ไก่งวง เมนูเล็กๆในวันเฉลิมฉลอง

เมนูเล็กๆในวันเฉลิมฉลอง

ในเดือนธันวาคมของทุกปีนับเป็นช่วงเวลาของการเฉลิมฉลองที่ญาติพี่น้อง เพื่อน ๆ ของพลอยมารวมตัวกันสังสรรค์เป็นประจำ....หากถามว่าปีนี้พลอยอยากทำอะไร พลอยคงนึกถึงไก่งวงตัวโตหมักเครื่องเทศและสมุนไพรกลิ่นหอมจนเข้าเนื้อ ที่นำไปอบให้สุกเหลือง แล้วกินกับผักสดและผลไม้รสเปรี้ยวต่าง ๆ ครั้นจะต้องมาอบไก่ทั้งตัวคงจะยุ่งกันใหญ่ พลอยจึงเกิดไอเดีย นำเจ้าเมนูที่ว่ามาย่อขนาดให้เล็กลงทำง่ายขึ้น แต่ยังคงรสชาติและอารมณ์ของการกินไก่งวงอยู่เต็มร้อย โดยใช้อกไก่งวงรมควันมาสไลซ์เป็นชิ้นพอคำ เสิร์ฟคู่กับแอ๊ปเปิ้ลคอมโพตเนื้อฉ่ำรสเปรี้ยวอมหวาน ผสานกับผักร็อกเกตสีเขียวและซอสผลไม้กลิ่นหอมชวนรับประทาน พลอยถือโอกาสมอบเมนูนี้เป็นของขวัญส่งท้ายปีให้คุณผู้อ่านได้นำไปลองทำสำหรับงานเลี้ยงที่กำลังจะมาถึงด้วยเลยนะคะ พลอย

 

เมนูไก่งวง

 

Turkey Breast with Apple Compote and Vanilla Passion Sauce ส่วนผสม (สำหรับ 1 ที่) เตรียม 15 นาที ปรุง 40 นาที

- อกไก่งวงรมควัน 1 ชิ้น

- แอ๊ปเปิ้ลเขียว ½ ลูก

- น้ำตาลทราย ½ ถ้วย

- น้ำเปล่า 1 ถ้วย

ส่วนผสมซอสผลไม้

- น้ำเสาวรส ½ ถ้วย

- น้ำแอ๊ปเปิ้ล ½ ถ้วย

- น้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ

- วานิลลา 1 ฝัก

- ผักร็อกเกตตามชอบ

 

เมนูไก่งวง

 

วิธีทำ

1. ทำแอ๊ปเปิ้ลคอมโพตโดยนำน้ำและน้ำตาลทรายยกขึ้นตั้งไฟ พอเดือดใส่แอ๊ปเปิ้ลที่ปอกเปลือกแล้วลงไป เคี่ยวไปเรื่อยๆ ด้วยไฟอ่อนจนน้ำตาลซึมเข้าเนื้อแอ๊ปเปิ้ลดี ปิดไฟยกลง ตักออก พักไว้

2. ทำซอสโดยตั้งกระทะใส่น้ำเสาวรส น้ำแอ๊ปเปิ้ล และน้ำตาลทราย คนให้เข้ากันจากนั้นขูดเม็ดวานิลลาใส่ลงไปพร้อมฝักเคี่ยวไปเรื่อย ๆ จนส่วนผสมข้นและงวดขึ้นปิดไฟ พักไว้ให้เย็น

3. จัดเสิร์ฟโดยสไลซ์อกไก่งวงเป็นชิ้นตามชอบ เสิร์ฟพร้อมร็อกเกต แอ๊ปเปิ้ลคอมโพตและและราดซอสผลไม้ 


พลังงานต่อหนึ่งหน่วยบริโภค 718.80 กิโลแคลอรี

โปรตีน 15.95 กรัม 

ไขมัน 7.05 กรัม

คาร์โบไฮเดรต 151.60 กรัม

 ไฟเบอร์ 3.38 กรัม

 

เมนูไก่งวง


พลอย - ณัฐณิชา บุญเลิศ ผู้ชนะการแข่งขัน Chef Talent 2011

โครงการที่ Health & Cuisine จัดขึ้นเพื่อค้นหาเชฟหน้าใหม่ ประดับวงการอาหารและเป็นตัวแทนของนิตยสารทำกิจกรรมต่างๆ ติดตามภาพการแข่งขันและรายละเอียดการรับสมัครปีนี้ได้ที่ www.healthandcuisine.com/ChefTalent/

* sanook.com *




 

Create Date : 31 ธันวาคม 2555    
Last Update : 31 ธันวาคม 2555 14:50:58 น.
Counter : 3636 Pageviews.  

