ตรัง เที่ยวกี่ครั้งก็ตราตรึง

 จังหวัดตรังมีพื้นที่ทั้งหมด 4,941 ตารางกิโลเมตร แบ่งการปกครองออกเป็น 10 อำเภอ คือ อำเภอเมือง อำเภอกันตัง อำเภอห้วยยอด อำเภอย่านตาขาว อำเภอปะเหลียน อำเภอสิเกา อำเภอวังวิเศษ อำเภอนาโยง อำเภอรัษฎา และอำเภอหาดสำราญ มีหมู่เกาะในทะเลอันดามันที่อยู่ในการปกครองกว่า 46 เกาะ ช่วงเวลาที่เหมาะแก่การเดินทางท่องเที่ยว คือ ระหว่างเดือนพฤศจิกายน ถึง เดือนพฤษภาคมของทุกปี ปัจจุบันนอกจากเสน่ห์ในเรื่องความเก่าแก่ของเมืองตรังแล้ว เมืองตรังยังมีแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่สวยงามมากมายไม่แพ้เมืองชายฝั่งอันดามันอื่นใด ทั้งแหล่งกิน แหล่งช้อปต่างๆ ก็ล้วนมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่นักท่องเที่ยวไม่ควรพลาดแม้แต่รายการเดียว โดยเฉพาะในช่วงอากาศร้อนๆ แบบนี้ ‘ความตราตรึงของเมืองตรัง' คงจะทำให้ผู้อ่านคู่หูเดินทางได้ผ่อนคลายหายร้อนกันได้บ้างไม่มากก็น้อยอย่างแน่นอน


จุดหมายแรกเมื่อมาเยือนยังเมืองตรัง ก็คือการไปกราบสักการะ ศาลหลักเมือง เพื่อเป็นสิริมงคลเสียก่อน ศาลหลักเมืองตรังปัจจุบันตั้งอยู่ที่ตำบลตวนธานี อำเภอกันตัง สถานที่ตั้งตรงจุดนี้อยู่บริเวณที่ตั้งเมืองเก่า เป็นศาลหลักเมืองเพียงแห่งเดียวในประเทศไทยที่มีวิญญาณอภิบาลเป็นสตรีจึงเรียกกันว่าศาลเจ้าแม่หลักเมือง เป็นที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจของชาวตรังทั่วไป โดยเฉพาะผู้ที่ต้องการมีบุตรยากมักจะมาอธิษฐานขอกับบุตรกับเจ้าแม่หลักเมืองเสมอ เมื่อสักการะเจ้าแม่หลักเมืองกันเรียบร้อยแล้ว

จุดต่อไปซึ่งไม่ไกลกันนักที่ควรแวะไปชมก็คือ สถานีรถไฟกันตัง ซึ่งตั้งอยู่บนถนนหน้าค่าย ตำบลกันตัง อำเภอกันตัง จังหวัดตรัง เป็นสถานีรถไฟสุดทางของทางรถไฟสายใต้ ฝั่งทะเลอันดามัน ตัวสถานีเป็นอาคารไม้ชั้นเดียวทรงปั้นหยาทาสีเหลืองมัสตาร์ดสลับน้ำตาล ประดับมุมเสาด้วยลวดลายไม้ฉลุ ประตูบานเฟี้ยมแบบเก่า คงเอกลักษณ์เดิมตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 6 ปัจจุบันได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานโดยกรมศิลปากรแล้ว แต่ยังคงใช้งานอยู่ โดยมีรถไฟสายกรุงเทพฯ-กันตัง เดินรถทุกวัน แม้ว่านักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่มาที่นี่จะไม่ได้เดินทางด้วยรถไฟก็ตาม แต่สถานีรถไฟแห่งนี้ถือเป็นแลนด์มาร์คแห่งเมืองกันตังที่ทุกคนต้องมาถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึกในการมาเยือนกันทั้งนั้น

จากนั้นก็มาเยี่ยมชมบ้านบุคคลสำคัญของเมืองตรังกันต่อ คือ พิพิธภัณฑ์พระยารัษฎานุประดิษฐ์มหิศรภักดี ตั้งอยู่ห่างจากเทศบาลเมืองกันตังประมาณ 200 เมตร เป็นจวนเก่าเจ้าเมืองตรัง ผู้มีคุณูปการนำความเจริญมาสู่เมืองตรังในหลายๆ ด้าน โดยเฉพาะการนำต้นยางพาราเข้ามาปลูกในเมืองไทยเป็นครั้งแรก สร้างอาชีพชาวสวนยางให้แก่พี่น้องชาวใต้ ส่งผลให้เศรษฐกิจการส่งออกของไทยดีขึ้นจนทุกวันนี้ ปัจจุบันจวนแห่งนี้ได้รับการดูแลรักษาตกแต่งให้คงไว้ซึ่งลักษณะเดิมเสมือนเมื่อครั้งที่ท่านพระยารัษฎาฯ ยังมีชีวิตอยู่ เป็นที่จัดแสดงหุ่นขี้ผึ้งขนาดเท่าตัวจริงของท่านพระยาฯ พร้อมเครื่องเรือนเครื่องใช้ของท่านในห้องต่างๆ มีภาพถ่ายครอบครัวของท่าน และภาพเหตุการณ์สำคัญของเมืองตรังและหัวเมืองปักษ์ใต้ให้ศึกษาประวัติศาตร์ได้เป็นอย่างดี

เปิดให้เข้าชมทุกวันอังคาร-อาทิตย์ เวลา 8.00 -16.30 น.
หากต้องการเข้าชมเป็นหมู่คณะสามารถติดต่อผู้บรรยายการนำชมล่วงหน้าได้ที่ โทร. 075-274151-8


เมื่อชมพิพิธภัณฑ์ฯ เรียบร้อยแล้วให้เลี้ยวขวามุ่งหน้าเข้าเมืองตรัง เราจะผ่านสิ่งสำคัญอีกอย่างที่เกี่ยวเนื่องกับท่านเจ้าเมือง คือ ต้นยางพาราต้นแรกของเมืองไทย นั่นเอง อยู่บริเวณริมถนน 403 หน้าสหกรณ์การเกษตรกันตัง ยางต้นนี้เป็นต้นยางรุ่นแรกที่พระยารัษฎานุประดิษฐ์ฯ ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งเจ้าเมืองตรัง ได้นำจากมาเลเซียเข้ามาปลูกที่อำเภอกันตัง เมื่อ พ.ศ.2442 ยางต้นนี้ก็ยังคงมีชีวิตอยู่เป็นอนุสรณ์ให้เราได้รำลึกในพระคุณของท่านพระยารัษฎาฯ จวบจนปีนี้ 2555 ยางต้นนี้ก็มีอายุได้ 113 ปีแล้ว

