bloggang.com mainmenu search

โดย วิบูลย์ จุง : Wiboon Joong (wbj)



เมื่อผ่านการต้อนรับน้องใหม่ อย่างอบอุ่นของ คุณชัชวาล และ คุณวิษณุ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ผมต้องกลับมาคิดว่า จะทำอย่างไรในสัปดาห์นี้ดี การขัดแย้งโดยที่ผมยังไม่เริ่มงานอย่างนี้ อาจจะเป็นชนวนระเบิดขนาดใหญ่ก็ได้ ผมได้แต่เอาเอกสารทั้งหมดกลับบ้าน และนั่งทบทวนอยู่ทั้งสัปดาห์

“สวัสดีครับ คุณพ่อ” ผมยกมือไหว้ตามปกติกับคุณพ่อเจน
“ซาหวัดดี คุงวิบุง เปงไง หวายม๊าย... ”ผมมองหน้า พ่อเจน แบบ งงๆ
“ไหวครับ ทำไมหรือครับ”
“อาเจ็งอีเล่าให้อั๊วฟังแล้ว อั๊วเรียกปาชุมไปเมื่อวานนี้ บอกห้ายทุกคนล่วมมือกับคุงวิบุง”
“ขอบคุณมากครับ คุณพ่อช่วยผมได้เยอะมากเลยครับ”
“ม่ายเปนไร อาเจ็งเขาบอกให้อั๊วทำนะ” ท่าทางพ่อเจนจะชื่นชมกับคำแนะนำของลูกสาวมากๆ
“ครับ เจนเขาเก่งครับ...” ผมมองเห็นแววตาของคุณพ่อเจน เหมือนกับตอนที่ผมเคยเห็นตอนที่พ่อเจนชื่นชมลูกสาวให้ผมฟังตอนเข้ามาที่โรงงานครั้งแรก “แล้ว คุณพ่อจะเข้าประชุมด้วยหรือเปล่าครับ”
“ไม่ข้าวหรอกคุณวิบุง ให้อาเจ็งเข้าไปช่วยแล้วนะ”
“ครับๆ ได้ครับ ขอตัวไปทำงานก่อนนะครับ”

ผมเข้าไปเดินเล่นโรงงาน มองดูโน่นนี่ไปเรื่อยๆ องค์ประกอบของโรงงานดูสะอาดเรียบร้อยกว่าครั้งแรกที่ผมเข้ามาในโรงงานนี้มาก ผมยังเหลือเวลาอีก 10 นาทีก่อนเข้าห้องประชุมกับเจน เพื่อวางแผนการปรับปรุง เดินเล่นปล่อยความคิดให้ไปตามเสียงของเครื่องจักรที่กำลังทำงานอยู่... แล้วผมก็ได้ยินเสียงทักทายคุ้นๆ ปนมากับเสียงเครื่องจักรที่กลบเสียงทักทายเกือบหมด...

“สวัสดีครับ คุณวิบูลย์ มาจับผิดผมแต่เช้าเลยนะครับ...” ผมหันไปตามเสียงที่ทักทายแบบประชดประชันมา... คุณชัชวาล นั่นเอง
“สวัสดีครับ คุณชัช ทักอย่างนี้เหมือนกับว่า คุณชัชกำลังทำอะไรผิดหรือเปล่าครับ...” ผมไม่ชอบคำทักทายลักษณะนี้เลย ดูมันเหมือนว่า ผู้พูดจงใจประชดประชัน ซึ่งคิดว่า คุณชัชคงกำลังสื่อให้ผมทราบว่า เขาไม่ต้องการให้ผมมายุ่งย่ามในโรงงานที่เขาคุมอยู่
“คุณวิบูลย์ ก็จับผิดผมให้ได้ซิครับจะได้รู้ว่าผมทำผิดอะไร...”
“ฮ่า ๆ ๆ ผมไม่มีหน้าที่มาจับผิดใครครับ ผมแค่มาช่วยงานเจนเท่านั้นครับ... คุณชัชอย่าเข้าใจผมผิดนะครับ” ผมเห็นสีหน้าของคุณชัชแล้ว เหมือนจะไม่ยอมรับการมาของผม มากกว่าสัปดาห์ที่แล้วเสียอีก… “เราไปเข้าห้องประชุมพร้อมกันเลยดีไม๊ครับ...”
“ผมขอเครียร์งานก่อนครับ เดี๋ยวค่อยตามไป” คุณชัชพูดจบก็เดินแซงหน้าผมไปยังกลุ่มคนงาน ในที่โล่งของโรงงาน...

