วันที่ 3 น้อง ๆ สวยจัง

ตามทีนัดกันไว้เมื่อคืน บอกว่าจะตื่นกันตั้งแต่ตี 4 ครึ่ง เพื่อจะดูพระอาทิตย์ขึ้นที่เขาหวงซาน แต่ถ้าฝนตกก็จะตื่น 7 โมงเช้าแทน ปรากฏว่าฝนตก เราก็ตื่นได้สายหน่อย ตื่นมาก็รู้สึกหงุดหงิดมาก เพราะผมที่สู้อุตส่าห์ไดร์อย่างดีตั้งแต่ก่อนขึ้นเขาเมื่อวานนี้ กลายเป็นแบน และ ปลายบานชี้ไปทุกทิศทุกทางคงเป็นเพราะอากาศเย็นทำให้มีไฟฟ้าสถิต รู้สึกไม่มั่นใจเลย ฮือๆๆ กะว่าวันนี้จะใส่หมวกทั้งวัน เพราะไดร์เป่าผมทิ้งไว้ที่กระเป๋าใหญ่

ลงไปข้างล่างกินข้าวเช้า อาหารเช้ามื้อแรกที่เมืองจีน เป็นข้าวต้ม และกับหน้าตาประหลาด ๆ มีหมั่นโถวแข็ง ๆ และ อะไรสักอย่างเหมือนขนมเปี๊ยะ กลม ๆ ทอด เราลองชิมอันนี้ก่อน ฝากความหวังไว้กับขนมเปี๊ยะเต็มที่ เพราะอย่างอื่นดูท่าจะกินไม่ได้ กัดไปคำแรกก็ร้องจ๊าก เพราะทั้งเค็มทั้งเผ็ด เป็นไส้ผักเค็มของเค้าสีดำ ๆ เป็นเส้น ๆ เลยกินแต่ข้าวต้มกับหมูหยอง นึกขอบคุณเจ็กประเวศที่รอบคอบพกหมูหยองมาด้วย แล้วก็ไข่เค็ม ส่วนไอ้น้องเหมือนจะรู้ว่าอาหารไม่อร่อย ไม่ตื่นมากินข้าวเช้า ตอนหลังมี๊แอบเอาหมั่นโถวและขนมเปี๊ยะมหากาฬใส่ถุงมาให้มันกิน กินแล้วก็ประสบชะตากรรมเช่นเดียวกับเรา

8 โมงเช้ามาเจอกันที่ลอบบี้ ฝนยังตกไม่หยุด และหมอกลงหนา คุณไฉไลบอกว่าฝนที่นี่ตกหนักและนานไม่เหมือนเมืองไทยที่ตกแป๊บเดียวก็หยุด ไกด์ก็เลยแจกเสื้อกันฝนเป็นพลาสติกยาวๆ สวมทับลงไปและมี hood ด้วยพวกเราก็เลยเหมือนกับแปลงร่างเป็นเอสกิโม ที่มีพลาสติกคลุม เจ็กประเวศที่เคยมาที่นี่ตอนหน้าหนาวบอกว่าตอนหน้าหนาวมีทั้งฝนตก และหิมะ แต่ก็สวยไปอีกแบบ เค้ายังแนะนำว่าถ้าชอบเที่ยวบนเขาให้ไปภูชี้ฟ้า ก็สวยเหมือนกัน

เสี่ยวหวงชมว่าผิวสวยจัง ใช้อะไรทาหน้า ฮิฮิ ค่อยปลื้มหน่อยเพราะกำลังกลุ้มเรื่องผมเป็นสวอน ส่วนคุณไฉไล ลืมเตรียมเสื้อกันหนาวมาเราเลยเอาเสื้อแขนยาวของน้องให้เค้ายืม เวลาทำดีแล้วจะรู้สึกปลื้มดีใจกว่าคนชมว่าสวยอีก ไม่รู้เพื่อน ๆ เป็นเหมือนกันหรือเปล่า

เนื่องจากฝนตกโปรแกรมช่วงเช้าที่เดินชมเขาหวงซานเป็นอันยกเลิก พวกเราก็เลยเดินจากโรงแรมไปที่กระเช้าและลงกระเช้าไฟฟ้าไปที่เชิงเขา ก่อนขึ้นกระเช้ามีวุ่นวายกันเล็กน้อยเพราะมีกรุ๊ปทัวร์ขึ้นมาทำให้บริเวณจุดขึ้นลงกระเช้ามีคนเยอะเป็นพิเศษ รวมถึงพวกยกกระเป๋าที่มาตื๊อทิปและต่างคนต่างหากันไปไม่เจอ เลยรี ๆ รอ ๆ หากันไม่เจอ กว่าจะถึงเชิงเขาก็สิบโมงแล้ว มีการทะเลาะกันบนกระเช้าพอหอมปากหอมคอ ว่าเดินไม่รอกันทำให้หากันไม่เจอ รถทัวร์มารอรับที่เชิงเขา ไกด์บอกว่าอดเที่ยวบนเขาก็ไม่เป็นไร จะพาไปเที่ยวที่อื่นแทน โชคดีมากที่เราขึ้นเขากันไปตั้งแต่เมื่อวาน ถ้าเป็นวันนี้คงหมดสนุก เพราะฝนตก คงได้แต่นั่งแกร่วอยู่ที่โรงแรม

จุดแรกที่ไกด์พาไปคือที่ดูวีดีโอเขาหวงซาน ที่นี่จะเป็นจุดขายวีดีโอ และ วีซีดี ที่ถ่ายบนเขาหวงซาน พวกนี้จะมีหลายเจ้า แต่ละเจ้าถ่ายทำกันเอง ของที่นี่เค้าใช้เวลาเป็นสิบปี ถ่ายได้ 6 ม้วน การค้าขายของให้นักท่องเที่ยวที่เมืองจีนจะเป็นลักษณะให้ลองใช้ หรือ ลองดูแล้วค่อยขายของที่นี่ก็เหมือนกัน เค้าให้เข้าไปนั่งที่ห้องแล้วฉายวีดิโอให้ดู พร้อมกับอธิบายไปด้วย โดยที่ให้ดูม้วนละนิดละหน่อย จากวีดีโอ ก็รู้ว่าที่หวงซานเที่ยวกันได้ทั้งปี ฤดูไหนก็สวย แต่ฤดูใบไม้ผลิจะสวยที่สุดเพราะมีดอกไม้บานเต็มไปหมด ที่เราไปนี้เป็นฤดูร้อนต่อกับใบไม้ร่วง

