เช้านี้เราจะเดินทางจากเมืองหนิงปอ ไปผู่ถัวซาน เป็นเกาะเจ้าแม่กวนอิม ทั้งเกาะจะมีวัดหลายวัด โดยที่มีเจ้าแม่กวนอิมเป็นพระประทาน ไม่ใช่พระพุทธเจ้า เกาะนี้เป็นเกาะเล็ก ๆ หลังจากขึ้นรถไปที่ท่าเรือใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง ก็ต้องนั่งเรือเร็วไปอีก 1 ชั่วโมง เราคุยเรื่องเสื้อกันหนาวให้คนอื่น ๆ ฟัง แล้วก็เลยรู้ว่าเค้าไม่ได้ไปเดินกันเพราะว่าพอเดินออกมาจากโรงแรมก็มีคนตีกัน เค้าก็เลยกลัวกลับเข้าห้องกันไปหมด
พวกเราไปเดินเตร็ดเตร่กันหน้าโรงแรมก่อนจะขึ้นรถ ที่หน้าโรงแรม มีรถเข็นขายของกินข้างทางเหมือนบ้านเรา มีปาท่องโก๋แต่ชิ้นยาวกว่า, แป้งนาน เหมือนของอินเดีย เค้าคลึงแป้งแล้วทับกับผัก ทับไปทับมาหลาย ๆ ชั้น สุดท้ายก็ทำเป็นแผ่นกลม ๆ แบน ๆ แปะใส่ในภาชนะข้างในคงเป็นดินเผาข้างนอกเป็นอลูมิเนียม สักครู่ก็เอาออกมาเป็นแผ่นแป้งอบ ที่เมืองไทยก็มีเคยออกรายการโทรทัศน์ เรียกว่าโรตรีโอ่ง อยู่แถว ๆ ประชาอุทิศ เนื่องจากเราเคยไปกินมาก่อนเพราะบ้านคนรู้จักอยู่แถวนั้น (อะแฮ่ม...) เลยสวมวิญญาณไกด์ อธิบายให้ลูกทัวร์ฟัง, เสี่ยวหลงเปา แล้วก็เกี๊ยวน้ำ เกี๊ยวน้ำที่นี่แป้งจะเป็นสีขาว ไม่ใช่สีเหลือง ทำรูปร่างเหมือนเกี๊ยวซ่า
เราขึ้นรถกันตอน 7 โมงเช้า ยังง่วงอยู่เลย พวกที่เดินชมอาหารเช้าเมืองจีน (รวมทั้งตัวเราเอง) ขึ้นรถเป็นกลุ่มสุดท้าย เรากับน้องไปนั่งหลังสุดตามเคย พอเดินไปถึงข้างหลังก็เจอมี๊กับซิ่มสุนทรีก่อนแล้ว มี๊นั่งอยู่เบาะหลังสุดที่เป็นแถวยาวจะได้เอนนอนและยืดแข้งยืดขาได้ พอมี๊เห็นหน้าน้องก็พูดว่า สมน้ำหน้าอยากขึ้นมาช้า อดได้ยืดขานอนเลย น้องเรามันก็ทำหน้าประมาณว่า อะไรวะ แล้วก็นั่งอยู่เบาะหน้าเรา ส่วนเบาะที่เรานั่งเป็นเบาะสุดท้ายก่อนเบาะยาว อีกฝั่งนึงเป็นแปะประสงค์ ซึ่งจองที่นั่งข้างหลังเป็นประจำเหมือนกัน มี๊มีพูดเล่นกับแปะประสงค์ว่า เฮีย ๆ เอนนอนสิ เบาะเฮียเอนมาเราจะได้ไม่ตกเวลานอน แปะก็หัวเราะ บอกว่ายังไม่ง่วง
มี๊กับซิ่มสุทรีคุยกันหัวเราขำกลิ้งไปตลอดทาง มีแอบนินทาคนโน้นคนนี้เป็นระยะ ๆ เราพยายามเงี่ยหูฟังแต่ฟังไม่ค่อยถนัด มีอยู่หนนึงเรากำลังมองข้างทางเพลิน ๆ มองกลับมาตรงเบาะที่ว่างข้าง ๆ อีกทีกระเป๋าที่วางเอาไว้ กลับกลายเป็นอี๊จ๋าย อยากจะเข้ามาร่วมวงคุยกับมี๊ และ ซิ่มด้วย มี๊ก็แกล้งเค้าทำไล่แบบทีเล่นทีจริง ให้เค้าไปนั่งกับป๊า เค้าก็งอนสะบัดหนีไป มี๊กับซิ่มเริ่มคุยกันเรื่องใต้สะดือ มี๊เล่าให้ฟังว่าตอนไปฮาวาย ก็มีจ่ายเงินให้สาวฮาวายโชว์โป๊ กี่เหรียญก็ไม่รู้ ถึงเวลาจริง ๆ เค้าโชว์แค่ช่วงบนไม่ยอมโชว์ช่วงล่างแล้วบอกว่า this price is not included everything ประมาณอยากให้เปิดช่วงล่างต้องจ่ายเพิ่มนะจ๊ะ
แล้วก็เล่าเรื่องที่ป๊าเรากับกู๋เก๊ ไปเล่นพนันที่ลาสเวกัส อยู่ริมถนนไม่มีอะไรทำเลยเอาหมวกวางที่พื้นถนน แล้วเต้นมะละกอ ส้ม กล้วย มีฝรั่งให้เงินอีกด้วย ซิ่มก็เลยเล่าบ้างบอกว่าลูกชายเค้าชวนพ่อไปเที่ยว ป๊า ๆ เราไปเที่ยวกันมะ ไม่ต้องเปลืองเงินหรอก จ่ายแค่คนเดียวพอ ป๊าเอาข้างบน เอี้ยงเอาข้างล่างเอง ดีมั๊ยป๊า ไอ้ห่า แล้วกูจะได้อะไรล่ะ ป๊าเค้าตอบ เล่าถึงตอนนี้คนหลังรถก็หัวเราะกันงอหาย
มี๊กำลังหัวเราะพร้อมกับล้มตัวลงนอน ยังไม่ทันถึงเบาะรถ รถที่เรานั่งก็กระเด้งอย่างแรง เรารีบคว้าที่จับไว้ แต่ตัวก็ยังลอยขึ้นไป หลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงดับตุ๊บก็ไม่ได้สนใจ เพราะคิดว่าเป็นกระเป๋าตก แต่ได้ยินเสียงซิ่มสุทรีร้องขึ้นมา เราหันไปดูมี๊เรา มี๊ไม่อยู่ที่เบาะแล้ว แต่ไปนอนที่พื้นรถแทน หน้าบ่งบอกว่าเจ็บมาก และมือยกขึ้นห้าม บอกว่าอย่าเพิ่งไปจับเค้า เราเลยเรียกป๊ามาดู มี๊พูดอะไรไม่ออกเพราะกระแทกไปอย่างแรง ลักษณะที่ล้มลงไปคือลอยขึ้นแล้วกระแทกลงพื้นรถ เค้าไม่แน่ใจว่ากระดูกจะหักหรือเปล่า เลยพยายามบอกป๊าว่า ซี่โครง ๆ คือเจ็บที่ซี่โครง ป๊าเคยมีประสบการณ์กระดูกหัก เลยให้แปะประสงค์ช่วยกันประคองมี๊ขึ้นโดยพยายามให้อยู่ท่าเดิมก่อนแล้วค่อย ๆ พานั่งลงบนเบาะรถ
โชคดีของอี๊จ๋ายที่มี๊แกล้งไล่ไปนั่งที่อื่น ไม่งั้นอี๊จ๋ายจะต้องกลิ้งลงไปตามทางเดินแล้วหน้าไถไปกับพื้นรถแน่นอน เพราะท่านั่งที่อี๊จ๋ายมานั่งข้าง ๆ เราเป็นลักษณะเอาขาหันออกไปที่ทางเดิน จะคว้าอะไรก็คงไม่ทัน