ผมยืนมองดูคุณชัชที่กำลังพูดกับกลุ่มคนในที่โล่งของโรงงาน แต่ตอนนี้มีแต่คนงานเต็มไปหมด กำลังอ่านปากของคุณชัชว่าพูดอะไรบ้าง...

“พี่จุง... สวัสดีค่ะ มานานแล้วหรือค่ะ...” เสียงแจ่วๆ มาทางด้านหลัง ไม่หันก็รู้ว่าเป็นเจน...
“เพิ่งมาจ๊ะ...” ผมหันหลังกลับมารับไห้ว... “เจน... คุณชัชประชุมลูกน้องอย่างนี้ทุกเช้าเลยหรือ...”
“ไม่หรอกค่ะ จะประชุมอย่างนี้ก็ตอนมีเรื่องแจ้งให้ทราบ เท่านั้น...” ผมคิดว่าการทำเช่นนี้ก็เหมือนกับการสื่อสารให้ทุกคนทราบโดยทั่วไปแต่ทำไมคุณชัชต้องชี้มือมาทางผมด้วย... ทำให้ผมสงสัย...
“เมื่อวานพ่อเจนคุยอะไรกับพวกเขาหรือ...?” ผมเริ่มอยากรู้ว่า เมื่อวานคุยเรื่องอะไรกัน ทำไมถึงมีการประชุมพนักงานในวันนี้
“เจนเล่าเรื่องทั้งหมดให้ป๊าฟัง แล้วแกก็เลยเรียกประชุมหัวหน้างานทั้งหมด มาต่อว่า แล้วบอกให้ความร่วมมือกับพี่จุงค่ะ”
“ต่อว่าใคร...” ผมอยากได้ยินจากปากของเจนว่า พ่อเจนต่อว่าใครในที่ประชุม...
“คุณชัชไงค่ะ” ผมไม่อยากให้พ่อเจนต่อว่าคุณชัชเลย เพราะจะเป็นการสร้างกำแพงทางความคิดระหว่างผมกับคุณชัช “ก็เรื่องที่เราได้ยินที่คุณวิษณุบอกว่าคุณชัชให้เขาแกล้งพี่จุง นะค่ะ”
“กรรม...” ผมส่ายหัวบ่นนิดๆ รู้สึกกังวลกับวันนี้ว่ามันจะออกมาเป็นอย่างไร ในเมื่อ พ่อเจนได้ปิดประตูมิตรภาพระหว่างผมกับคุณชัช และ อาจจะสร้างกำแพงขนาดยักษ์ระหว่างผมกับพนักงานโรงงานทั้งหมดก็ได้... “เฮ้อ... วันนี้ท่าทางเหนื่อย...”
“ทำไมหรือค่ะ เจนไม่ได้ให้พี่ไปขนของสักหน่อยจะได้เหนื่อยๆ” เจนชวนคุยเล่น แต่ผมไม่มีอารมณ์จะต่อล้อต่อเถียงแล้ว
“พี่คิดว่า การประชุมเมื่อวานจะส่งผลกับการทำงานต่อๆไปของพี่นะ… ถึงห้องประชุมแล้ว เจนจะเข้าประชุมเลยหรือเปล่า...”
“ขอเวลาเจนไปเอาสมุดก่อน เดี๋ยวมา...”
“เจน เอากระดาษเปล่าให้พี่หน่อยนึง ขอสก๊อตเทป และก็ปากกาหลายแท่งหน่อยนะ”

เจนรับปาก แล้วผมก็เปิดเข้าห้องประชุม ชงกาแฟ แล้วมานั่งหน้าห้องประชุม... หัวหน้างานระดับสูงที่นัดกันในช่วงเช้า เริ่มทะยอยเข้ามาแล้ว ซึ่งคุณชัชวาลก็เข้าประชุมด้วย เจนเอากระดาษมาให้ผมปึกใหญ่ พร้อมปากกาสีสะท้อนแสงหลากสีตามประสาวัยรุ่น อีก 1 ซอง ระหว่างรอการประชุม ผมก็เอากระดาษ A4 ที่เจนเอามาให้ พับและฉีกออกเป็น 4 ส่วนเล็กๆ