หลังจากนั้นไกด์ก็พาไปทานอาหารเที่ยง บอกว่าต้องขึ้นไปกินบนโรงแรมที่อยู่ข้าง ๆ ที่ขายวิดีโอ ซึ่งต้องเดินขึ้นบันไดหินไปสูงเหมือนกัน ระหว่างรอคนมาให้ครบเรากับน้องเข้าไปสำรวจราคาในร้านขายของใกล้ ๆ โรงแรม เจอโอรีโอรสมินต์ด้วย แต่บนเขาน่าจะราคาแพงเราเลยรอไปซื้อที่เซี่ยงไฮ้

พอคนมากันครบไกด์ก็บอกว่าให้เดินขึ้นไปข้างบนได้แล้วค่ะอาม่าเราพอเห็นบันไดก็บอกว่า “ห่า กูไม่ขึ้นไปหรอก” เราเลยบอกว่า “อาม่าไม่ขึ้นไม่ได้นะ เพราะเค้ากินข้าวกันบนนั้น” “อ้าวเหรอ” แล้วก็เดินต้อย ๆ ขึ้นไปแต่โดยดีโดยเราระวังหลังให้ ส่วนเหล่าอี๊ส้มลิ้มทุลักทุเลกว่า เพราะต้องคลานขึ้นไป (ขาไม่ดี)

อาหารที่นี่อร่อยดี มีขาหมูด้วย แกงจืดฟักก็อร่อย ที่นี่อาหารจะคล้ายๆ กันทุกมื้อ คือผัดผักอย่างน้อย 3 อย่าง แกงจืด 2-3 อย่าง เนื้อไก่ หรือ หมูผัดกับผัก และหมี่สด เป็นเส้นนิ่ม ๆ หนา ๆ แบน ๆ ต้มกับน้ำแกงเปล่า ๆ อะไรประมาณนี้ มี๊เราบอกไกด์ว่าอาหารหลากหลายกว่านี้หน่อยได้มั๊ยแค่เห็นอาหารมาก็ขนลุกแล้ว เพราะซ้ำกันทุกมื้อ ก่อนออกจากโรงแรมพวกเราก็แวะฉี่กันถ้วนหน้าเพราะไม่รู้ว่าข้างหน้าห้องน้ำจะเป็นอย่างไร

หลังจากทานข้าวเที่ยงก็นั่งรถต่อไปที่นวดเท้า ไกด์บอกว่าเค้าจะนวดให้ 1 ชั่วโมงฟรี คำว่านวดภาษาจีนเค้าเรียกว่า อั้นหมอ หลังจากนั้นคำว่าอั้นหมอก็เป็นคำติดปากของคณะเรา เอาไว้แซวบรรดาอาเจ็ก อาแปะทั้งหลาย แต่เค้าจะขายยาบำรุงต่างๆ เราก็ทน ๆ นั่งฟังเค้าหน่อย ตอนนวดก็หลับพักผ่อนได้ เค้าขายยาหลายอย่าง เป็นพวกยาบำรุงการไหลเวียนของเลือด และ น้ำมันนวด คนที่มานวดส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงหน้าตาน่ารัก (คนแก่กระชุ่มกระชวยอีกแล้ว)

พวกเราไม่ได้นอนเลยตอนที่นวดเพราะคนนวดชวนคุยตลอดเวลา เราบอกว่าเราฟังไม่รู้เรื่อง เค้าก็พยายามจะให้เราฟังรู้เรื่อง เราก็อยากหัดภาษาจีนเลยคุยกับเค้า น้องเรานั่งข้าง ๆ เราก็ให้เราช่วย ๆ กันคุยด้วย ภาษาใบ้มั่ง ภาษาจีนเป็นคำ ๆ บ้าง แต่ก็เพลินดี คนนวดบอกเราว่าเราสวยจัง ฮ่าๆๆๆ วันนี้เป็นวันอะไรหนอ ก็เค้าจะขายของนี่นะ เลยต้องชมกันหน่อย อย่าเพิ่งหมั่นไส้ล่ะ พี่หมวย (เลขาป๊า) บอกว่าสงสัยเค้ากลัวเราจะหนีเพราะระหว่างนวดพี่หมวยขอไปฉี่เค้าก็ตามไปรอหน้าห้องน้ำด้วย ห้องน้ำที่นี่ประตูเตี้ยนิดเดียวเวลาฉี่แทบจะเห็นก้น

คนที่นวดให้มี๊เราเป็นผู้ชาย มี๊บอกว่าเค้านวดดีมากเลย และแมะเป็นด้วย เค้าพูดถูกหมดเลยว่ามี๊เป็นอะไรบ้าง แต่มี๊ไม่ยอมซื้อยา พอบอกให้ช่วยแมะคนอื่นมั่ง ก็เลยไม่ยอมแมะให้ ตอนนวดก็จะมีขนมให้กินด้วยเป็นขนมงานิ่ม ๆ คล้าย ๆ ขนมตุ๊บตั๊บแต่เป็นผง ๆ กว่าหอมดี เราจิ๊กไปหลายชิ้น มี๊เล่าให้ฟังคนที่นวดให้มี๊บอกว่าเค้าพอจะเป็นลูกเขยได้มั๊ย มี๊บอกว่าก็ไปคุยกับเค้าสิ เค้าบอกว่ามาอยู่กับเค้าเค้าจะมีบ้านให้อยู่ จะสอนนวดให้ เรื่องอะไรยะ อยู่บ้านชั้นดี ๆ ทำไมต้องมาหาเรื่องมาอยู่ชนบทกับหมอชีกอ แถมใช้ส้วมที่ปิดก้นก็ไม่มิดแบบนี้ด้วย

