All Blog
เลิกเต้า...เคล้าน้ำตา (แม่)


ก่อนที่จะเขียนถึงการเลิกเต้าของมิสา
กิ๊กขอท้าวความเรื่องนมแม่นิดนึงนะคะ

มิสาเป็นเด็กนมแม่ล้วนจนอายุได้ 1 ขวบค่ะ
หลังจากนั้น กิ๊กก็เริ่มเสริมนมผง
ซึ่งไม่ใช่เพราะนมแม่ไม่มี
แต่เป็นเพราะ ความใจไม่แข็งของกิ๊กเอง
กิ๊กคิดว่ามิสาตัวเล็กเพราะนมแม่
ถ้ากินนมวัว ซึ่งมีไขมันมากกว่า มิสาจะได้ตัวโตๆ อ้วนๆกับเค้าบ้าง
(ทั้งๆที่หมอบอกว่า ไม่เกี่ยว แต่กิ๊กก็อยากลองค่ะ 555)



กิ๊กก็เลยเริ่มให้มิสากินนมผง
ตอนแรก ก็ให้ 1 มื้อก่อน นอกนั้นก็นมแม่
(กลางวันนม stock ก่อนนอนและกลางดึก จากเต้า)
และก็เพิ่มเป็น 2 มื้อ...
จนสุดท้าย ก็เหลือนมแม่แค่ก่อนนอน กับกลางดึก (ขี้เกียจลุกมาชงนม 555)
ตอนนั้น มิสาได้ 1 ขวบ 4 เดือนค่ะ


แต่เนื่องจากมิสาไม่ได้เป็นเด็กชอบกินนมอะไร
พอมากินนมผง ก็เหมือนเค้าก็ไม่ค่อยกิน
กิ๊กคิดเอาเองว่า เค้าอาจจะชอบนมแม่มากกว่า เพราะอย่างน้อยก็ได้กินจากเต้า
ตอนนั้นกิ๊กออกจากงานแล้ว ก็สามารถให้เต้ามิสาได้


แต่นมแม่ก็เริ่มจะหมดแล้ว
เพราะกิ๊กเลิกปั๊มนมตั้งแต่มิสาได้ 1 ขวบค่ะ
เนื่องจาก stock ที่มี ก็พอที่มิสาจะกินไปได้อีกหลายเดือน
(เพราะมื้อก่อนนอน กับกลางดึก ได้จากเต้าอยู่แล้ว)
เลยต้องทำ ปฎิบัติการกู้น้ำนม เป็นครั้งแรก (ตอนมิสา 1 ขวบ 4 เดือน)


ใจเสียอยู่เหมือนกัน
เพราะตั้งแต่มิสาเกิด น้ำนมกิ๊กก็พอมาตลอด
พอต้องมากู้น้ำนม ก็กลัวว่าจะไม่ได้


แต่ที่ไหนได้ พอกินโมทิเลี่ยมไปซัก 2-3 วัน
นมก็เริ่มมา...หน้าอกนี่เต่งเชียว
แต่มิสาดันไม่กินนี่สิ ...เสียของมากๆๆๆ
คือ ดูดได้นิดเดียว ไม่เกลี้ยงเต้าด้วย
มาดูดหนักตอนก่อนนอน แค่นั้นเอง
ทีนี้พอนมมันไม่เกลี้ยง มันก็หมดเหมือนเดิม (เพราะไม่ได้ปั้ม)
ซึ่งกิ๊กก็ไม่รู้จะกู้มันมาอีกทำไม ในเมื่อลูกเราไม่กิน เหอ เหอ
ก็เรียกว่า ไม่มีกำลังใจจะกู้ ก็เลยปล่อยมันหมดไปละกัน 555


คือ ถ้าลูกกินเนี่ย เต็มที่เลยนะ
กิ๊กสามารถกู้นม ปั๊มเก็บอะไรได้เหมือนเดิม
ใจจริงอยากจะให้ไปนานๆๆๆๆด้วยซ้ำ
นมก็ยังไม่หมด stock ก็ยังมีเต็มตู้
แต่ลูกเรา มันไม่ติดเต้าแม่เหมือนเด็กคนอื่นอ่ะ
เลยไม่รู้จะทำไง


สรุป หลังจากนั้น มิสาก็เลยกินนมผงเหมือนเดิม
แล้วก็กินนมแม่เฉพาะตอนก่อนนอน กับกลางดึก (ถ้าตื่น)
ซึ่งก็เรียกว่า กินเต้าเพื่อให้หลับมากกว่า ไม่ได้กินเพราะหิว
หรือว่า เป็นมื้อๆนึงอะไรแบบนี้


และเพราะมิสาเค้ากินเต้าเพื่อหลับ
ถ้าเค้ายังไม่หลับ เค้าก็จะดูดนานมากๆๆๆๆๆ
จนนมเกลี้ยงเต้าไปแล้ว (คือ มันก็น้อยแล้วด้วยไง)
ก็ยังดูดๆๆๆๆอยู่
ซึ่งถ้าเป็นก่อนหน้านี้ กิ๊กจะใช้วิธีดึงริมฝีปากล่างเค้าออก
(เหมือนตอนแรกเกิดเลย แต่ลูกขวบกว่าแล้วนะ)
เพิ่งจะมาถึงบางอ้อ ว่าลูกเราฟังรู้เรื่องแล้วนี่หว่า
ตอน 1.4 ขวบนี่แหละ
(เหตุบังเอิญ เพราะกิ๊กพูดว่า เจ็บ มิสาเค้าก้เลยปล่อยปากออก 555)


หลังจากค้นพบวิธีแล้ว พอเวลาเค้าดูดนานๆๆๆๆ
กิ๊กก็จะบอกเค้าว่า แม่เจ็บแล้วนะ ...
เค้าก็จะปล่อยดีๆ


จนกระทั่งมิสาเค้าเริ่มๆจะนอนเองได้แล้ว (เป้นบางวัน)
ไม่ต้องอาศัยเต้าช่วย
เต้าก้หมดความหมายไปเลย
ยิ่งพอเริ่มนอนยาวได้แล้ว ไม่ตื่นกลางดึกอีก
นมแม่ก็เริ่มหดๆๆๆ


จนมาถึงวันดีเดย์ ตอนมิสาได้ 1 ขวบ 7 เดือน
จำได้ว่า วันนั้นมิสาดูดนมกิ๊กอยู่นี่แหละ
ดูดไปไม่นานมาก และเค้าก็ยังไม่หลับ
เค้าก็ปล่อยเอง แล้วก็บอกกิ๊กว่า "แม่เจ็บ แม่เจ็บ"
วินาทีนั้น กิ๊กน้ำตาจะไหลเลยอ่ะ
ซึ้งค่ะ....
เหมือนว่าเค้าห่วงแม่ ไม่อยากให้แม่เจ็บอ่ะค่ะ
แล้วเค้าก้ลงจากหมอน(ให้นม) ไปนอนที่ที่นอนเอง
แล้วก็มุดๆๆกับที่นอน (เหมือนกล่อมตัวเอง)
แล้วก็หลับไป...



แล้วหลังจากวันนั้น
พอจะนอน มิสาก็ไม่ "เน้น เน้น" อีกเลยค่ะ
เค้าก็จะมุดๆ กลิ้งเกลือกไปเรื่อยๆบนที่นอน
แล้วก็หลับไปเอง...