ซูกิ ซูกิ อร่อยร้อน อิ่มไม่อั้น

วันนี้ We Recommend จะพาแฟน ๆ ไปทานอาหารอร่อยเพื่อสุขภาพ ร้านที่เกิดจากไอเดียของเจ้าของร้านซึ่งมีความชอบในการับประทานสุกี้และชาบู และมีโอกาสได้ไปลิ้มลองความอร่อยของสุกี้และชาบูมาแล้วในหลายประเทศ จึงเกิดเป็นแรงบันดาลใจในการเปิดร้านสุกี้และชาบูที่ปรับเปลี่ยนรสชาติให้เข้ากับคนไทย ทั้งสูตรพิเศษของน้ำซุป ที่ปราศจากผงชูรส และใช้เวลาเคี่ยวนานกว่า 5 ชั่วโมง เพื่อให้ได้รสชาติที่กลมกล่อม แถมยังมีน้ำจิ้มให้เลือกถึง 4 ชนิด ทั้งน้ำจิ้มสุกี้ไทย น้ำจิ้มงา น้ำจิ้มเต้าหู้ยี้ หรือจะเป็นน้ำจิ้ม Soy Sauce ที่สามารถปรุงรสเพิ่มเติมได้เองด้วยน้ำส้ม พริก กระเทียม ต้นหอม

อร่อยร้อน อิ่มไม่อั้น

เมนูอาหารของร้าน Zuki Zuki ก็มีหลากหลายทั้ง เนื้อ US เนื้อวากิว เนื้อแกะออสเตรเลีย เนื้อริบอาย ออสเตรเลีย หมูคุโรบุตะ แต่ถ้าชอบเป็นเครื่องในให้เลือกสั่ง ตับหมูและไส้หมู ส่วนคนชอบซีฟู้ดสด ๆ ก็มีให้เลือกทั้ง หอยนางรม หอยเชลล์ ปลาหมึก กุ้ง เอาใจคนชอบทานปลาด้วย ปลาแซลมอนและปลาดอรี่ ลูกชิ้นก็มีให้เลือกหลากหลายชนิดหลากหลายความอร่อย ไม่ว่าจะเป็น หมูยอไต้หวัน ลูกชิ้นหมูเห็ดหอม ลูกชิ้นกุ้งทอด ลูกชิ้นปลาหมึก เมนู Signature ของร้านที่ไม่อยากให้พลาดกันเลคือ ลูกชิ้นกุ้งสดไต้หวัน รับประกันความอร่อยแบบ Homemade อย่าลืมเพิ่มความใส่ใจสุขภาพด้วยชุดผักแะลเห็ดโคนญี่ปุ่น ปิดท้ายกับเมนูที่ถูกใจทุกคนอย่างแน่นอนคือ เส้นไวไว ซดน้ำซุปร้อน ๆ ไปแล้วเปลี่ยนมาสั่งเครื่องดื่มเย็น ๆ มาจิบกับ ชาบ๊วยและบ๊วยสไปรท์ ก่อนที่ทางร้านจะเสิร์ฟ ถั่วแดงเย็นไข่มุก ของหวานแสนอร่อยเสิร์ฟฟรีสำหรับลูกค้าทุกท่าน

บรรยากาศร้านสบาย ๆ จะเลือกนั่งเป็นโซน Private หรือบาร์ยาวที่สามารถอร่อยกับหม้อส่วนตัวได้ ความอิ่มอร่อยแบบไม่อั้นสไตล์บุฟเฟ่ต์ที่ร้าน Zuki Zuki ราคาเพียง 499 บาท สามารถทานได้ไม่จำกัดเวลา แต่ก็มีตัวเลือกเป็นราคา 299 บาทสำหรับคนทานไม่จุ หรือจะเลือกสั่งเป็นแบบ A la carte ก็ยังได้ค่ะ เย็นนี้ไปอร่อยกับหม้อร้อนแบบไต้หวันได้ที่ร้าน Zuki Zuki ตั้งอยู่ที่ชั้น 2 The Nine พระราม 9 กันนะคะ

Recommended Dishes

เนื้อแกะออสเตรเลีย
เนื้อวากิว
เนื้อ US
หมูคุโรบุตะ
เนื้อริบอาย ออสเตรเลีย
ลูกชิ้นกุ้งสดไต้หวัน

ที่ตั้ง:The Nine ถนนพระราม 9 แขวงสวนหลวง สวนหลวง กรุงเทพมหานคร 10250

โทร: 02-716-7891

เวลาเปิดบริการ: ทุกวันเวลา 11.00-22.00 น.

ราคาต่อท่านโดยประมาณ: 301-500 บาทต่อคน

สัญชาติอาหาร: ไต้หวัน

ประเภทอาหาร: สุกี้-ชาบู

รูปแบบการให้บริการ: ร้านอาหารทั่วไป

เหมาะสำหรับ: ครอบครัว, จัดเลี้ยงโอกาสพิเศษ

ที่จอดรถ: ลานจอดรถของโครงการ The Nine

* sanook.com *




 

Create Date : 31 ธันวาคม 2555    
Last Update : 31 ธันวาคม 2555 14:49:15 น.
Counter : 1644 Pageviews.  