มาเที่ยวตรังอีกหนึ่งกิจกรรมที่ห้ามพลาดคือ การไปดำน้ำดูโลกใต้ท้องทะเลตามหมู่เกาะต่างๆ ในท้องทะเลตรัง มีให้เลือกทั้งแบบสปีดโบ๊ท เรือหางยาว หรือเรือนำเที่ยวแบบเป็นกรุ๊ปรวม เลือกได้ตามปัจจัยในกระเป๋า โดยสามารถเลือกได้ว่าอยากจะไปเที่ยวที่เกาะไหนบ้างตามโปรมแกรมที่เรือนำเที่ยวมีไว้ หรืออาจจะเช่าเรือไปเที่ยวต่างหากก็ได้เฉพาะที่ก็ได้ ครั้งนี้เรามาลงเรือที่ ท่าเรือปากเมง ซึ่งเป็นท่าเรือสำหรับเดินทางไปตามหมู่เกาะต่างในทะเลอันดามัน เช่น เกาะไหง เกาะเชือก เกาะม้า เกาะกระดาน เกาะมุก เป็นต้น

เกาะแรกที่เราจะไปดำน้ำกัน คือ เกาะเชือกและเกาะม้า ซึ่งอยู่ห่างจากท่าเรือปากเมงประมาณ 12 กิโลเมตร ทั้ง เกาะเชือก และ กาะม้า นี้ มีลักษณะเป็นภูผากลางทะเล ไม่มีชายหาดให้ขึ้นไปบนเกาะได้ แต่ความพิเศษของเกาะแห่งนี้ก็คือ เป็นแหล่งปะการังน้ำตื้นที่สมบูรณ์สวยงาม จุดนี้เป็นจุดที่มีกระแสน้ำเชี่ยว การดำน้ำดูปะการังจึงต้องมีเชือกให้คอยเกาะไว้เพื่อป้องกันกระแสน้ำพัดออกไปไกลจากตัวเรือจนอาจเป็นอันตรายได้ จึงเป็นที่มาของคำว่า เกาะเชือกนั่นเอง

ต่อด้วย เกาะกระดาน เกาะนี้ใช้เวลาเดินทางจากหาดปากเมงราวๆ 1 ชั่วโมง 30 นาที พื้นที่ของเกาะแห่งนี้แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนของ อุทยานแห่งชาติเจ้าไหม และส่วนของเอกชน ทางด้านตะวันออกมีสวนยางและสวนมะพร้าว มีที่พักให้บริการ เกาะกระดานมีหาดทรายทอดยาวขาวสะอาด น้ำใส มีแนวปะการังน้ำตื้นที่สมบูรณ์ สวยที่สุดในทะเลตรัง จึงถูกใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีวิวาห์ใต้สมุทรของเมืองตรัง มีจุดชมวิวทั้งด้านพระอาทิตย์ขึ้นและด้านพระอาทิตย์ตกที่สวยงามแปลกตาไม่ซ้ำกับที่ใดๆ บริเวณที่ทำการหน่วยบริการนักท่องเที่ยว มีบ้านพัก ลานกางเต๊นท์ ห้องน้ำและร้านค้าเปิดให้บริการในฤดูท่องเที่ยว ยิ้มเท่ห์

อีกเกาะที่มีที่พักให้บริการคือ เกาะไหง ซึ่งตั้งอยู่ในเขตรอยต่อของ จังหวัดกระบี่และตรัง แต่ด้วยการเดินทางจากจังหวัดตรังจะสะดวกสบายใกล้กว่า จึงจัดให้เป็นกลุ่มสถานที่ท่องเที่ยวในเขตทะเลตรัง เกาะไหงเป็นเกาะที่มีหาดทรายสีขาวสะอาดทอดยาวตลอดแนวฝั่งตะวันออก อยู่ในมุมซี่งเป็นแหล่งกำบังคลื่นลมจากมหาสมุทรได้ดี จึงเป็นที่เหมาะแก่การเล่นน้ำทะเลเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งยังมีท่าเรือระดับมาตรฐานในโซนทะเลอันดามันใต้ ทำให้จากที่นี่คุณสามารถเดินทางไปที่อื่นๆ ได้อย่างง่ายดาย เกาะไหงจึงเป็นศูนย์กลางของการเดินเรือระหว่าง ภูเก็ต, เกาะพีพี, เกาะลันตา, และเกาะทางใต้อื่นๆ เช่น เกาะมุก, เกาะกระดาน, เกาะลิบง, เกาะหลีเป๊ะ แม้กระทั่งเกาะลังกาวี ของประเทศมาเลเซียอีกด้วย 

จากเกาะไหงก็มาถึงไฮไลท์ของการท่องเที่ยวทะเลตรังกันแล้ว เกาะมุก และถ้ำมรกต เกาะมุกนี้เป็นเกาะใหญ่เกาะหนึ่งในน่านน้ำตรัง ทางด้านตะวันออกของเกาะมีชุมชนบ้านเกาะมุก และท่าเทียบเรือเข้าหมู่บ้าน มีที่พักให้บริการ ส่วนอีกด้านมีลักษณะโค้งเป็นอ่าวกำบังลมได้ดี เรียกว่า อ่าวพังกา ชายทะเลทั้งสองด้านมีหาดทรายขาวสะอาด น้ำใส เหมาะที่จะเล่นน้ำได้ ส่วนทางด้านทิศตะวันตกของเกาะมีลักษณะเป็นโขดผาสูงตระหง่าน และได้ซุกซ่อน ถ้ำมรกต หรือถ้ำน้ำ ซึ่งมีความงดงามตระการตาไว้อย่างมิดชิด ถ้ำมรกรตนี้จะเข้าออกได้เฉพาะช่วงน้ำลงเท่านั้น โดยปากถ้ำเป็นเพียงโพรงเล็กๆ สูงพอให้เรือพายลอด หรือว่ายน้ำลอยคอเข้าไปได้เท่านั้น พ้นปากถ้ำเข้าไปเป็นเส้นทางคดโค้ง ระยะทางประมาณ 80 เมตร บางช่วงมืด บางช่วงมีช่องให้แสงจากเบื้องบนลอดผ่านเข้ามากระทบกับน้ำใสในถ้ำให้แสงสะท้อนออกมาเป็นสีเขียวมรกตสวยงามประทับใจ เมื่อพ้นจากถ้ำน้ำนี้ออกมาสู่อีกด้านหนึ่งจะพบว่าเป็นลากูน น้ำเขียวใสสะอาดให้เล่นน้ำ มีหาดทรายขาวสะอาดโอบล้อมด้วยหน้าผาสูงรอบด้าน ใช้เวลาเดินทางจากหาดปากเมงราวๆ 40 นาที