เป็นการเลิกเต้าที่ง่ายมากๆๆๆ 555
และเป็นไปด้วยความสมัครใจ




แต่คนที่เสียใจจริงๆ คือ กิ๊กนะ
เพราะว่าจริงๆ ก็ยังอยากให้นมแม่กับลูกอยู่อ่ะค่ะ
แม้ว่าลูกจะไม่เสียน้ำตา แต่แม่จะเสียน้ำตามากกว่าค่ะ 555
คือ ถ้ามิสาติดเต้าอะไรแบบนี้
กิ๊กยินดีให้นมแม่ไปจนถึง 2 ขวบได้เลยนะ
เพราะนมก็ยังมีอ่ะ (ถึงจะหมด ก็กู้ได้)
แต่เพราะมิสา ไม่กิน ไม่ติดเต้าอะไร แถมอยากเลิกเองอีก
แม่มันก็ต้องเลิกให้ไปโดยปริยายน่ะสิ...เฮ้อออ




และหลังจากที่มิสาไม่กินเต้าแล้ว
นมแม่ในตู้ที่เหลือทั้งหมด ก็หมดความหมายค่ะ
เพราะกิ๊กให้นมผงแล้วด้วย นม stock ก็แทบไม่ได้กินอยู่แล้ว
จริงๆ ไม่ได้ใช้นม stock ตั้งแต่ 1.4 ขวบ เริ่มๆทิ้งถุงที่นานกว่า 6 เดือนไปแล้ว
สรุป นมที่เหลืออยู่ น่าจะเป็น 100 กว่าถุงได้
ก็ทิ้งยกตู้ค่ะ
เพราะว่ามันหมดอายุด้วย
สุดแสนเสียดาย
กว่าจะเค้นมาได้...
แต่ก็นะ ลูกเราไม่กินอ่ะ ทำไงได้


ก็เป็นอันว่า มิสาเลิกนมแม่โดยสมบูรณ์ตอน 1 ขวบ 7 เดือนค่ะ
เอาน่า ก็ถือว่าประสบความสำเร็จในระดับนึงล่ะนะ
เอาไว้ให้มีน้องให้มิสาก่อน
ดูสิว่า เห็นน้องดูดนมแม่ จะอยากดูดบ้างมั้ย 555



Create Date : 11 กุมภาพันธ์ 2555
Last Update : 11 กุมภาพันธ์ 2555 21:45:15 น.
Counter : 2954 Pageviews.

1 comment
เมื่อเด็ก 1 ขวบ 7 เดือน..in the mode of " หาแม่ก่อนๆๆๆๆ "



เกือบจะน้อยใจมิสาอยู่แล้วเชียว
ที่หลังจากมีพี่เลี้ยง (เต็มตัว) แม่ก็แทบจะหมดความหมาย
ยิ่งมิสาเลิกนม(เต้า)มื้อก่อนนอนด้วย
ทีนี้ เลยไม่เหลือความสำคัญให้แม่เลย
กำลังบ่นๆกับพี่หยี่อยู่ถึงเรื่องคิดถูกหรือผิดที่มีพี่เลี้ยง
(แต่ยังไงก็ไม่มีทางเลือกอื่น)
อยู่ดีๆ มิสาก็เข้าสู่โหมด..."หาแม่ก่อน หาแม่ก่อน หาแม่ก่อน"
ไม่ให้แม่เสียเวลาต้องน้อยใจเลยยย 5555





กิ๊กไม่แน่ใจในเหตุการณ์ที่ทำให้อยู่ดีๆ มิสาก็ติดกิ๊กเป็นตังเม
แต่ถ้าเดาไม่ผิด น่าจะเกิดจากตอนที่กิ๊กพามิสาไป kido
ในครั้งสุดท้ายของการทดลองเรียน (น่าจะเป็นครั้งที่ 3)
ซึ่งกิ๊กยอมสละเงินในกระเป๋าสมัคร member เตรียมตัวให้มิสาเข้าเนิร์ส
เพราะคิดว่า มิสาสามารถเข้ากับคุณครูที่นี่ได้บ้างแล้ว
(หลงดีใจ ที่คิดว่าลูกปรับตัวได้แล้ว
ใครตามไม่ทัน กลับไปอ่านตอน "เด็กห้ามอุ้ม" ได้ค่ะ)
ในวันนั้น กิ๊กชะล่าใจ ปล่อยมิสาเล่นอยู่กับคุณครูพี่เลี้ยง
แล้วก็เดินออกมาจ่ายตังค์ เมาท์กับคุณครู reception อยู่ประมาณ 10 นาทีไม่เกิน
ก็ได้ยินเสียงเด็กร้องไห้...คิดในใจ มิสาแน่ๆ 555
แต่ไหนๆ ก็ไหนๆ ...ร้องไปแล้วนี่ กิ๊กเลยไปเข้าห้องน้ำ
รวมเบ็ดเสร็จ น่าจะประมาณ 15 นาที ที่ทิ้งมิสาไว้ โดยไม่มีแม่
และแล้วการอยู่เนิร์สฯทั้งครึ่งวันของมิสา
ก็เปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ

จากที่ปกติให้คุณครูอุ้มเล่นนู่นนี่
ก็กอดติดแม่แจ
ครูจับตัวก็ไม่ยอม ร้องไห้อย่างเดียว
ทุกทีเดินไปล้างมือกับครูได้
คราวนี้ก็ไม่ยอมไป
ต้องแม่ไปด้วย
เล่นๆกับครูซักพัก ก็วิ่งกลับมากอดแม่
แล้วก็เกาะติดแม่แจ ไม่ไปเล่นกะใคร
คือ อาการแย่ซะยิ่งกว่ามาเรียนครั้งแรกเลยซะอีกอ่ะ
ทำเอากิ๊กงงไปเลย
(ทำไมอาการนี้ ไม่แสดงออกมาก่อน แม่จะได้ไม่ต้องเสียเงิน !!!)



++ Misa loves Gymboree ka ++


แล้วหลังจากวันนั้นเป็นต้นมา
พอไป kido ครั้งต่อมา..แค่ก้าวเข้าหน้ารร. ก็ร้องแล้ว ไม่ยอมเข้า
(ซึ่งปกติไม่ใช่เลย มิสาจะชอบมาเล่นที่นี่)
หรือแม้แต่ ชิจิดะ...
แค่ก้าวเข้ารร.ก็เหมือนกัน ร้องไห้ (แต่ไม่มีน้ำตา)
ครูจับถอดรองเท้า ก็ไม่ได้ ต้องให้แม่ถอด..เฮ้ออ

ซึ่งไอ้อาการติดแม่มาก ไม่ได้เป็นแค่เวลาไปรร.
แต่เวลาอยู่ที่บ้านก็ตาม
มิสาก็จะติดแม่มากกกกก
อะไร อะไร ก็ "หาแม่ก่อนๆ"พี่ขวัญก็เอาไม่อยู่
ทำอะไรทุกอย่าง แม่ต้องอยู่ใกล้ๆ
กินนม กินข้าว แม่ต้องอยู่ด้วย
นั่งกินนม ก็ต้องจับมือแม่
แม่ต้องอยู่ในสายตา
แม่ห้ามหนีเข้าห้อง
แม่ไปถ่ายหนัก ถ่ายเบา...ชีจะตามหมด
แม่อาบน้ำ ก็ไปด้วย