พอนั่งถึงเบาะรถแล้วป๊าก็รีบขอยืมสายรัดจากซิ่มวิภา เป็นสายรัดใหญ่ ๆ ที่คนปวดหลังชอบคาดกัน เอามาคาดให้มี๊กันกระดูกเคลื่อน คนขับรถรีบจอดรถเข้ามาดู แล้วบอกว่าแถวนี้ไม่มีโรงพยาบาลต้องไปถึงเกาะก่อนถึงจะมีโรงพยาบาล ถามมี๊ว่าไหวมั๊ย มี๊บอกว่าไหว แต่หน้าตาเจ็บปวดมาก มี๊บอกว่าพูดไม่ออก จุก เห็นดาวเลย ถามเหตุการณ์จากคนข้างหน้า ก็คือรถเค้าขับมาเร็วมาก พอข้ามสะพานมาตรงปลายสะพานเป็นเหมือนทางขาดทำให้เป็นหลุมใหญ่ เค้าเบรคไม่ทัน ป๊าบอกว่าสบายใจได้ ไม่ร้ายแรง ไม่มีกระดูกหักแล้วเคลื่อน เพราะไม่งั้นมี๊ต้องอาเจียน เห็นมั๊ยว่าอะไร ๆ ก็ไม่แน่นอน ซื้อประกันไว้ จะช่วยเราได้อย่างคาดไม่ถึงนะจ๊ะ อาจารย์ติ๋ว เป็นอาจารย์อยู่ที่สุพรรณ และ เป็นน้องเหล่าอี๊ส้มลิ้ม บอกว่าเข้าใจเลยว่ามี๊รู้สึกยังไง เพราะเค้าเคยตกรถเมล์ที่สุพรรณมาแล้ว
ไปถึงท่าเรือที่จะไปเกาะผู่ถัว มีทะเลาะกับคนขนกระเป๋าเล็กน้อย เพราะจะมาคิดเงินค่าขนใบละ 10 หยวน ใบไหนที่พวกเราหิ้วกันได้ ก็หิ้วกันเอง เพื่อไม่ให้มันเอาเปรียบเราจนเกินไป คุณไฉไลโกรธคนขนกระเป๋ามากเลย นั่งเรือประมาณ 1 ชั่วโมงก็จะถึงเกาะผู่ถัว บนเรือเป็นเรือไฮโดรฟอยด์ มีโทรทัศน์ให้ดูด้วย เนื้อหาก็เป็นเพลงสวดของเจ้าแม่กวนอิม เหมือนเป็นเพลงร้องเย็น ๆ มีดนตรีบรรเลง ทำนองง่าย ๆ ซ้ำไปซ้ำมา โชคดีที่ก่อนขึ้นเรือ มีผู้ชายคนนึงเค้ามีรถเข็น เพราะเค้าพาแม่มาด้วย มี๊ก็เลยไม่ต้องเดินจากรถไปขึ้นเรือ พอถึงเกาะผู่ถัว เราก็เจอไกด์ท้องถิ่นชื่อสุบิน เป็นผู้ชายผอมๆ แต่ดูคล่องแคล่ว พูดไทยเก่ง พวกเราเลยเรียกเค้าว่าฝันดีฝันเด่น
คุณสุบินพาพวกเราขึ้นรถ รถรับส่งที่เกาะนี้ จะไม่ใช่รถประจำของเราเองเหมือนที่อื่น ๆ แต่จะเป็นรถที่วิ่งวนอยู่ในเกาะ เป็นรถขนาดประมาณรถตู้ พวกเราก็เลยต้องนั่งเบียดกันเล็กน้อย เวลาเรียกรถก็จะใช้วิทยุเรียก รอสักแป๊บก็จะมีรถมา ไกด์บอกว่าพวกเราต้องเอาสัมภาระลงจากรถให้หมดทุกครั้งที่ลงจากรถ เพราะเวลาขึ้นรถอีกทีก็จะไม่ใช่คันเดิมแล้ว มี๊เดินขึ้นรถโดยมีซิ่มสุนทรีประคองตลอดเวลา เราเป็นคนไม่ชอบวุ่นวายอยู่แล้ว ถ้าเห็นว่ามี๊ หรือ อาม่ามีคนดูแลก็จะไม่เข้าไป เพราะมันจะกลายเป็นพัวพัน วุ่นวายมากกว่าเดิม
โรงแรมที่พักชื่อโรงแรมจงซิ่นผู่ถัว คุณสุบินบอกว่าโรงแรมนี้เป็นโรงแรม 8 ดาว พวกเราตาโตบอกว่ามันโม้แล้ว แล้วคุณสุบินก็อธิบายเพิ่มว่า ดาวบนธงจีนมี 5 ดวง บวกดาวของโรงแรม 3 ดวงเป็น 8 ดวง โธ่ ที่แท้ก็ 3 ดาวแต่โรงแรมนี้จัดว่าเป็นโรงแรมชั้น1 ของเกาะนี้ หน้าโรงแรมเป็นเวิ้งทะเลสาป ฝั่งตรงข้ามเป็นภูเขา ข้าง ๆ โรงแรมเป็นทางเดินขึ้นเขาคดเคี้ยวสองข้างทางคดเคี้ยวนั้นก็เป็นบ้านคนซึ่งยังปลูกแบบโบราณอยู่ บางบ้านก็ทำเป็นอพาร์ทเมนท์ให้เช่า ที่นี่ไม่มีตึกสูง โรงแรมที่เราพักนี้ก็สูงแค่ 4 ชั้นเท่านั้นโรงแรมอื่น ๆ ก็เหมือนกัน
เราแวะโรงแรมก่อนเพื่อเก็บกระเป๋า เสร็จแล้วทุกคนก็ขึ้นรถ แวะพามี๊ไปส่งที่โรงพยาบาล ป๊ากับคุณไฉไลลงไปกับมี๊ โชคดีที่ก่อนมาทำประกันสำหรับเดินทางเอาไว้ ถ้าเราประสบอุบัติเหตุ หรือเจ็บป่วยในต่างประเทศก็จะรักษาแล้วมาเคลมเงินคืนที่เมืองไทยได้ ส่วนคนอื่น ๆ ก็มุ่งหน้าไปวัดผู่จี้ เป็นวัดแบบโบราณ บรรยากาศอยู่ริมน้ำ ริมน้ำเป็นต้นหลิว สวยมาก ตามริมน้ำก็มีคนเอาของที่ระลึกมาขาย มีชุดฮ่องเต้ ฮองเฮา แบบโบราณให้เช่าด้วย เรานึกเป็นห่วงมี๊เลยไม่มีแก่ใจจะใส่ชุด ทุกทีต้องรีบตอแหลไปเอาชุดมาใส่แล้ว สำรวจราคาชา ที่นี่ขวดละ 5 เหรียญ แพงจังไม่ซื้อหรอก ตอนยืนอยู่หน้าทางเข้าวัด มีผู้หญิงจีน เดินมาคุยอะไรกับเราไม่รู้ คงเป็นคนขายของ แต่เรากับน้องฟังไม่รู้เรื่อง (ถึงฟังรู้ก็จะทำเป็นไม่รู้ ตั้งแต่ลงจากเขาหวงซานรู้เลยว่าไม่ควรพูดภาษาอะไรเป็นทั้งนั้น) สุดท้ายเค้าก็ถามว่าเราเป็นญี่ปุ่นใช่มั๊ย เราก็ส่ายหัว ประมาณฟังไม่รู้เรื่อง แล้วเดินเข้าวัดไป
ข้างในวัดบรรยากาศสงบมาก มีต้นไม้ร่มรื่น ข้างในโบสถ์จะไม่อนุญาตให้ถ่ายรูป และไม่ให้เอาธูปเข้าไป เวลาจะไหว้ถ้ามีธูปก็ให้ไหว้ที่หน้าโบสถ์จะมีกระถางธูปปักไว้ให้ นักท่องเที่ยวที่นี่มีเยอะ ไกด์บอกว่าส่วนใหญ่เป็นสิงคโปร์ เราไม่แปลกใจ เพราะคนสิงคโปร์บ้าไหว้พระ เราเฉย ๆ กับเรื่องไหว้พระ ก็เลยพาอาม่าไปไหว้เจ้าแม่กวนอิมในโบสถ์เสร็จแล้วก็ออกมานั่งรอที่ใต้ต้นไม้ในวัด บรรยากาศดีจริง ๆ เค้าเก็บเงินค่าเข้าวัดด้วย
เสร็จจากวัดผู่จี้พวกเราก็นั่งรถไปที่โรงพยาบาลเพื่อรับมี๊กลับ ป๊าแถลงข่าวบนรถว่า หมอที่นี่เค้าบอกว่ากระดูกหัก แต่ไม่เคลื่อนออกจากกัน หักไป 1 ซี่ เค้าเข้าเฝือกไม่เป็นบอกว่าการเข้าเฝือกเป็นเรื่องใหญ่มากสำหรับเค้า เลยให้มี๊รัดผ้าอีลาสติกแผ่นใหญ่ ๆ เอาไว้ มี๊บอกว่ารัดแล้วก็ดีขึ้น โชคดีที่ตอนแรกใช้สายรัดของซิ่มวิภาทำให้กระดูกไม่เคลื่อน ไม่งั้นต้องผ่าตัดแน่ ๆ ถึงหมอที่นี่จะผ่าตัดไม่เป็นแต่ยาที่ให้มีสรรพคุณดีมาก และบางอย่างก็ทำจากสมุนไพร โรงพยาบาลที่นี่เหมือนเป็นมูลนิธิ คือแล้วแต่จะบริจาค ค่าเอ็กเรย์ก็แค่ 30 เหรียญเท่านั้น