สุดท้ายหมอชีกอก็ไม่ยอมมาคุยกับเรา เพราะเข้าใจว่าน้องเราเป็นแฟนเรา เข้ามาคุยด้วยเดี๋ยวจะโดนมันเตะเอา ดีแล้วล่ะ หน้าตามันก็หาเรื่องใช้ได้ คนที่นวดให้เราก็บอกว่าอย่าไปยุ่งกับมัน อย่างเราหาได้ดีกว่ามันเยอะ เราเลยบอกว่า อ้อ ตุ้ยๆๆ (ใช่ๆๆ) พอนวดเสร็จคนที่นวดให้เราเค้าก็น่ารักมาก มี๊เราบอกว่าเราชอบกินขนมงาเค้าก็เข้าไปหยิบมาให้หลายชิ้นและแนะนำเราว่าควรจะเรียนภาษาจีนนะ มาเที่ยวเมืองจีนจะได้ไม่ลำบาก

เสร็จจากที่นวด ซื้อยากันไปรวมๆ แล้วก็หลายห่อเหมือนกัน จุดต่อไปไปที่ร้านขายของ ร้านขายของที่นี่เป็นร้านบังคับที่ไกด์จะต้องพานักท่องเที่ยวไป ข้างในร้านไม่ว่าเมืองไหน ก็ขายเหมือนกันหมดคือ พู่กัน แท่นหมึก ใบชา หยก ครีมไข่มุก คริสตัล อื่น ๆ ก็แล้วแต่ตามท้องถิ่นนั้น ๆ ที่ ๆ เค้าพาไปมีพวกหลุยส์ และ ปราด้าปลอมด้วย แต่ไม่อยากถามราคา เพราะถ้าถามไม่ซื้อแล้วคนขายจะตื๊อไม่เลิก

ไปถึงร้านขายของมี๊เสียงแหบไปเลย เพราะ ตอนนวดคนอื่น ๆ พูดจีนกันไม่เป็นมี๊ก็ต้องไปช่วยแปลให้ พอไปถึงร้านขายของมี๊เลยทำเป็นพูดถาษาจีนไม่เป็น เราก็ทำเป็นพูดอังกฤษไม่เป็น พวกเราเข้าไปไม่ได้ซื้ออะไรเลย เพราะของไม่มีอะไรน่าซื้อ แต่ชาอร่อยมากกินแล้วชุ่มคอ ป๊าบอกว่าไม่ต้องซื้อเพราะเดี๋ยวไปหังโจวชาอร่อยกว่านี้ เราก็เลยเชื่อป๊า ส่วนมี๊ดูป้ายชื่อพนักงานแล้วบอกว่า “พนักงานที่นี่แซ่หวงกันทั้งนั้นเลยนะ” เราก็บอกว่า เออ สิก็ที่นี่เป็นเขาหวงซานนี่ แต่พอเรามองดูป้ายชื่อดี ๆ ก็เลยตอบมี๊ไปว่า “อื้อ ใช่ แซ่เดียวกัน แล้วยังชื่อเหมือนกันหมดเลยด้วยนะ” ที่มี๊เราเห็นเป็นป้ายชื่อที่มีชื่อร้านว่าหวงซานอะไรซักอย่างอยู่ข้างบน ส่วนชื่อพนักงานเป็นตัวเล็ก ๆ อยู่ข้างล่าง และไม่ใช่แซ่หวง

กำหนดว่าพวกเราจะต้องอยู่ในนี้ 40 นาที จะซื้อของหรือไม่ก็ได้ เราก็เลยนั่งล้อมรอบโต๊ะชา คุยกัน เพราะไม่รู้จะซื้ออะไร คนขายคริสตัลที่อยู่อีกมุมหนึ่ง ตื๊อมาก เดินมาขายถึงที่โต๊ะชา
“เนี่ยถูกนะ สวยด้วย ฟังรู้เรื่องรึเปล่า ไม่รู้เรื่องเหรอ ไม่เป็นไร” แล้วก็กดเครื่องคิดเลขให้ดูราคา พวกเราก็นั่งทำหน้าว่างเปล่า ประมาณไม่รู้เรื่อง มากี่คน ๆ ก็หนีหมด สุดท้ายเค้าเอาเจ๊มาคนนึงท่าทางคล่องแคล่วและเอาเรื่อง ถามเราว่าน้อง ๆ ฟังภาษาจีนรู้เรื่องมั๊ย เราบอกว่าไม่รู้เรื่อง ภาษาอังกฤษล่ะ ไม่รู้ๆ เค้าก็หันไปหาอาแปะประสงค์ (ซึ่งถึงแม้จะสาวจีนที่ร้านนวดจะจิ้มลิ้มน่ารักแต่ก็รักษากระเป๋าสตางค์ไว้ได้อย่างเหนียวแน่นเพราะไม่ได้ซื้อยาอะไรมาเลย)

“คุณๆๆ คุณต้องฟังรู้เรื่องแน่เลยแปลให้เค้าฟังหน่อยได้มั๊ย”
(อาเจ็กเบือนหน้าหนี บอกว่าไม่รู้เรื่อง)
“เอ๊ พวกนี้มันฟังไม่รู้เรื่องกันจริง ๆ มั๊ยเนี่ย หรือว่ามันแกล้งนะ อีตานี่ก็เหมือนกันชั้นพูดให้ฟังอยู่ครึ่งค่อนวันแล้วยังไม่ยอมแปลให้ชั้นอีก”
อันนี้เราฟังรู้เรื่องเพราะมี๊แอบแปลให้อยู่ข้าง ๆ โดยที่มี๊แกล้งทำเป็นหลับ เป็นความสามารถพิเศษห้ามลอกเลียนแบบ

สุดท้ายเจ๊นั่นก็หันมาหาเราอีกครั้งเพราะเห็นเราหัวเราะ
“น้อง ๆ if you like you can buy”
“เออ ถ้ากู like กูก็ buy อยู่แล้วล่ะ” คิดในใจ แต่ก็พยักหน้าเออๆๆ เค้าก็มองหน้าเราแบบอ่อนใจทำไมไม่มีใครซื้อเลยวะ ในที่สุดก็งัดไม้ตาย
“น้อง ๆ น้องสาวสวยจัง ฟังรู้เรื่องใช่มั๊ย ชั้นรู้นะว่าเธอน่ะฟังรู้ เร็ว ๆ แปลให้พวกเค้าฟังหน่อย”
เราก็ยังคงทำหน้าตายแล้วบอกว่า “ทิงปู๋ต่ง (ฟังไม่รู้เรื่อง)” (เริ่มชินแล้วเวลามีใครชมสวย เพราะเค้าจะขายของนั่นเอง) ในที่สุดเราก็ค่อย ๆ ย่องออกไปพร้อมมี๊ พอออกจากวงล้อมนรก (โต๊ะชา) ได้แล้วก็ป้องปากบอกพวกพ้องที่ยังอยู่ในวังวนว่า “โชคดีนะเพื่อน ฮิฮิ” แล้วก็เดินหนีขึ้นรถไป ในที่สุดเค้าก็ยอมปล่อยพวกเราไป