เมื่อชมความงามของท้องทะเลตรังกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ถึงเวลาเดินทางกลับเข้าฝั่งประมาณเวลา 16.00 - 17.00 น. แล้วแต่การบริหารเวลาของเรือแต่ละลำ เมื่อเรามมุ่งหน้าตรงออกทางหาดปากเมงซึ่งห่างจากท่าเรือมาประมาณ 1 กิโลเมตรกว่าๆ เราก็จะได้พบเห็นภาพบรรยากาศที่งดงาม ภาพพระอาทิตย์ที่ค่อยๆ อัสดงระหว่างภูเขา เกาะแก่งน้อยใหญ่ที่สลับกันไปมา ท่ามกลางท้องทะเล ทำให้เราพบว่าจุดนี้เป็นจุดชมวิวชั้นเลิศจุดหนึ่งของเมืองไทยเลยทีเดียว

จากนั้นมุ่งหน้าสู่ตัวเมืองจังหวัดตรัง อาบน้ำอาบท่ากันเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ต่อกันด้วยกิจกรรมโดนใจนักช้อปนักชิมที่ ถนนคนเดิน หน้าสถานีรถไฟจังหวัดตรัง ที่นี่เราจะได้เห็นวิถีชีวิตชาวตรัง ชิมขนมพื้นบ้าน อาหารพื้นเมือง สินค้าที่ระลึก และงานฝีมือ บางทีท่านอาจจะได้ชมเด็กๆ แสดงดนตรีเปิดหมวก ร้องเล่นเต้นรำทำเพลง เป็นการสัมผัสสีสันยามค่ำคืนอีกมุมหนึ่งของเมืองตรัง

เปิดเฉพาะศุกร์-เสาร์-อาทิตย์ เวลา 17.30-22.00 น. เท่านั้น

จากจุดนี้มุ่งหน้าตรงขึ้นมาอีก 2 แยกไฟแดงเราก็จะได้พบกับสถาปัตยกรรมอันเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของเมืองตรังไปแล้ว นั่นคือ หอนาฬิกา ทรงสี่เหลี่ยมแนวตั้ง มีอายุกว่า 50 ปีมาแล้ว มีการติดไฟประดับสลับสีกันทุกๆ 10 วินาที สร้างความสวยงามแปลกตาให้กับนักท่องเที่ยวได้มาถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกันอีกจุดหนึ่ง


ก่อนโบกมืออำลาจากเมืองตรังสิ่งสำคัญที่เราควรทำไม่ว่าจะก่อนหรือหลังห้ามลืมเป็นอันขาด นั่นคือ การมากราบสักการะ อนุสาวรีย์พระยารัษฎานุประดิษฐ์มหิศรภักดี (คอซิมบี้ ณ ระนอง) ซึ่งตั้งอยู่ที่สวนสาธารณะเขารัง ในเขตอำเภอเมือง อนุเสาวรีย์แห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อเชิดชูเกียรติให้กับพระยารัษฎานุประดิษฐ์มหิศรภักดี (คอซิมบี้ ณ ระนอง) ปูชนียบุคคลผู้สร้างสรรค์คุณประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจและสังคมให้กับจังหวัดตรัง และพี่น้องชาวใต้มาจนถึงทุกวันนี้ บนเขารังแห่งนี้ยังเป็นจุดชมทัศนียภาพที่สวยงามอีกแห่งหนึ่ง มีมุมสำหรับพักผ่อนหย่อนใจ มุมออกกำลังกาย และสันทนาการอีกมากมาย

ความจริงเมืองตรังยังที่สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ และไม่ควรพลาดอีกมากมาย เช่น พระนอนทรงเครื่องโนราวัดภูเขาทอง น้ำตกกะช่อง หาดหยงหลิง ถ้ำเจ้าไหม เกาะลิบง หาดเจ้าไหม เกาะเหลาเหลียง ถ้ำเลเขากอบ ฯลฯ เป็นต้น เราจึงขอฝากความตรึงตราในการมาเที่ยวเมืองตรังในภาคแรกไว้เพียงเท่านี้ก่อนพอเป็นน้ำจิ้ม หากโอกาสหน้าเราได้มาเยือนแดนดินถิ่นนี้อีกครั้ง เราสัญญาว่าเราจะนำความติดตราตรึงใจของจังหวัดตรัง ในมุมมองใหม่ๆ มานำเสนอให้ท่านอย่างยากที่จะลืมกันเลยทีเดียว...สวัสดีเมืองตรัง


TIPS การเดินทาง

ถยนต์ส่วนตัว
1. เส้นทางที่ 1 ทางหลวงหมายเลข 4 กรุงเทพฯ - ชุมพร จากนั้นเข้าทางหลวงหมายเลข 41 ผ่านสุราษฎร์ฯ - ทุ่งสง - ห้วยยอด - ตรัง ระยะทาง 828 กิโลเมตร
2. เส้นทางที่ 2 ทางหลวงหายเลข 4 กรุงเทพฯ - ชุมพร จากนั้นนั้นผ่านแยกเข้าระนอง - พังงา - กระบี่ - ตรัง ระยะทาง 1,020 กิโลเมตร

รถโดยสารประจำทาง
มีรถออกจากสถานีขนส่งสายใต้ใหม่ทุกวัน สอบถามรายละเอียดและตารางเดินรถได้ที่ Call Center โทร.1490 เรียก บขส.

ขอบคุณ :
- การท่องเที่ยวสำนักงานตรัง โทร. 0-7521-5867, 0-7521-1058 //www.tattrang@tat.or.th
- บริษัทนำเที่ยว จาระวีทัวร์ โทร. 0-7527-4046
- โรงแรมศรีตรัง โทร. 0-7521-8122 //www.sritranghotel.com

 * sanook.com *




 

Create Date : 27 มกราคม 2556    
Last Update : 27 มกราคม 2556 16:29:57 น.
Counter : 2925 Pageviews.  