กลับโรงแรมไปทานอาหารเที่ยง กินไม่ได้อีกตามเคย อาหารที่เมืองจีนแต่ละมื้อ มีกับ 8-12 อย่าง เรากินได้แค่ ไม่เกินมื้อละ 3-5 อย่าง กับข้าวมันรสแปลก ๆ จริง ๆ น้ำแกงบางที่อย่างที่นี่ก็มีแต่ความมัน และ จืด ไม่มีรถหวานหอมของเนื้อไก่เลย
ไกด์บอกว่า บ่าย 2 ถึงจะออกจาโรงแรมเรากับน้องกินเสร็จก็ขึ้นไปที่ห้อง เราบอกโจ้กับป๊าว่าเราไม่ไปเที่ยวเกาะแล้วเพราะจะอยู่เฝ้ามี๊ เราบอกมี๊ว่าไม่ชอบไหว้พระอยู่แล้ว มี๊บอกว่า โจ๋เป็นห่วงมี๊มากกว่ามั๊ง เราก็บอกว่าเปล่า ใครเค้าห่วงมี๊กัน มี๊บอกว่าคุณสุนทรีเค้าติมา ว่าทำไมเรากับโจ้ไม่สนใจมี๊เลย ไม่เข้ามาประคองมี๊ มี๊บอกว่ามี๊เข้าใจ และรู้นิสัยเรากับน้อง ว่าเป็นคนไม่ชอบเสนอตัว แถมนิสัยเราก็ไม่ชอบให้ใครมายุ่งกับเรา ขนาดตอนเราไม่สบายนอนโรงพยาบาล ยังไม่ต้องให้ใครมาเฝ้าเลย อีกอย่างเราก็เห็นว่าเค้าก็มีซิ่มช่วยประคองอยู่แล้ว เราก็ดูอยู่ห่าง ๆ
ตกเย็นคณะทัวร์ก็กลับมากัน มีคนมาเยี่ยมมี๊ด้วยเค้าเป็นคนจากบริษัทประกันในเมืองจีน ตอนแรกตั้งใจว่าจะพากันมาหลายคน มาฟังมี๊ให้วิชาการ แต่มี๊บอกเค้าล่วงหน้าแล้วว่าเจ็บหลัง คงให้วิชาการไม่ได้ เค้าก็เลยมากัน 3 คน เป็นผู้บริหารของบริษัทที่นั่น เอากระเช้าผลไม้มาให้ และ หนังสือที่เป็นรูปภาพบนเกาะผู่ถัว เค้าบอกว่ารู้ว่ามี๊คงไม่ได้เที่ยวเกาะ เลยเอาหนังสือเล่มนี้มาให้ มี๊ซาบซึ้งมาก เพราะเค้ามาแล้วไม่ได้อะไร แถมต้องนั่งรถแล้วก็ต่อเรือ แล้วก็ต่อรถ กว่าจะมาถึงที่นี่ เค้าบอกว่าไว้วันหลังค่อยเชิญมาให้วิชาการแล้วกัน
อาหารเย็นเราเป็นอาหารเจ เราชอบกินผักอยู่แล้วก็กินได้เยอะเป็นพิเศษ แต่พวกที่ทำเลียนแบบหมูเห็ดเป็ดไก่นี่เราก็ไม่กิน เพราะมันคือหมี่กึง เราค่อนข้างจะต่อต้านอาหารเจเลียนแบบชอ เพราะมันเหมือนไม่ตั้งใจจะกินเจ แต่มีอยู่จานนึงอร่อยมากทำเป็นรูปร่างเหมือนปลา ข้างนอกเป็นฟองเต้าหู้ยัดไส้ผัดกระหล่ำปลีราดน้ำเปรี้ยวหวาน เต้าหู้เค้าเหนียวและหอมมาก
เราตั้งใจแล้วว่าจะไม่เที่ยวเกาะ ก็เลยอยู่กับมี๊ ดูทีวี สังเกตว่าโฆษณาที่นี่เร็วมาก ประมาณสปอตละ 10-15 วินาที แค่บอกชื่อสินค้าและคุณสมบัติอย่างรวดเร็วแล้วก็เปลี่ยนสปอต แต่ทำได้น่าสนใจมาก ดูมีลูกเล่นและเน้นความสดใน มีตัวการ์ตูนเข้ามาเล่นด้วย โชคดีที่มีอยู่ช่องนึงเป็นหนังจีน, เกาหลี มี sub ภาษาอังกฤษ และ จีน เราก็เลยดูพอรู้เรื่อง ไม่งั้นเบื่อแย่ ก็ช่องอื่นฟังไม่รู้เรื่องเลยนี่นา
วันนี้ไม่ได้เที่ยวไหนนะ พรุ่งนี้จะพากลับเซี่ยงไฮ้แล้ว เย้ๆๆ
Create Date : 14 กรกฎาคม 2549 | | |
Last Update : 18 พฤศจิกายน 2551 21:57:09 น. |
Counter : 393 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
วันที่ 5 ขาดแต่ไม่ขาด สั้นแต่ไม่สั้น
วันนี้ตามโปรแกรมเดิมจากเชียนเต่าหู เราจะมุ่งหน้าไปเมืองหนิงปอ แต่เจ็กประเวศบอกว่าที่เที่ยวไม่ค่อยน่าสนใจ ไปเมืองหังโจวล่องเรือที่ทะเลสาปซีหูก่อน แล้วค่อยไปหนิงปอจะดีกว่า เผอิญคุณไฉไลเป็นคนหังโจว เราจึงไม่ต้องมีไกด์ท้องถิ่นสำหรับวันนี้
อาหารเช้าเราทานกันที่โรงแรมไห่ว่ายไห่ อาหารดีกว่าทุกวัน มีหมี่ผัด น้ำเต้าหู้ ผัดผัก เกี๊ยวน้ำ บะจ่าง แต่บะจ่างของที่นี่ห่อเหมือนข้าวต้มมัด ใส่แต่ข้าวเหนียวและปลาเค็มชิ้นเล็ก ๆ และอาหารอื่น ๆ ก็น่าทานเหมือนกันเราเลยกินซะเยอะเลย ต้องกินตุนเอาไว้นะ (หุหุ) มีขนมเค๊กด้วย ครีมเค้าอร่อยดี รสชาดเหมือนวิปครีม เราเอาขนมครีมส้มที่ซื้อไว้ติดตัวไปด้วย เมื่อคืนก็กินแก้หิวไปชิ้นนึงอร่อยมากเลย ไปเซี่ยงไฮ้ต้องหาซื้อให้ได้ แต่ปรากฎว่าจนวันสุดท้ายก็ยังหาซื้อไม่ได้อีกเลย ใครรู้ว่าที่ไหนมีขายบอกด้วยนะคะ
ออกจากโรงแรมประมาณ 8 โมงเช้า ใช้เวลา 3 ชั่วโมงก็จะถึงหังโจว ระหว่างทางคุณไฉไลอธิบายเกี่ยวกับเมืองต่าง ๆ ของจีน บอกว่าทางเหนืออากาศเย็นที่สุดคือ 40องศา ที่ฮาบิ้น ทางเหนือจะฝนไม่ค่อยตกอากาศแห้ง ส่วนทางใต้ก็จะต่างกันคือฝนตกและมีแดดจัด เมืองที่พูดเพราะที่สุด มีมารยาทที่สุด คือซูโจว ประมาณว่าถ้าจะตบหน้าใครก็จะบอกว่า ขอชั้นตบหน้าเธอหน่อยได้มั๊ย ส่วนหนิงปอเป็นเมืองที่พูดเร็วมากถึงกับมีคำบอกว่า ยอมทะเลาะกับคนซูโจวยังดีกว่าคุยกับคนหนิงปอ
10 โมงกว่าเราก็เข้าเขตเมืองหังโจว สังเกตว่าบ้านช่องที่หังโจวจะดูดี ลักษณะเป็นตึก บ่งบอกถึงสภาพเศรษฐกิจว่าน่าจะดีกว่าเมืองอื่น ๆ ที่หังโจวเป็นเมืองที่ค่อนข้างเจริญ มีสนามบินที่มีเที่ยวบินไปกรุงเทพฯ อาทิตย์ละ 2 ไฟลท์ ประชากรประมาณ 1,530,000 คน อากาศดีอยู่ทางทิศตะวันออก นักท่องเที่ยว และ คนที่มาทำงานจากเมืองอื่นประมาณ 300,000 คน มีพื้นที่ 180 ตารางกิโลเมตร จากประวัติศาสตร์จีน มาร์โคโปโลกล่าวไว้ว่าหังโจวเป็นเมืองที่สวยที่สุด กล่าวได้ว่าเป็นเมืองสวรรค์ทีเดียว คุณไฉไลอธิบายต่อว่าเมืองหังโจวเป็นเมืองที่คนท้องถิ่นไม่ย้ายไปทำมาหากินที่เมืองอื่น เพราะเป็นเมืองที่น่าอยู่ และเศรษฐกิจดี