มีบางคนซื้อของติดมือกลับมาเหมือนกัน เป็นที่รองนั่งทำมาจากเปลือกไม้ชนิดหนึ่งของหวงซาน เค้าบอกว่านั่งแล้วเลือดจะหมุนเวียนดี ไม่เมื่อยง่าย มีแบบขนาดเล็กใช้หนุนหัว บอกว่านอนแล้วจะหลับสบาย อันนี้ขายดีเพราะเราต่อกัน 3 ผืนร้อย จากราคาเดิมผืนละเกือบร้อย คนขายหน้าเป็นตูดบอกว่าคณะนี้มันเขี้ยวจริง ๆ

หลังจากนั้นก็ไปโรงแรมที่เราฝากกระเป๋าไว้คือโรงแรมกั๋วจี้ เราประทับใจโรงแรมนี้มาก เพราะสะอาด และ policy ของเค้าคือเป็น green hotel ใช้กระดาษรีไซเคิล และ ไม่บริการอาหาร หรือเนื้อสัตว์ที่มีสารพิษ มีไดร์เป่าผมด้วย ซาบซึ้ง ๆ

อาหารเย็นเรากินกันที่ภัตตาคาร มีไข่เจียวด้วย พวกเราเลยกินได้เยอะกว่าเดิม และพี่บี๋ก็งัดเอาแคบหมูกับน้ำพริกหนุ่มออกมาด้วย เลยกินกันได้เยอะหน่อย แต่อย่างอื่นเหมือนเดิม กินไม่ได้เพราะผัดเต้าหู้ก็เผ็ดมาก เผ็ดโดด ๆ และ เป็ดพะโล้ที่ดูน่ากินก็มีแต่กระดูก ร้านนี้เป็นร้านบังคับเช่นกัน หน้าร้านเขียนไว้เลยว่าภัตตาคารสำหรับนักท่องเที่ยวและชาวต่างชาติ การจองทัวร์ของที่นี่ไกด์จะต้องพาไปที่บังคับและอาหารก็เป็นอาหารที่กำหนดไว้แล้วโดยที่ไกด์จะไม่รู้เมนู และ ราคาอาหารซึ่งจะรวมกับราคาทัวร์เรียบร้อยแล้ว

หลังจากนั้นเสี่ยวหวงก็พาเราไปที่ในเมือง ให้เดิน 1 ชั่วโมง เรากับน้องก็แยกกับคณะทัวร์เพราะทางที่เค้าเดินไปกันไม่มีอะไรน่าสนใจ เรา 2พี่น้อง ตัดสินใจเดินไปทางที่มีแสงสี แสงไฟกระพริบ ๆ แล้วก็ไม่ผิดหวังเพราะมีขนมเพียบ และมีร้านเทป ซีดีที่นี่ถูกมาก แผ่นละ 10 เหรียญ (50 บาท) มีทั้ง Kylie, Backstreet Boys, Westlife เยอะแยะเลย เราได้ชาเขียว 1 ขวด ขนมมากล่องนึงเป็นเหมือนยูโรคัสตาร์ดแต่ไส้เป็นครีมส้ม ท่าทางจะอร่อยเพราะเค้าบอกว่าเป็นเค๊กครีมส้มสด มีอายุแค่ 1 ปี และควรบริโภคให้เร็วที่สุด เราซื้อมาแค่กล่องเดียวเพราะเอามาลองกินดูก่อน และ ยังไง ๆ เซี่ยงไฮ้ก็น่าจะมี น้องเราได้เบียร์ไปกิน เสร็จแล้วก็เดินไปสมทบกับคณะทัวร์ของเราที่เดินอยู่อีกฝั่งนึง ไม่มีอะไรน่าดูจริง ๆ ด้วย มีแต่พวกของแห้ง ของเล่นทำจากไม้ และ ผลไม้ เค้าซื้อทับทิมกันใหญ่ เพราะจะเอาไปไหว้เจ้าแม่กวนอิมกัน

กลับโรงแรมนอนพรุ่งนี้เราจะไปเมืองถุนซี เพื่อลงเรือไปเชียนเต่าหู (ทะเลาสาปพันเกาะ)




 

Create Date : 13 กรกฎาคม 2549    
Last Update : 18 พฤศจิกายน 2551 22:12:31 น.
Counter : 366 Pageviews.  

วันที่ 2 ตะลุยหวงซาน

เมื่อคืนเราตกลงกันว่าจะตื่นตอนตี 4 ครึ่ง ออกจากโรงแรมตี 5 ครึ่ง เพราะเครื่องบินที่จะไปหวงซานออกประมาณ 8 โมง พวกเราจะต้องจัดกระเป๋าเล็ก 1 ใบแยกจากกระเป๋าใหญ่ เอาเฉพาะของใช้และเสื้อผ้าที่จำเป็นไปนอนบนเขาหวงซาน 1 คืน ส่วนอาหารเช้าจะเป็นอาหารกล่อง ทานบนรถทัวร์

เราตื่นตั้งแต่ตี 4 เพราะต้องสระผมและกระเป๋าใหญ่จะต้องให้ทางโรงแรมเอาไปขึ้นรถตอนตี 5 กลัวจะไม่ทัน ลงไปสมทบกับคณะทัวร์ตามเวลารถออกจากโรงแรมตอนตี 5 ครึ่งพอดี อาหารเช้าที่ให้มาในกล่องเป็นน้ำอัดลม (ไม่กิน) ไข่ต้ม (ไม่กิน) ครัวซองต์ (โอเค) แซนวิชแฮม (แฮมมีแต่แป้งเป็นสีชมพูนิ่ม ๆ แต่ก็กิน ) และ มัฟฟินอัลมอนด์ (อร่อย)

