รถเด่นของโลกปี 2012

ในช่วงปี 2012 ที่ผ่านมา ต้องยอมรับว่าถือเป็นอีกปีทองของตลาดรถยนต์ทั่วโลกที่ได้มีโอกาสสัมผัสกับรถยนต์รุ่นใหม่ๆ ซึ่งถูกเปิดตัวออกมาตามงานมอเตอร์โชว์ระดับโลก ไม่ว่าจะเป็นในยุโรป, จีน หรือสหรัฐอเมริกา และก็ถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติของ “ASTVผู้จัดการมอเตอริ่ง” ที่จะรวบรวมสุดยอดรถรุ่นเด่นที่ถูกเปิดตัวออกมาในปีนี้

       1.SRT Viper : ความน่าสนใจของสปอร์ตสายพันธุ์อเมริกันรุ่นนี้คือ เป็นการคัมแบ็กสู่ตลาดอีกครั้ง หลังมีข่าวว่าชื่อของไวเปอร์หลุดออกจากโชว์รูมของไครสเลอร์ไปเกือบทั้งตัวแล้ว แต่ดีที่บอสใหม่อย่าง แซร์โจ้ มาร์คิออนเน่ แห่งเฟียต ตัดสินใจดึงโปรเจกต์นี้กลับมา ไม่ขายสิทธิ์ชื่อของไวเปอร์ให้กับคนอื่น
       
       การคัมแบ็กตรงนี้น่าสนใจอีกอย่างคือ การยกระดับ SRT ซึ่งแต่เดิมเป็นแค่หน่วยพัฒนาเวอร์ชันรถแรงของเครือไครสเลอร์ ให้กลายมาเป็นแบรนด์หนึ่งในเครือ และไวเปอร์ใหม่ก็ประเดิมทำตลาดด้วยการเลิกใช้ชื่อดอดจ์ และหันมาใช้ชื่อ SRT แทน
       
       ในรุ่นใหม่ ตัวรถยังคงความเป็นสปอร์ตอเมริกันพันธุ์ดุในสไตล์มัสเซิลคาร์ แบบเครื่องยนต์วางด้านหน้าและขับเคลื่อนล้อหลัง ขณะที่ตัวถังมีความยาว 4.42 เมตร กว้าง 1.94 เมตร และระยะฐานล้อ 2.51 เมตร โดยในตอนแรกของการทำตลาดจะมีด้วยกัน 2 รุ่น คือ รุ่นธรรมดา (1,556กิโลกรัม) และจีทีเอส (1,521 กิโลกรัม) ซึ่งแต่งแบบสปอร์ต และมีน้ำหนักเบาขึ้น ขณะที่ชิ้นส่วนตัวถังมีการนำวัสดุอย่างอะลูมิเนียมและคาร์บอนไฟเบอร์มาผลิต
       
       ส่วนเครื่องยนต์เป็นบล็อกใหม่ ผลิตจากอะลูมิเนียมทั้งบล็อก และเป็นแบบประกอบด้วยมือ หรือ hand-Assembled โดยยังคงเอกลักษณ์ของระบบการทำงานของวาล์วในแบบ OHV ตัวบล็อกเป็นแบบวี10 ที่ได้รับการปรับปรุงให้มีความจุกระบอกสูบขยับขึ้นมาเป็น 8,400 ซีซี พร้อมกำลังสูงสุดที่อยู่ในระดับ 640 แรงม้า ที่ 6,150 รอบ/นาที หรือมีแรงม้าต่อลิตรที่ 76 แรงม้าต่อ 1 ลิตร และแรงบิดสูงสุด 82.8 กิโลกรัม-เมตร ที่ 4,950 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ

       2.Honda N One : จากต้นแบบมาสู่การพัฒนาเป็นคันจริง และถือเป็นความพยามอีกครั้งของฮอนด้าในการแจ้งเกิดในตลาดรถยนต์ไซส์เล็กในกลุ่ม K-Car ของญี่ปุ่น โดยรุ่น N One เป็นการคืนชีพด้วยการอาศัยแรงบันดาลใจและกลิ่นอายในการออกแบบมาจากรถยนต์คลาสสิกอย่าง N360 หรือเป็นรถยนต์ที่ผลิตในเชิงพาณิชย์รูปแบบ Mass Production รุ่นแรกของฮอนด้า
       
       บนตัวถังแบบแฮทช์แบ็กทรงเหลี่ยม 5 ประตู N One มีความยาว 3,395 มิลลิเมตร กว้าง 1,475 มิลลิเมตร และระยะฐานล้อ 2,550 มิลลิเมตร ส่วนเครื่องยนต์เป็นบล็อก 3 สูบรหัส S07A ที่มีความจุไม่เกิน 660 ซีซี มีให้เลือกทั้งรุ่นที่มีเทอร์โบ ซึ่งมีกำลังสูงสุด 64 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 10.6 กก.-ม. ที่ 2,600 รอบ/นาที และรุ่นไม่มีเทอร์โบ 54 แรงม้า ที่ 7,300 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 6.6 กก.-ม. ที่ 3,500 รอบ/นาที
       
       น่าเสียดายที่ยังไม่มีแผนการส่งทำตลาดทั่วโลก เพราะปัจจุบัน N One ยังเป็นแค่ JDM ที่ผลิตเพื่อขายในประเทศญี่ปุ่นเท่านั้น

       

       3.Mercedes-Benz A-Class : จากรถจ่ายกับข้าวทรงทื่อ แถมช่วงล่างไม่ดีจนเกิดการพลิกคว่ำเพราะเทสการหักหลบ กะทันหันเมื่อปี 1997 แต่สำหรับในรุ่นใหม่ที่เป็นเจนเนอเรชันที่ 3 เมอร์เซเดส-เบนซ์จัดการเปลี่ยนบุคลิกของเอ-คลาสให้กลายมาเป็นความสปอร์ตทรงกะทัดรัดที่น่าตื่นตาตื่นใจ
       
       ในรุ่นใหม่นี้ได้รับการพัฒนาบนพื้นฐานทางวิศวกรรมที่เรียกว่า MFA หรือ Modular Front Architecture โดยตัวถังมีความยาว 4,292 มิลลิเมตร กว้าง 1,780 มิลลิเมตร สูง 1,433 มิลลิเมตร
       
       ทางเลือกของเครื่องยนต์มีหลากหลายทั้งเบนซินและเทอร์โบดีเซล แต่ส่วนใหญ่จะเป็นแบบ 4 สูบเรียงวางขวาง สำหรับการขับเคลื่อนล้อหน้า โดยการทำตลาดเริ่มต้นกับรุ่น A180 แต่ใช้เครื่องยนต์ 1600 ซีซี เทอร์โบ 122 แรงม้า ตามด้วย A200 บล็อกเดียวกันแต่ขยับความเร้าใจขึ้นเป็น 154 แรงม้า และมีรุ่น A250 เป็นรุ่นท็อป ใช้เครื่องยนต์ 2000 ซีซี 208 แรงม้าเป็นขุมพลัง

       รุ่นเทอร์โบดีเซลมากับเครื่องยนต์ 4 สูบที่มีความจุ 1800 ซีซี และมีให้เลือก 2 รหัส คือ A180CDI ที่มีกำลังขับเคลื่อน 108 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 25.5 กก.-ม. ตามด้วย A200CDI มีกำลังขยับขึ้นมาเป็น 134 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 30.6 กก.-ม. ตามด้วย A220CDI ที่มีความจุ 2200 ซีซี รีดกำลังออกมาได้ 168 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 35.78 กก.-ม. เลือกได้ว่าจะส่งกำลังผ่านเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ หรือแบบคลัตช์คู่ 7 จังหวะแบบ 7G-DCT
       
