All Blog
มิสากับ Ice skate บทที่ 2 : เมื่อมิสามาเรียน Academy Elite Skate
เคยเขียนบันทึกเรื่องราวการเรียนไอซ์เก็ตของมิสาไว้ตั้งแต่ตอนก่อนนู๊น สมัยมิสาเพิ่งเรียนไอซ์ไปได้ 2 คอร์ส (หรือ 20 ครั้ง) ตอนนั้น เดือนมีนา ปี 59 ผ่านมาถึงปี 62 ซึ่งปีนี้ มิสาได้ลงแข่งไอซ์เก็ตเป็นครั้งแรก แม่เลยอยากจะบันทึกเรื่องราวต่อจาก 20 ครั้งของหนูจนมาถึงการแข่งขันแรกของหนูหน่อยนะ

หลังจากเรียนไอซ์สเก็ตไปได้เกือบปี ครูน้ำตาลก็ให้มิสาลงสอบไอซ์เก็ตครั้งแรกในระดับ Pre-Alpha ซึ่งอันที่จริง ท่าของ Pre-Alpha นั้นง่ายมากๆ มิสาทำได้หมด แต่ความยากของการสอบคือ การที่ต้องลงลานไปคนเดียว รอกรรมการเรียกชื่อ แล้วก็ทำการทดสอบกลางลานกับกรรมการ โดยมีผู้ชม(ก็คือผปค.ของผู้สอบ)อยู่รอบลาน ตอนนั้นมิสา 6 ขวบ(อยู่ ป.1ล่ะ) แต่แม่ก็กลัวมากๆ ตื่นเต้นมากๆ กลัวลูกร้องไห้ไม่ยอมลงสนาม 555 แต่ในที่สุดการสอบการผ่านไปด้วยดี

เราเรียนไอซ์เก็ตที่ CTW ต่อมาอีกซักเกือบปีเหมือนกัน ก็ปรากฏว่าครูน้ำตาลจะลาการสอนไปสอบป.โท ตอนนั้นครูหาครูใหม่มาให้เพราะกลัวว่าถ้าหายไปนาน เดี๋ยวจะไม่ต่อเนื่อง มิสาก็เลยเรียนกับครูใหม่ไปคอร์สนึงเหมือนกัน แต่พอเรียนจบ ช่วงนั้น CTW เค้าปิด renovate พอดี ลานไอซ์ที่ CTW ก็ปิดไปด้วย ก็เลยเป็นโอกาสดีที่ได้พามิสาย้ายลานมายังลานที่เซ็นทรัล พระราม 9 ซึ่งใหญ่กว่า และคนเล่นที่นี่ก็ดูจริงจังกว่ามากๆ และเป็นโอกาสที่แม่ได้ให้มิสาลงเรียน Academy Elite Learn to Skate ซึ่งเป็นการเรียนกลุ่ม (และราคาถูกกว่า) Academy ของที่นี่ นร.เยอะ และจริงจัง คอร์สนึงเรียน 5 สัปดาห์ เรียนสัปดาห์ละ 2 ครั้ง (ก็คือ 10 ครั้ง)เรียนเสร็จสอบ ถ้าผ่าน ก็จะเลื่อนไปอีก level นึง  มีทั้งหมด 10 level ซึ่งถ้าเรียน 2 ครั้งต่อสัปดาห์ ก็จะจบเลเวล 10 ประมาณ 1 ปีนิดๆ แต่เนื่องด้วย แม่สามารถพามิสามาเรียนได้แค่สัปดาห์ละ 1 ครั้ง ก็เลยกินเวลาไป 2 ปีเลยกว่าจะจบ