ระหว่างรอขึ้นเครื่องเราเจอเด็กผู้ชายน่ารักมากกก อายุประมาณขวบนึง ตัวใหญ่ ตากลมท่าทางอยากเล่นด้วยมาก เพราะถีบขาใหญ่เลย แต่แม่เค้าหวงมาก พยายามอุ้มลูกเค้าหันหน้าหนีจากคณะของเรา มี๊เราอธิบายว่าที่นี่มีลูกได้แค่คนเดียว แต่ถ้าคนแรกเป็นผู้หญิงจะอนุญาตให้มีได้อีก 1 คน ถ้าเกินกว่านี้เค้าจะฉีดยาให้แท้งเดี๋ยวนั้น ผู้หญิงคนนั้นเค้าเลยหวงลูกชายมาก และดูภูมิใจมากที่ได้ลูกชาย

ขึ้นเครื่องแล้ว ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงโดยสายการบินเจ้าเก่า China Eastern Airlines ปลายทางเป็นมณฑลอันฮุย มีไกด์ท้องถิ่นมารับที่สนามบินชื่อเสี่ยวหวง (แซ่เดียวกับเราเลย) ซึ่งพวกเราจะต้องนั่งรถต่อจากสนามบินไปที่โรงแรมกั๋วจี้ เพื่อฝากกระเป๋าใหญ่เอาไว้ และจะมาพักที่โรงแรมนี้ตอนลงจากเขา พวกเราพบว่าเสี่ยวหวง สร้างความสดชื่นให้แก่บรรดาชาย (แก่) ของคณะทัวร์เราขึ้นมาทันตาเห็น เพราะหน้าตาน่ารักและอายุเพิ่งจะ 27 เอง แถมร้องเพลงเพราะอีกต่างหาก

ไกด์อธิบายถึงภูเขาหวงซานเป็นภาษาจีน โดยให้คุณไฉไลแปลเป็นไทยอย่างตะกุกตะกัก ว่าหวงซานเป็นมนฑลที่ยากจนที่สุดในประเทศจีน มีภูเขาถึง 80% ที่เหลือเป็นที่นา รายได้ส่วนใหญ่ได้มาจากการทำนาและการรับจ้างนักท่องเที่ยวบนภูเขาหวงซาน หวงซานเป็น 1 ใน10 ยอดแห่งทิวทัศน์ที่สวยงามของจีน และองค์การสหประชาชาติได้ยอมรับให้เป็นมรดกทางธรรมชาติของโลก หวงซานอยู่สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 3000 ฟุต บนเขามีหินเป็นรูปสัตว์ต่างๆที่เป็นตามธรรมชาติ และ มีน้ำตกสวยงามมีน้ำไหลตลอดปี

นั่งรถประมาณ 2 ชั่วโมงก็ถึงเชิงเขาและต้องนั่งกระเช้าลอยฟ้าต่อขึ้นไปบนเขาใช้เวลาประมาณ 20 นาที (หวาดเสียว) รถจะมาส่งถึงแค่จุดรับส่ง ซึ่งต้องเดินต่อไปขึ้นกระเช้าเอง ระหว่างทางมีไม้เท้าขายด้วย แต่หัวหน้าทัวร์เราซื้อแจกเรียบร้อยแล้ว เรากับน้องเดินเมินไม้เท้าอย่างไม่ใยดี ชั้นยังไม่แก่นะยะ

ขึ้นกระเช้าไปถึงบนเขาแล้ว จะมีคนรับหาบกระเป๋าใบละ 20 เหรียญ เราเมินอีกเช่นกันหาบขึ้นไปเอง เพราะพวกนี้พอเห็นว่าเราต้องการให้หาบก็จะหาทางโก่งราคา ไม่มีราคาตายตัวแน่นอน และต้องทิปให้คนหาบด้วยซึ่งพวกนี้ก็จะเรียกทิปไม่รู้จักจบสิ้นเราขี้เกียจยุ่งยาก แถมเถียงภาษาเค้าก็ไม่เป็นเลยถือกับน้องคนละ 2 ใบของเราเองและของอาม่ากับอากง

จากจุดลงกระเช้าก็ยังต้องเดินต่อไปอีก ประมาณ 20 นาทีถึงจะถึงโรงแรม โรงแรมที่พักชื่อเป่ยไห่ เป็นโรงแรมที่ดีที่สุดบนเขา (3 ดาว) และอยู่ใกล้กระเช้าไฟฟ้าที่สุด เก็บของแล้วก็ทานอาหารกลางวัน ไกด์ได้เตือนพวกเราก่อนแล้วว่าอาหารบนเขาจะกินไม่ค่อยได้ เพราะหาลำบากต้องส่งจากข้างล่างขึ้นไปขอให้ทำใจเรื่องอาหารไว้ก่อน และไกด์ก็ไม่ทำให้เราผิดหวัง เราอัดแต่ข้าวกับผัดผักเข้าไปเต็มที่ เพราะอย่างอื่นกินไม่ได้ และ ต้องกินข้าวให้มีแรงไว้สำหรับขึ้นเขาตอนบ่ายโมง

บ่ายโมง พวกเรานัดกันที่ใกล้ ๆ โรงแรม เป็นจุดเริ่มต้นเดิน จะมีทางเดินให้เลือก 2 ทาง คือทางสั้นและทางยาว สำหรับทางสั้นเราก็แบ่งให้คนสูงอายุเดิน แยกไปได้ประมาณ 11 คนที่เดินทางยาว ซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมง สำหรับคนสูงอายุ หรือคนที่ไม่สะดวกจะเดินก็จะมีเกี้ยวหามซึ่งราคาเหมารวมทั้งวันประมาณ 10,000 บาทไทย (200 เหรียญ) และยังต้องทิปคนหามต่างหาก อาม่าเราตัดสินใจเดินเองไปทางสั้น ส่วนอากงยังเก๋า เดินทางยาว บอกว่ามาแล้วต้องไปให้ถึงยอด คนที่ขึ้นเกี้ยวมีคนเดียว คือเหล่าอี๊ส้มลิ้ม เพราะเค้าแก่มากแล้วและขาก็ไม่ดี