ฉั่วคิมเฮง ห่านพะโล้ (คลองตัน) อิ่มอร่อยกันถ้วนหน้า

ใครที่ชอบสรรหาอาหารอร่อยทานเป็นชีวิตจิตใจ คงจะเคยได้ยินชื่อ ฉั่วคิมเฮง ห่านพะโล้ ร้านอาหารจีน ที่มีเมนูเด็ดเป็นห่านพะโล้รสเลิศกันมาบ้าง โดยเมนูต่าง ๆ ได้สืบทอดกันมาถึงสามชั่วอายุคน หรือราว ๆ 100 กว่าปีเชียวค่ะ วันนี้ We Recommend จึงขอชวนคุณมาพิสูจน์ความอร่อย โดยเรามากันที่สาขาคลองตัน ซึ่งตั้งอยู่ด้านซ้ายมือเลยแยกคลองตันมาทางพัฒนาการเล็กน้อย

ห่านพะโล้สามชั่วคน

เริ่มจาก ห่านพะโล้ (135 บาท) ห่านเนื้อนุ่มแน่น ต้มในน้ำพะโล้จนรสชาติเข้าเนื้อ แล้วตามด้วย เกี้ยมฉ่ายผัดหมู (120 บาท) เกี้ยมฉ่ายรสเปรี้ยว ๆ เค็ม ๆ ผัดกับหมูหมักเนื้อนุ่ม, หอยจ๊อ (ชิ้นละ 25 บาท) ชิ้นใหญ่พร้อมเครื่องเคราเยอะสะใจ ปิดท้ายด้วย น้ำแกงไชเท้า (40 บาท) น้ำแกงรสกลมกล่อมซดคล่องคอ พร้อมหัวไชเท้าและกระดูกหมู

ฉั่วคิมเฮง มี 2 สาขา คือ สาขาคลองตันและร่มเกล้า ใครสะดวกสาขาไหนลองแวะไปทานกันได้นะคะ รับรองว่าอิ่มอร่อยกันถ้วนหน้าแน่นอน

Recommended Dishes

ห่านพะโล้
เกี้ยมฉ่ายผัดหมู
หอยจ๊อ
น้ำแกงไชเท้า

ที่ตั้ง: 81,83 อาคารตรงข้ามซอยพัฒนาการ 6 ถนนพัฒนาการ แขวงสวนหลวง สวนหลวง กรุงเทพมหานคร 10250

โทร: 02-319-2511, 02-729-8822

เวลาเปิดบริการ: ทุกวันเวลา 08.30-18.00 น.

ราคาต่อท่านโดยประมาณ: 101-300 บาทต่อคน

สัญชาติอาหาร: จีน

ประเภทอาหาร: อาหารจานเดียว

รูปแบบการให้บริการ: ร้านอาหารทั่วไป

* sanook.com *




 

Create Date : 27 มกราคม 2556    
Last Update : 27 มกราคม 2556 16:28:39 น.
Counter : 1553 Pageviews.  

iPhone 5s,6 จะมีระบบสแกนลายนิ้วมือ

ในปีที่ผ่านมาโยงมาถึงปีใหม่นี้ ข่าวคราวเรื่อง iPhone รุ่นใหม่มีออกมาให้ผู้ใช้มือถือ-สมาร์ทโฟนได้ติดตามกันอยู่เรื่อยๆทั้งที่ iPhone 5 เพิ่งจะวางขายไปได้ไม่กี่เดือน คราวนี้ก็เหมือนเดิมมีข่าวเล็ดลอดมาจากรั้วของ Apple ว่า iPhone รุ่นใหม่จะมาพร้อมกับฟีเจอร์สแกนลายนิ้วมือด้วย - - !!

มีการตีความโดยนักวิเคราะห์ Ming-Chi Kuo ว่าการที่ Apple เข้าซื้อกิจการของ Authen Tec ซึ่งเป็นบริษัทที่รู้จักสำหรับระบบสแกนลายนิ้วมือ จะเป็นการนำเทคโนโลยีของ Authen Tec มาพัฒนาเป็นสมาร์ทเซนเซอร์เพื่อติดตั้งบน iPhone รุ่นใหม่หรือที่เราเรียกกันไปแล้วว่า "iPhone 5s" และไม่แน่ว่าอาจจะข้ามรุ่นเป็น "iPhone 6" ก็ได้ Ming-Chi Kuo ยังวิเคราะห์ต่อว่าระบบสแกนลายนิ้วมือที่เป็นไปได้ว่าน่าจะอยู่ใต้ปุ่ม home เรียกว่า "minimalist design" ยกระดับความปลอดภัยในการเข้าถึงฟังก์ชันการใช้งานต่างๆโดยเจ้าของเครื่องเพียงผู้เดียว นอกจากนี้การบูรณาการระบบสแกนลายนิ้วมือเข้ากับ iPhone จะช่วยให้ Apple ได้ประโยชน์มากกว่าคู่แข่งรายอื่นๆทั้ง Android และ Windows Phone อีกด้วย

Ming-Chi Kuo นักวิเคราะห์ที่ได้รับการยอมรับถึงความแม่นยำในการทำนายความเป็นไปได้ที่จะเกิดใน Apple กว่า 70 % ยังระบุด้่วยว่า iPhone รุ่นใหม่จะมีสเปคดัีงต่อไปนี้

- ใช้ชิป A7 โดยเทคโนโลยีขนาด 28 นาโนเมตร, มีระบบสแกนลายนิ้วมือ, กล้องขนาด 8 ล้านพิกเซล แต่ปรับรูรับแสงเป็น f2.0 (จากเดิม f2.4), แบตเตอรี่ที่ใช้งานในนานยิ่งขึ้น, ตัวเครื่องบาง 7.6 mm หนัก 112 กรัม

อย่างไรก็ตามไม่มีใครล่วงรู้ได้หรอกว่าจริงๆแล้ว Apple กำลังพยายามทำอะไรกับ iPhone รุ่นใหม่ คงมีเพียงพนักงานของ Apple เท่านั้นที่รู้จะเรื่องนี้ได้ แฟน arip และสาวก Apple ก็อย่าปักใจเชื่อข่าวลือซะทั้งหมด ทางที่ดีควรใช้สติและอดทนรอวันเปิดตัวจริงๆดีกว่า

* sanook.com *




 

Create Date : 27 มกราคม 2556    
Last Update : 27 มกราคม 2556 16:26:54 น.
Counter : 872 Pageviews.  

ทดสอบ BMW 320d Sport Line สมรรถนะที่ต้องลองเอง

BMW รถยนต์แบรนด์หรูที่มาพร้อมความสปอร์ตจากค่ายยุโรปที่มีความโดดเด่นด้านสมรรถนะทั้งจากพละกำลังเครื่องยนต์ รวมถึงระบบช่วงล่างที่เลื่องชื่อ รูปโฉมที่ออกแนวสปอร์ตหรูหรา เรียกว่าเป็นรถยนต์แบรนด์หนึ่งที่ช่วยเพิ่มภาพลักษณ์ให้แก่ผู้ขับขี่ได้เป็นอย่างดี

โดยทีมงาน Auto-Thailand ได้มีโอกาสนำ The New BMW 320d Sport Line ที่เป็น 1 ใน 3 สไตล์ในตระกูล BMW 3 Series ที่เพิ่งได้รับการปรับโฉมมาทำการทดสอบ