เที่ยวย้อนอดีตวันวานผ่าน “เมืองกาญจนบุรี“

ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 3 แล้วที่เราได้มีโอกาสมาเยือนยัง จังหวัดกาญจนบุรี กันอีกครั้ง ด้วยเพราะจังหวัดนี้อุดมสมบูรณ์ไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยวมากมาย ทั้งทางธรรมชาติ ประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรมอันทรงคุณค่า มีผู้คนหลากเชื้อชาติที่มาอาศัยอยู่ร่วมกัน ทั้งไทย พม่า มอญ ปากะญอ (กะเหรี่ยง) ฯลฯ ภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นป่าเขา มีพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 19,473 ตารางกิโลเมตร ห่างจากกรุงเทพฯ ประมาณ 129 กิโลเมตร เป็นที่ตั้งชุมชนมาตั้งแต่ครั้งก่อนประวัติศาสตร์ ในสมัยรัชกาลที่ 5 เมืองกาญจนบุรีได้รับการยกฐานะเป็นจังหวัดในปี พ.ศ. 2467 สถานที่แรกที่เราอยากจะพาคุณผู้อ่านไปรู้จักกับความทรงจำในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ตั้งอยู่ในบริเวณอำเภอเมือง คือ สะพานข้ามแม่น้ำแคว ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ประจำจังหวัดกาญจนบุรี

 ทางรถไฟสายมรณะ (ถ้ำกระแซ) จุดที่น่าสนใจของทางรถไฟสายมรณะอยู่ที่ช่วงโค้งมรณะ ซึ่งเป็นช่วงที่สะพานด้านหนึ่งเลียบไปตามโค้งขอบหินผาสูงส่วนอีกด้านเป็นแม่น้ำแควน้อยที่อยู่ลึกลงไปดังหุบเหว เป็นระยะทางประมาณ 400 เมตร ทิวทัศน์ตลอดเส้นทางมีความสวยงามและน่าหวาดเสียว เป็นที่ตื่นตาตื่นใจของนักท่องเที่ยวอย่างมาก เส้นทางนี้สร้างขึ้นสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยกองทัพญี่ปุ่นได้เกณฑ์เชลยศึกฝ่ายสัมพันธมิตร และกรรมกรชาวจีน ญวน ชวา มลายู ไทย พม่า อินเดีย จำนวนมาก มาก่อสร้างทางรถไฟสายยุทธศาสตร์นี้ เพื่อเป็นเส้นทางผ่านไปสู่พม่า ในสมัยนั้นมีความทุรกันดาน ขาดแคลนอาหารและเต็มไปด้วยความยากลำบาก โรคภัยชุกชุม อีกทั้งความโหดร้ายทารุณของทหารญี่ปุ่นที่คอยเร่งรัดเชลยศึกให้โหมงานการก่อสร้างอย่างหามรุ่งหามค่ำ ทำให้มีผู้บาดเจ็บล้มตายลงที่นี่เป็นจำนวนมาก จึงเป็นที่มาของชื่อทางรถไฟสายมรณะ ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สะพานแห่งนี้ถูกทหารฝ่ายสัมพันธมิตรทิ้งระเบิดเพื่อตัดเส้นทางการลำเรียงยุทโธปกรณ์ของกองทัพญี่ปุ่นไปสู่พม่า ทำให้สะพานได้รับความเสียหาย ต่อมาเมื่อสงครามฯ สิ้นสุดลง ในปี พ.ศ. 2489 รัฐบาลไทยได้ซ่อมแซมจนสะพานสามารถกลับมาใช้งานได้ดังเดิม ปัจจุบันสะพานแห่งนี้ได้รับการยกย่องให้เป็นอนุสรณ์สถานแห่งสันติภาพ และมีการจัดงานสัปดาห์สะพานข้ามแม่น้ำแควในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนถึงต้นเดือนธันวาคมของทุกปี มีการแสดงนิทรรศการทางประวัติศาสตร์ การแสดงพื้นบ้าน การออกร้านจำหน่ายสินค้าพื้นเมือง และการแสดง แสง สี เสียง

มีบริการนั่งรถรางเที่ยวชมทุกวัน วันธรรมดา เริ่มตั้งแต่เวลา 08.00 - 10.30 น., 11.20 - 14.00 น., 15.00 - 16.00 น. และ 18.00 - 18.30 น. วันเสาร์-อาทิตย์ เวลา 08.00 - 09.30 น., 11.20 - 14.00 น., และ 18.00 - 18.30 น.



อีกหนึ่งแห่งที่เป็นสถานที่แห่งความทรงจำที่เจ็บปวดที่เกิดจากสงครามโลกครั้งที่ 2 เช่นกันก็คือ สุสานทหารสัมพันธมิตร(ดอนรัก) ตั้งอยู่บนถนนแสงชูโต เยื้องสถานีรถไฟกาญจนบุรี ใช้ทางหลวงหมายเลข 323 ไปทางอ.ไทรโยค ผ่าน รพ.แสงชูโต ตรงไปไม่ไกลจะเห็นสุสานอยู่ทางด้านซ้ายมือ "สุสานดอนรัก" หรือ "สุสานสหประชาชาติ" ที่ชาวบ้านทั่วไปเรียกว่า "ป่าช้าอังกฤษ" เป็นสุสานขนาดใหญ่บนพื้นที่ 17 ไร่ เป็นอนุสรณ์สถานฝังศพเชลยศึกที่เสียชีวิตระหว่างการสร้างทางรถไฟสายมรณะ 6,982 หลุม โดยเชลยศึก 300 คนเสียชีวิตด้วยอหิวาตกโรคและฝังไว้ที่ค่ายนิเกะ (ประมาณ 15 กิโลเมตร ก่อนถึงด่านเจดีย์สามองค์) ส่วนที่เหลือได้จากหลุมฝังศพเชลยศึกตามค่ายต่างๆ และยังมีสุสานช่องไก่ ซึ่งรัฐบาลไทยและฝ่ายสัมพันธมิตรได้ตกลงกันเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2497 เพื่อสร้างสุสานสองแห่งนี้ขึ้น บรรยากาศในสุสานเงียบสงบและร่มรื่น พื้นที่ภายในได้รับการตกแต่งไว้อย่างเป็นระเบียบสวยงาม เหนือหลุมฝังศพทุกหลุมมีแผ่นทองเหลืองจารึก ชื่อ อายุ และประเทศของผู้เสียชีวิต บรรทัดสุดท้ายเป็นคำไว้อาลัยที่โศกเศร้า ทุกปีจะมีวันที่รำลึกถึงผู้เสียชีวิตเฉพาะของคนชาติต่างๆ ได้แก่ วัน Anzac Day 25 เมษายน ของชาวออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ วัน Armistice Day 5 พฤษภาคม ของชาวเนเธอร์แลนด์ และ วัน Remembrance Day 11 พฤศจิกายน ของชาวอังกฤษ การมาเที่ยวยังสถานที่แห่งนี้ควรอยู่ในอาการสงบ ไม่ควรวิ่งเล่นหรือเดินข้ามหลุมฝังศพ ห้ามนำอาหารและเครื่องดื่มเข้ามารับประทาน และห้ามจัดกิจกรรมทุกประเภท เพื่อเป็นการเคารพต่อสถานที่และผู้เสียชีวิต