สองข้างทางเราเริ่มมองเห็นไร่ชาและมีเต๊นท์เล็ก ๆ รูปร่างเหมือนเต๊นท์ผ้าที่เราเห็นตามห้าง มี่สี่ขา, โต๊ะ, เก้าอี้ ตั้งอยู่ริมถนน ก็คือเจ้าของไร่ชาเอามาตั้งไว้ เป็นสวนชาที่คนท้องถิ่นมักจะพาครอบครัวมานั่งดื่มชา ชมทิวทัศน์ สูดอากาศบริสุทธิ์ ส่วนมากจะมากันตั้งแต่เช้า จนถึงเย็นทานอาหารเที่ยงกันที่สวนชาเลย ชีวิตช่างมีความสุข น่าอิจฉา รถของเราเลี้ยวไปที่ด้านในยิ่งลึกยิ่งมีชาปลูกตามสองข้างทางมาก ชาที่นี่ปลูกขึ้นไปถึงบนเนินเขา เลยดูเขียวไปหมด ชาที่ปลูกจะมี ชาอูหลง ชาเขียว และ ชาหลงจิ่ง ชาหลงจิ่งมีชื่อมากที่สุด ส่วนชาเขียวก็เป็นที่นิยมเพราะมีคุณค่าทางอาหารสูง ชาเขียว 1 ถ้วย มีวิตามิน A เท่ากับแอปเปิ้ล 2 ลูกครึ่ง
การเก็บชาของที่นี่จะให้ผู้หญิงเป็นคนเก็บ เก็บปีละ 3 ครั้ง คือฤดูใบไม้ผลิ ใบไม้ร่วง และฤดูร้อน โดยจะเก็บแค่ยอดอ่อนเท่านั้น ส่วนผู้ชายมีหน้าที่คั่วใบชา จะเห็นได้ตามข้างทางว่าเค้าใช้กระทะใบใหญ่คั่วชาโดยใช้มือเปล่าลงไปคั่วในกระทะ เพราะถ้าใช้ตะหลิวก็จะแข็งเกินไป ทำให้ใบชาแตก มือจะอ่อนนุ่มกว่ารักษารูปใบได้ดีกว่า ชาที่นี่จึงมีราคาแพงมากถึงกระปุกละ 200 หยวน (กระปุกขนาดยาว)
รถพาเราจอดที่ไร่ชาแห่งหนึ่ง ตามฟอร์มเดิมก็คือให้เข้าไปลองสินค้า (ชิมชา) อธิบายสรรพคุณ และขายของ เราชิมดูแล้วบอกตรง ๆว่ายังงั้น ๆ ไม่อร่อย ไม่หอม ไม่ชุ่มคอเหมือนที่กินเมื่อวาน ซึ่งหอมและชุ่มคอกว่า อาจจะเป็นเพราะว่าที่นี่ลวกใบชาแค่น้ำเดียวก็เลยไม่เข้มข้น มี๊ยังบอกเลยว่าเคยมาที่หังโจวไปชิมชาร้านอื่น อร่อยกว่านี้เยอะเลย คนขายมีเอากระจาดชา 3 กระจาด มาให้ดูแล้วให้พวกเราเดาว่าอันไหนเป็นชาเกรดเอ อย่าหาว่าคุย เรามองปราดเดียวก็จิ้มไปที่กระจาดนึงแล้วบอกว่าอันนี้แหละ ชาเกรดเอ เพราะสีอ่อนกว่ากระจาดอื่นและใบก็ยาวสวยอีกด้วย คนขายบอกว่าถูกต้อง แต่ไม่เห็นมีรางวัลให้เลย
มาถึงช่วงขายของคนขายบอกว่าถ้าซื้อ 2 กระป๋อง จะแถมกระป๋องเล็ก 1 กระป๋องซึ่งกระป๋องที่เค้าขายจะเอาชาเกรดเอนั้น ใส่กระป๋องให้ดูสด ๆ และอัดให้จนล้นกระป๋อง ป๊าเราต่อว่าขอแถมเป็นกระป๋องใหญ่ไม่ได้เหรอ เค้าบอกว่าไม่ได้ เพราะว่ากระป๋องใหญ่เค้าจะนับกระป๋องไม่สามารถเอามาใส่ประป๋องใหญ่แจกฟรีได้ ป๊าเราเลยบอกว่าก็อัดใส่กระป๋องแล้วก็เทใส่ถุงสิ ไม่ต้องเอากระป๋อง คนขายอึ้ง ๆ ไป แต่ก็ยอม ทุกคนคงเดาได้ ประสาพี่ไทยช่างซื้อและเป็นเหยื่อมาร์เก็ตติ้ง(ลด แลก แจก แถม)โดยง่ายก็รุมซื้อกันจนคนขายแทบอัดใส่กระป๋องไม่ทัน แต่ก็ยังรอบคอบดูว่าคนขายใส่ทุกกระป๋องจนล้นแน่หรือเปล่า รวมทั้งกระป๋องที่แถมด้วย ถ้าไม่ล้นก็ให้เค้าใส่ใหม่ จนเค้าต้องพูดว่ารู้จักพอซะบ้างสิ แล้วก็หน้าเป็นตูดอัดชาใส่กระป๋องอย่างแรงประชด (ดีแล้ว ยิ่งอัดแรง ๆ เราก็จะได้ชาเยอะ อิอิ) ไม่สนใจหรอก ยังไงชั้นก็ไม่กลับมาที่นี่แล้วล่ะย่ะ หล่อนจะเกลียดขี้หน้าพวกชั้นก็ตามใจ แต่เราไม่ซื้อหรอกนะ ชาอะไร ไม่อร่อยแถมยังขายแพงอีก
นอกจากใบชาแล้วที่นี่ก็ยังมีหมอนใบชา เป็นหมอนที่ข้างในเป็นใบชาที่ใช้แล้วนำไปตากแห้ง คนขายบอกว่าทำให้หลับสบายและฝันดี เพราะหอมกลิ่นชา แล้วก็มีน้ำมันชา แปลกมากเลย เป็นน้ำมันเหมือนน้ำมันพืชนี่แหละ ใช้ทำอาหารได้ ไม่มีคลอเรสเตอรอล คงประมาณน้ำมันดอกคำฝอยบ้านเรา ทางออกจะต้องลงบันไดไปด้านล่างเพราะชั้นล่างเป็นร้านขายของอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับชาอีก เช่นอุปกรณ์ชงชา ถ้วยชา ป้านน้ำชา ฯลฯ สุดทางออกมีขาหมูที่หมักใบชา เหม็นมากจนเราต้องรีบวิ่งออกไปโดยเร็ว เข้าใจไล่แขกดี แต่ป๊าบอกว่าไอ้ขาหมูเหม็น ๆ นี่เค้ามาเคี่ยวแล้วเอาน้ำแกงไปทำหูฉลามนะ ไม่อยากจะเชื่อเลย
เรากับน้องออกมาก่อน เพราะของที่ขายไม่ต้องรสนิยม แล้วก็พากันเดินขึ้นเขาไปถ่ายรูปไร่ชากัน แดดจัดแต่ก็ไม่แรงมาก มีร่มเงาไม้ และ ไร่ชาเขียวเต็มภูเขาไปหมด เหมาะจะถ่ายรูปมาก เราก็แชะ ๆ กันไปคนละสองสามใบ อากาศข้างบนดีมาก
เสร็จจากไร่ชาก็พาไปทานข้าว ไกด์บอกว่าให้รีบทานเพราะต้องไปลงเรือที่ทะเลสาปซีหู ถึงทะเลสาปซีหูประมาณบ่ายโมงแดดร้อนมาก พวกเราเกือบลงเรือไม่ทัน เรือที่พวกเรานั่งไปเป็นเรือค่อนข้างใหญ่ มี 2 ชั้น คนอื่น ๆ เค้านั่งอยู่ชั้นล่าง แต่เราปีนขึ้นไปชั้นบน เพราะชั้นล่างแทบจะไม่มีที่นั่ง เบียดด้วย ข้างบนอากาศก็ดีกว่าด้วยเห็นวิวชัดกว่า ข้างบนมีแต่เรา ซิ่มวิภา และสามี
ทะเลสาปซีหูเป็นทะเลสาปที่ใช้คนขุดขึ้นเพื่อเป็นที่พักผ่อนของฮ่องเต้สมัยก่อน ที่นี่มีโรงแรมที่แพงมาก ห้องสูทของเค้าราคาคืนละแสนกว่าบาท แต่ทิวทัศน์ที่ทะเลสาปนี้ก็สวยงามดี เห็นทิวเขาสลับซับซ้อน ฝั่งนึงเป็นแบบโบราณมีเจดีย์ สะพาน ต้นหลิว เหมือนในหนังจีน ส่วนอีกด้านกลับเป็นเมืองที่มีตึกสูงขึ้นเต็ม ดูขัดแย้ง แต่ก็สวยคนละแบบ