++ แม้แต่กินนม ก็ต้องให้แม่ไปยืนข้างๆ แต่แม่ป้อนก็ไม่เอานะ ++


แล้วพอดีช่วงนี้ ก็เป็นช่วงที่คุณตาของกิ๊กป่วย
คุณแม่กิ๊ก เค้าก็เลยไม่ค่อยได้มา
กิ๊กก็ต้องหนีบมิสาไปทุกที่
ไปรร.ก็เอาไปด้วย
มิสาก็เลยยิ่งติดแม่
แม่ก็ขึ้น chart อันดับ 1 ไปเลย
ทิ้งห่างคู่ต่อสู้ พี่ขวัญ คุณยาย และพ่อหยี่
(ซึ่งรายนี้ ก็พยายามไต่อันดับน่าดู
ตอนแรก ช่วงที่กิ๊กบ่นน้อยใจมิสา พี่หยี่ก็ว่าเค้าเกือบทำสำเร็จแล้ว
แต่พอมาโหมดนี้ พี่หยี่ก็ถอดใจ หมดสิทธิ์ไต่อันดับ 555)


กิ๊กไม่แน่ใจว่า การที่มิสาติดแม่มากๆ ในช่วงเดือนนี้ (อายุนี้)
เป็นเพราะวัยของเค้าด้วยรึป่าว
หรือเป็นเพราะ เหตุการณ์ที่กิ๊กทิ้งเค้าในวันนั้น
(คือ แอบสังหรณ์ใจอยู่ แต่ก็ไม่แน่ใจ เพราะมันก็แค่ครั้งนั้นครั้งเดียว
ไม่คิดว่ามันจะ tragidy สำหรับเค้าขนาดนั้น)

และถ้าเป็นเพราะทิ้งจริง
เค้าก้น่าจะเป็นเฉพาะกับที่ kido
แต่ทำไมต้องเป็นมาถึงที่บ้าน


หลังจากลองไป kido กับชิจิดะ 2-3 ครั้งถัดมา
แล้วมิสา ก็ไม่ดีขึ้น
(คือ ดีขึ้น แต่เหมือนแม่กลับไปเริ่มต้นใหม่ เสมือนพามาครั้งแรก
และไล่ไปครั้งที่ 2 ครั้งที่ 3 แต่ไม่เหมือนมาครั้งที่ 5 - 6 - 7
นึกออกมั้ยคะ ?)

กิ๊กเลยลองคุยกับมิสาดู
(มิสาเป็นเด็กที่ ถ้าคุยกับเค้า เค้าจะเข้าใจนะ รู้เรื่องหมด)

แม่ : มิสา ไปคิโด้คราวนี้ แม่อยู่กับสานะคะ สาไม่ต้องกลัวนะ

มิสา : ชี้ที่ตัวเอง แล้วบอกว่า...แม่อยู่กับสา

แล้วตลอดที่ขับรถไป kido
กิ๊กก็จะบอกมิสาตลอดว่า ไม่ต้องกลัวนะ ไม่ร้องไห้นะ
แม่อยู่กับสาตลอดนะคะ

พอไปถึง...มิสาก็ไม่ร้องไห้จริงๆอ่ะ
เล่นได้อะไรปกติ...แต่ยังคงไม่ยอมให้ครูจับ (ก็ไม่ว่ากัน เพราะชีเป็นงี้แต่แรกแล้ว)


พอผ่านครั้งนี้ไปได้ กิ๊กก็ยังไม่ได้เอะใจอะไร
จนวันศุกร์ มีเรียนที่ชิจิดะ (kido เรียนวันอังคาร)
พอแต่งตัวเสร็จ มิสาก็พูดว่า "ไม่กลัว ไม่กลัว...แม่อยู่สา"

ตอนแรกฟังไม่รู้เรื่อง แม่อยู่สาๆๆ คืออะไรฟระ 555
แต่พอจะออกจะบ้าน มิสาก็พูดอีก "ไม่กลัว ไม่กลัว แม่อยู่สา"
แล้วก็ชี้ที่ตัวเอง...

อิแม่เลยเพิ่งถึงบางอ้อ...
เพราะเรากะลังจะไปรร.กัน
แล้วมิสาก็บอกว่า เค้าไม่กลัว เพราะแม่จะอยู่กับเค้าด้วย

นาทีนั้น น้ำตาจะไหล
เลยรู้แล้วว่า ที่มิสาเค้ากลัวๆ ติดแม่มากกก
เป็นเพราะเหตุการณ์วันนั้นที่กิ๊กทิ้งเค้าแน่ๆ
เพราะพอกิ๊กบอกว่า กิ๊กจะอยู่กับเค้าด้วย
เค้าก็ไม่กลัว ไม่ร้องไห้...
และเด็กอะนะ...เค้าก้จะพูดเรื่อยๆของเค้า





สรุป ก็เลยรู้แล้วว่า เพราะเราทิ้งเค้าจริงๆ
และกิ๊กก็ตัดสินใจแล้วว่า จะไม่ทิ้งเค้าไว้แบบนี้อีก
โปรเจค เนิร์สเซอรี่ ก็พับเก็บไปเลย 555
คือ มันไม่เชิงว่า ใจไม่แข็งนะ
แต่กิ๊กรู้สึกว่า เราไม่ได้มีความจำเป็นขนาดนั้น
กิ๊กไม่อยากสร้างบาดแผลในวัยเด็กให้มิสาอ่ะ
คือ เราต้องรู้ว่าลูกเราเป็นยังไง
ไอ้นิสัย "ไม่อยู่กับคนอื่น" เนี่ย
ลูกเราก็เป็นมาแต่ไหนแต่ไร
การทิ้งเค้าไว้โดยไม่มีแม่ ไม่มีคนรู้จัก
เด็กคนอื่น อาจจะรู้สึก "ไม่มาก" เท่านี้
แต่มิสา ก็คือ มิสาอ่ะ
ลูกเราก็เป็นแบบนี้แหละ 5555


แต่ถึงแม้ อาการเวลาไปเรียนจะดีขึ้น
แต่เวลาอยู่บ้าน มิสาก็สติวติดแม่เหมียนเดิม
ยังคอยพูด "หาแม่ก่อน หาแม่ก่อน" ตลอดเวลา
อันนี้ยังไม่รู้จะแก้ยังไงเลยนะเนี่ย 555

เอาเป็นว่า พัฒนาการสั้นๆ ของเด็กขวบ 7 เดือน
แม่ยกให้เป็น "เดือนแห่งการติดแม่" แล้วกันนะลูก 555
แม้จะเหนื่อยเหลือแสน...
แต่แม่ก็ดีใจที่ช่วงชีวิตนึงของมิสา "ติดแม่" ขนาดนี้
เป็น 1 เดือนที่ได้ใช้เวลากับลูกอย่างเต็มที่จริงๆ 555

(โตขึ้น หนูก็คงไม่ติดแม่อย่างงี้แล้วแหละ
มีแต่จะหนีแม่ 555)

กับพัฒนาการอีกอย่าง
มิสานอนยาวเรียบร้อยแล้วนะคะ 100% เต็ม
(จริงๆนอนตั้งกะ 1.6 ขวบ แต่บางคืนยังมีตื่นบ้าง)
แล้วก็ เลิกนมแม่เด็ดขาด
ส่วนสาเหตุที่ทำให้เลิก เรียกว่า น้ำตาไหลกันไปข้าง
จะเป็นไง ติดตามตอนต่อไปนะคะ อิอิ










Create Date : 13 กันยายน 2554
Last Update : 14 กันยายน 2554 14:06:49 น.
Counter : 2814 Pageviews.