BMW 320d Sport Line หรือเรียกกันว่าโฉม F30 ที่ถือเป็นเจเนอเรชั่นที่ 6 ของ BMW 3 Series ที่ยังคงความเป็นเอกลักษณ์ด้วยรูปลักษณ์ภายนอกสปอร์ตมีระดับ ที่มาพร้อมกับความโดดเด่น การออกแบบที่ล้ำสมัยลงตัวด้วยไฟหน้าและกระจังหน้าคู่เป็นสีดำพร้อมกรอบสีเงินที่ให้ความรู้สึกโฉบเฉี่ยวแบบสปอร์ตตามแบบฉบับของบีเอ็มดับเบิลยูรุ่นก่อนๆ แต่เป็นครั้งแรกที่ดีไซน์กระจังหน้าคู่ให้มุมมองที่เปลี่ยนไปจากเดิมทั้งจากด้านข้างด้วยมุมมองโฉบเฉี่ยว ดีไซน์ แสดงเส้นสายรอบคันที่เด่นชัด ที่เป็นเอกลักษณ์

รูปทรงด้านหน้าเรียว ท้ายตัด เส้นสาย ให้สัมผัสของความคล่องตัว เสมือนรถกำลังพุ่งทะยานไปข้างหน้า ตามแบบฉบับ BMW 3 Series  ที่ยังคงการออกแบบที่คลาสสิค  การจัดวางตัวรถสามส่วน ล้อหน้าใกล้แนวกันชน ห้องโดยสารยาว ค่อนไปด้านท้าย ฐานล้อกว้าง กระจกหลังแนวตรง รับกับแนวหลังคา เปิดทัศนวิสัยจากด้านบน ให้ความรู้สึกสปอร์ต ปราดเปรียวยิ่งขึ้นเหมือนรถคูเป้ แต่หรูหราแบบรถซีดาน

BMW 320d Sport Line ได้รับการออกแบบตกแต่งภายใน เลือกสรรใช้วัสดุคุณภาพสูง ตัดเย็บอย่างประณีต โดยใช้โทนสีดำ Black Highgloss สลับแดงที่ให้อารมณ์สปอร์ตในการขับขี่  ห้องโดยสารออกแบบให้ตำแหน่งผู้ขับขี่เปรียบเสมือนอยู่ในรถแข่ง แผงควบคุมต่างๆ ถูกจัดวางอย่างลงตัว ใช้งานง่ายสะดวกสบายไม่ต้องละสายตาจากถนน

แผงคอนโซลกลางที่เน้นความสะดวกสบายให้ผู้ขับขี่ ถูกออกแบบอย่างพิถีพิถัน โดดเด่นจากการตกแต่งภายในส่วนอื่นๆด้วยวัสดุ และลายไม้โดยรอบ ที่นั่งผู้โดยสารด้านหน้า หรูหราด้วยการตกแต่งแผงคอนโซล ตัดเส้นขอบด้วยวัสดุทันสมัย และปุ่มควบคุม iDrive กลางแผงคอนโซล ใช้งานสะดวก หน้าจอแสดงผลระบบ iDrive แบบ Free Standing ที่ทันสมัย บาง กะทัดรัด ซึ่งออกแบบมาให้สอดคล้องกับดีไซน์ของคอนโซล อย่างลงตัว

iDrive  ระบบอัจฉริยะควบคุมฟังก์ชั่นต่างๆ ตั้งแต่ระบบนำทางจนถึงระบบปรับอากาศ ด้วยปุ่มควบคุมระบบ iDrive ที่คอนโซลกลาง สามารถควบคุมได้ด้วยมือเดียวใช้งานง่ายและรวดเร็ว ทั้งยังสามารถใช้งานระบบโทรศัพท์ และระบบความบันเทิงในรถ และยังเพิ่มปุ่ม favourite เพื่อบันทึกการตั้งค่าต่างที่ใช้ประจำได้ถึง 8 ความจำ เช่นสถานีวิทยุโปรด การบันทึกจุดหมายปลายทางและหมายเลขโทรศัพท์คนพิเศษของคุณ  ฟังก์ชั่นต่างๆจะถูกแสดงผลการทำงานบนจอมอนิเตอร์ Free Standing บนแผงหน้าปัด สังเกตง่ายด้วยการใช้โทนสีแสดงผลของฟังก์ชั่นที่คุณกำลังเลือกใช้งาน หน้าจอความละเอียดสูงคมชัดพิเศษแบบสมาร์ทโฟน ขนาด 8.8 นิ้ว

BMW 320d Sport Line มาพร้อมกับเครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร 4 สูบทวินเทอร์โบ ให้กำลังสูงสุดที่ 180 แรงม้า ที่ 4,000 รอบ/นาที  แรงบิดสูงสุด 380 นิวตัน-เมตรที่ 1,750-2,750 รอบ/นาที  ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด พร้อมปุ่มเลือกโหมดการขับขี่แบบ Eco Pro, Sport, Sport+

 

ช่วงทดสอบ BMW 320d Sport Line กับทีมงาน Auto-Thailand

 

แรกสัมผัสกับ BMW 320d Sport Line สีขาว ในตอนที่ทีมงาน Auto-Thailand ไปรับรถมาทดสอบด้วยรูปโฉมที่หรูหราเป็นเอกลักษณ์ในแบบ BMW ที่มาพร้อมความสปอร์ต เรียกว่าเป็นรถที่หรูหราคันหนึ่งที่ขับแล้วดูไม่แก่ แถมยังให้ความภูมิฐานไปในตัวอีกด้วย

ก้าวเข้าสู้ห้องโดยสาร BMW 320d Sport Line ภายในห้องโดยสารที่โดดเด่นให้อารมณ์ความเป็นสปอร์ตด้วยโทนสีดำคาดแดง เบาะนั่งหุ้มด้วยหนังแท้คุณภาพดี ในตำแหน่งผู้ขับขี่ เบาะนั่งให้ความกระชับในแบบเบาะแข่ง แต่ก็ยังให้ความสบาย เรียกว่าโอบกระชับ ทั้งยังสามารถปรับระดับได้หลายทิศทางตามรูปร่างของผู้ขับขี่  ในเบาะนั่งผู้โดยสารตอนหน้าก็ให้ความสบายไม่แพ้กัน ส่วนเบาะนั่งผู้โดยสารด้านหลังก็ให้พื้นที่กว้างขวางนั่งสบายจากพื้นที่เหนือศีรษะและพื้นวางเท้าที่ค่อนข้างกว้าง สามารถนั่งโดยสารแบบ 3 คนได้อย่างสบาย ภายในห้องโดยสารก็ยังมีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกสบายมาให้แบบครบครัน

เริ่มออกเดินทางทดสอบกับ BMW 320d Sport Line หลังจากทีมงานสตาร์ทเครื่องยนต์แล้วก็ได้สังเกตเสียงจากเครื่องยนต์ขณะจอดอยู่กับที่ อยากบอกว่าเงียบใช้ได้เลยกับเสียงการทำงานของเครื่องยนต์ดีเซลที่ลองไปยืนฟังด้านหน้ารถ  และกลับเข้ามานั่งในห้องโดยสารสังเกตเสียงจากเครื่องยนต์เรียกว่า ถ้าไม่บอกว่าเป็นเครื่องยนต์ดีเซล ก็คงจะมีคนคิดว่าเป็นเครื่องยนต์เบนซินเหมือนกัน เพราะห้องโดยสารสามารถเก็บเสียงได้ดีเลยทีเดียว (เดี๋ยวตอนวิ่ง ค่อยมาสังเกตกันอีกที)