ว่าด้วยเรื่องของ Academy ต้องบอกก่อนว่า เป็นการเรียนกลุ่ม ซึ่งจะต่างจากการเรียนเดี่ยว(private แบบตัวต่อตัว) เพราะ เด็กๆจะไม่มีครูประกบ เค้าจะต้องฝึกทำท่าต่างๆ(ตามเลเวล)ไปเรื่อยๆด้วยตัวเอง ทำไปพร้อมๆกับเพื่อนๆ พูดง่ายๆคือ มันเป็นการ survive บนลานด้วยตัวเอง โดยไม่มีครูคอยจับ และไม่มีเพื่อนคุย 555 ซึ่งข้อดี คือ เด็กๆก็จะได้ฝึกเยอะ ต้องช่วยตัวเอง พยายามทำเอง แต่ข้อเสียคือ ท่าก็อาจจะไม่ได้เป๊ะ ไม่ได้สวยเท่าไหร่ เทียบกับเรียนเดี่ยวที่มีครูประกบเลย ท่าก็จะสวยกว่า แต่ข้อเสีย คือ ถ้าเด็กคุยเก่ง (เช่น มิสา) นางก็จะชวนครูคุยไปเรื่อย แล้วถ้าแบบขี้เกียจ หรือ กลัว นางก็จะเกาะครูไปเรื่อยเช่นกัน ซึ่งก็คือ มิสาเนี่ยแหละ ... ครูก็เลยแนะนำว่า มิสาน่าจะไปเรียน Academy นะคะคุณแม่ เรียนคู่กันไปก็ได้ เพราะดีคนละแบบ แล้วมันจะพัฒนาไวมาก เพราะถ้าเรียนเดี่ยวมิสาก็จะเกาะครูแจ ไม่ยอมทำเอง แล้วมันก็คือ แบบช้ามากๆอ่ะ .... แม่ก็บอกให้มิสาไปเรียน แต่มิสาก็งอแง ร้องไห้ฟูมฟายเลยทีเดียว แล้วก็พอพูดถึงเรียนกลุ่มทีไร ก็โวยวาย ทะเลาะกันตลอด สุดท้าย ก็เลยไม่ได้ไปซักที ... แต่พอลานที่ CTW ปิด แล้วต้องไปเรียนที่ พระราม 9 ก็ถือเป็นโอกาสอันดีที่จะได้ลองเรียนกลุ่มดูซะเลย แม่ให้พ่อเป็นคนพูด ปรากฎพ่อพูดทีเดียว (เอารางวัลมาล่อ) มิสายอมเรียนแบบง่ายดาย ไม่เสียน้ำตาซักแอะ ... แม่รู้เลย โดนลูกหลอกมาตลอด Y_Y

มิสามาเริ่มเรียน Academy โดยเริ่มที่เลเวล 3 เลย เพราะแม่บอกครูว่าเคยเรียนเดี่ยวมาแล้ว ซึ่งคราวนี้ แม่ให้เรียน Academy อย่างเดียวเลย ไม่ได้ให้เรียนเดี่ยวควบคู่ เพราะไม่มีเวลาด้วย และตอนนั้นก็อยากดูความเอาจริงเอาจังของลูกด้วย เพราะเหมือน 2 ปีที่เรียนเดี่ยวมา มิสาเรียนไปอย่างช้าๆ 555 เหมือนเรียนด้วยความชิลล์ ไม่ได้อยากแข่ง ไม่ได้อยากสอบ ไม่ได้มีเป้าหมายอะไร แต่เรียนเพลินๆ เรื่อยๆ (ซึ่งเอาจริงๆ พอเรียนมาซักพัก แม่ก็รู้แล้วแหละ) .... พ่อเองก็ถามอยู่เรื่อยๆว่าจะให้ลูกเรียนไปถึงเมื่อไหร่ เพราะดูแล้วมิสาก็ไม่ได้จะลงแข่งอะไรกับเค้า พ่อเค้าอยากให้ไปลองอะไรอย่างอื่นบ้าง (กลับไปอ่านตอนแรกได้ว่าทำไมท่านพ่อไม่สนับสนุน 555) แม่ก็เลยมาตั้งเป้ากับมิสาว่าเราจะเรียนกันไปถึงไหน แล้วสองแม่ลูกก็ได้เป้าระยะกลางมา นั่นคือ มิสาจะเรียนให้ถึง level 10 หลังจากนั้นจะดูอีกทีว่าจะยังไงต่อ จะแข่งมั้ย จะสอบมั้ย หรือจะเลิกเรียน