       ส่วนในบ้านเรามีขายแล้วกับรุ่น A180 และ A250 ราคา 1,890,000 บาท และ 2,490,000 บาท ตามลำดับ และสำหรับใครที่รอความเร้าใจกับเวอร์ชัน AMG ก็อดใจรอกันอีกสักหน่อย เพราะมีขายแน่นอนกับเครื่องยนต์ที่มีม้าในคอกจากโรงงานมากกว่า 300 ตัว

       4.Ferrari F12 : นอกจากจะเป็นรถสปอร์ตรุ่นใหญ่สุดบนโชว์รูมของเฟอร์รารี่ ณ วินาทีแล้ว F12 ยังพกอีกดีกรีในการเป็นรถสปอร์ตที่มีสมรรถนะเร้าใจที่สุดจากคอกม้าป่าแห่งมาราเนลโล
       
       สปอร์ตรุ่นนี้เป็นแบบเครื่องยนต์วางด้านหน้าขับเคลื่อนล้อหลัง สำหรับใช้ในการขับเคี่ยวกับสปอร์ตในแบบ GT อย่างแอสตัน มาร์ติน DB9 หรือแม้แต่พวกพันธ์ดุอย่างลัมบอร์กินี อะเวนทาดอร์ LP700-4 ซึ่งในตอนแรกมีข่าวว่าสปอร์ตรุ่นนี้จะใช้ชื่อ F620GT ในการทำตลาด แต่ไปๆ มาๆ ก็เกิดความเปลี่ยนแปลงจนได้ โดยเฟอร์รารี่หันมาใช้ชื่อ F12 แทน และคล้ายกับชื่อรุ่นรถแข่ง F1 ที่ใช้ในการแข่งขันปีนี้อย่าง F2012
       
       ความน่าสนใจอยู่ตรงที่มีการเคลมว่า F12 เป็นสปอร์ตคูเป้ที่มีกำลังและฝีเท้าเดิมๆ จากโรงงานเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ของเฟอร์รารี่ เพราะเครื่องยนต์แบบ NA ซึ่งไม่ต้องพึ่งเทอร์โบช่วยในการอัดอากาศอย่างบล็อกวี12 ที่มีความจุ 6300 ซีซี (ความจุจริง 6262 ซีซี) สามารถรีดกำลังออกมาได้ถึง 730 แรงม้าในหน่วย HP และเป็น 740 แรงม้า ในหน่วย PS ที่ 8,500 รอบ/นาที เพิ่มขึ้นจากรุ่น 599GTB ถึง 118 แรงม้า หรือเรียกง่ายๆ ว่าความจุ 1000 ซีซี สามารถเค้นพลังออกมาได้ถึง 116 แรงม้ากันเลยทีเดียว ส่วนแรงบิดสูงสุดอยู่ในระดับ 70.3 กก.-ม. ที่ 6,000 รอบ/นาที โดย 80% ของแรงบิดสูงสุดถูกถ่ายทอดออกมาในช่วงระหว่าง 2,500-8,700 รอบ/นาที

       ในด้านสมรรถนะเมื่อจับคู่กับเกียร์แบบ Dual-Clutch F1 ที่มีอัตราทดชิดแล้ว การถ่ายทอดกำลังถือว่ายอดเยี่ยมมาก ใช้เวลาแค่ 3.1 วินาที สำหรับ 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง และ 8.5 วินาทีในย่าน 200 กิโลเมตร/ชั่วโมง ส่วนความเร็วสูงสุดเกิน 340 กิโลเมตร/ชั่วโมง
       
       ที่สำคัญเมื่อขับทดสอบในสนาม โดยใช้ในการอ้างอิงสำหรับรถสปอร์ตจากค่ายเฟอร์รารี่ทุกรุ่นที่ออกจากไลน์ผลิตในมาราเนลโล อย่างสนามฟิออราโนแล้ว F12 ใช้เวลาในการแล่นต่อรอบเพียง 1.23 นาที ถือว่าดีที่สุดในบรรดารถสปอร์ตที่เฟอร์รารี่ผลิตเพื่อจำหน่ายเลยก็ว่าได้