 

เคลื่อนตัวออกสู่ถนนซอยที่พอมีทางโล่งๆ ก่อนถึงถนนใหญ่ ก็สัมผัสได้ถึงพละกำลังแรงบิดที่มาจากเครื่องยนต์ดีเซลของ BMW 320d Sport Line ที่สามารถตอบสนองคันเร่งได้อย่างทันที แม้แต่ในการเคลื่อนตัวในการจราจรที่ติดขัด พละกำลังจากเครื่องยนต์ดีเซลตัวนี้ก็ทำให้การขับขี่ได้คล่องตัว เหมือนกับว่าเรากำลังขับรถคันเล็กๆ ทั้งที่จริงแล้วเรากำลังนั่งอยู่ใน BMW 320d Sport Line ที่มีขนาดตัวถังและน้ำหนักรวมแล้วไม่น้อยเลย ความคล่องตัวตรงจุดนี้คงจะไม่ได้มาจากพละกำลังจากเครื่องยนต์เพียงอย่างเดียวแน่นอนที่ BMW มีชื่อเสียงในเรื่องของระบบเกียร์ที่สามารถถ่ายทอดกำลังได้อย่างนุ่มนวล ราบรื่น รวดเร็ว จากระบบอัตโนมัติใหม่ 8 สปีด ที่เรียกว่าใช้งานในเมืองยังไงก็คงใช้ไม่หมด

และในการขับขี่ในเมืองที่การจราจรค่อนข้างติดขัด BMW 320d Sport Line ก็มีระบบ Auto Start/Stop ที่ช่วยให้เราประหยัดเชื้อเพลิงและยังช่วยลดมลพิษ ซึ่งทำงานเมื่อเราเหยียบเบรกเมื่อตอนรถหยุดนิ่งสักพักเครื่องยนต์ก็จะดับ แต่อุปกรณ์ต่างๆ ที่เรากำลังใช้งานอยู่ในขณะนั้นก็ยังทำงานเป็นปรกติ อย่างเช่นระบบแอร์ หรือเครื่องเสียง และเมื่อเราปล่อยยกเท้าออกจากแป้นเบรกเครื่องยนต์ก็กลับมาติดอัตโนมัติ ซึ่งจะรู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนในตอนที่เครื่องยนต์สตาร์ทติดขึ้นมาอีกครั้ง และความที่เป็นเครื่องยนต์ดีเซลจึงค่อนข้างที่จะรับรู้ความรู้สึกได้ค่อนข้างชัดเจน  และเมื่อต้องเจอสภาพการจราจรที่ติดขัดมากๆ แบบว่าเดียวเคลื่อนตัว เดียวเบรกๆ หยุดๆ ระบบ Auto Start/Stop ก็อาจจะสร้างความรำคาญไปบ้างเหมือนกัน แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาเพราะทาง BMW ก็ได้ออกแบบให้มีปุ่มที่สามารถปิดการใช้งานในระบบนี้ไว้ที่ด้านล่างของปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ และถ้าเราปิดระบบนี้เครื่องยนต์ก็จะทำงานเหมือนรถทั่วไป

ทีมงาน Auto-Thailand ได้มีโอกาสทดสอบใช้งานกับ BMW 320d Sport Line อยู่พักใหญ่ เรียกว่าคุ้นชินกับตัวรถเลยก็ว่าได้ โดยได้ลองออกวิ่งทดสอบในแถบชานเมือง ซึ่งการเดินทางทดสอบของเราถือว่าโชคดีและพอเหมาะกับการที่ได้เจอสภาพการใช้งานที่หลากหลายโดยไม่ได้ตั้งใจ

เริ่มออกเดินทางกันตอนบ่ายๆ อากาศภายนอกค่อนข้างร้อน แต่ก็ไม่ใช่ปัญหา ระบบแอร์ของ BMW ตัวนี้เอาอยู่...ให้ความเย็นสบายตลอดการเดินทาง เมื่อออกสู่เส้นทางที่ค่อนข้างโล่ง ทีมงานจึงได้ลองพละกำลังจากเครื่องยนต์ 180 แรงม้า ที่มีแรงบิดเกือบๆ 400 นิวตันเมตรที่มาในรอบต่ำ เรียกว่าทุกครั้งที่กดคันเร่ง ตัวรถพร้อมทะยานไปข้างหน้าแบบทันอกทันใจ การปรับเปลี่ยนเกียร์ที่ราบรื่นต่อเนื่องในทุกจังหวะความเร็ว ทั้งยังสามารถสนุกจากการเล่นเกียร์ปรับเปลี่ยนในแบบเกียร์ธรรมดาที่ทำได้ดี  ภายในห้องโดยสารในยามที่ขับขี่ใข้ความเร็วก็ยังสามารถเก็บเสียงได้อย่างดี อาจมีเล็ดรอดมาบ้างในจังหวะที่เร่งแซง

โดยการขับขี่ในช่วงแรกๆ ใช้โหมด ECO PRO ที่เหมาะกับการเดินทางใช้งานกันแบบเรื่อยๆ แต่ก็ให้พละกำลังออกมาพอตัวเหมือนกัน และเมื่อมีจังหวะสภาพการจราจรเป็นใจ เลยลองเปลี่ยนใช้โหมด SPORT อัตราเร่งที่ได้ดีขึ้นทันตา ขับขี่ได้อย่างคล่องตัว ให้ความสนุกในการขับขี่ โดยในโหมดนี้พวกระบบช่วยการขับขี่ต่างๆที่มีมาให้ยังทำงานปรกติ และในยามที่ต้องการการขับขี่ที่สนุกเพิ่มขึ้นไปอีกก็ต้องใช้บริการของโหมด SPORT+ ที่สามารถให้อัตราเร่งมีความฉับไว และในโหมดนี้จะเป็นโหมดการขับขี่ที่ให้สัมผัสสมรรถนะกันแบบเต็ม โดยมีการปิดระบบช่วยการทรงตัว ซึ่งถ้าผู้ขับขี่ไม่มีพื้นฐานการขับขี่ที่ดีพอ อาจจะควบคุมความแรงจากตัวรถไม่อยู่ ก็แนะนำว่าต้องใช้ความระมัดระวังกันหน่อยเพื่อความปลอดภัย แต่ถ้าเป็นผู้ที่มีทักษะการขับขี่รับรองว่าจะต้องชื่นชอบกับความดิบของโหมดนี้เลยทีเดียว