 

จากนั้นมาต่อกันที่ชุมชนเก่าแก่ที่มีอดีตความทรงจำที่น่าสนใจมากมาย ชุมชนปากแพรก อยู่ใกล้ๆ กับศาลหลักเมือง

 

อนุสาวรีย์รัชกาลที่ 3 และ แนวกำแพงเมืองเก่า เป็นประตูเมืองก่ออิฐถือปูนยุครัตนโกสินทร์ตอนต้น สร้างในรัชสมัยสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 3) ครั้งย้ายเมืองกาญจนบุรีเก่า จากตำบลลาดหญ้ามาสู่ปากแพรก เนื่องด้วยยุทธศาสตร์การรบ เพราะมีชัยภูมิในการตั้งรับข้าศึกได้ดีกว่าเก่า อีกทั้งยังสะดวกในการค้าขายกับเมืองต่างๆ อีกด้วย ลักษณะตัวกำแพงด้านบนมีใบเสมา ผังกำแพงเมืองเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า กว้าง 210 เมตร ยาว 480 เมตร มีป้อมประจำมุม 4 ป้อม ป้อมกลางกำแพงด้านหน้า 1 ป้อม และป้อมเล็กกลางกำแพงด้านหลัง 1 ป้อม มีประตู 8 ประตู ประกอบด้วย ประตูเมือง 6 ประตู และประตูช่องกุด 2 ประตู ซึ่งได้ชำรุดลงเกือบทั้งสิ้น คงเหลือเฉพาะประตูเมืองด้านหน้า ซึ่งหันหน้าสู่แม่น้ำแควใหญ่ และกำแพงเมืองบางส่วนที่อยู่ติดกัน โดยได้มีการบูรณะเมื่อปี พ.ศ. 2549 ส่วนบริเวณด้านหลังประตูเมืองเป็นที่ตั้งของพระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 3) ที่นี่เป็นย่านชุมชนเก่าแก่ของเมืองกาญจน์ เป็นถนนสายเก่าของเมืองในอดีต ที่มีสิ่งก่อสร้างและสถาปัตยกรรมที่น่าสนใจ ทั้งโบราณสถาน บ้านเรือนร้านค้าแบบไม้และตึก ส่วนใหญ่เป็นรูปทรงแบบจีนผสมตะวันตก ที่เรียกว่าชิโน-โปรตุกีส ตลอดเส้นทางสายนี้ระยะทางกว่า 1 กม. อาคารแต่ละหลังที่มีความสำคัญและมีคุณค่าทางประวัติศาสตร์และได้รับการอนุรักษ์ไว้ให้ผู้ที่มาเยือนได้ชม อาทิ บ้านแต้มทอง อาคารตึกหลังแรกของกาญจนบุรี มีลักษณะภายนอกดูเหมือนศาลเจ้า บ้านครึ่งตึกครึ่งไม้สองชั้น อายุประมาณ 142 ปี ปัจจุบันยังคงเป็นที่พักอาศัยของคนในตระกูลมาถึง 5 รุ่นแล้ว, บ้านสิทธิสังข์ สร้างขึ้นในยุคสมัยรัชกาลที่ 5 ได้รับอิทธิพลจากสถาปัตยกรรมแบบชิโน-โปรตุกีส มีจุดเด่นอยู่ที่ปูนปั้นลายก้านขดเหนือป้ายชื่อบ้าน รวมทั้งประตูบานเฟี้ยมใช้สีทาบ้านที่ทำจากดิน ปัจจุบันบ้านนี้ถูกเปลี่ยนเป็น ร้านกาแฟร่วมสมัยเก๋ไก๋น่านั่งดื่มกาแฟและถ่ายภาพไว้เป็นที่ระลึก โรงแรมสุมิตราคาร โรงแรมแห่งแรกของกาญจนบุรี เลิกกิจการไปเมื่อปี 2522 ในสมัยสงครามโลก ครั้งที่ 2 เคยมีทหารญี่ปุ่นมาเช่าพักค้างคืน ในราคา 1 บาทต่อคืน ปัจจุบันอาคารหลังนี้กลายเป็นบ้าน ร้านค้า และยังคงอยู่ในสภาพเดิมคือ เป็นตึกแถวสองชั้นครึ่งตึกครึ่งไม้ ฉาบปูนและคร่าวผนังเป็น โครงไม้รวก นอกจากนี้ยังมีอาคารเก่าแก่ที่น่าสนใจอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น บ้านฮั้วฮง, บ้านอำนวยโชค, บ้านชิ้นปิ่นเกลียว, นิวาสแสนสุข เรือนหอของพระยาพหลพลพยุหเสนา นายกรัฐมนตรีคนแรกของไทย และใกล้ๆ กันยังมีบ้านเรือนไม้ซึ่งเคยเป็นที่ประทับของสมเด็จพระสังฆราชองค์ปัจจุบัน ปัจจุบันไม่ได้เปิดเป็นถนนคนเดินแล้ว แต่เราก็ยังสามารถแวะเวียนไปเดินเที่ยวถ่ายรูป หรือเดินชมสถาปัตยกรรมความงดงามของบ้านเรือนในสมัยเมื่อครั้งอดีตได้