ระหว่างทางเดินจะมีจุดพักเป็นระยะ ๆ และที่จุดพักก็จะมีแผนที่ให้ซึ่งไม่หลงแน่นอน เรากับน้องเลยเดินไม่รอใครลิ่ว ๆ ขึ้นเขาไปเพราะต้องตั้งกล้องถ่ายรูปซึ่งใช้เวลาเพราะต้องใช้ขาตั้งกล้องเนื่องจากมีหมอกลงหนา บรรยากาศบนเขาดีมาก ทางเดินเป็นหิน ทำเป็นขั้นบันได แต่ชันและคดเคี้ยวมาก ยิ่งกว่าภูกระดึงอีก ข้างทางก็จะเป็นต้นไม้ หมอก และเชิงเขาเหมือนอยู่ในฝันเลย บางครั้งลมหอบมาแรงๆ ก็จะพาเอาหมอกไปทำให้เห็นวิวทิ่หุบเขาชัดขึ้นกว่าเดิม บางคนบอกว่ามาหวงซานจะสวย หรือ ไม่สวยอยู่ที่ดวง ถ้าเจอหมอกลงจัดหรือฝนตกก็จะไม่เห็นอะไร

เราเดินกันไปเรื่อย ๆ ช้า ๆ แต่รู้สึกว่าเหนื่อยเร็วมาก และเวลาพักก็จะหายเหนื่อยเร็ว คิดถึงไม้เท้าจัง ตอนหลังเราก็คิดค้นวิธีเดินของเราเองว่าให้ก้าวให้ช้าๆ โดยปล่อยน้ำหนักลงข้างที่ก้าว และข้างที่ไม่ได้ก้าวก็ให้ปล่อยตามสบาย ก็จะเดินไปได้เรื่อย ๆ โดยที่ไม่หอบ และไม่ต้องพักบ่อยนัก ส่วนน้องเราใช้วิธีเดินแบบเป็นฟันปลา คือเฉียงไปเฉียงมา มันบอกว่าไม่เมื่อย ไม่รู้ว่าไม่มึนหัวมั่งหรือไง ระหว่างทางยังต้องหลบคนหามเกี้ยวเพราะเค้าแบกหนักเราก็ต้องให้เค้าเดินไปก่อน เวลาเดินเค้าจะมี 2 คน หน้าหลัง คนหน้าส่งเสียง ฮึฮึ คนหลังส่งเสียง ฮะฮะ สลับกันไปตลอดทาง คาดว่าคงทำให้เหนื่อยน้อยลง

เราเดินไปถ่ายรูปไปตลอดทาง แต่ถ่ายได้ไม่เยอะเพราะอย่างที่บอกว่าต้องเสียเวลาตั้งกล้อง ซึ่งชัตเตอร์อยู่ที่ต่ำมาก กล้องต้องนิ่ง และตัวเราเองก็ต้องนิ่งด้วย ไม่งั้นรูปออกมาก็จะเบลอ ระหว่างพักถ่ายรูปคนอื่น ๆ ก็จะแซงเราไป พอถ่ายเสร็จเราก็จะแซงคนอื่นไป เป็นอย่างงี้ไปตลอดทาง พอเดินไปได้ซัก เกือบ 3 ชั่วโมง เรากับน้องก็มาหยุดอยู่ที่จุดพัก ซึ่งจุดนี้มีเก้าอีกยาวเป็นหินอยู่ 1 ตัว และ วิวที่มองเห็นเป็นภูเขาสองลูก ตั้งขนานกันเหมือนเราตั้งท่าพนมมือ น้องเราเลยไปนอนคว่ำหน้าที่อยู่เก้าอี้แล้วให้เราถ่ายรูปมันเป็นซูเปอร์แมน บินอยู่ระหว่างเขา 2 ลูก เราถ่ายรูปตรงนี้หลายใบ นั่งรอนานแล้วก็ยังไม่มีใครขึ้นมา เรากับน้องชักกังวลว่าเราหลงทางหรือเปล่า แต่ดูแผนที่แล้วก็ไม่น่าจะหลงรออยู่เกือบครึ่งชั่วโมงคนที่เหลือก็ขึ้นมาแต่มีเหลืออยู่แค่ 6 คน มี๊เราบอกว่าอีก 4 คนเค้าเดินกลับเพราะว่าเหนื่อยมาก ส่วนเหล่าอี๊ส้มลิ้มก็ให้เกี้ยวกลับไปเหมือนกันเพราะสงสารคนหาบ

พวกเราที่เหลือทั้งหมด 8 คนเดินขึ้นเขาต่อไปโดยที่ไม่มีทีท่าว่าจะถึงยอด และเหนื่อยล้ามาก จนมาถึงจุดหนึ่งเป็นจุดชมวิว รู้สึกว่าเริ่มสูงว่าเขาลูกอื่น ๆ เพราะ จะเห็นวิวของหุบเขาอื่น ๆ สลับกันเป็นชั้นๆ และตรงราวที่กั้นมีมี๊กุญแจใส่อยู่เป็นพรวนแน่นไปทั้งราวเป็นแนวยาว เราเคยดูสะเก็ดข่าวเลยทำหน้าที่แทนไกด์บอกทุกคนว่านี่เป็นกุญแจที่คู่รักเค้าเอามาคล้องเพื่อให้ครองคู่กันตลอดไป พอคล้องเสร็จก็จะโยนลูกกุญแจทิ้ง คือไม่มีใครมาแกะออก หรือพรากพวกเค้าจากกันได้ ป๊าบอกว่าเป็นป๊าจะเก็บลูกกุญแจสำรองไว้ 1 ชุด

ไกด์บอกว่าเดินอีกหน่อยก็จะถึงยอดแล้ว พวกเราก็เลยหน้าเดินในที่สุดก็ถึงยอดเขาแล้ว เย้! ไกด์บอกว่าจริง ๆ ตรงนี้เป็นจุดสูงสุดเป็นอันดับสองแต่ก็ต่างจากอันดับ 1 แค่ 400 เมตรเอง และถ้าจะไปที่สูงที่สุดจะต้องเดินทางทรหดกว่านี้อีกมากพวกเราตกลงกันว่าพอใจที่อันดับสองนี่แหละ เพราะจะตายกันอยู่แล้ว จุดนั้นสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 1800 กว่าเมตร เงียบ สงบ มองไปมุมหนึ่งจะเห็นยอดเขาฝั่งตรงข้ามเป็นรูปเสือกับเต่า