อย่างที่บอกไปแล้วว่าพละกำลังจากเครื่องยนต์ดีเซลใน BMW 320d Sport Line ที่มีมาให้อย่างเหลือเฟือ ก็ยังให้การควบคุมที่ง่าย ขับขี่สบาย จากพวงมาลัยที่จับถนัดมือ บวกกับน้ำหนักที่สามารถปรับได้ทั้งตามความเร็วที่ใช้และโหมดการขับขี่ที่เลือก ที่ยังรวมเอาระบบช่วงล่างที่ทำงานผสานกันตามโหมดการขับขี่ที่เลือกใช้เข้าไปอีก ก็สามารถใช้งานขับขี่ได้อย่างมั่นใจ โดยเฉพาะในยามที่ต้องขับขี่ด้วยความเร็วสูงการควบคุมรถทำได้ง่ายเหมือนกับขับขี่ความเร็วต่ำ และเมื่อต้องชลอหรือหยุดพละกำลังของตัวรถ ระบบเบรกก็สามารถทำงานได้อย่างมั่นใจไม่มีอาการเสียการควบคุม ซึ่งตรงนี้ถือเป็นจุดเด่นของรถจากค่ายยุโรปอย่าง BMW

ในการเดินทางทดสอบ ทีมงานยังได้มีโอกาสเจอสภาพฝนตกที่มีพื้นผิวค่อนข้างลื่น สมรรถนะจากช่วงล่างของ BMW 320d Sport Line สามารถที่จะควบคุมขับขี่ได้อย่างมั่นใจ ระบบช่วยการทรงตัวทำงานช่วยการขับขี่ได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยในช่วงฝนตกได้มีโอกาสเบรกแบบกระทันหัน เรียกว่ายังสามารถควบคุมตัวรถไว้ได้

และจากการที่ทีมงาน Auto-Thailand ได้ใช้งานทดสอบ BMW 320d Sport Line อยู่ระยะหนึ่งอย่างที่บอกไปแล้ว ว่าเริ่มคุ้นชินทำให้เริ่มรู้สึกว่าอยากได้ความหนึบของระบบช่วงล่างเพิ่มขึ้นมาอีกสักนิด (ทำให้พบคำตอบกับตัวเองว่า ทำไม่รถที่ดีๆ ของเดิมก็ดีอยู่แล้ว ถึงต้องยังมีชุดแต่งต่างๆ ออกมาขายกันอีก)

อีกจุดเด่นที่เจอกับทีมงาน Auto-Thailand ก็คือระบบไฟหน้ารถของ BMW 320d Sport Line ที่สามารถให้ความส่องสว่างและเพิ่มทัศนวิสัยในการขับขี่ที่ดีน่าพอใจ ถ้าใครขับรถกลางคืนบ่อยจะพบว่า เวลาที่เราต้องขับขี่เวลากลางคืน (และบวกกับมีฝนตกด้วย) ถ้าไฟหน้ารถไม่ดี จะค่อนข้างเหนื่อยในการเดินทาง แต่สำหรับ BMW 320d Sport Line ให้ทัศนวิสัยที่ดีกว่ารถทั่วไป เรียกว่าเหมือนขับใช้งานในเวลากลางวันเลยทีเดียว และเมื่อมารวมกับสมรรถนะพละกำลังที่เหลือเฟือยิ่งทำให้การขับขี่เดินทางสะดวกสบายมากขึ้น

 

ในด้านอัตราความสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงของ BMW 320d Sport Line ที่ทีมงานทดสอบมา ในการใช้งานในเมืองหรือในสภาพการจราจรที่ค่อนข้างหนาแน่น ก็สามารถทำตัวเลขอัตราความสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงได้ประมาณ 15-16 กิโล/ลิตร สำหรับในการใช้งานนอกเมือง สามารถทำตัวเลขอัตราความสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงได้ประมาณ 19 กิโล/ลิตรบวกลบ ตัวเลขนี้เป็นตัวเลขที่ได้จากการใช้งานจริงที่ไม่ใช่ขับกันนิ่งๆ ที่ความเร็ว 90 กม./ชม. แต่หลายช่วงการเดินทางที่เราใช้ความเร็วคงที่ที่ 120 กม./ชม. (มีแอบเกินไปก็บ่อย) ซึ่งถือว่า BMW 320d Sport Line เป็นรถยนต์ที่ให้อัตราความสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่ดีคันหนึ่ง เมื่อเทียบกับรถที่ใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิง อีกจุดหนึ่งที่พบเกี่ยวกับอัตราความสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ถ้าชอบการขับขี่แบบปรู้ดปร้าดในโหมด SPORT ก็ไม่ได้สิ้นเปลืองเพิ่มมากมายอะไรนัก เรียกว่า ถ้าอยากแรง...อยากสนุกก็ต้องจ่ายเพิ่มนิดหนึ่งครับ

ทีมงาน Auto-Thailand ของสรุปแบบนี้ BMW 320d Sport Line  ด้วยรูปโฉมที่สปอร์ต หรูหราในแบบฉบับของ BMW ที่มาพร้อมกับเครื่องยนต์ดีเซลที่มีพละกำลังให้ใช้งานได้อย่างเหลือเฟือ ให้อัตราเร่งที่รวดเร็วทันใจ บวกกับสมรรถนะช่วงล่างที่ไว้ใจได้ แถมยังประหยัดน้ำมันอีกต่างหาก อยากแนะนำให้หาโอกาสไปลองขับดู แล้วคุณจะรู้ว่า "ของถูกแล้วดี ไม่มีในโลก"

 * sanook.com *




 

Create Date : 27 มกราคม 2556    
Last Update : 27 มกราคม 2556 16:23:32 น.
Counter : 1231 Pageviews.  

“วิบูลย์ โภชนา” เด่นทั้งปลา เด็ดทั้งไก่ สรรหาความสดใหม่มาใส่จาน

บรรยากาศภายในร้าน
       หน้าที่หลักของ “ผ่านมาแวะกิน” ก็คือ การสรรหาของอร่อยมานำเสนอแก่นักชิมทุกๆ ท่าน ไม่ว่าจะขึ้นปีใหม่ ย้ายราศี เปลี่ยนปฏิทินไปกี่หน้า เราก็ยังคงทำหน้าที่อย่างนี้เสมอ ดังเช่นมื้อนี้ ที่จะชวนไปชิมของอร่อยที่เปิดมาร่วม 40 ปีแล้ว มีชื่อร้านว่า “วิบูลย์โภชนา”
       
       ร้านนี้เขาขายทั้งขาวต้มปลา ไก่ย่าง อาหารจานเดียวเมนูต่างๆ โดยช่วงเช้า เวลา 09.00-14.00 น. จะเปิดขายข้าวขาหมูเป็นหลัก พอช่วงเที่ยงจะเริ่มมีข้าวต้มต่างๆ และต้มยำ ส่วนช่วงเย็น เวลา 17.00-23.00 น. จะขายข้าวต้ม ต้มยำ ยำต่างๆ ไก่ย่าง และอาหารตามสั่งในเมนู