4 comment
มิสา 1 ขวบ 6 เดือน กับ Class แรก @ ชิจิดะ (Shichida) (8/7/11)
เนื่องจากกิ๊กรู้สึกว่า คลาสเรียนจิมโบรีของมิสา
เริ่มกลายเป็นการเรียนที่มีข้อจำกัด
นั่นคือ กิ๊กรู้สึกว่า มันฝึกแต่ทางด้าน physical ของเด็กมากกว่า
แต่มิสาเริ่มเข้า 1 ขวบครึ่งแล้ว
กิ๊กอยากจะให้เค้าได้ฝึกฝน พัฒนาศักยภาพที่มากกว่าแค่ทางกายภาพ
ซึ่งก็ขอย้อนไปถึงตอน flashcard และ home school ด้วย
ว่ากิ๊กอยากจะดึงศักยภาพตรงนั้นของลูกออกมา
ช่วงก่อนหน้านี้ กิ๊กเลยตระเวนพามิสาไปทดลองเรียน
ตามสถาบันสำหรับเด็กเล็กหลายๆแห่ง
รวมทั้งพาไปตามเนิร์สเซอรี่ด้วย
เพราะอยากฝึกการเข้ากับคนอื่นของมิสา


หลังจากได้ไปทดลองเรียน และสอบถามมาหลายๆแห่ง
กิ๊กรู้สึกว่า มีสถาบันสำหรับเด็กเล็กมากมาย ที่อ้างว่า
เน้นการพัฒนาสมองทั้ง 2 ซีก คือ ทั้งซีกซ้ายและซีกขวา
แต่ในความเห็นส่วนตัวของกิ๊กแล้ว
กิ๊กก็รู้สึกว่า ชิจิดะนี่แหละ ที่เหมาะสมกับคำกล่าวอ้างนี้มากที่สุด
ซึ่งจริงๆแล้วกิ๊กและพี่หยี่ ไม่ได้อยากจะเน้นสมองซีกซ้ายของลูกเท่าไร่หรอก
เราให้ความสำคัญกับสมองซีกขวา (อีคิว)มากกว่า
(ซึ่งเป็นเหตุผลที่เราเลือกรร.แนวทางเลือกให้กับลูก)
แต่อย่างที่กิ๊กเคยเขียนบล็อกตอน flashcard ไป
กิ๊กรู้สึกว่า เด็กเล็กๆเค้ามีศักยภาพเยอะจริงๆ
และเราก็อยากดึงตรงนั้นของลูกออกมา (ประมาณว่า ถ้ามี ก็ควรได้ใช้ )
เลยเป็นที่มาว่า ทำไมเราถึงยอมเน้นสมองซีกขวา ด้วยการสอนแนววิชาการให้กับมิสาด้วย


อีกเหตุผลนึงที่เลือกชิจิดะ เพราะกิ๊กรู้สึกว่า เป็นระบบการสอนที่มีการค้นคว้า
(อันนี้ต้องลองไปเรียนแล้วจะเข้าใจนะ อิอิ)
เพราะ การเรียนในหลายสถาบัน(เด็กเล็ก) ที่กิ๊กรู้สึกว่า เออ ทำเองที่บ้านก็ได้อ่ะ
เช่น สมองซีกขวา – สอน ABC แล้ว ในคลาส ครูก็มานั่งชี้ตัว ABC
เออ..ง่ายอ่ะ วิธีการสอนแบบนี้ เราก็ทำได้...คิดเองได้ 555
หรือ สมองซีกซ้าย – ด้านศิลปะ ก็ให้เด็กเอาสีมาละเลง
ก็เป็นอะไรที่เล่นกันที่บ้านได้อยู่แล้ว (จะเสียตังค์เรียนทำไม ?)
คือเป็นหลักสูตรที่แม่ๆอย่างเราๆ ก็รู้กันอยู่
สอนกันอยู่เองที่บ้านอยู่แล้ว

ซึ่งในความคิดกิ๊กนะ

ถาบันเหล่านี้ แค่คุณพ่อคุณแม่พาลูกไปทดลองเรียนก็พอค่ะ
ก็รู้แล้ว ว่าเค้าสอนอะไรยังไง ก็เอามาปรับทำเองที่บ้าน
(ยกเว้นว่าอยากให้ลูกมีสังคม ก็อีกเรื่อง)
แล้วพอบอกว่า ต้องพัฒนาทั้ง 2 ซีก
ก็เลยเอามายำๆๆๆรวมกันอยู่ในคลาส 1 ชม.
แล้วบอกว่า พัฒนาสมองทั้ง 2 ซีกแล้ว
สถาบันแบบนี้ กิ๊กไม่ปลื้มค่ะ


แต่ชิจิดะไม่ได้เป็นเช่นนั้นค่ะ
ทั้ง 50 นาที อัดแน่นไปด้วยการสอนแบบคุณภาพ
จริงๆ ออกแนวอัดแน่นเกินไปด้วยซ้ำ เพราะได้อย่างละนิดละหน่อย
แต่ที่ชอบ คือ เป็นการสอนที่คนเป็นแม่อย่างเราก็ได้ความรู้ใหม่ๆกลับไปสอนลูกที่บ้าน
เพราะชิจิดะ จะเน้นเสมอว่าให้ เอากลับไปสอนเด็กที่บ้านด้วยทุกวัน
(ทุกสัปดาห์จะมีการบ้านมาให้)
คือ มันจะมีบางอย่างที่พอเค้าสอน แล้วเราจะสงสัยว่า สอนเพื่ออะไร
ก็จะถามคุณครูว่า ตัวนี้มีประโยชน์อะไรคะ แบบนี้
ซึ่งพอได้คำอธิบาย ก็จะ เออ เป็นอะไรที่เรานึกไม่ถึงนะ เราคิดเองไม่ได้
เพราะการสอนของเค้า มันผ่านการศึกษา ค้นคว้ามา
พอได้ทดลองเรียนครั้งแรก กิ๊กก็บอกตัวเองเลยว่า จะสมัครล่ะ !



++ ในห้องเค้าจะให้เด็กนั่งแบบโต๊ะนักเรียนเลย ++


ทั้งๆที่คลาสแรก จะบอกว่า มิสาไม่ได้อยู่นิ่งๆ มีสมาธิในการเรียนเลยนะ
ชีนั่งได้ไม่ถึง 5 นาที ก็ลุกเดินเล่นอีกล่ะ
ไปค้นกระเป๋าแม่ เดี๋ยวเอามือถือแม่ไปเล่น
แย่สุด คือ ครึ่งชม.หลัง มิสาได้ทิชชูจากคุณครู เค้าให้ไว้เช็ดมือ
แต่มิสาเอาไปเช็ดโต๊ะ แล้วก็เดินเช็ดไปรอบห้อง
(คลาสมัน 50 นาที ชีเล่นทิชชูไปซะ 30 นาที แล้วที่เหลือ จะได้อะไรมั้ย ?!?)
แถมเวลาครูโชว์ flashcard มิสาจะเดินหนีทุกครั้งไป (แบบเซ็งสุด)
แล้วในคลาส เวลาครูเค้าเทสต์ความจำอะไรต่างๆ
มิสาก็ไม่ได้จำได้เลย...ไม่ใช่แบบ โห ! ทำไมลูกเราเก่งจัง งั้นสมัครดีกว่า อะไรแบบนี้ ไม่ใช่เลยนะ 555