“สวัสดีค่ะ ทุกคน วันนี้ที่เจนขอนัดประชุม ก็เพื่อจะแนะนำที่ปรึกษาของเราอย่างเป็นทางการนะค่ะ พี่จุง หรือ คุณวิบูลย์ จะเข้ามาเป็นที่ปรึกษาทางด้านการบริหารและการผลิตของเรานะค่ะ” เสียงตบมือต้อนรับอย่างอบอุ่น จากนั้น เจนก็แนะนำแต่ละคนให้รู้จัก บางคนอายุมากกว่าผมมากๆ บางคนก็อายุพอๆกับผม ผมคิดว่ามีไม่กี่คนที่อายุน้อยกว่า แล้วเจนก็โอนการประชุมในห้องนี้ให้ผม
…
“สวัสดีครับ ก่อนอื่น ผมไม่อยากให้คุณคิดว่าผมเป็นที่ปรึกษา ผมขอเป็นเพียงเพื่อนร่วมงาน ที่มีหน้าที่ช่วยเหลือทุกท่านให้มีผลงาน… วันนี้จริงๆแล้วผมนัดประชุมเพื่อทำความรู้จักกับทุกๆท่าน ทุกๆส่วน แต่ผมคิดว่า ผมขอทำความเข้าใจกับทุกท่านก่อนดีกว่าว่า ผมจะมาทำอะไรบ้าง...”

ผมอธิบายในสิ่งที่ผมจะทำในภาพรวม สีหน้าของคนในห้องมีทั้งคนเข้าใจและไม่เข้าใจ ซึ่งไม่รวมถึงสีหน้าเฉยเมยของคุณชัชวาล

“ผมขอเวลาช่วงเช้าอย่างนี้ มาคิดอะไรกันเล็กๆนะครับ”
ผมหันหลังกลับไปยังกระดานแล้วเขียนว่า “ถ้าโรงงานกำลังจะเจ๊ง... คุณจะช่วยเหลือโรงงานฯ ได้อย่างไร...?” มีเสียงคุยกันค่อนข้างดังตั้งแต่ผมเริ่มเขียน...
“เอาละครับ เรื่องนี้เป็นเรื่องสมมติที่ผมอยากให้พวกคุณคิดว่าเป็นเรื่องจริง และช่วยกันคิดว่าจะช่วยเหลือโรงงานกันได้อย่างไรนะครับ ผมจะแจกกระดาษเปล่าให้ แล้วให้เขียนคำแนะนำของคุณ แผ่นละคำแนะนำนะครับ อย่างเช่น ให้พนักงานขายขายให้มากขึ้น... คุณก็เขียนคำแนะนำนี้ลงในกระดาษแผ่นนี้นะครับ... ผมขอคนละ 10 คำแนะนำเป็นอย่างน้อย ให้เวลา 10 นาที อย่าลอกกัน หรือ อย่าปรึกษากันนะครับ มีคำถามอะไรไหมครับ... ?” ผมคาดไว้แล้วว่าคงไม่มีคำตอบใดๆ

ผมเดินไปรอบๆในห้องประชุม เพื่อสังเกตพฤติกรรม และ ให้คำแนะนำบ้างเล็กน้อย เวลาผ่านไป เกือบ 10 นาทีแล้ว มีคนเสร็จประมาณ 2-3 คน ก็เลยปล่อยให้พวกเขาเสร็จก่อน ใช้เวลาไปเกือบ 15 นาที

“เอาละครับ คราวนี้ ผมมีสก๊อตเทป อยู่นี่นะครับ ขอให้ทุกคนมาเอาสก๊อตเทป ติดที่ด้านบน แล้วเอาไปติดที่ ไวท์บอร์ดนะครับ จัดกลุ่มความคิดเห็นที่เหมือนกัน ให้อยู่ใกล้กัน เชิญออกมาเลยครับ”

ไม่มีใครจะขยับเลย เจนเลยมาทำคนแรก และก็มีคนเริ่มทะยอยกันมาทำเป็นกลุ่ม คราวนี้ทั้งห้องก็มาออกันหน้าห้องเพื่ออ่านของเพื่อนๆ และ จัดกลุ่มกันออกมา เสียเวลาไปอีก เกือบ 15 นาที แต่ก็ทำให้ทุกคนดูเหมือนผ่อนคลายมากขึ้นกับการร่วมกิจกรรมในครั้งนี้... และ ผมก็เข้าไปร่วมคุย ร่วมขีดวงกลมล้อมรอบแต่ละหัวข้อแล้วเขียนชื่อหัวข้อเหล่านั้นขึ้นมา ทำให้มันง่ายขึ้น ความวุ่นวายก็เริ่มผ่อนคลายมากขึ้น เจนกับผมช่วยกันจัดกลุ่มให้กระชับมากขึ้นอีกเล็กน้อย...