 

เลยมาทางอำเภอไทรโยคเราก็จะได้พบกับโบราณสถานอันเก่าแก่ อุทยานประวัติศาสตร์เมืองสิงห์ ตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำแควน้อยทางทิศเหนือ แวดล้อมด้วยทิวเขาเป็นแนวยาวอยู่โดยรอบ ลักษณะผังเมืองเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า กำแพงเมืองก่อด้วยศิลาแลง กว้างประมาณ 800 เมตร ยาวประมาณ 850 เมตร และกำแพงสูง 7 เมตร มีประตูเข้าออก 4 ด้าน มีคูน้ำคันดินล้อมรอบ ภายในเมืองมีสระน้ำ 6 สระ สร้างขึ้นเพื่อเป็นพุทธศาสนสถาน นิกายมหายาน จากการขุดค้นตกแต่งของกรมศิลปากรไปตั้งแต่ พ.ศ. 2478 จนแล้วเสร็จเป็นอุทยานประวัติศาสตร์เมื่อ พ.ศ.2530

ปราสาทเมืองสิงห์ มีศิลปกรรมคล้ายคลึงกับของศิลปะสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 (พ.ศ. 1720 - 1780) แห่งอาณาจักรขอม ศิลปกรรมที่สำคัญที่พบคือ พระพุทธรูปนาคปรก พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร และ
นางปรัชญาปารมิตา และยังพบรูปพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรเปล่งรัศมีอีกองค์หนึ่ง รูปลักษณ์คล้ายกับที่พบในประเทศกัมพูชา ปัจจุบันกรมศิลปากรได้นำไปเก็บรักษาอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนครแล้ว คงเหลือแต่องค์จำลองไว้ โดยโบราณสถานสำคัญที่น่าสนใจมีด้วยกัน 5 จุด คือ โบราณสถานหมายเลข 1ตั้งอยู่บริเวณใจกลางกลุ่มโบราณสถานทั้งหมด มีด้านหน้าอยู่ทางทิศตะวันออกและประกอบด้วยปรางค์ประธาน ระเบียงคด โคปุระ บรรณศาลา และกำแพงแก้ว โบราณสถานหมายเลข 2 หันหน้าไปทางทิศตะวันออก ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของโบราณสถานหมายเลข1 และมีลักษณะคล้ายคลึงกัน แต่มีขนาดเล็กกว่า มีปรางค์ประธาน โคปุระ 4 ด้าน แต่พังลงมามาก บูรณะได้น้อย โบราณสถานหมายเลข 3ตั้งอยู่นอกกำแพงแก้ว ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของโบราณสถานหมายเลข 1 เป็นโบราณสถานขนาดเล็ก ก่อด้วยอิฐศิลาแลง ซึ่งอาจจะเป็นฐานของเจดีย์ สภาพชำรุดมากจึงไม่สามารถบอกขนาดและลักษณะที่แน่นอนได้ โบราณสถานหมายเลข 4 อยู่ใกล้หมายเลข 3 เป็นอาคารรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า แบ่งเป็นส่วนเรียงเป็นแถวแนวเหนือใต้ สร้างด้วยศิลาแลง และจุดสุดท้าย หลุมขุดค้นทางโบราณคดี ตั้งอยู่ริมแม่น้ำ ซึ่งขุดค้นพบทั้งโครงกระดูก เครื่องมือเครื่องใช้ ภาชนะสำริด ดินเผา เครื่องมือเหล็ก สร้อยคอทำด้วยลูกปัดหินและลูกปัดแก้ว ซึ่งชี้ชัดว่าชุมชนเหล่านี้เกิดขึ้นก่อนที่จะสร้างเมืองสิงห์ เพราะศพของคนที่ตายมีประมาณ 2,000 ปีมาแล้ว สันนิษฐานว่าอาจเป็นคนในยุคเดียวกับคนในชุมชนบ้านเก่า