       5.Range Rover : รอกันนานร่วม 10 ปีในที่สุดเจนเนอเรชั่นที่ 4 ของเรนจ์โรเวอร์ก็เผยโฉมออกมาเสียที โดยรุ่นใหม่มีรหัสของการพัฒนา คือ L405 และถูกพัฒนาภายใต้เจ้าของใหม่อย่างทาทาแห่งอินเดีย มาพร้อมกับตัวถังแบบ 5 ประตูที่เน้นน้ำหนักตัวที่เบาขึ้นด้วยการใช้อะลูมิเนียมในการผลิตชิ้นส่วนตัวถังด้านหน้า และโครงสร้างของแชสซีส์ด้านท้ายของตัวรถ และจากการนำอะลูมิเนียมมาใช้ในการผลิตตัวถังทำให้ตัวรถมีน้ำหนักเบาลงประมาณ 39% หรือคิดเป็น 420 กิโลกรัมเมื่อเปรียบเทียบกับรุ่นที่ใกล้เคียงกันในตัวถังที่แล้ว
       
       ขณะที่รูปลักษณ์ภายนอกของตัวรถหันมาเน้นการผสมผสานแนวคิดของความเป็นรถสปอร์ตเข้ากับสมรรถนะในการบุกตะลุยบนเส้นทางวิบาก และยังแฝงเอาไว้ด้วยความหรูหราในทุกรายละเอียด ส่วนในแง่ความทนทานนั้น ทางแลนด์โรเวอร์ บอกว่า ไม่ต้องกังวลเพราะโปรเจกต์นี้มีการนำเรนจ์โรเวอร์ใหม่ออกวิ่งทดสอบจริงตามสถานที่ต่างๆ ทั่วโลกมากกว่า 20 ประเทศ เพื่อให้เผชิญหน้ากับความหลากหลายทางภูมิศาสตร์ และตอบรับกับการใช้งานของคนทั่วโลกอย่างแท้จริง

       

       6.Volkswagen Golf Mk VII : กอล์ฟ ใหม่ มาร์ค ได้รับการพัฒนาบนพื้นตัวถังใหม่ที่เรียกว่า MQB หรือ Modularer Querbaukasten ส่วนในภาษาอังกฤษเรียกว่า Modular Transverse Matrix ซึ่งเป็นพื้นตัวถังรุ่นใหม่ที่จะถูกนำมาใช้ในการพัฒนารถยนต์ขนาคอมแพกต์แบบขับเคลื่อนล้อหน้าของโฟล์คสวาเกน กรุ๊ป
       
       ในรุ่นใหม่มีน้ำหนักตัวเบาลงจากรุ่นเดิมราวๆ 23 กิโลกรัม แต่ได้รับการปรับปรุงให้มีโครงสร้างตัวถังที่แข็งแกร่งและทนทานขึ้น รวมถึงยังมีความประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้นอีก 23% เมื่อเปรียบเทียบกับรุ่นที่ใช้เครื่องยนต์และตัวถังใกล้เคียงกัน โดยในช่วงแรกวางขายเฉพาะตัวถังแฮทช์แบ็ก 3 และ 5 ประตู
       
       ทางเลือกของเครื่องยนต์มีหลากหลายเช่นเดิม โดยสเปกที่ขายในยุโรปจะมีเครื่องยนต์เบนซิน-ดีเซล ที่มาพร้อมกับระบบ Auto Start/Stop พร้อมกับแบตเตอรี่สำหรับเก็บกระแสไฟฟ้า โดยกำลังของเครื่องยนต์จะอยู่ระหว่าง 85-150 แรงม้า เริ่มจากรุ่นเบนซิน TSI 1,200 ซีซี 85 แรงม้า ตามด้วย 1,400 ซีซี TSI 140 แรงม้าพร้อมระบบ Active Cylinder Technology สามารถลดการจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงจากเดิม 4 สูบ ลงเหลือ 2 สูบได้ในบางสภาพการขับ ส่วนรุ่นเทอร์โบดีเซล ก็มากับขุมพลัง 1,600 ซีซี 105 แรงม้า และ 2,000 ซีซี 150 แรงม้า