เราสูดหายใจเอาอากาศบริสุทธิ์เข้าเต็มปอด แต่กลิ่นที่ได้กลายเป็นบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่มีขายอยู่บนเขานั้นเอง กลิ่นนั้นช่างน่ากินเหลือเกิน เพราะเราเดินกันมา 4 ชั่วโมง โดยที่ไม่ได้กินอะไรเลย เราถึงกับน้ำลายไหล อยากกินมาก คิดดูว่าบนนั้นไม่มีกลิ่นอะไรเลย พอมีกลิ่นอะไรขึ้นมาก็จะแรงเป็นพิเศษ โอ...บะหมี่ถ้วย พ่อเราเห็นท่าทางน้ำลายเยิ้มเช่นนั้นเลยบอกว่าเดี๋ยวลงไปก็ได้กินข้าวแล้ว เราจึงตื่นขึ้นจากภวังค์ เรื่องอะไรจะมากินแค่บะหมี่ เดี๋ยวลงไปก็มีหมูเห็ดเป็ดไก่เพียบ

ลงไปถึงโรงแรมก็เกือบ 6 โมงเย็น กินข้าว ไม่อร่อยเลยมีปลาซึ่งเราเป็นคนไม่กินปลา โดยเฉพาะปลาน้ำจืด และผัดผักประมาณ 3 ชนิด ก็ดี ตั้งแต่มาเมืองจีนระบบขับถ่ายดีเป็นพิเศษ เพราะกินได้แต่ผัดผักกับเต้าหู้ แล้วก็เข้านอน โปรแกรมพรุ่งนี้คือตื่นแต่เช้าตรู่มาเดินชมทิวทัศน์บนเขาหวงซานต่อ




 

Create Date : 13 กรกฎาคม 2549    
Last Update : 18 พฤศจิกายน 2551 22:13:33 น.
Counter : 612 Pageviews.  

วันที่ 1 ขับรถวนไปวนมา

คณะทัวร์เราเป็นทัวร์คนแก่ ไปกันทั้งสิ้น 20 คนพอดี มีเรา, น้องเรา, ป๊า, มี๊, อากง, อาม่า, และลูกค้าของป๊ากับมี๊เรา ทัวร์นี้ก็เลยไม่ค่อยผจญภัยกันเท่าไหร่นัก เน้นที่พักและอาหารดี เพราะแต่ละท่านไม่นับยี่สิบกว่าอย่างเรา ซึ่งมีกันอยู่ 4 คน ก็อายุเกิน 50 กันแล้วทั้งนั้น เรามีหัวหน้าไกด์ชื่ออาเจ็กประเวศ และ หัวหน้าทัวร์เป็นสาวจีนพูดไทยได้ ชื่อ ไฉไล เป็นไกด์ที่น่ารักมากและมีลูกสาวโตแล้วเรียนอยู่ที่เอแบคปี 1

วันแรกคณะเราเจอกันที่หน้าเคาเตอร์เช็คอินของ China Eastern Airlines ตอนเที่ยงคืน เครื่องออก ตี 2 หมดไปแล้ว 1 วัน ถึงเมืองจีนตอนประมาณ 7 โมงครึ่งเวลาท้องถิ่น คนไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่ ประมาณ 8 โมงกว่าพวกเราก็ออกมายืนอยู่หน้าสนามบินแล้ว เผอิญตามโปรแกรมตอนเช้าไกด์จะพาเข้าโรงแรมโรงแรมที่เราพักชื่อว่ากวงต้า (ชื่อจีนจริง ๆ ยาวมาก อ่านไม่ออก) เป็นโรงแรมที่มีชื่อเสียงในเซี่ยงไฮ้ ช่วงเช้าก็จะว่างให้พักผ่อนกันก่อน มี๊เราก็เลยนัดเพื่อนที่เซี่ยงไฮ้ มาพาเรา มี๊ และ น้องไปเที่ยว คนอื่น ๆ ก็เข้าไปพักผ่อนที่โรงแรม

ตอนที่มี๊นัดอาอี๊คนนี้มารับเค้าบอกว่าจะพาน้องชายเราไปด้วย เค้าเลยบอกว่าจะพาลูกสาวเค้ามาด้วย (เอากะเค้าสิ) อาอี๊คนนี้เพิ่งจะหัดขับรถ และเพิ่งจะซื้อรถ เราก็หวั่น ๆ อยู่ว่าเค้าจะขับเป็นยังไง แค่ยังไม่ขึ้นรถก็ทำเราเสียวซะแล้วคือรถเค้าไหลลงเนิน แต่เค้าก็ไม่รู้ตัว ส่วนเราร้อน ๆ หนาว ๆ ระหว่างทางเราสังเกตว่าหนุ่มสาวเมืองจีนใจกล้ามากทีเดียว เดินกอดกันกลมตามถนน (มันเดินถนัดได้ไงวะ)

อาอี๊บอกว่าจะพามี๊เราไปเจอเพื่อน แล้วระหว่างที่มี๊เราคุยกับเพื่อนก็จะพาเรากับน้องไปเที่ยว เราก็โอเค แต่ปรากฎว่าอาอี๊ขับรถวนมาก และหลงทางตลอดเวลา ถ้าใครเคยไปเมืองจีนจะรู้ว่าขนาดคนที่ขับรถรู้ทางยังขับกันหวาดเสียวมาก แล้วคนไม่รู้ทางจะหวาดเสียวขนาดไหน เค้านึกจะถามทางก็จอดกลางสี่แยก แล้วก็วิ่งลงไปถามทางเลยรถเราก็เลยโดยคนบีบแตรด่าไปตลอดทาง เวลาผ่านไป ชั่วโมงครึ่งจากสนามบิน เรามองไปตามถนนก็เห็นป้ายว่า “Airport, 3km.” เวร ออกจากสนามบินมาชั่วโมงครึ่งเพิ่งอยู่ห่างจากสนามบินแค่ 3 กิโล คิดดูว่าเค้าหลงทางไปไกลขนาดไหน แต่พอ 11 โมงเค้าก็พาเราไปถึงที่หมายจนได้ และเราก็ไม่ขอให้เค้าพาเราไปเที่ยวไหนอีก เพราะกลัวเค้าจะหลง เราบอกเค้าว่าเราเกรงใจ ถ้าเค้าพาเราไปเที่ยวแล้ว กลัวเค้าขับกลับบ้านไม่ถูก เลยโดนค้อนซะวงใหญ่