พอเรียนไปได้ประมาณ level 6 ตอนนี้ท่าต่างๆก็เริ่มยาก และมิสาทำไม่ได้แล้ว (ซึ่งจริงๆเท่ากับว่า level ที่ผ่านมา นางเคยเรียนเดี่ยวมาแล้ว เลยพอทำได้อยู่แล้ว ไม่ต้องอาศัยใครช่วย) จะซ้อมเองก็ยาก มิสาก็บอกแม่ว่า หนูอยากเรียนเดี่ยวด้วย อยากให้ครูมาช่วยสอนจับท่า ... แม่ก็เป็นประเภทแบบ อยากให้ลูกเรียนอยู่แล้วไง ก็เลยหาครูให้ แล้วก็เรียน private เพิ่มอีก 1 ชม. หลังเรียนกลุ่มเสร็จ ... แล้วก็เรียนควบคู่กันมาจนถึง level 10


 
++ แปะรูปบรรยากาศการเรียนซะหน่อย ++

ในระหว่างเรียน Academy อยู่ (ช่วงเกือบ 2 ปีที่ผ่านมา) แม่ถามตัวเองอยู่ตลอดว่า ทำไมแม่ถึงให้มิสาเรียนไอซ์เกตต่อ ทั้งๆที่อย่างที่บอก คือ มิสามาเรียนชิลล์ๆ ไม่ได้มี passion ในการเล่นไอซ์ขนาดนั้น มิสาไม่แข่ง ไม่สอบ คือ มันไม่มีเป้าหมายอ่ะ (แม้จะมีเป้าที่ level 10 แต่นั่นคือ เป้าของมิสา แต่ไม่ใช่เป้าหมายของแม่ เพราะแม่ไม่รู้ว่าไอ้ level 10 มันจะนำไปทำอะไรได้ เป้าหมายของแม่ คือ ดูว่าลูกได้อะไรจากการเรียนนี้) ซึ่งการพามิสาไปเรียนแต่ละครั้ง ต้องขับรถจากพระราม 2 ไปพระราม 9 คือ ก็ไม่ได้ใกล้บ้านเลย (เป็นการเรียนพิเศษที่ไกลที่สุดในบรรดาที่เรียนทั้งหมด) ไปถึงเพื่อไปเรียนแค่ 45 นาที แล้วก็กลับ ... มิสาไม่แม้แต่จะวิ่งเล่นต่อ หรือ ซ้อมด้วยซ้ำ แต่มันมี moment นึงที่แบบ แม่ต้องบันทึกเลย คือ ตอนนั้นมิสาอยู่ level 5 แล้วมันมีท่าหมุนตัวหรืออะไรนี่ล่ะที่แบบมิสาทำไม่ได้ แล้วมิสาจะกลัวการสอบเลื่อน level มาก นางกลัวไม่ผ่าน ทีนี้ก็เลยอยู่ซ้อมเองต่อ (คือ ต้องแบบที่สุดจริงๆถึงยอมซ้อมเอง ^_^') ทำเท่าไหร่ก็ไม่ได้ เพราะมันทรงตัวไม่อยู่ จนมีรุ่นพี่ที่รร.คนนึงเค้าเรียนอยู่ที่พระราม 9 เหมือนกัน เค้าเข้ามาแนะนำว่า ก็ไปซ้อมกับกำแพงสิ จับกำแพงเอา มิสาก็เลยเดินไปซ้อมหมุน โดยจับกับกำแพงเพื่อไม่ให้ล้ม แล้วค่อยๆปล่อยมือ แม่จำได้ว่าแม่ยืนรอมิสาซ้อมนานมาก เป็นครึ่งชม. ท่าเดียวนี่แหละ จนกระทั่งทำได้ (แม่มองไกลๆเห็น) มิสาวิ่งกลับมาหาแม่ด้วยความดีใจ แล้วบอกว่า คุณแม่ ตอนที่หนูทำได้นะ หนูดีใจจนน้ำตาไหลเลยอ่ะ ... ประโยคนี้เอง ที่ทำให้แม่รู้ว่า แม่จะให้หนูเรียนไปเพื่ออะไร ... มันไม่ใช่การแข่ง มันไม่ใช่การสอบวัด level  แต่มันคือ การที่ให้หนูเรียนรู้ที่จะพยายามทำอะไรซักอย่าง แล้วทำสำเร็จ การทำอะไรซักอย่าง เพื่อเอาชนะขีดจำกัดของตัวเอง แม่รู้ว่า การเล่นกีฬา(ซักชนิด)จะทำให้หนูได้ฝึกตัวเอง และหนูก็เลือกแล้วว่าจะเป็น ice skate นี่แหละ ... ซึ่งนี่ก็เป็นเหตุผลหลักที่แม่ยังมีกำลังใจส่งหนูเรียนต่อไป