++ ทิชชูเจ้ากรรม ทำเสียสมาธิไปครึ่งชม. ++



กิ๊กคิดว่า ถ้าเป็นคนอื่น เจอสถานการณ์แบบนี้
คงไม่สมัคร ไม่เสียเงินเป็นหมื่นๆแน่อ่ะ
(ไม่เหมือนตอนจิมโบรี ที่แบบมิสา happy มาก จนเราต้องยอมสมัครอะไรแบบนี้)
แต่ทำไมกิ๊กถึงสมัครเหรอคะ
เอาเป็นว่า กิ๊กอยากทดลองมากกว่า
อยากรู้ว่า ไอ้ที่คนญี่ปุ่นเค้าคิดค้นกันมา 30 ปี มันจะดึงศักยภาพของลูกเราออกมาได้จริงมั้ย
หลังการเรียน 12 ครั้ง มันจะมีอะไรเปลี่ยนไปมั้ย
มิสาจะมีสมาธิการเรียนดีขึ้นมั้ย
ซึ่งกิ๊กเองไม่ได้คิดว่า มันดีทั้งหมด ถูกทั้งหมด หรือเหมาะกับลูกเราทั้งหมดนะ
แต่อย่างที่บอก ทดลองค่ะ ทดลอง...
และอีกอย่าง....อันนี้สำคัญ...เพราะพี่หยี่เค้าค่อนข้างมีความเชื่อมั่นกับระบบของคนญี่ปุ่น
อันนี้ความคิดเห็นส่วนตัวเลยนะคะ
เค้าไม่ค่อยชอบระบบของทางฝั่งอเมริกา หรือ ยุโรปเท่าไร่
ไม่เหมือนกับกิ๊ก กิ๊กชอบอเมกา (คงเพราะตัวเองจบอเมกา 555)
แต่พอพี่หยี่เค้ามีความเชื่อมั่น เราก็เลยเชื่อมั่นตาม 555
เชื่อมั่นว่า สิ่งที่เค้าคิดค้นมา อย่างน้อยมันก็น่าจะให้อะไรกับลูกเราบ้าง


อ้อ ! เล่าเพิ่มอีกนิด
กิ๊กพามิสาไปเรียนที่สาขาเจริญนครค่ะ
ซึ่งรร.เค้าเพิ่งเปิดเดือนมิ.ย. 54 นี้เอง
ตอนแรกที่ไป ไม่มีคลาสไหนที่มีเด็กอายุเท่ากับมิสาเรียนเลย
(เค้าเน้นพัฒนาสมอง เพราะฉะนั้นเด็กในห้องต้องอายุใกล้เคียงกันมากๆ)
คุณครูเค้าบอกว่า เรียนเดี่ยวก็ได้
แต่กิ๊กอยากให้มิสาได้เรียนกับเพื่อนบ้าง จะได้ได้สังคมด้วย
กิ๊กเลยลงชื่อจองไว้ ตอนนั้นมิสา 1.5 ขวบ
แต่รอมาเกือบเดือน ก็ยังไม่มีคลาสซะที
จนมิสาขวบครึ่งแล้วเนี่ย กิ๊กกลัวจะช้าเกินไป
เลยตัดสินใจให้มิสาเรียนเดี่ยวก็ได้
ซึ่งพอได้เรียนดู ก็รู้เลยว่า การเรียนแบบนี้เหมาะกับการเรียนเดี่ยวมากค่ะ
เพราะมันต้องอาศัยสมาธิ ถ้าเด็กเยอะ แล้วเด็กคนอื่นเค้าวิ่งเล่น
มันจะพากันเสียไปทั้งขบวนได้เลยนะ (หรือมิสาอาจจะเป็นตัวนำเสียขบวน 55)
ตอนนี้มิสาก็ได้เรียนเดี่ยวอยู่ แต่ไม่รู้ว่าจะมีเพื่อนร่วมคลาสเมื่อไร่
ก็ต้องดูกันต่อไป...


ก็เอาเป็นว่า ไว้มิสาเรียนจบคอร์สเมื่อไร่
กิ๊กจะมาอัพเดทอีกทีนะคะ ว่าผลเป็นยังไงบ้างนะคะ ^^


ปล. อัพเดท กิ๊กให้มิสา เลิกเรียนชิจิดะ ไปเมื่ออายุ 3 ขวบ เข้าอ.1 ที่รร.รุ่งอรุณนะคะ เนื่องจากว่า การเรียนแบบนี้ไม่สอดคล้องกับรร.อนุบาลที่มิสาเรียนอยู่ค่ะ ^_^



Create Date : 03 สิงหาคม 2554
Last Update : 5 กรกฎาคม 2558 10:08:55 น.
Counter : 16657 Pageviews.

17 comment
มิสา..."เด็กห้ามอุ้ม"



ตั้งแต่เด็กๆมา บุคลิกนึงที่โดดเด่นของมิสาเลย
คือ มิสาเป็นเด็กที่ไม่ยอมให้คนอื่นจับตัว ไม่ยอมให้อุ้ม
และไม่ยอมอยู่กับอื่นที่ไม่ใช่คนในครอบครัว

พฤติกรรมแรกที่เราสังเกตกันได้..เริ่มตอน 3 เดือน
ที่มิสาไม่ยอมให้คนอื่นอุ้ม มีแต่แม่เท่านั้นที่อุ้มได้
หลังจากแม่ ถัดไปก็เป็นคุณยาย และพ่อ
ตอนแรกนึกว่าเป็น พฤติกรรมของเด็กที่เริ่มจำหน้าแม่ได้
(แบบที่คนโบราณเค้าว่ากัน)
แต่ไปอ่านเจอในหนังสือ เค้าบอกว่าไม่ใช่
เด็กที่ไม่ยอมให้อุ้ม โตขึ้นเค้าก็ไม่ยอมอยู่ดี
ประมาณว่า กลายเป็นเด็กเข้ากับคนยาก

กิ๊กก็เฝ้ารอแล้วรอเล่า เผื่อว่ามันจะดีขึ้นเมื่อมิสาค่อยๆโตขึ้น
แต่มันก็ไม่ดีขึ้นจริงๆ..
อันที่จริงๆ มิสาก็ไม่ถึงกับว่า เข้ากับคนยาก
อย่างเวลาไปห้าง ไปเจอพนักงานขาย มิสาก็จะยิ้ม หัวเราะกับเค้าได้นะ
(ยิ่งเป็นคนสาวๆสวยๆ เธอจะยิ่งชอบ 555)
แต่คือ ถูกตัวไม่ได้ อุ้มไม่ได้...