       

       7.Lamborghini Aventador LP700-4 Roadster : ลัมบอร์กินีโชว์ความเหนือชั้นทางด้านเทคโนโลยีครั้งใหม่ กับการฉีกแนวคิดของการพัฒนารถสปอร์ตเปิดประทุนแบบหลังคาแข็งพับได้ ซึ่งแต่เดิมจะใช้วัสดุที่เป็นเหล็กในการผลิตตัวแผ่นหลังคา แต่กับอะเวนทาดอร์ LP700-4 โรดสเตอร์ ที่กำลังจะเปิดตัวในต้นปีหน้า งานนี้มีจุดเด่นที่หลังคาคาร์บอนไฟเบอร์แบบพับเก็บได้
       
       สำหรับหลังคาไฟเบอร์แบบพับเก็บได้นี้จะถูกแบ่งเป็นแบบ 2 ชิ้น และมีน้ำหนักเบาเพียง 6 กิโลกรัมเท่านั้น โดยเมื่อไม่ต้องการใช้ก็พับเก็บและวางไว้ที่ห้องเก็บสัมภาระด้านหน้าได้

       เครื่องยนต์ที่ใช้เป็นบล็อกเดียวกับคูเป้ เป็นขุมพลังแบบวี12 ทวินแคม 48 วาล์ว มีความจุกระบอกสูบ 6,500 ซีซี 700 แรงม้า ที่ 8,250 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 70.4 กก.-ม. ที่ 5,500 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์กึ่งอัตโนมัติแบบ 7 จังหวะ ส่วนระบบขับเคลื่อน 4 ล้อยกชุดมาจากของ Haldex เป็นแบบ 4 ล้อตลอดเวลา หรือ Full-time เพื่อประสิทธิภาพในการยึดเกาะถนน
       
       ข่าวดีสำหรับสาวกกระทิงเปลี่ยวบ้านเราที่อยากลองความแรงแบบเปิดประทุน สามารถติดต่อจองรถได้แล้วที่นิช คาร์ สนนราคา 39.5 ล้านบาท

       8.Fiat 500L : ฉีกกฎของรุ่น 500 ด้วยการเพิ่มตัวถังใหม่เพื่อรองรับกับการแข่งขันในตลาดที่มีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยตัวถังที่ 3 ของ 500 ต่อจากแฮทช์แบ็ก และเปิดประทุนคือ การสนองต่อความอเนกประสงค์ด้วยรุ่น L ในสไตล์มินิแวนคันโต
       
       500L มากับตัวถังที่มีความยาว 4,140 มิลลิเมตร หรือยาวกว่า 500 รุ่นมาตรฐานถึง 594 มิลลิเมตร กว้าง 1,780 มิลลิเมตร และสูง 1,660 มิลลิเมตร อีกทั้งยังมีรูปทรงและโครงสร้างของตัวถังที่ถูกออกแบบในลักษณะของ Cab-Forward Design เหมือนกับมินิแวนรุ่น 600 Multipla ของเฟียต และเบาะนั่งแบบ 2 แถว 5 ที่นั่ง แถมยังเหลือพื้นที่บรรทุกสัมภาระด้านท้ายอีกพอประมาณ
       
       ขณะที่ทางเลือกของเครื่องยนต์ในช่วงแรกก็มีทั้ง TwinAir แบบเทอร์โบเบนซิน และแบบหายใจเองที่มีความจุ 1400 ซีซี ส่วนเทอร์โบดีเซลเป็น 1300 ซีซี ในรหัส MultiJet II ซึ่งทางเฟียตยังไม่เปิดเผยตัวเลขสเปกของขุมพลังที่ทำตลาดออกมาในตอนนี้ แต่ก็น่าจะมีตัวเลขของกำลังขับเคลื่อนอยู่ในช่วงระหว่าง 90-120 แรงม้า ขึ้นอยู่กับรุ่นเครื่องยนต์ที่ติดตั้ง