แม่ไปเจอบทความนึงมา ซึ่งตรงกับใจแม่มาก ขอยกเอามาลงที่นี่เลย

 

#ฉันให้ลูกเรียนกีฬาไปทำไม?

.

ได้อ่านบทความของคุณแม่ต่างชาติท่านหนึ่ง 

ซึ่งเขียนถึงเหตุผลที่เธอทุ่มเทเงินทองและเวลามากมาย

เพื่อส่งลูกเรียนกีฬา 

รู้สึกประทับใจกับแนวคิดของคุณแม่ท่านนี้จังเลย 

จึงอยากนำมาแชร์กันนะคะ

.

เพื่อนคนหนึ่งของฉันถามว่า 

"ทำไมเธอจึงยอมจ่ายเงินตั้งมากมายเพื่อให้ลูกเล่นกีฬา" 

อืม มันก็จริง ฉันยอมรับ 

แต่ฉันไม่ได้จ่ายเงินเพื่อให้ลูกเล่นกีฬาหรอกนะ 

จริงๆ ฉันไม่ได้ให้ความสนใจในกีฬาที่เด็กๆ เล่นเท่าไหร่นักหรอก

อ้าว แล้วถ้าฉันไม่ได้จ่ายเพื่อกีฬา แล้วฉันจ่ายเงินเพื่ออะไรกันล่ะ

.

ฉันจ่ายเพื่อช่วงเวลาที่ลูกจะได้รู้สึกถึงความเหน็ดเหนื่อยจนอยากจะเลิกทำ แต่เขาก็ไม่ล้มเลิก

.

ฉันจ่ายเพื่อวันเวลาที่ลูกๆ ของฉันกลับมาจากโรงเรียนด้วยความเหน็ดเหนื่อยเกินกว่าจะไปซ้อมกีฬา แต่พวกเขาก็ยังไปอยู่ดี

.

ฉันจ่ายเพื่อที่ลูกของฉันจะได้มีวินัย focus และทุ่มเท

.

ฉันจ่ายเพื่อให้ลูกของฉันเรียนรู้ที่จะดูแลร่างกายของเขา, 

อุปกรณ์กีฬาและสิ่งของต่างๆ ของเขาเอง

.

ฉันจ่ายเพื่อให้ลูกของฉันเรียนรู้ที่จะทำงานร่วมกับผู้อื่นและเป็นสมาชิกที่ดีของทีม เรียนรู้ที่จะแพ้และถ่อมตัวเมื่อชนะ

.

ฉันจ่ายเพื่อให้ลูกของฉันได้เรียนรู้ที่จะรับมือกับความผิดหวัง 

เมื่อเขาไม่ได้ตำแหน่งที่เขาต้องการ 

แต่เขาก็ยังคงกลับไปฝึกซ้อมวันแล้ววันเล่าอย่างดีที่สุด

.