กับญาติๆก็เถอะ..
ทั้งคุณพ่อกิ๊ก น้องสาวกิ๊ก ก็ยังอุ้มไม่ได้อ่ะ
(เค้านานๆเจอกันที แล้วยิ่งพอ ถ้ามาหามิสา แล้วไม่ให้อุ้ม อุ้มก็ร้อง
คุณพ่อกิ๊กเค้าก็จะยิ่งไม่อยากมา เพราะมาแล้วหลานเห็นแล้วร้อง
เลยกลายเป็นยิ่งห่างไป)
กิ๊กเริ่มโดนประนามหยามเหยียดจากญาติๆ 555
บอกว่า เลี้ยงลูกอยู่แต่กับบ้าน ไม่เจอใคร ก็เลยกลัวคน
ต้องพามาให้เจอคนเยอะๆหน่อย
(แต่จริงๆ ป่าวเลยนะ คือ พาไปห้าง ไปต่างจว.เยอะแยะ
แต่คุณเธอเป็นแบบนี้เอง)

กิ๊กก็เลยคิดจะพามิสาไปจิมโบรี ตอน 7 เดือน
แต่พอดีช่วงนั้นมีไข้หวัดใหญ่ระบาดหรือไงนี่แหละ
ก็ไม่กล้าพาไป จวบจนได้ประมาณ 9 เดือน ก็พาไปทดลองเรียนอีกรอบ
ตอนแรก นึกว่า มิสาจะร้องไห้ เพราะเค้าบอกว่า เด็กมาครั้งแรก ส่วนใหญ่จะร้อง
(และยิ่งมิสาเอง ก็ธรรมดาซะทีไหน เหอ เหอ)
แต่ปรากฏ มิสาไม่ร้องเลย happy มีความสุข
เลยได้สมัครเรียน เสียเงินไปตามระเบียบ

มีข้อสังเกตว่า มิสาจะสามารถอยู่กับเด็กๆด้วยกันได้ ไม่กลัว
แต่ถ้าคุณครูเค้ามาจับตัว ทำกิจกรรมปีนป่ายตามฐานต่าง ก็จะร้องไห้
คือ เล่นได้ คุยได้ มองหน้าได้ แต่ "ห้ามจับ"


จริงๆ กิ๊กก็พอจะรู้นิสัยลูกนะ แต่ก็ยังปลอบใจตัวเอง
เผื่อว่าโตขึ้นแล้วจะดีขึ้น
แต่จนเต็มขวบก็แล้ว มิสาก็ยังคง concept เดิม
คือ เล่นได้ คุยได้ แต่ "ห้ามจับ" "ห้ามอุ้ม" ไม่งั้นจะร้องทันที
ทั้งๆที่มิสาเป็นเด็กที่ activity เยอะนะ
ไม่ใช่เลี้ยงอยู่แต่กับบ้าน เพราะแม่มันอยู่ไม่สุกอ่ะ
แต่เนื่องจาก กิ๊กไม่ค่อยได้เจอเด็กคนอื่น
ก็เลยไม่รู้ว่าเด็กคนอื่นเค้าเป็นยังไงกัน


จนกระทั่งกิ๊กลาออกจากงาน
และงานใหม่เริ่มอยู่ตัว
กิ๊กก็เริ่มมีเวลาให้มิสาอย่างจริงจัง
ก็เลยพาเดินสาย ไปทดลองเรียนนู่นนี่เยอะแยะไปหมด
ซึ่งการพาไปทดลองเรียนนี่เอง
ทำให้รู้เลยว่า ลูกเราไม่เหมือนเด็กคนอื่นจริงๆ
เพราะเด็กคนอื่น เวลาไปเรียน ครูเค้าจะจับ จะถูกตัว จะอุ้มมานั่งตักอะไรก็ได้หมด
แต่มิสานี่ไม่ได้เลย อย่างเล่นไม้ลื่น พอครูเค้ามาช่วยก็ร้องไห้
เวลานั่งล้อมวง ครูเล่นด้วย ก็เล่นนะ แต่พอจับมานั่งตัก ก็ร้องไห้
คือ เรียกว่า ดูแล้วรู้สึก "ไม่ธรรมดา" อ่ะ


เลยรู้สึกกลุ้มมากเลย
และเริ่มตระหนักว่า เราต้องทำอะไรจริงจังเพื่อแก้ปัญหานี้ซะแล้ว
ทำยังไงดีคะๆๆๆๆๆๆ
เฮ้อ...



Create Date : 03 สิงหาคม 2554
Last Update : 16 สิงหาคม 2554 10:44:46 น.
Counter : 2956 Pageviews.

4 comment
เริ่มต้นทำ home school แบบบ้านๆ ให้เด็ก 1 ขวบ 5 เดือน


หลังจากสับสนอยู่นานว่าควรจะสอนอะไรมิสาดี
เพื่อไม่ให้ไปขัดกับรร.อนุบาลแนวเตรียมความพร้อมที่เลือกให้มิสา
(ตามที่เคยเขียนไปในตอน flashcard)
เพียรโทรไปถามตามรร.อนุบาลต่างๆ ก็ไม่ได้คำตอบ
กิ๊กก็เลยรีๆรอๆ เพราะคิดไม่ตกอยู่
จะสอน ไม่สอน สอน ไม่สอน
เสียเวลาไป 2 เดือน เพิ่งจะมารู้สึกตัวว่า
จะสอนอะไรก็สอนเถอะ เสียเวลาลูก
เลยคิดว่า เอาวะ...
เราทำ home school แบบบ้านๆของเราเนี่ยแหละ 555
หลักการไม่ได้มีอะไรมาก
ก็เราเป็นแม่นี่เนอะ
ยังไงซะ ...home school ของกิ๊ก
ก็ต้องเหมาะกะมิสาที่สุดอยู่แล้ว 555


ย้ำว่า home school แบบบ้านๆจริงๆเลยนะคะ
คือ เรียกขำๆ ไปงั้นแหละว่า home school
แต่จริงๆ ก็คือ ตั้งใจจะสอนอะไรเค้าเล็กๆน้อยๆ
เพื่อฝึกฝนและดึงศักยภาพของเค้าเท่านั้น

(ถ้าจะทำ home school จริงๆ กรุณาอย่าเอาเป็นแบบอย่างนะคะ 555)


ได้อ่านกระทู้ของคุณหน่อย เกี่ยวกับเรื่อง ทำ home school (แบบจริงจัง)
ก็คิดว่า เราคงไม่ได้ทำขนาดนั้นแน่
เพราะก็ไม่ใช่ full time mom ด้วย
แต่ก็ได้ไอเดียอะไรหลายๆอย่างมาเริ่มต้น
อย่างนึงเลยที่คุณหน่อยแนะนำ
ก็คือ ต้องมีพื้นที่สำหรับทำเป็น home school อย่างชัดเจน
โดยให้แยกออกจากมุมที่เค้าใช้เล่นปกติ
เค้าจะได้รู้ว่าเขตนี้ คือ โรงเรียนย่อมๆของเค้านะ


พูดถึงมุม home school ...
งานนี้กิ๊กมีพึ่งไสยศาสตร์เล็กน้อย 555
(เพราะมัวแต่เลือกมุมอยู่นี่แหละ เลยเสียเวลาไปเยอะเหมือนกัน)
เพราะว่า กิ๊กถึงกับไปเรียกหมอดูฮวงจุ้ย มาดูกันเลยทีเดียว 555
(ดูห้องมิสา ที่นอนมิสาอะไรไปด้วย)
พอหมอดูบอกว่า มุมนี้โอเค ก็เลยได้จัด อิอิ