“เอาละครับ จากความคิดเห็นของทุกๆคน จะมีเรื่องเหล่านี้นะครับ ที่เราจะแก้ไขกัน ....” ผมอ่าน และ เขียนแต่หัวข้อในกระดานอีกด้านหนึ่ง ได้เกือบ 20 หัวข้อ ซึ่งรายละเอียดของแต่ละหัวข้อมีอีกหลากหลาย...
“เอาหละ ใครคิดว่า หัวข้อใดควรทำก่อน หัวข้อใดควรทำทีหลังบ้างครับ....” คำถามนี้ได้ผล หลังจากที่ทุกคนได้มีกิจกรรมร่วมกันบ้างทำให้มีการออกความคิดเห็นมากขึ้น ต่างคนต่างบอกว่าสิ่งนั้นควรทำก่อน สิ่งนี้ควรทำทีหลัง จนผมจับต้นชนปลายไม่ถูก...
“เอาอย่างนี้นะครับ ผมจะบอกวิธีการดูความสำคัญของแต่ละหัวข้อให้ว่า แต่ละหัวข้อนั้น ข้อใดควรจะทำอะไรก่อน ข้อมูลใดควรทำทีหลัง และ อะไรที่ต้องทำ และ อะไรที่ควรทำ…”

(อ่านต่อฉบับหน้า...)

สรุปหลักการและเหตุผล...
การที่เจ้าของกิจการต่อว่าลูกน้อง โดยเชื่อมั่นที่ปรึกษาว่าถูกต้องนั้น จะทำให้ลูกน้องเกิดอาการน้อยเนื้อต่ำใจ จากการที่เจ้าของกิจการไม่ให้ความเชื่อมั่นคนทำงานโดยตรง กลับไปเชื่อใจคนข้างนอกที่ไม่รู้เรื่องงานโดยละเอียด
ทัศนคติเป็นสิ่งที่สำคัญ หากมีทัศนคติที่ไม่ดีแล้ว การร่วมมือกัน หรือ ทำงานร่วมกันจะเป็นไปได้อย่างยากลำบาก อันเนื่องจากมีกำแพงทางด้านจิตใจมาเกี่ยวข้อง
การให้เขียนวิธีการแก้ปัญหา โดยต่างคนต่างเขียนนั้น เป็นการรวบรวมแนวความคิดให้แตกแขนงออกไป ซึ่งวิธีการนี้จะทำให้คนที่อยู่ในที่ประชุม ได้แสดงความคิดเห็นอย่างเต็มที่ ซึ่งจะได้ความคิดเห็นที่แตกต่างตามประสบการณ์ที่ผ่านมา และอาจมีวิธีการแก้ปัญหาที่อาจจะแตกต่างก็ได้ ทำให้ได้แนวความคิดใหม่ๆเพิ่มอยู่บ่อยๆ
การให้ทีมงานมาติดกระดาษที่เขียนเพื่อจัดรวมกลุ่มเอง ทำให้ทีมงานได้อ่านความคิดเห็นของบุคคลอื่น ซึ่งจะทำให้พวกเขามีแนวคิด หรือ มุมมองต่างๆ ที่แตกกันออกไป เมื่อเป็นเช่นนี้บ่อยครั้งเข้า จะทำให้ทีมงานมองเรื่องต่างๆ ได้ละเอียดมากยิ่งขึ้น และ เข้าใจปัญหาในขณะรวบรวมความคิดได้มากยิ่งขึ้น
การทำกิจกรรมร่วมกัน โดยมีเหตุการณ์หนึ่งใด ที่จำเป็นต้องทำร่วมกัน จะทำให้เกิดการละลายพฤติกรรม หรือ ลดกำแพงทางจิตใจลง ทำให้เกิดความร่วมมือกับกิจกรรมต่างๆที่จะตามมาได้มากขึ้น

โดย วิบูลย์ จุง : Wiboon Joong (wbj)

Create Date :04 พฤษภาคม 2550 Last Update :24 สิงหาคม 2551 13:02:59 น. Counter : Pageviews. Comments :3