พูดถึงสะพาน สะพานที่นี่มีเยอะหลายสะพาน เป็นต้นกำเนิดของนางพญางูขาว และ ม่านประเพณี คิดว่าทุกคนคงรู้จัก 2 ตำนานนี้ดีแล้ว ซึ่งสะพานที่บอกว่าเยอะนั้นมีอยู่ 2 สะพานที่เด่น ๆ คือสะพานนึงที่ยาวและบางมากจนเหมือนจะขาด แต่ไม่ขาด เป็นเรื่องของนางพญางูขาวที่ตัดขาดจากสามี ณ สะพานนี้ คือความสัมพันธ์ขาด แต่สะพานไม่ขาด ส่วนอีกสะพานเป็นสะพานสั้น ๆ แต่เค้าว่ากันว่า สั้นแต่ไม่สั้น หมายความว่าสะพานนี้เป็นสะพานที่พระเอกเรื่องม่านประเพณีมาส่งนางเอก ตอนที่เรียนจบซึ่งทั้งสองจะต้องจากกันกลับไปบ้านของตน ตอนนั้นพระเอกยังไม่รู้ว่านางเอกเป็นผู้หญิง แต่ก็มีใจผูกพันเหมือนเป็นเพื่อนรัก จึงเดินส่งกันไปส่งกันมาบนสะพานเป็นหลายรอบทั้ง ๆที่สะพานสั้นนิดเดียว จึงได้ชื่อว่าสั้น แต่ไม่สั้น โรแมนติกดีเนอะ
หลังจากล่องเรือเราก็ไปที่ร้านผ้าไหม ร้านผ้าไหมที่นี่ชื่อดังมาก ส่งออกต่างประเทศด้วย เค้าพาไปดูวิธีทำไหม ต้องเอาไหมไปต้มน้ำร้อน พนักงานต้องหยิบตัวไหมออกมาจากน้ำ เราเห็นแล้วสงสารเพราะเค้าไม่ใส่ถุงมือ น้ำไม่ร้อนมากหรอก แต่ถ้าทำอย่างนี้ทั้งวันมือเค้าคงเปื่อย แล้วก็เดินเข้าไปด้านใน จะมีสินค้าวางขาย ที่มีชื่อมากก็คือผ้าห่มไหม ส่วนที่เป็นนวมข้างในทำจากไหมทีต้องมี 2 ตัวอยู่ในรังเดียวกัน พอได้เป็นใยไหมแล้วก็เอามาคลุมบนอะไรไม่รู้ หน้าตาเหมือนหัวโต๊ะรีดผ้า พอแห้งแล้วก็เอาไปให้คนจับ 4 มุม แล้วยืดดดด ไม่น่าเชื่อเลยจากแผ่นประมาณกระดาษ A4 สามารถยืดออกไปได้ใหญ่ขนาดผ้านวม คลุมแบบนี้หลาย ๆ ชั้นจนหนาดี แล้วก็เอาไปใส่ปลอกที่ทำจากผ้าไหม มี๊บอกว่าผ้าห่มแบบนี้ ห่มเวลาอากาศร้อน ก็เย็นสบาย เวลาอากาศหนาวก็อบอุ่น
พอผ่านส่วนทำผ้าห่มแล้วเค้าก็บอกว่าให้ไปดูแฟชั่นโชว์ (โอ้โห) เราก็เข้าไปนั่งห้องแฟชั่นโชว์ มีแคทวอล์กอยู่ด้านหน้า แล้วก็มีเสียงเพลงขึ้นมีสาวจีน เดินออกมาโชว์ชุดต่าง ๆ ชุดนอน ชุดทำงาน ชุดลำลอง นางแบบเค้าขาลายมากเลย แต่หน้าตาก็ดีนะ ชุดก็เชย ๆ ธรรมดา แต่ชุดนอนก็สวยดี เสร็จแล้วเค้าก็ให้ออกไปอีกประตูหนึ่งเป็น shop ของเค้า มีกี่เพ้าของเด็กด้วยน่ารักดี แล้วก็กระเป๋าไหมปักลาย ใบละ 500 เอง
จากร้านผ้าไหมพวกเราก็มุ่งหน้าไปเมืองหนิงปอ กว่าจะถึงหนิงปอก็มืดแล้ว หังโจวว่าดูเจิรญแล้ว หนิงปอยังเจริญยิ่งกว่า เหมือนอยู่ในฮ่องกงเลย มีห้างสรรพสินค้าหลายห้าง ที่ชอปปิ้งคล้าย ๆ จิมซาจุ่ยของฮ่องกง และตึกสวย ๆ หลายตึก เรามองอย่างหมายมั่นว่าคืนนี้แหละ ต้องมาเดินที่นี่ให้ได้ มีร้านกาแฟน่านั่งหลายร้านเสียดายที่ไม่กินกาแฟ
โรงแรมที่เราพักอยู่ไกลจากที่ชอปปิ้งมากอยู่เหมือนกัน พอถึงโรงแรมก็ไปทานข้าวเย็นกัน เสร็จแล้วก็ได้เวลาชอปปิ้ง กับกรุ๊ปเดิม คือ น้องเราและมี๊ มี๊บอกว่าเบื่อไปกับคนเยอะ ๆ เหมือนกัน เลยไปกับเราด้วย เราถามพนักงานว่าจะไปชอปปิ้งต้องเดินไปทางไหนเค้าชี้ไปบอกว่าออกจากโรงแรมแล้วเดินไปทางขวาแต่ไกลหน่อยนะ เราก็เดินไปเรื่อย ๆ จนถึงจุด ชอปปิ้งที่หมายตาไว้เมื่อกลางวัน มีกี่ห้าง ๆ เราแวะหมด โจ้ดูเสื้อกันหนาว และรองเท้ากีฬา เราเดินดูขนม แต่ก็ไม่มีอะไรน่าซื้อ เสื้อผ้าไม่ค่อยสวย สังเกตว่าที่นี่เวลาติดป้ายลดราคา ถ้าเขียนว่า 30 หมายความว่าลดเหลือ 30% ก็คือลด 70%
เดินดูห้างที่เมืองจีนมาหลายห้างและหลายเมือง สังเกตว่าที่นี่ไม่มี เซเว่นอีเลฟเว่น และ เสื้อผ้าที่ขายในห้างก็ไม่ใช่ยี่ห้อจ๋าเหมือนบ้านเราแต่เป็นของเค้าเอง เรารู้สึกดี เพราะเราก็เคยสงสัยว่าทำไมเมืองไทยต้องมีเซเว่น ทำไมไม่ให้เราทำมินิมาร์ทเปิด 24 ชั่วโมงเป็นยี่ห้อของเราเอง จะได้ไม่ต้องให้ฝรั่งมาถือหุ้น ไม่ต้องเสียค่าลิขสิทธิ์อะไรให้วุ่นวาย มันก็คงมีอะไรเบื้องหลังที่คนความรู้น้อยอย่างเรามองไปไม่ถึงล่ะมั๊ง แต่พอมาเมืองจีนแล้วอยากชูนิ้วโป้งให้ และ บอกจากใจว่าเยี่ยมจริง ๆ ไม่แปลกใจเลยที่เค้าก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำทางเศรษฐกิจได้ในเวลาไม่กี่ปี ส่วนพี่ไทยถอยหลังลงทุกวัน หรือบางทีถ้าเราไปปักกิ่ง หรือเมืองใหญ่ ๆ ก็อาจะมีเซเว่นทุกหัวมุมถนนก็ได้นะ คิดอีกแง่นึงน่ะ
เดินไปเรื่อย ๆ ก็ไม่เห็นมีร้านขายขนมห้างที่นี่เป็นห้างแบบเน้นเสื้อผ้า เครื่องสำอาง แต่ไม่มีซูเปอร์มาร์เก็ตที่ชั้นใต้ดินเหมือนบ้านเรา มี๊เราเดินผ่านร้าน KFC บอกว่าอยากกินไอติมเราเลยเข้าไปซื้อกัน ดูราคาแล้วก็พอ ๆ กับเมืองไทย แพงกว่านิดหน่อย ไอติมโคนละ 2 หยวน (10 บาท) แต่ให้เยอะมาก ไม่เหมือนบ้านเราให้แบบจุ๋มจิ๋ม เดินไปเดินมาเราเจอร้านเค๊ก เป็นร้านขายเค๊กและขนม เจอขนมแบบที่เราชอบด้วยคือข้างนอกเป็นแป้งเหมือนแป้งพายแต่ร่วน ๆ และหอมเนยมาก มีไส้เป็นผลไม้กวน อร่อยมากก ชิ้นละ 3 หยวน แต่ถ้าใส่กล่องสวย ๆ จะกลายเป็นชิ้นละ 3.8 หยวน เราซื้อแบบไม่ใส่กล่องมา 8 ชิ้น