ที่บ้านเพื่อนมี๊เค้าเลี้ยงอาหารเช้า เป็นอาหารเช้าแบบท้องถิ่นคือเป็นแป้งเหมือนแป้งโรตีสายไหมแบบหนา แล้วข้างบนก็เป็นไข่, ไช่โป้ว, ต้นหอม ละเลงอยู่บนแป้ง แล้วทอด ก็แปลกดี กินกับซอสเผ็ดของเค้าที่เป็นเหมือนพริกกวน ๆ รสเปรี้ยว ๆ เผ็ด ๆ แล้วก็มีนมแต่นมที่นั่นคาวมาก กินไม่ได้เลย

เสร็จจากบ้านเพื่อนมี๊เค้าพาเราที่ ๆ คณะทัวร์ของเราจะไปกินอาหารกลางวันกัน เป็นภัตตาคารจีนอยู่ในสวนที่ปลูกสร้างแบบจีนเหมือนที่เห็นในฉากหนังจีน แต่ร้านที่เปิดเป็นแบบทันสมัยอย่าง Starbucks Coffee, Illy Yogurt อะไรประมาณนี้ บรรยากาศเลยดูแปลกดี ร้านทันสมัยในบรรยากาศแบบโบราณ เราเดินเที่ยวในห้างที่เค้าพาเข้าไป ตื่นเต้นมาก เสื้อหนาวถูกมาก แบบสวยด้วยเป็นนวม ๆ สีชมพู สีฟ้า มีขน ราคา 180 เหรียญ (เหรียญละ 5 บาท) แต่เราไม่ได้ซื้อหรอกไม่รู้จะซื้อไปทำไม เดินได้สักพักก็ได้เวลากินอาหารเที่ยง เจอกับคณะทัวร์ของเราเรียบร้อยแล้ว พี่หมวย (เลขาป๊า) บอกว่าช่วงเช้าเค้าไปเที่ยวกับก่อนเพราะว่าไปโรงแรมแล้วเค้ายังทำห้องไม่เสร็จ ฮือๆๆ อดเที่ยวเลย มัวแต่ไปนั่งรถวน พอช่วงบ่ายเค้าก็เลยให้เดินเล่นในนั้น แล้วก็พาเข้าโรงแรมพักผ่อน และกินข้าวเย็น

อาหารเย็นก็กินที่ภัตตาคารเหมือนกัน อร่อยมาก ที่ชอบสุด ๆ คือขนมอะไรไม่รู้เราตั้งชื่อว่าเอแคลร์ทอด เพราะรูปร่างเหมือนกล้วยทอดทีร้านอาหารเวียดนามแต่ข้างในเป็นไส้เหมือนเอแคลร์ จิ้มนมข้นกินอร่อยมาก เรากินเสร็จแล้วก็เดินไปที่โต๊ะข้าง ๆ เลียบๆ เคียงๆ ถามว่าไม่กินกันเหรอคะ หึหึ เสร็จชั้น...เหลือตั้งหลายชิ้นแน่ะ

หลังอาหารค่ำเค้าก็พาเราไปล่องเรือชมบรรยากาศกลางคืน ขอบอกว่าสวยมาก เพราะริม 2 ฝั่งแม่น้ำเป็นเขตเช่าของฝรั่งตึกรามบ้านช่องก็เลยเป็นแบบฝรั่ง มีหอนาฬิกาด้วย เหมือนอยู่ในลอนดอนเลยนะเนี่ย ซึ่งตึกพวกนี้เป็นฉากในเรื่องเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้ด้วยนะ ส่วนพวกป้ายโฆษณาก็ตั้งใจทำให้มีลูกเล่น มีไฟแว๊บไปแว๊บมา พวกตึกสวย ๆ นั้นก็เปิดไฟสีทองสว่าง สวยจริง ๆ ไกด์อธิบายว่าเค้าเป็นข้อตกลงระหว่างเมืองเซี่ยงไฮ้และบรรดาตึกริมน้ำนี้ว่าต้องเปิดไฟให้สวยงามทุกคืน และยังมีหอทีวีของเซี่ยงไฮ้ ซึ่งเค้าบอกว่าสูงที่สุดเป็นอันดับ 3 ของโลก ออกแบบเป็นอวกาศมากเลย แถมข้าง ๆ ยังมีโดมใหญ่ ๆ เป็นรูปลูกโลก 2 อัน โอ...ไม่คิดเลยว่าเมืองจีนจะเจริญขนาดนี้ ไกด์ยังบอกว่าที่นี่เปลี่ยนไปตลอดเวลาคนที่มาเมื่อ 2 ปีที่แล้วจะจำไม่ได้เลยว่านี่คือเซี่ยงไฮ้

เสร็จแล้วก็กลับโรงแรม เราออกมาหาบัตรโทรศัพท์โทรกลับมาหาเฮีย นาทีนึงแพงเหมือนกัน ตกนาทีละหลายสิบอยู่

พรุ่งนี้เราจะพาขึ้นเขาไปหวงซานกันนะ




 

Create Date : 13 กรกฎาคม 2549    
Last Update : 18 พฤศจิกายน 2551 22:14:37 น.
Counter : 318 Pageviews.  

1  2  
 
 

แบ๊น แบน
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]




ข้อความและรูปภาพต่าง ๆ ในบลอกนี้ สงวนลิขสิทธิ์ตาม พรบ. ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2539 ห้ามผู้ใดละเมิดไม่ว่าจะเป็นการลอกเลียนแบบ หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดของข้อความและรูปภาพใน blog แห่งนี้ไปใช้เผยแพร่และอ้างอิงโดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร จะถูกดำเนินคดีตามที่กฎหมายบัญญัติไว้สูงสุด

[Add แบ๊น แบน's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com
pantip.com pantipmarket.com pantown.com