จริงๆ แล้วจุดหมายหลักในการมาเที่ยวของเราครั้งนี้คือ การไปเที่ยวยัง "เมืองบาดาล วัดวังก์วิเวการาม" ซึ่งตั้งอยู่ที่ อ.สังขละบุรี อยู่ห่างจากตัวเมืองไปอีกเกือบ 200 กิโลเมตร โดยส่วนตัวแล้วเรามาเที่ยวที่สังขละบุรีนี้บ่อยมาก มาเกือบจะ 10 ครั้งแล้ว แต่ทุกครั้งที่เรามาจะเป็นช่วงอากาศหนาวปลายปี น้ำในเขื่อนก็จะเยอะและท่วมบริเวณเมืองบาดาล วัดวังก์วิเวการามแล้วทุกครั้ง การมาเที่ยวชมจึงทำได้เพียงก้มมองลงไปดูความงดงามแบบอ้างว้างผ่านสายน้ำเพียงเท่านั้น แต่ครั้งนี้เราตั้งใจที่จะลงไปเดินสัมผัสถึงความเจริญรุ่งเรืองและความงดงามของสถาปัตยกรรมที่ถูกสร้างขึ้นและต้องถูกทิ้งล้างให้จมน้ำมากว่ายี่สิบปีแล้ว

วัดวังก์วิเวการาม เดิมเป็นวัดที่หลวงพ่ออุตตมะ พระเกจิอาจารย์ชื่อดังซึ่งประชาชนชาวไทยและชาวมอญรวมทั้งกระเหรี่ยงและพม่าที่อาศัยอยู่บริเวณนั้นให้ความเคารพนับถืออย่างยิ่ง สร้างขึ้น เมื่อ พ.ศ.2496 ในบริเวณที่เรียกว่า "สามประสบ" คือมี แม่น้ำซองกาเลีย แม่น้ำบีคลี่ และแม่น้ำรันตี 3 สายไหลมารวมกัน ตั้งอยู่ห่างจากตัวอำเภอสังขละบุรีประมาณ 3 กม. มีวิหารริมแม่น้ำ ที่เคยประดิษฐานพระพุทธรูปหินอ่อนอันงดงามและเคยเป็นที่จำพรรษาของหลวงพ่ออุตตมะ ต่อมาในปี 2527 มีการก่อสร้างเขื่อนเขาแหลม ทำให้น้ำเข้าท่วมอำเภอสังขละบุรีเก่า รวมทั้งวัดนี้ด้วย หลวงพ่ออุตตมะจึงได้ย้ายวัดมาอยู่บนเนินเขา โดยในช่วงเดือนมีนาคมถึงต้นเดือนพฤษภาคม น้ำจะลด ทำให้สามารถมองเห็นโบสถ์ นักท่องเที่ยวสามารถนั่งเรือไปเที่ยวชมได้ แต่ในช่วงน้ำขึ้นน้ำจะท่วมสูงเกือบทั้งหมด เหลือเพียงยอดโบสถ์ให้เห็นเท่านั้น และกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยว UNSEEN ที่สำคัญของอำเภอสังขละบุรี

ของแถมสำหรับปิดท้ายทริปนี้ที่สวยงามและน่าประทับใจของเราก็คือ สายหมอกที่ทอดยาวปกคลุม สะพานมอญ หรือ สะพานไม้อุตตมานุสรณ์ ด้วยเพราะในช่วงเย็นที่เราเดินทางมาถึงที่นี่ มีฝนตกจึงทำให้ในช่วงเช้าเกิดสายหมอกเหมือนกับในช่วงฤดูหนาวที่เราได้เห็นกันเป็นเรื่องปกติ อากาศสดชื่นเย็นสบาย สะพานนี้ สร้างโดยหลวงพ่ออุตตมะและคณะศิษย์ จึงมีอีกชื่อเรียกว่า "สะพานอุตตมานุสรณ์" เป็นสะพานไม้ที่มีชื่อเสียงและเป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญของอำเภอสังขละบุรี มีความยาวถึง 850 เมตร นับเป็นสะพานไม้ที่ยาวที่สุดในประเทศไทยและยาวเป็นลำดับ 2 ของโลก บริเวณสะพานเป็นจุดชมวิวทะเลสาบเขื่อนวชิราลงกรณที่สวยงาม สามารถมองเห็นลำน้ำสามสาย คือ ซองกาเลีย บีคลี่ และรันตี ที่ไหลมาบรรจบกันเป็นสามประสบ อันเป็นจุดกำเนิดแม่น้ำแควน้อย นักท่องเที่ยวนิยมมาเดินเยี่ยมชมสะพานเพื่อชมแสงสีทองของพระอาทิตย์ขึ้นในยามเช้า และชมวิถีชีวิตของชาวไทยและมอญที่เดินข้ามไปมาหากันบนสะพานแห่งนี้ ในช่วงเช้าเวลาประมาณ 06.00 น.จะมีพระสงฆ์มาบิณฑบาตบนสะพานไม้แห่งนี้เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้มาทำบุญตักบาตรเพื่อเป็นสิริมงคลอีกด้วย

ครั้งนี้เราขอจบทริป "เที่ยวย้อนอดีตวันวานผ่านเมืองกาญจนบุรี" แต่เพียงเท่านี้ก่อน แต่อยากจะบอกท่านผู้อ่านทุกคนว่า ทุกเรื่องราวที่ผ่านมาในชีวิตเรานั้น อดีตเป็นเพียงความทรงจำที่มีเรื่องราวทั้งร้ายและดี ทั้งสุขและทุกข์ แล้วทุกอย่างก็จะผ่านไป กลายเป็นประสบการณ์และครูชั้นเยี่ยมที่จะคอยย้ำเตือนเราไม่ให้มีปัจจุบันและอนาคตที่ผิดพลาด!