เราเดินกันเป็นฝั่งคือเริ่มจากฝั่งซ้ายมือซึ่งเป็นทางเดียวกับโรงแรมก่อน พอเดินไปจนถึงห้างสุดท้ายและมองไปข้างหน้าไม่มีอะไรน่าสนใจ พวกเราก็ข้ามถนนไปห้างฝั่งตรงข้าม เจอเสื้อกันหนาวลดราคา เสื้อกันหนาวแบบนวม ๆ ใส่ได้สองด้านมีฮู๊ต ราคา 130 หยวน (หกร้อยกว่าบาทเท้านั้นครับท่าน) ไอ้โจ้รีบคว้าแทบไม่ทัน มี๊เราก็ถูกใจเสื้อกันหนาวแบบมีเฟอร์ตัวนึง คิดเป็นเงินไทยก็พันนิด ๆ สวยดีด้วย เสื้อกันหนาวผู้หญิงสวยมากเลย เป็นนวมๆ สีชมพูมีเฟอร์ฟู ๆ อยากได้เหมือนกันแต่ไม่รู้จะเอาไปใส่ที่ไหน คนขายบอกว่าช่วยเลือกเร็ว ๆ หน่อยเพราะห้างจะปิดแล้ว มี๊เราใส่ไม่พอดีก็เลยเอาแค่ตัวเดียว ไปจ่ายเงินเค้าบอกว่ารับบัตรเครดิต แต่ไม่รับบัตรเครดิตต่างประเทศ รับเฉพาะของธนาคารในประเทศเท่านั้น บ้าจริง ก็เลยต้องจ่ายเป็นเงินสด แล้วก็วิ่งขึ้นไปดูรองเท้ากีฬาต่อจนห้างปิด
พอห้างปิดก็ไม่มีอะไรน่าดูแล้ว พวกเราก็เลยเดินกลับโรงแรม เราหิวน้ำมาก็เลยแวะซื้อชาที่ร้านขายของชำ คนขายบอกว่าเร็ว ๆ หน่อยเค้าคุยโทรศัพท์อยู่ คนขายที่นี่ทำไมชอบเร่งลูกค้าจังวะ เลยต่อราคาจาก 3.5 หยวน เป็น 3 หยวน คนขายรีบพยักหน้าประมาณรีบ ๆ ไปซะ กว่าจะถึงโรงแรมก็สี่ทุ่มกว่า น้องกับมี๊กระหยิ่มยิ้มย่อง บอกว่าพรุ่งนี้จะเยาะเย้ยพวกที่ไม่ได้ออกมาเดินด้วยกัน ว่าซื้อเสื้อกันหนาวตัวละ 600 กว่าบาทเองนะ
พรุ่งนี้เราจะจากความเจริญหันหน้าเข้าวัด ไปผู่ถัวซาน เกาะเจ้าแม่กวนอิมกัน
Create Date : 13 กรกฎาคม 2549 | | |
Last Update : 18 พฤศจิกายน 2551 22:03:09 น. |
Counter : 319 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
วันที่ 4 วันนี้มีแต่ปลา
วันนี้ ตามโปรแกรมคือ 7-8-9 (ตื่น 7 โมง, เอากระเป๋ามาวางหน้าห้อง และทานอาหารเช้า 8 โมง, 9 โมงออกจากโรงแรม) วันนี้จะออกจาถุนซี ไปที่เชียนเต่าหู (ทะเลสาบพันเกาะ) นั่งรถประมาณ 3 ชั่วโมง ไปถึงที่ท่าเรือเพื่อโดยสารเรือต่อไปที่โรงแรม ระหว่างทางก็จะแวะให้ชมเกาะ 2 เกาะ รวมระยะเวลาล่องเรือประมาณ 4 ชั่วโมง
ออกจากโรงแรม 9 โมงตรง คนขับรถขับซิ่งมากบีบแตรไปตลอดทาง ทางที่จะไปต้องขึ้นทางด่วน ทางด่วนที่นี่ปรกติจะไม่เสียเงิน เพราะจ่ายรวมกับภาษีรถยนต์ไปเรียบร้อยแล้ว คนขับรถแบบระห่ำพร้อมบีบแตรไปด้วยตลอดทาง พวกเราก็นั่งร้อน ๆ หนาว ๆ พอจะถึงด่านทางด่วนก็ได้ยินเสียดังปัง! แถมรถเบรคอย่างแรง ทุกคนตกใจว่าเกิดอะไรขึ้น คนเห็นคนขับรถเดินลงไปเจรจากับคนคุมด่านและเหล็กที่กั้นด่านบุบไป ก็เลยรู้ว่าคนขับรถเค้าขับฝ่าด่านที่ปิดไว้ มันบ้าจริง ๆ เถียงกับคนคุมด่านแป๊บเดียวก็ขึ้นรถแล้วขับตะบึงต่อไป
ถึงท่าเรือประมาณ เที่ยงกว่า พวกเราดีใจมากที่รอดชีวิตมาได้ (ขับระห่ำขนาดนั้นไม่ถึงเร็วก็ไปไม่ถึง) พอลงจากรถเท่านั้นแหละ บรรดาพ่อค้ามี๊ขายก็เอาผลไม้วางใส่ตะกร้าใบน่ารักมารุมขายเต็มไปหมด ต้องใช้คำว่ารุมเพราะเราเดินแทบไม่ได้เลย แต่ละคนตั้งหน้าตั้งตาลงเรือเพราะกลัวจะโดนล้วงกระเป๋าและพูดภาษาจีนกันไม่เป็นด้วย เลยรีบขึ้นเรือแล้วค่อยให้ไกด์ต่อให้จะดีกว่า ผลไม้น่ากินมากมีทั้งองุ่น ลูกไหน ซึ่งน้องเราบอกว่าเชอร์รี่ที่นี่ทำไมลูกใหญ่จัง สงสัยมันจะแกล้งโง่ เกาลัดต้ม สีซีด ๆ ตอนแรกนึกว่ายังไม่สุก ลูกพลับ และ ลูกท้อ คนขายตามรุมพวกเราไปถึงในเรือส่งเสียงแข่งกันขายฟังไม่ได้ศัพท์ ป๊า มี๊ และคุณไฉไลเป็นตัวแทนพวกเราไปซื้อและต่อรองราคา ได้มา 4 ตะกร้าร้อยหยวน ถูกมาก ไปซื้อเยาวราชราคานี้คงได้แค่ตระกร้าเดียว
เรือที่เราโดยสารเป็นเรือที่เหมาทั้งลำ เป็นเรือไม้ลำใหญ่ประมาณเรือข้ามฟาก มี 2 ชั้น มีห้องน้ำซึ่งเหม็นมาก แต่คนขับเรือบอกว่ารอให้เรือแล่นก่อนน้ำจะหมุนเวียนแล้วจะไม่เหม็น เราทานข้าวเที่ยงกันบนเรือ ชมทิวทัศน์อากาศดีมาก แดดไม่จัด ข้างทางทิวทัศน์เป็นภูเขาซ้อนกันเป็นสีเทา ๆ เหมือนในภาพวาดจีน และบ้านช่องก็ปลูกอยู่บนเขาริมทะเลสาบ ลดหลั่นกันเป็นชั้น ๆ สีขาว ๆ มอ ๆ ดูน่ารักดี
อาหารเที่ยงก็เริ่มมีปลาชนิดต่าง ๆ แล้ว มีกุ้งตัวเล็ก ๆ ใหญ่กว่ากุ้งฝอยหน่อยนึง ปลานึ่ง ซึ่งก้างเยอะมาก และผัดผัก (ตามฟอร์ม) ผัดเต้าหู้ ฯลฯ คนที่นั่งอยู่ฝั่งท้ายเรือ เวลานั่งจะต้องนั่งอยู่กับที่ ลุกขึ้นไม่ได้เพราะเรือจะเอนไปข้างหลัง ถ้าลุกขึ้นเก้าอี้ก็จะล้มลงตามความชันของเรือ ถือว่าทุลักทุเลพอใช้