       

       9.Jaguar F-Type : การรุกตลาดโรดสเตอร์ของแบรนด์หรูแห่งอังกฤษเพื่อแข่งขันกับ 3 ผู้ยิ่งใหญ่ในตลาดรถยนต์หรูจากเยอรมนี โดยจากัวร์เผยรายละเอียดของแผนงานลุยตลาดประเภทนี้มาตั้งแต่ปี 2011 ผ่านทางต้นแบบรุ่น C-X16 ที่จัดแสดงในงานแฟรงค์เฟิร์ต มอเตอร์โชว์ จากนั้นโปรเจกต์นี้ถูกผลักดันให้พัฒนาภายใต้แผนงานที่เรียกว่า X152 เพื่อให้ขึ้นสู่การผลิตจริงจนเป็นที่มาของโรดสเตอร์รุ่น F-Type
       
       สำหรับ F-Type ได้รับการพัฒนาบนพื้นตัวถังเดียวกับ XK ที่เป็นสปอร์ตรุ่นใหญ่กว่า แต่มีการหั่นให้มีขนาดสั้นลง ด้วยระยะฐานล้อเพียง 2,622 มิลลิเมตร ความยาวตัวถังในระดับ 4,470 มิลลิเมตร ส่วนหลังคาเป็นแบบหลังคาอ่อนพับเก็บได้ด้วยระบบไฟฟ้า ต่างจากคู่ปรับอย่าง SLK และ Z4 จากเบนซ์ และบีเอ็มดับเบิลยู
       
       เครื่องยนต์ที่ทำตลาดทุกรุ่นจะใช้ระบบซูเปอร์ชาร์จรีดกำลังออกมา โดยจะมี 2 แบบเครื่องยนต์แต่ 3 ทางเลือกของแรงม้า เริ่มกับบล็อกวี6 3,000 ซีซี ที่มีให้เลือก 2 ระดับการขับเคลื่อน คือ 340 และ 380 แรงม้า ส่วนรุ่นท็อปเป็นเครื่องยนต์วี8 5,000 ซีซี 495 แรงม้า ซึ่งยกมาจากสปอร์ตรุ่น XK และซีดานรุ่น XF

       

       10.Opel Adam : โอเปิลทวงความยิ่งใหญ่ในตลาดรถยนต์ไซส์เล็กด้วยการนำเสนอผลผลิตใหม่อย่างรุ่นอดัม ที่มากับตัวถังแฮทช์แบ็ก 3 ประตูและมีมินิ กับเฟียต 500 เป็นคู่ปรับสำคัญในตลาด
       
       รถยนต์รุ่นนี้ได้รับการพัฒนาบนพื้นตัวถังที่ได้รับการปรับปรุงจากรหัส SCCS หรือ Small Common Components and Systems หรือ Gamma II แบบเดียวกับคอร์ซ่าใหม่ โดยตัวรถมีความยาว 3.7 เมตร กว้าง 1.72 เมตร และระยะฐานล้อ 2.311 เมตร ใกล้เคียงกับมินิ และ 500 รุ่นปัจจุบัน
       
       โอเปิลบอกว่าในช่วงแรกของการทำตลาดจะมีเครื่องยนต์ให้เลือกทั้งหมด 3 รุ่นในตระกูล ecoFLEX แบบ 4 สูบเบนซิน 1,200 ซีซี 70 แรงม้า ตามด้วย 1,400 ซีซี อีก 2 รุ่น คือ 87 และ 100 แรงม้า ส่งกำลังด้วยเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะและมีเทคโนโลยีดับเครื่องยนต์ได้เองอัตโนมัติ หรือ Auto Start/Stop เป็นออฟชันที่ต้องจ่ายเงินเพิ่ม

* manager.co.th *


Create Date : 01 มกราคม 2556
Last Update : 1 มกราคม 2556 1:17:41 น. 0 comments
Counter : 2195 Pageviews.

angelica0819
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add angelica0819's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.