ฉันจ่ายเพื่อให้ลูกของฉันได้เรียนรู้ที่จะพิชิตเป้าหมาย

.

ฉันจ่ายเพื่อให้ลูกของฉันได้เรียนรู้ไม่เพียงที่จะเคารพตัวเอง 

แต่เคารพคู่แข่ง, โค้ชและเจ้าหน้าที่

.

ฉันจ่ายเพื่อให้ลูกของฉันได้เรียนรู้ว่า 

ความสำเร็จหรือการเป็นแชมเปี้ยนนั้น 

มันต้องแลกมาด้วยการทุ่มเททำงานหนัก 

ฝึกฝนวันละหลายๆ ชั่วโมง ปีแล้วปีเล่า 

พวกเขาจะเรียนรู้ว่ามันไม่มีความสำเร็จชั่วข้ามคืน

.

ฉันจ่ายเพื่อให้ลูกของฉันได้ภูมิใจในความสำเร็จเล็กๆ 

และฝึกฝนเพื่อเป้าหมายใหญ่ของเขา

.

ฉันจ่ายเพื่อให้ลูกของฉันได้มีโอกาสสร้างมิตรภาพที่ยั่งยืน, 

ความทรงจำที่มีค่า, และภูมิใจในความสำเร็จของพวกเขา 

แบบที่ฉันก็รู้สึกเช่นกัน

.

ฉันจ่ายเพื่อให้ลูกของฉันได้ไปอยู่ในสนามแทนที่จะอยู่หน้าจอ

.

ฉันสามารถเขียนได้อีกยืดยาว แต่ขอสรุปสั้นๆ นะว่า 

ฉันไม่ได้จ่ายเพื่อกีฬาหรอก 

แต่ฉันจ่ายเพื่อ "โอกาส" ที่กีฬาสามารถให้กับลูกๆของฉันได้

กีฬาช่วยพัฒนาคุณลักษณะที่ดีรอบด้าน

ในการดำรงชีวิตอยู่เพื่อตัวเองและผู้อื่น 

จากที่ฉันสังเกต ฉันคิดว่ามันเป็นการลงทุนที่คุ้มค่ามากๆ ทีเดียว

Cr. บทความ Trevlyn Mayo Palframan


และในที่สุด มิสาก็เรียนจบ level 10 เรียบร้อยเมื่อปลายเดือน ก.ค. 62 ที่ผ่านมานี้เอง
 

 

ตอนต่อไป จะเล่าเรื่อง จุดเริ่มต้นของการแข่ง Ice skate ล่ะนะ ^^


 



Create Date : 06 สิงหาคม 2562
Last Update : 22 สิงหาคม 2562 22:52:32 น.
Counter : 2157 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Beauty & Bambi
Location :
กรุงเทพ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 36 คน [?]



ณ 31/1/2023

นิยามตัวเองได้ว่า เป็นคนชอบ เที่ยว กิน ช๊อป ค่ะ...แต่หลังๆไม่ได้อัพบล็อคเลย มัวแต่เล่น ig กับ เฟส ^^

บล็อคที่เขียนไว้อาจจะนานแล้ว แต่ก็ยังหวังว่าจะพอมีประโยชน์กับเพื่อนๆนะคะ ถ้าได้เที่ยว (หลังโควิด ) จะมาอัพอีกนะคะ


*** เราไม่ค่อยได้เข้ามาเช็คที่ blog เท่าไร่ ถ้าเพื่อนๆอ่านแล้วมีคำถาม รบกวนถามมาทางอีเมลล์เลยนะคะ (ดูอีเมลล์จาก profile ได้ค่ะ) เรายินดีตอบทันทีค่ะ แต่ถ้ามาทิ้งคำถามไว้ที่ blog หรือ หลังไมค์ มันอาจจะนานกว่าเราจะมาอ่านเจออ่ะค่ะ ***
New Comments