ทานข้าวเที่ยงเสร็จก็นั่งปอกผลไม้ที่ซื้อมาเอามาแบ่งกัน ลูกท้ออร่อยมาก เกาลัดที่ดูสีซีด ๆ จริง ๆ ต้มสุกแล้วหวานเนื้อเหนียวไม่ร่วน แต่แกะออกจากเปลือกยาก ต้องหามีดมาแซะ ส่วนองุ่นและลูกไหน (เชอร์รี่ยักษ์ของน้องเรา) เริ่มนิ่มแล้ว เจ็กประเวศก็เอาขนมขบเคี้ยวออกมาให้กิน อากาศเย็นลมแรง ทิวทัศน์ข้างนอกก็สวยมากเราพกหนังสือไปอ่านด้วย ก็เลยไม่ค่อยเบื่อ คนอื่น ๆ พอกินผลไม้เสร็จก็ไปนอนกัน บนเรือมีห้องแยกต่างหาก 2 ห้องในห้องมีชุดรับแขกเป็นไม้ห้องนึง เป็นเบาะห้องนึงห้องที่เป็นเบาะสกปรกมาก เหม็นอีกต่างหาก เราทำตัวเป็นสัภมเวสี หาที่นอนไม่ได้อยู่พักนึงเพราะเก้าอี้ถูกคนอื่นจับจองเป็นที่นอนไปหมดแล้ว ก็เลยอ่านหนังสือฆ่าเวลาโชคดีมากที่ติดหนังสือไป เป็นของเฮียเองแหละ มังกรคู่สู้สิบทิศ เข้ากับบรรยากาศเลย ประมาณบ่าย 2 ครึ่ง ไกด์บอกว่าจะให้เที่ยวลงเกาะแล้ว
เราลองแวะเข้าไปชมห้องน้ำของเรือลำนี้ดูซะหน่อย โอ้ เข้าไปแล้วจะอึ้ง เพราะมีโถส้วมแบบยอง ๆ ฉี่ ไม่มีน้ำราด ไม่มีที่กดน้ำ มีโถส้วมอันเดียวเท่านั้น แต่ในโถมีน้ำหมุนวนอยู่ตลอดเวลาตรงบริเวณที่รูที่ราดส้วมซึ่งรูกว้างเป็นพิเศษทำให้น้ำถ่ายเทและไม่เหม็น โดยที่ไม่ต้องเสียเวลาราดน้ำเลย อย่างงี้ต้องเรียกส้วมระบบน้ำวน มิน่าเค้าถึงบอกว่ารอให้เรือแล่นก่อนแล้วจะไม่เหม็น
ไกด์อธิบายว่าเชียนเต่าหูได้ชื่อว่าเชียนเต่าหู เพราะเวลาที่น้ำอยู่ที่ระดับ 180 เมตรจะปรากฏเกาะใหญ่น้อย เป็นจำนวนถึง 1078 เกาะ และใต้น้ำยังมีอำเภอ 2 อำเภอ จมอยู่ที่ใต้ทะเลสาบด้วย เกาะนี้มีปลาหลากหลายชนิดประมาณ 70 กว่าชนิด เป็นทะเลสาบตามธรรมชาติที่ใหญ่มากมองไปทางไหนก็จะมีแต่เกาะ และภูเขาสุดลูกหูลูกตา ที่มีน้ำแร่ชื่อดังของจีนด้วย
เกาะที่เค้าแวะให้เราไปเที่ยว 2 เกาะ ทั้ง 2 เกาะมีสะพานเหล็กเชื่อมต่อกัน เราขึ้นเรือจากเกาะหนึ่ง ไปลงเรือที่อีกเกาะหนึ่ง ฝนตกปรอย ๆ เราเลยรีบไปหยิบเสื้อกันฝนที่ได้จากหวงซานมาให้อาม่า อาม่าเดินไปด่าไป บอกว่าเดินไกล ที่ ๆ แวะที่แรกคือเกาะนก เกาะนี้เป็นสวนนก หน้าสวนนกเป็นรูปปั้นหินเป็นรูปนก 2 ตัวกอดกันเป็นรูปหัวใจ ข้างในสวนนกก็เป็นสวนนกเล็ก ๆ ป๊าแวะซื้ออาหารนกที่หน้าทางเข้า พอถือเข้าไปก็มีนกมาเกาะกินอาหารเต็มไปหมด แต่สวนนกเล็กนิดเดียวไม่ค่อยมีนกมากเท่าไหร่ ตรงทางออกมีร้านขายของที่ระลึก พี่หมวยลองซื้อไอติมถั่วเขียวมากิน บอกว่าผิดหวังมากไม่อร่อยเลย
ตอนที่ยืนรอให้คนมาครบที่หน้าเกาะนก ก็มีไกด์ของอีกคณะนึงมาคุยกับเรา บอกว่าหน้าตาเราไม่เหมือนคนจีนเลย มาจากไหนเหรอ เราก็บอกว่าเราเป็นคนไทย มาจากกรุงเทพฯ เค้าก็พยายามอธิบายให้เราฟัง ว่าเกาะนี้ชื่อเกาะนก โดยใช้มือประกอบ ฮ๊า ภาษาจีนเราก็พอใช้ล่ายเหมืองกังนะ
พอลงจากเกาะนก เราก็ข้ามสะพานเหล็กไปอีกเกาะหนึ่ง บนสะพานเหล็กกว้างมาก ตรงกลางสะพานทำเป็นที่เลี้ยงปลา มีแต่ปลาทองล้วน ๆ เป็นบ่อใหญ่ขนาดสระว่ายน้ำขนาดกลางถึง 4 บ่อ แต่ละบ่อมีปลาทองเต็มไปหมด มีอยู่บ่อนึงปลาตัวใหญ่เป็นพิเศษ ปลาที่นี่ฉลาดมาก แค่เราโบกมือว่ามานี่ๆๆๆ มันก็จะกรูกันเข้ามา มันว่ายไปตามเสียงคน เพราะรู้ว่าถ้ามีคนก็จะมีอาหารกิน
ข้ามสะพานเหล็กไป เป็นเกาะชื่อเกาะกุญแจ เกาะนี้มีแต่กุญแจ และเป็น Key Exhibition หรือพิภิธภัณฑ์กุญแจ มีกุญแจตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงกุญแจรุ่นใหม่ และ ตามเกาะก็ยังมีกุญแจที่หนุ่มสาวเอามาคล้องเหมือนที่หวงซานแต่ที่นี่กุญแจจะห้อยไว้ด้วยแผ่นสีสะท้อนแสงรูปหัวใจสีแดง ชมพู เขียว คล้องเป็นพวงยาว ๆ แล้วก็จะเอามาตกแต่งมาพันเป็นรูปหัวใจใหญ่ ๆ หรือห้อยลงมาจากต้นไม้เป็นพวงยาว ๆ ก็สวยไปอีกแบบ เพราะดูพร่างพราวไปทั้งเกาะ เดินไปได้สักพักก็มีกุญแจยักษ์ ตรงส่วนที่ล็อคขยับไปมาได้ โดยจะมีเชือกโยงให้คนบังคับอยู่ข้างล่างให้ผลักส่วนที่ล็อคให้ลงรูกุญแจมีคนรุมเล่นกันใหญ่ ตอนเดินลงจากเกาะก็จะมีรูปปั้นหินรูปกุญแจโบราณทำเป็นรูปสัตว์ต่าง ๆ และมีลูกกุญแจยักษ์ตั้งเป็นอนุสาวรีย์อยู่ที่ปลายเกาะ
หลังจากเที่ยวเกาะ พวกเราก็นั่งเรือไปอีกประมาณ 40 นาที ก็ถึงเกาะที่เราจะพัก โรงแรมชื่อเชียนเต่าหูไห่ว่ายไห่ ตอนไปถึงเกาะฝนยังตกอยู่ และรถที่โรงแรมมารับช้า พวกเราเลยต้องยืนตามกันสาดบ้านคนแถวนั้นหาที่หลบฝน เราเดินไปร้านขายของชำ ซื้อชามากิน 1 ขวด น้องกับป๊าก็มาแย่งกินหมด เราชอบกินชาเขียวที่นี่มากเลย กินแล้วรู้สึกสดชื่น
ห้องที่เราพักสวยมาก ไม่น่าเชื่อว่าเป็นโรงแรมเมืองจีน เฟอร์นิเจอร์เป็นไม้เรียบสีดำที่จับเป็นสีเงินด้าน ๆ ตกแต่งสไตล์โมเดอร์น ในห้องยังมีคูลเลอร์น้ำร้อนใบใหญ่ให้ด้วย และมีโต๊ะเล่นไพ่นกกระจอก 1 ชุด มีเป็นบางห้องเผอิญห้องเราเป็นส่วนที่ยื่นออกไป เลยมีเนื้อที่ให้วางโต๊ะไพ่นกกระจอก แต่ละห้องมีประตูเชื่อมต่อกันได้ตลอดทั้งฝั่ง ห้องเราอยู่ระหว่างห้องป๊าและห้องอาม่า ป๊าเราเล่นเป็นเด็ก ๆ มาเคาะประตูที่เชื่อมห้องเราเล่น พอเราเปิดก็ไปเคาะห้องอาม่าที่อยู่ถัดไปอีก