วัตถุดิบสดๆ มีให้เลือกสรร
       กว่าที่ “ผ่านมาแวะกิน” จะไปถึงร้านก็เป็นช่วงเย็นแล้ว ก็เลยได้ลองชิมอาหารที่ปรากฏอยู่ในเมนู ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเป็นอาหารที่ทำจากปลา กุ้ง และปลาหมึก ซึ่งทางร้านจะเน้นเรื่องความสดใหม่ และจุดเด่นของร้านนี้อยู่ที่ความเชี่ยวชาญในการดูความสดใหม่ของปลาต่างๆ เพราะเปิดร้านมานานตั้งแต่รุ่นคุณพ่อ (คุณวิบูลย์ ฐิติภัค) และต่อมาก็ยังมีเมนูไก่ย่างมาให้ลิ้มลองกันด้วย

ข้าวต้มปลาเก๋า
       ไหนๆ ก็เห็นเนื้อปลาสดๆ ให้เลือกอยู่ตรงหน้า เลยขอสั่งเมนูเด็ดของร้าน ข้าวต้มปลาเก๋า (80 บาท) ที่ทางร้านใช้เนื้อปลาเก๋าสดๆ สไลด์เป็นชิ้นขนาดพอดีมาลวกให้พอสุก ใส่ลงในข้าวต้มที่ต้มจากข้าวขาวผสมข้าวหอมมะลิ ใส่น้ำซุปที่เคี่ยวจากกระดูกหมูล้วนๆ โรยหน้าด้วยพริกไทย ขึ้นฉ่าย และข่าป่น กินคู่น้ำจิ้มเต้าเจี้ยวสูตรเฉพาะของทางร้าน ลองชิมน้ำซุปก็หอมกลมกล่อม เนื้อปลาแน่นสดหวาน ไม่มีกลิ่นคาว จิ้มกับน้ำจิ้มเต้าเจี้ยวที่ออกเค็มเผ็ด กินเพลินจนหมดชามแบบไม่รู้ตัว

ยำรวมมิตรทะเล
       ส่วนอาหารทะเลอื่นๆ ก็สั่งมาในเมนู ยำรวมมิตรทะเล (100-150 บาท) ที่เน้นความสดใหม่ของวัตถุดิบเช่นกัน แต่จานนี้โดดเด่นมากเพราะความใหญ่ของกุ้ง หอยนางรม หมึกกล้วย เนื้อปลาเก๋า และไข่ปลากะพง ที่นำมาลวกให้พอสุกแล้วคลุกเคล้ากับน้ำยำมะนาวสด ใส่พริกขี้หนู น้ำปลา ขึ้นฉ่าย ตั้งฉ่าย และกระเทียมเจียว จานนี้แค่ได้กลิ่นก็น้ำลายสอ พอชิมก็ครบรสจัดจ้าน เนื้อสัตว์ต่างๆ ไม่มีความคาวอารมณ์เสีย
       
       แต่ถ้าอยากซดน้ำ ต้องสั่ง ต้มยำหัวปลาเก๋า (ชามละ 150 บาท หม้อไฟ 300 บาท) ที่คัดแต่หัวปลาเก๋ามาสับเป็นชิ้นพอดี แถมมีเนื้อติดอยู่ให้กินกันด้วย นำมาต้มให้สุกต่างหาก เสร็จแล้วนำหัวปลาเก๋ามาปรุงพร้อมกับน้ำซุปต้มยำที่ใส่สมุนไพรหลากหลาย ใส่น้ำพริกเผาเพิ่มรสชาติและความสวยงาม แต่ถ้าใครไม่ชอบจะสั่งเป็นน้ำใสก็ได้ ใส่ไข่ปลากะพงลงไป และโรยหน้าด้วยผักชีฝรั่ง ตักขึ้นซดร้อนๆ ได้ความเผ็ดเปรี้ยวเค็มครบรส เข้ากับหัวปลาเก๋าที่กินเพลิน

ต้มยำหัวปลาเก๋า
       และที่ขาดไม่ได้อีกอย่างคือ ไก่ย่าง (ทั้งตัว 160 บาท ครึ่งตัว 80 บาท น่องติดสะโพก 50 บาท) ที่เป็นอีกหนึ่งเมนูแนะนำของร้าน โดยทางร้านจะเลือกไก่ขนาดกำลังดี นำมาหมักกับเครื่องปรุงสูตรเฉพาะ แล้วย่างบนเตาแก๊สสำหรับไก่ย่าง ไก่ย่างของร้านนี้มีความเด่นอยู่ที่เนื้อนุ่มหนังกรอบ หอมกลิ่นกระเทียมพริกไทย และยังมีน้ำจิ้มหวานกับน้ำจิ้มแจ่วสูตรพิเศษให้เลือกจิ้มกันตามอัธยาศัย
       
       อ่านมาถึงตรงนี้ ใครหิวก็รีบบึ่งออกไปลองชิมกันได้เลย และขอแถมเมนูแนะนำกันอีกนิด อาทิ ยำหมูบะเต็ง (100 บาท) ออส่วนกระทะร้อน (100 บาท) ซี่โครงหมูอบ (50-100 บาท) เนื้อปลาเก๋าลวกจิ้ม (150 บาท) และน้ำสมุนไพรต่างๆ (ขวดละ 15 บาท) ที่ทางร้านทำเอง เป็นต้น ให้ได้ไปเลือกลองลิ้มกันที่ร้าน “วิบูลย์โภชนา”

ไก่ย่าง
       * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
       
       ร้าน “วิบูลย์ โภชนา” ตั้งอยู่ที่ 558 ถ.พระราม 5 แขวงถนนนครไชยศรี เขตดุสิต กทม. การเดินทาง หากมาจากถนนสามเสน ให้เลี้ยวเข้าถนนนครไชยศรี มุ่งตรงมาที่แยกราชวัตร (ถนนพระราม 5 ตัดกับถนนนครไชยศรี) แล้วเลี้ยวซ้ายที่แยกราชวัตร เลยแยกมาประมาณ 50 เมตร จะเห็นร้านตั้งอยู่ทางขวามือ ร้านเปิดทุกวัน (หยุดวันอาทิตย์ที่ 3 และ 4 ของเดือน) เวลา 09.00-14.00 น. และ 17.00-23.00 น. โทร. 0-2241-1505, 08-9114-7448
* manager.co.th *




 

Create Date : 20 มกราคม 2556    
Last Update : 20 มกราคม 2556 14:53:52 น.
Counter : 1069 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  

angelica0819
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add angelica0819's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.