TIPS : การเดินทาง

อำเภอเมืองกาญจนบุรี

รถยนต์ส่วนตัว - ออกจากกรุงเทพฯ โดยใช้เส้นทาง ถ.ปิ่นเกล้า-นครชัยศรี ทางหลวงหมายเลข 4 มุ่งหน้าไปยัง อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี จากนั้นใช้ทางหลวงหมายเลข 323 (ถ.แสงชูโต) เข้าสู่ จ.กาญจนบุรี ที่ อ.มะกา อ.ท่าท่วง ไปจนถึง อ.เมือง รวมระยะทาง 129 กม.

รถโดยสารประจำทาง - มีรถโดยสารปรับอากาศ ออกจากสถานีขนส่งสายใต้บรมราชชนนีทุกวัน ตั้งแต่เวลา 05.00 - 22.30 น. สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Call Center โทร.1490 เรียก บขส. หรือ //www.transport.co.th

อำเภอสังขละบุรี

รถยนต์ส่วนตัว - จากตัว อ.เมือง กาญจนบุรี ไปตามทางหลวงหมายเลข 323 ถึงทางแยกก่อนเข้าตัว อ.ทองผาภูมิเลี้ยวขวาแล้วไปอีก 74 ก.ม. ถึง อ.สังขละบุรี การขับรถไป อ.สังขละบุรี ผู้ขับจะต้องตรวจสอบสภาพรถให้ดีก่อนการเดินทาง และควรขับรถด้วยความระมัดระวังเป็นพิเศษ เนื่องจากเส้นทางที่คดเคี้ยวและลาดชัน โดยเฉพาะช่วง อ.ทองผาภูมิ มุ่งหน้า อ.สังขละบุรี และควรตรวจดูน้ำมันเชื้อเพลิงให้พร้อมเพราะจากทางแยกแล้วจะมีปั้มน้ำมันเพียงปั้มเดียวบริเวณทางแยกด่านเจดีย์สามองค์เท่านั้น

รถโดยสารประจำทาง จากสถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพฯ (จตุจักร) - สังขละบุรี เส้นทางกรุงเทพฯ-ด่านเจดีย์สามองค์ ของ บริษัทขนส่ง จำกัด เป็นเส้นทางที่สะดวกที่สุด ใช้เวลาเดินทางโดยประมาณ 6-7 ชั่วโมง มีรถออกวันละ 4 รอบ (05.00 น. , 06.00 น. , 09.30 น. , 12.30 น.) สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมและตารางเดินรถได้ที่ Call Center โทร.1490 เรียก บขส. หรือ //www.transport.co.th

 * sanook.com *




 

Create Date : 31 ธันวาคม 2555    
Last Update : 31 ธันวาคม 2555 14:47:38 น.
Counter : 1385 Pageviews.  

Mazzanti Evantra น้องใหม่ซุปเปอร์คาร์ 701 แรงม้า ตั้งแต่กำเนิด

 เมื่อพูดถึงรถยนต์แรงเร้าใจซุปเปอร์คาร์คือรถที่หลายคนปรารถนาที่จะเป็นเจ้าของ และอิตาลีคือประเทศที่ขึ้นชื่อในเรื่องนี้ ซึ่งล่าสุดค่ายรถยนต์ซุปเปอร์คาร์น้องใหม่ก็ Mazzanti  ก็พร้อมที่จะเผยโฉมว่ารถยนต์รุ่นใหม่อย่างเป็นทางการ

                ตั้งแต่เป็นข่าวคราวเมื่อปีกลาย ค่ายรถยนต์ Mazzanti  ถือว่าเป็นค่ายรถยนต์ที่ได้รับการจับตามองพอสมควรด้วยแนวคิดที่แตกต่างของการสร้างสรรค์รถยนต์พลังแรง และ  Evantra  ก็เป็นผลงานชิ้นแรกของค่ายรถยนต์เจ้านี้ ที่ยังไม่มีการเปิดเผยว่ามันจะพร้อมในการวางจำหน่ายเมื่อไร

Mazzanti Evantra

                 เรือนร่างที่ออกแบบมาภายใต้สูตรสำเร็จทางด้านการให้ความร้อนแรงในการขับขี่ ให้ความแตกต่างที่เป็นเอกลักษณ์มากกว่าค่ายรถยนต์ซุปเปอร์คาร์เจ้าอื่น โดยเจ้ารถยนต์ Mazzanti  Evantra  มุ่งเน้นที่การให้รายละเอียดทางด้านความสปอร์ตที่อ่อนช้อย อาจจะไม่ดูดุดันมากว่าเจ้าอื่นๆ แต่มันก็ทันสมัยและไม่ประหลาดตาจนเกินไปนัก