จะได้เวลาอาหารเย็นแล้วเราอยากรู้ว่าอุณหภูมิวันนี้เท่าไหร่จะได้รู้ว่าต้องเตรียมเสื้อกันหนาวไปหรือเปล่า โทรไปถามเจ้าหน้าที่ เป็นภาษาอังกฤษ เค้าไม่คำใจคำว่า Temperature เลยเข้ามาหาเราที่ห้องเลย เราก็ชี้ไปที่ปรับแอร์ อธิบายว่าตัวเลขพวกนี้เรียกว่า Temperature เค้าพยักหน้าเข้าใจ เราก็บอกว่า ทีนี้เราอยากรู้ว่าข้างนอกเนี่ย อุณหภูมิเท่าไหร่ เราอธิบายหลายรอบ ก็ไม่รู้จะทำยังไงให้เค้าเข้าใจ สุดท้ายเค้าก็ควักดิกแบบเป็นปาล์ม ขึ้นมากดดู แล้วก็ร้องอ้อ พนักงานที่นี่จะพูดภาษาอังกฤษกันไม่ค่อยเป็น แต่พยายามช่วยเหลือแขกดีมาก เพราะเค้าไม่แสดงท่าทีรำคาญและยิ้มแย้มตั้งใจฟังเราตลอดเวลา มี๊เราเดินเข้ามาในห้อง เค้าก็เลยส่งภาษาจีนอธิบายให้อีกรอบ แล้วพนักงานก็แนะนำด้วยว่าให้ซื้อปลาเค็มไป ที่นี่มีชื่อมาก หึหึ สู้ปลาสลิดบ้านเราไม่ได้หร๊อก
6 โมงเย็นได้เวลาอาหารเย็น ในภัตตาคารของโรงแรมจะมีตู้โชว์สัตว์ทะเลชนิดต่างๆ ให้ลูกค้าเลือก ชั่งเป็นกิโลแล้วนำไปปรุงอาหารให้ ในตู้มีทั้งปูขน ปลาหลายชนิด กุ้งมังกร หอย และ งู(แหวะ) อาหารที่ไกด์สั่งให้วันนี้เป็นปลาล้วน ๆ เพราะที่เชียนเต่าหูขึ้นชื่อเรื่องปลาอร่อย อาหารที่ยกมาก็มีผัดผัก เต้าหูพะโล้แข็ง ๆ และปลาชนิดต่าง ๆ มีปลากรอบ ปลานึ่ง ปลาทอดราดน้ำจิ้ม ปลาเค็มต้มกับผักรสชาดคล้าย ๆ แกงส้มบ้านเราแต่ปลาเค็มมาก ที่ฮือฮาที่สุดเป็นปลานึ่งที่มีเฉพาะหัวปลา แต่แค่หัวปลาก็ใหญ่ประมาณหัวเราได้ ปลาชนิดนี้ชื่อว่าปลาหัวโต (สมชื่อ) และก็มีน้ำแกงปลาที่เอาปลาตัวฝอย ๆ มาทำน้ำแกงแบบข้น
โชคร้ายมากที่เราไม่กินปลาก็เลยได้แต่หันหน้าเข้าหาเพื่อนเก่า คือผัดผัก และ เต้าหู้ กินปลากรอบแกล้มบ้าง กินข้าวไปได้แค่ถ้วยเดียว แล้วก็ไม่รู้จะกินกับอะไรอีก มื้อนั้นถึงจะอลังการ แต่เราไม่อิ่มเลย
ตอนกินข้าวเย็นกันก็มีเรื่องขำ คือแปะประสงค์ ซึ่งนอนคู่กับแปะอ้วน (แปะอ้วนขายก๋วยเตี๋ยวเป็ดอร่อยมาก อยู่หน้า กันอริสปอร์ตคลับ ที่เพชรเกษม) แปะประสงค์เป็นคนนอนยาก ส่วนแปะอ้วนเป็นคนนอนกรน แต่ต้องนอนด้วยกันทุกคืน ทุกคนขำก็ขำ สงสารก็สงสาร เค้าบอกว่ามีอยู่คืนนึงกว่าเค้าจะข่มตาหลับลงท่ามกลางเสียงกรนของแปะอ้วนได้ ประมาณตี 3 แปะอ้วนก็มาปลุกเค้า แล้วบอกว่า เฮ้ย มาดูงิ้วซี่ สนุกนะ ด้วยความปรารถนาดี มีอะไรดี ๆ ก็อยากแบ่งปันให้เพื่อนร่วมห้อง
กินข้าวเสร็จก็ไปเดินเล่นแถว ๆ โรงแรมกัน เรากับน้องก็ตัดสินใจเดินแยกตัวออกมา โดยมีมี๊ตามออกมาด้วย เค้าบอกว่าเป็นห่วงเพราะเราพูดกันไม่เป็นเดี๋ยวโดนหลอก แต่ระหว่างทางก็ไม่มีอะไรให้ดูเลยมีแต่ร้านของชำเล็ก ๆ เราเดินได้สักพักก็เบื่อ พยายามหาของกินก็ไม่มี เลยขอกลับโรงแรมก่อน
ไม่รู้จะทำอะไรก็เลยนอนแช่น้ำในห้องน้ำ แช่ไปได้สักพักก็หิวอีก เศร้ามาก เลยว่าจะลงไปซื้อหมี่ เจอซิ่มวิภาที่ไปด้วยกันบอกว่ามี๊ซื้อหมี่ผัดมาให้ กำลังเดินกลับมาแล้ว ซาบซึ้งมากเลย มี๊บอกว่า เค้าเดินไปอีกหน่อยก็เจอที่ขายกินใหญ่มากเลยซื้อหมี่ผัดมาให้เราเพราะรู้ว่าเรากินไม่อิ่ม ไม่มีใครรักเราเท่ามี๊ของเรา หมี่ผัดอร่อยมากเลย อยากบอกว่าอร่อยกว่ากับข้าวทุกชนิดที่กินมาตั้งแต่มาเมืองจีน
ป๊าโทรขึ้นมาชวนให้ไปนั่งที่ลอบบี้โรงแรม ไปนั่งฟังคนเดี่ยวเปียโน มีเรา น้อง เจ็กประเวศ และ เจ็กประสงค์ ลงมานั่งคุยกัน เจ็กประเวศคุยถึงเรื่อไปทิเบต บอกว่าสนุกมาก แต่ต้องร่างกายแข็งแรงถึงจะไปได้เพราะอากาศที่นั่นบางมาก และต้องเดินขึ้นเขาไกล แล้วก็คุยกันถึงเรื่องของที่ขายในโบเบ๊,สะพานเหล็ก ส่วนใหญ่เอามาจากเมืองจีน แปรงทาสีมาถึงเมืองไทยเพิ่งจะอันละบาท เค้าบอกว่าเมืองจีนส่งเสริมเรื่องอุตสาหกรรมรัฐบาลสนับสนุนเค้าเลยขายของได้ถูกกว่าเรา ประกอบกับแรงงานก็ถูกว่า เราฟังแล้วก็เศร้าใจ แค่แปรงทาสีเรายังต้องนำเข้าจากจีน รัฐบาลไทยไม่รู้มัวทำอะไรอยู่ วันก่อนอ่านหนังสือพิมพ์ เค้าสัมภาษณ์คนขายเสื้อผ้าที่ใบหยก บอกว่าต่อไปอาจจะไม่มีแล้วเสื้อตัวละ 199 เพราะรัฐบาลไม่สนับสนุน ของก็ต้องขายแพงขึ้นเรื่อย ๆ เศร้าๆๆๆ ต่อไปเมืองไทยจะเป็นยังไง ไม่มีอะไรแข่งกับเค้าได้เลย
วันนี้เป็นวันทีเบื่อมาก เพราะหมดเวลาไปกับการเดินทาง และที่เที่ยวก็ไม่ค่อยจะมีอะไรน่าสนใจเท่าไหร่ พรุ่งนี้เราจะไปหังโจวกัน ไปดูถิ่นกำเนิดนางพญางูขาว และ นิยายเรื่องม่านประเพณี ไปดูกันว่าสะพานขาดแต่ไม่ขาด สะพานสั้นแต่ไม่สั้นคืออะไร
Create Date : 13 กรกฎาคม 2549 | | |
Last Update : 18 พฤศจิกายน 2551 22:08:22 น. |
Counter : 439 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|