โดยกิ๊กได้กำหนดเวลา home school ของมิสาไว้ด้วย
คือ เวลา 9 โมง ของทุกวันที่แม่ไปสายได้ 555
(เว้นเสาร์-อาทิตย์ เพราะแม่ต้องไปทำงานเช้า รร.เปิด 9 โมง)
เค้าจะอยู่ได้ 15 นาที หรือ 30 นาที ก็แล้วแต่เค้า
แต่ที่ต้องมีการกำหนดเวลา
เพราะรู้สึกว่า ถ้าเราไม่กำหนดตายตัว
มันจะเหมือน นึกอยากจะสอนก็สอน ว่างก็สอน ไม่ว่างก็สอนอะไรแบบนี้
(คือ ฝึกวินัยของแม่มันไปด้วย)
ซึ่งพอเรากำหนดเวลาไว้
ทำไปไม่นาน มิสาเค้าก็จะมีวินัยด้วยเหมือนกัน
เค้าจะรู้เวลาเลย
พอกินข้าวเช้าเสร็จ เค้าก็จะมาที่มุมนี้ โดยที่ไม่ต้องบอก
หรือพอบอกเค้า โฮมสคูล...เค้าก็จะมาตรงนี้เหมือนกัน
ปากก็จะออกเสียงว่า "คูล คูล" 555


เนื่องจากมิสายังแค่ 1.5 เดือน
มุมนี้ ก็เลยยังมีแต่พวกของเล่นเสริมพัฒนาการต่างๆ
เพราะพวกเรื่อง กขค หรือ ABC ยังไม่ตกผลึกดีว่าควรจะสอนรึป่าว
เลยคิดว่า เอาพวกของเล่นประมาณนี้ไปก่อนดีกว่า
(บอกแล้วว่า จริงๆไม่ได้เรียก home school หรอกค่ะ
เหมือนมุมฝึกเล่นของเล่นมากกว่า 555)


อ้อ พูดถึงของเล่น ก็ขอเสริมอีกหน่อยว่า
กิ๊กกับพี่หยี่มีแนวทางเหมือนกันเกี่ยวกับของเล่นของมิสา
คือ เราไม่เน้นที่จะซื้อพวกของเล่นให้มิสาเยอะๆ
ของเล่นจำพวกสีสัน สวยงาม เป็นพลาสติก กดปุ่ม มีไฟ ราคาแพงอะไรพวกนี้
จะไม่ได้แอ้มเงินเรา 555
แต่จะเน้นซื้อพวกของเล่น เสริมพัฒนาการด้านต่างๆของเค้ามากกว่า

(แต่ไม่นับตอนเด็กมากๆ ที่ของเล่นพวกนี้ก็ยังจำเป็นอยู่)
เพราะไม่มีความคิดในเชิง สร้างค่านิยม แบบวัตถุนิยมให้ลูก


เหมือนกับการหารร. เราก็จะหารร.แนวธรรมชาติ
คือ ถ้าเป็นห้องแอร์ มีของเล่นวางเรียงเป็นตับ
นี่ไม่ใช่สไตล์รร.ที่เราจะเลือกค่ะ


เอาล่ะ มาดูรูปมุม home school ของมิสาดีกว่า
ง่ายมากๆๆๆ 555
แค่เอาแผ่นรองคลานมาปู แล้วก็เอาของเล่นมาวางเรียง





มีรูปนักเรียนติดมาด้วยนะ
คือ แบบว่า ตอนถ่ายรูป ...กิ๊กบอกให้มิสาออกไปก่อน
ชีก็ไม่ยอมออกไปอ่ะ
สงสัยจะรักรร.มากน่ะค่ะ 555


ส่วนของเล่น ก็ประกอบไปด้วย


Stacking rings
ตัวนี้มิสาเล่นเป็นตั้งแต่ 1.1 ขวบแล้ว
แต่ก็เอามาให้เล่นต่อ
สอนพวกสี ใหญ่ เล็ก อะไรพวกนี้ด้วย





บล๊อคหยอด
มี 2 แบบ ทั้งแบบเป็นไม้ ใช้เป็นรถลากด้วย
กับแบบพลาสติกธรรมดา
แล้วแปลกมาก...มิสาชอบเล่นอันที่เป็นกระป๋องพลาสติกเรียบๆมากกว่า








ขดลวดฝึกนิ้วมือ
อุตส่าห์ซื้อมาเพราะเค้าบอกว่า ไว้ฝึกการใช้นิ้วมือ
สำหรับเด็กอายุ 12 เดือนขึ้น
แต่ขอโทษคุณขา...ป่านฉะนี้มิสายังไม่เล่นเลยค่ะ
พี่หยี่ก็เคยถามกิ๊กว่า ไอ้นี่มันเล่นยังไง ไม่เห็นน่าสนุกเลย
มิน่า ลูกถึงไม่เล่น





ส่วนอันนี้ เรียกว่าอะไรไม่รู้
แต่สำหรับเด็ก 2+ แน่ะ
กิ๊กเอามาให้มิสาเล่นก่อน
ซึ่งมิสาก็ทำได้นะ เริ่มใส่ได้จากวงกลมก่อน (ง่ายสุด เพราะมีจุดเดียว)
แล้วก็ข้ามไปสี่เหลี่ยม
(แปลกมั้ย แต่ว่าสี่เหลี่ยมมันง่ายค่ะ เพราะไม่ต้องหมุนอะไรมาก ก็วางได้)
แล้วก็สามเหลี่ยม...
แต่ที่ยากคือ อันที่เป็น 2 จุด ไม่รู้ทำไม





บล๊อคไม้
ตัวนี้ทุ่มทุนมาก กล่องตั้งพันกว่าแน่ะ
คิดซะว่า ไว้เล่นในระยะยาว
เพราะจริงๆอยากได้เป็นบล๊อคสี่เหลี่ยมอย่างเดียว
คือ เค้าว่า บล๊อคไม้ มันจะฝึกในแง่ของมิติต่างๆอะไรแบบนี้ด้วย
แต่หาไม่ได้เลย (มันจะมีรูปร่างอย่างอื่นติดมาทั้งเซ็ต)
มีตัวนี้ที่มีสี่เหลี่ยมเยอะหน่อย สีเรียบๆ ไม่มีลวดลายอะไรให้ขัดใจ
ใช้เล่นได้ทุก theme ไม่ขัดขวางจินตนาการ อิอิ
และที่ตลก พี่หยี่ก็ลองเล่นแล้ว
บอกว่า ต่อมันส์ดี 555
แต่ตลกกว่า คือ มิสาไม่เล่น





คือ พยายามจะสอนเค้าต่อบล๊อคนะ
เพราะอ่านจากพัฒนาการเด็กควรทำได้แล้วไง
แต่มิสาไม่ต่อเลยอ่ะ พอเราต่อขึ้นไป ก็พังอย่างเดียว...เง้อออ


ถึงไม่ต่อ แต่อย่างน้อยบนฝามันก็เล่นเป็นบล๊อคหยอดได้
มิสาจะเล่นนิดหน่อย ก้ตรงนี้แหละ





ฆ้อนทุบ (เขียนงี้ป่าวหว่า)
มิสาก็ทุบๆโป๊กๆไปตามเรื่อง
แต่ที่ชอบกว่าทุบ คือ เวลาเอาลูกกลมๆ มาวางเรียงกันในบล๊อค 3 ลูก
ชีจะสนุกตรงนี้มากกว่า เพราะงั้นคนที่ทุบเลยจะเป็นแม่ 555