                        ความจริงแล้วก่อนหน้านี้ ค่ายรถยนต์เจ้านี้ได้ออกแบบซุปเปอร์คาร์มาแล้วครั้งหนึ่ง และในครั้งนี้ ค่ายรถยนต์เจ้านี้ก็ให้ความลงตัวมากขึ้น โดยปรับการออกแบบในส่วนของปีหลังใหม่ พร้อมปรับโครงสร้างของตัวรถที่มาพร้อมกับชุดโครงสร้างนิรภัยที่เชื่อมต่อกับระบบกันสะเทือนและเครื่องยนต์  สวมล้อขอบ 20 นิ้ว ตั้งแต่กำเนิดด้วย ยาง Continental   255/30 และ 304/25  ทางด้านหน้าและด้านหลัง

                        ในห้องโดยสาร ค่ายรถยนต์อิตาลียังคงความหรูเอาไว้เหมือนเดิม แต่งแต้มด้วยหนัง soft aniline โดยยังคงความไม่เหมือนใครที่สามารถให้ลูกค้าสั่งลักษณะการตบแต่งได้ตามต้องการ รวมถึงเครื่องมือต่างๆพร้อมระบบที่ช่วยในการประมวลผลลักษณะการขับขี่ที่จัดวางไว้ที่ตรงกลางคอนโซลหน้าพร้อม

Mazzanti Evantra

                        ด้านสมรรถนะการขับขี่  Mazzanti  Evantra  มาพร้อมกับเครื่องยนต์  V8  7 .0 ลิตร ให้กำลัง 701 แรงม้า และปันกำลังฝีเท้าด้วยแรงบิดสูงสุด  846  นิวตันเมตร  ให้ความสามารถรอบจัดด้วยอัตรากำลังอัด 11.0 : 1 และ แข็งแกร่งด้วยชุดวาล์วไทเทเนี่ยม และอ่างน้ำมันเครื่องแบบพิเศษ Dry sump ทำให้สามารถเร่ง 0-100 ได้ในเวลา 3.2 วินาที  จากชุดเกียร์ที่มีระบบ Paddle Shift  ช่วยให้มั่นใจมากยิ่งขึ้น

                พละกำลังแรงสูงถูกปราบด้วยชุดเบรก 6 พอททางด้านหน้าพร้อมจานเบรกขนาด 380 ม.ม. ส่วนด้านหลัง ใช้เบรกแบบ 4 พอท พร้อมจานเบรกขนาด 360 ม.ม. และยังมีแบบเซรามิคสามารถเลือกเป็นออพชั่นได้

                แม้จะยังไม่มีการเปิดเผยว่าตกลง Mazzanti  Evantra จะวางจำหน่ายเมื่อไร แต่รถรุ่นนี้ก็มีความน่าสนใจไม่น้อย กับค่ายซุปเปอร์คาร์น้องใหม่ ที่อาจจะมาครองใจในอนาคตอันใกล้นี้

 * sanook.com *

 




 

Create Date : 31 ธันวาคม 2555    
Last Update : 31 ธันวาคม 2555 14:45:47 น.
Counter : 1065 Pageviews.  

เผย iPhone 6 ใช้หน้าจอ 4.8 นิ้ว, กล้อง Super HD และ 6 สีให้เลือก!

iPhone 6(ไอโฟน 6) อัพเดทข่าวล่าสุดกับ ป๋าเอก TechXcite ใครเพิ่งซื้อ iPhone 5(ไอโฟน 5) มาหมาดๆถึงคราวคิดหนักกันเลยทีเดียวเมื่อเจอกับข่าวลือชิ้นล่าสุดกับ iPhone 6(ไอโฟน 6) ว่าที่สมาร์ตโฟนรุ่นต่อไปของ Apple ที่จะมาพร้อมกับสเปคสุดอลังการชนิดที่ว่า iPhone 5 ทาบไม่ติดเลยด้วยซ้ำ!

iPhone 6

iPhone 6

โดยเว็บไซต์ Business Insider อ้างอิงบทวิเคราะห์จาก Peter Misek นักวิเคราะห์ทิศทางธุรกิจจาก Jeffeies ที่เปิดเผยว่าในเวลานี้ Apple ได้เริ่มต้นการทดสอบเครื่องโปรโตไทป์ของ iPhone 6 (ไอโฟน 6) แล้ว ซึ่ง iPhone 6 แต่ละเครื่องก็มีสเปคใหม่ๆที่น่าสนใจทั้งนั้นไม่ว่าจะเป็นหน้าจอ 4.8 นิ้ว, หน้าจอ Retina Display แบบใหม่ด้วยเทคโนโลยี IGZO, ชิปเซ็ต A7 แบบ Quad Core CPU, กล้องหลัง Super HD, ดีไซน์ใหม่แบบไม่มีปุ่ม Home, ระบบควบคุมด้วยท่าทาง Gesture รวมไปจนถึงอาจจะมีสีเครื่องให้เลือกอย่างน้อย 6-8 สีด้วยกัน

อย่างไรก็ตามข้อมูลดังกล่าวยังเป็นเพียงแค่กระแสข่าวลือเท่านั้น แต่ก็แอบทำให้สาวก Apple หลายท่านชักอยากจะเห็นอนาคตของ iPhone 6(ไอโฟน 6) (หรืออาจกลับลำเป็น iPhone 5 ตามเดิม) ในปีหน้าซะแล้วสิเนี่ย

ที่มา: ijailbreaknow

* sanook.com *




 

Create Date : 31 ธันวาคม 2555    
Last Update : 31 ธันวาคม 2555 14:44:24 น.
Counter : 2417 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  

angelica0819
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add angelica0819's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.