แป้งโดว์
จริงๆแป้งโดว์ก็สำหรับเด็ก 2+ นะ
แต่กิ๊กอ่านมาจากไหนซักแห่งก็ไม่รู้
เค้าบอกว่า เด็กที่ได้จับดินน้ำมัน (แป้งโดว์) ก่อน
จะทำให้เค้าฝึกกล้ามเนื้อมือได้ดี + ฝึกจินตนาการ และอะไรอีกหลายอย่าง
ก็เลยซื้อมาให้เล่นซะเลย
ราคาไม่แพงด้วย
ซึ่งเป็นอะไรที่มิสาชอบเล่นที่สุด
เค้าไม่ได้ปั้นหรอกค่ะ แต่ก็เอาช้อนมาตัก
ทำนู่นนี่ไปได้เรื่อยๆ
ซึ่งถ้าเรียนอยู่ แล้วมิสาเลือกแป้งโดว์มาเล่น
ก็เป็นอันรู้เลยว่า ไม่ต้องเล่นอย่างอื่นแล้ว
เพราะมิสาจะหมกมุ่นอยู่กับแป้งโดว์นี่แหละ
เป็นอันจบคลาสเรียนวันนั้นได้ 555





นอกจากพวกของเล่น
ก็มีเรื่อง ตัวเลข ที่กิ๊กคิดว่าน่าจะพอสอนได้
แบบไม่ขัดกับรร.เตรียมความพร้อมมากนัก
(เพราะถ้าไม่สอนเลข ก็ไม่รู้จะสอนอะไรแล้วเนี่ย ที่มันเป็นเรื่องเป็นราว 555)



หนังสือ Touch-and-learn books หมวด numbers ค่ะ
ตัวนี้กิ๊กได้ไอเดียจากตอนที่ไปอบรมกับคุณเก่ง Icyrose
เวลาสอนก็จะจับนิ้วมิสา ลากเส้นไปตามตัวเลข
ทำให้เค้ารู้จักตัวเลขเร็วขึ้น
(ใช้สัมผัสร่วมด้วย ไม่ใช่จำอย่างเดียว)
แต่ก่อนหน้านี้ พอมิสาพูดได้
กิ๊กก็มีหัดให้เค้านับเลขแล้วนะคะ
เพราะฉะนั้นมันก็จะควบคู่กันไป
นับปากเปล่าก็ได้ หรือเป็นตัวเลข ก็จะรู้จักเหมือนกัน





กับอีกอันที่ทำให้รู้จักตัวเลข
เป็นคล้ายๆแผ่นรองคลานที่เป็นตัวอักษรอ่ะค่ะ
แต่ของกิ๊กเป็นขนาดเล็ก (จริงๆใหญ่ก้ได้ แต่ตัวนี้จิ๊กพี่สาวพี่หยี่มา 55)
สามารถถอดตัวเลขเข้าออกได้
ก็สอนตัวเลข + กึ่งบล๊อคหยอดไปในตัว





ตัวนี้ได้ไอเดียจากตอนไปทดลองเรียนที่ baby genius
แต่มีเรื่องที่ประทับใจ คือ ตอนที่เอาตัวเลขใส่เข้าไป
ครูเค้าสอนให้ "tap tap tap" คือ สอนเป็นภาษาอังกฤษ
ซึ่งกิ๊กก็ไม่ได้แปลให้มิสาเค้าฟังหรอกว่า แปลว่า ตี
แต่ให้เค้ารู้ว่า แบบนี้ คือ tap tap นะ
(กิ๊กไม่เคยสอนภาษาอังกฤษให้ลูกค่ะ)
หลังจากนั้น พอกลับมาเล่นที่บ้านครั้งแรก
มิสาก็พูด tap tap tap เลย ..จำแม่นมาก
แถม พอจะเอามือไปตีที่อื่น มิสาก็พูดว่า tap tap ด้วย
คือ สามารถนำไปใช้ในสถานการณ์อื่นๆ ได้ถูกต้องด้วยอ่ะ
(ตอนแรกกิ๊กนึกว่า เค้าจำเอาว่า ถ้าเล่นกับเจ้านี่เท่านั้น ถึงใช้ tap tap อ่ะค่ะ
แต่จริงๆ คือ เค้าเข้าใจแล้วว่า tap tap คือ ตี)


จริงๆของเล่นอีกอย่างจะมี กระดานน้ำด้วยค่ะ
เอาไว้ให้เค้าหัดขีดเขียน
แต่ว่า มิสาทำปากกาพังไปแล้ว
เลยได้เอากระดานน้ำมาใช้เป็นแผ่นรองเวลาเล่นแป้งโดว์ 555
เพราะงั้นเวลาจะเล่นแป้งโดว์ มิสาจะไปหยิบกระดานน้ำมากางออก
(แต่กางเองไม่เป็นนะ เอามาให้แม่กาง)
ตอนนี้เลยว่าจะซื้อสีเมจิกที่ลบได้ง่ายๆมาให้เค้าแทน
เพราะมิสาเค้าชอบขีดๆเขียนๆอยู่เหมือนกัน


โดยเวลาเรียน กิ๊กจะถือหลัก Child center ค่ะ
(พูดซะหรู 555 เอากะเค้าบ้าง อิอิ)
คือ ให้มิสาเป็นคนเลือก ว่าเค้าจะเริ่มเล่นอะไรก่อน
เล่นเสร็จ เป็นอย่างๆ แล้วก็เอาไปเก็บ
ซึ่งอยากบอกว่า ตอนแรกๆ มิสาเป็นเด็กดีมาก
เล่นเสร็จ ก็เก็บทุกอย่างเรียบร้อย
เอาไปวางคืนที่เดิม ตำแหน่งเดิมด้วย
ถ้าไม่ที่เดิม มีเคือง
แต่ไปๆมาๆ ทำไมพัฒนาการถดถอยก็ไม่รู้
เล่นมั่วไปหมด เล่นอันนี้ยังไม่เสร็จดี ก็ไปหยิบอีกอย่าง
แถมเล่นเสร็จก็ไม่เก็บ
เล่นเอาคุณครูปวดหัวไมเกรนขึ้นเลย


ก็คงต้องค่อยๆสอนกันต่อไปเรื่อยๆ
ถอยไม่ได้ค่ะ 555


เอาไว้มีของเล่นอะไรเพิ่มเติม
เดี๋ยวจะเอามาอัพเดทใหม่นะคะ ...




Create Date : 19 กรกฎาคม 2554
Last Update : 19 กรกฎาคม 2554 9:15:56 น.
Counter : 28172 Pageviews.

4 comment
1  2  3  4  5  

Beauty & Bambi
Location :
กรุงเทพ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 36 คน [?]



ณ 31/1/2023

นิยามตัวเองได้ว่า เป็นคนชอบ เที่ยว กิน ช๊อป ค่ะ...แต่หลังๆไม่ได้อัพบล็อคเลย มัวแต่เล่น ig กับ เฟส ^^

บล็อคที่เขียนไว้อาจจะนานแล้ว แต่ก็ยังหวังว่าจะพอมีประโยชน์กับเพื่อนๆนะคะ ถ้าได้เที่ยว (หลังโควิด ) จะมาอัพอีกนะคะ


*** เราไม่ค่อยได้เข้ามาเช็คที่ blog เท่าไร่ ถ้าเพื่อนๆอ่านแล้วมีคำถาม รบกวนถามมาทางอีเมลล์เลยนะคะ (ดูอีเมลล์จาก profile ได้ค่ะ) เรายินดีตอบทันทีค่ะ แต่ถ้ามาทิ้งคำถามไว้ที่ blog หรือ หลังไมค์ มันอาจจะนานกว่าเราจะมาอ่านเจออ่ะค่ะ ***
New Comments