bloggang.com mainmenu search



ภาพเหมือนตนเอง




“พระเยซูหนีไปอียิปต์” (ค.ศ. 1603)




“ไปไหน?” (Domine quo vadis? ) โดยคารัคชี (พระเยซูและนักบุญปีเตอร์)




อันนิบาเล คารัคชี (Annibale Carracci) (3 พฤศจิกายน ค.ศ. 1560 - ค.ศ. 15 กรกฎาคม ค.ศ. 1609) เป็นจิตรกรสมัยบาโรกชาวอิตาลีในคริสต์ศตวรรษที่ 16 ผู้มีความเชี่ยวชาญทางการเขียนจิตรกรรมฝาผนัง

เบื้องต้น

อันนิบาเล คารัคชี เกิดที่โบโลนญาและคงจะฝึกงานกับครอบครัว ในปี ค.ศ. 1582 อันนิบาเลและน้องชายอากอสติโน และลูกพี่ลูกน้องลุโดวิโค คารัคชี เปิดห้องเขียนภาพร่วมกันโดยเรียกว่า “Academy of Desiderosi”

ที่ต่อมากลายเป็น “Accademia degli Incamminati” หรือหมายความตรงๆ ว่าสถาบันเพื่อการแสวงหาความคิดใหม่ ขณะที่คารัคชีทั้งสามคนเน้นการเขียนภาพแบบฟลอเรนซ์ ที่จะเห็นได้จากงานเขียนของราฟาเอลและอันเดรอา เดล ซาร์โต

แต่ลักษณะการเขียน ก็ยังมีส่วนที่มาจากเวนิสที่เห็นได้จากการใช้สีที่ออกไปทางระยับ และขอบสิ่งในภาพจะไม่ตัดคม ลักษณะนี้เป็นลักษณะที่ใช้บรรยาย การเขียนที่เรียกว่าบาโรกเอมิเลียน หรือตระกูลการเขียนภาพแบบโบโลนญา

งานเขียนสมัยแรกในโบโลนญาของคารัคชีทั้งสามคน ยากที่แยกได้ว่าของใครเป็นของใคร เช่นงานจิตรกรรมฝาผนังชุดเรื่องของ “เจสัน” สำหรับพาลัซโซ ฟาวาในโบโลนญา (ราว ค.ศ. 1583-ค.ศ. 1584)

จิตรกรรมฝาผนังลงนามว่า “คารัคชี” เป็นผู้เขียนและกล่าวว่าทั้งสามคนเขียน ในปี ค.ศ. 1585 อันนีบาเลเขียนฉากแท่นบูชา “พระเยซูรับศีลจุ่ม”

สำหรับวัดซานเกรโกริโอในโบโลนญาเสร็จ ในปี ค.ศ. 1587 อันนีบาเลเขียน “การประกาศของเทพ” สำหรับวัดซานร็อคโคในเรจจิโอ เอมิเลีย

ในปี ค.ศ. 1587 - ค.ศ. 1588 อันนีบาเลเดินทางไปปาร์มา และต่อมาเวนิสไปพบกับน้องชายอากอสติโนที่นั่นระหว่าง ค.ศ. 1589 -ค.ศ. 1592 คารัคชีทั้งสามคนเขียนจิตรกรรมฝาผนัง “ก่อตั้งโรม” สำหรับพาลัซโซ มันยานิ (Palazzo Magnani) ในโบโลนญา

ภายในปี ค.ศ. 1593 อันนีบาเลก็เขียนฉากแท่นบูชา “พระแม่มารีบนบัลลังก์กับนักบุญจอห์นและนักบุญแคทเธอริน” เสร็จ โดยทำงานร่วมกับลุชิโอ มัสสาริ (Lucio Massari)

งานเขียน “พระเยซูคืนชีพ” ก็เขียนในปี ค.ศ. 1593 ในปี ค.ศ. 1592 อันนีบาเลเขียน “อัสสัมชัญของพระแม่มารี” สำหรับชาเปลโบนาโซนิในวัดซานฟรานเชสโค ระหว่างปี ค.ศ. 1593 ถึงปี ค.ศ. 1594 คารัคชีทั้งสามคนก็ไปทำงานฝาผนังที่พาลัซโซ แซมปิเอริ (Palazzo Sampieri) ในโบโลนญา

จิตรกรรมฝาผนังในวังฟาร์เนเซ

เพราะความมีฝีมือในการเขียนจิตรกรรมฝาผนังในโบโลนญา ดยุครานุคชิโอที่ 1 ฟาร์เนเซแห่งพาร์มา (Ranuccio I Farnese) จึงได้แนะนำคารัคชีแก่น้องชายคาร์ดินัล โอโดอาร์โด ฟาร์เนเซ (Odoardo Farnese) ผู้มีความประสงค์จะตกแต่งบริเวณเอกของวังฟาร์เนเซ (Palazzo Farnese)

ในเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม ปี ค.ศ. 1595 อันนีบาเลและอากอสติโนก็เดินทางไปกรุงโรมเพื่อไปเริ่มงาน “คาเมริโน” ด้วยเรื่องเฮอร์คิวลีสซึ่งเป็นการเหมาะสม เพราะเป็นห้องที่เป็นที่ตั้งของรูปปั้นกรีก-โรมันโบราณของเฮอร์คิวลีสแห่งฟาร์เนเซ ที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อที่มีชื่อเสียง

ขณะเดียวกันอันนีบาเลก็เขียนภาพร่างเป็นจำนวนมากมาย เพื่อเป็นการเตรียมตัวสำหรับโครงการเอกที่อันนีบาเลเป็นผู้นำ ภาพที่เขียนเป็นจิตรกรรมฝาผนังบนเพดานของห้องแกรนด์ซาลอนด้วย “quadri riportati” ที่มิใช่หัวเรื่องทางศาสนาของภาพ

“ความรักของเทพ” (The Loves of the Gods) หรือที่นักเขียนชีวประวัติจิโอวานนิ เบลโลริ (Giovanni Bellori) บรรยายว่าเป็น “ความรักของมนุษย์ที่นำโดยความรักสวรรค์” แม้ว่าภาพเขียนจะเต็มไปด้วยชีวิตจิตใจและจินตนาการ แต่ภาพถูกจำกัดไว้ในกรอบการตกแต่งแบบเรอเนส ซองซ์สูง

งานชิ้นนี้ได้รับอิทธิพลจากงานบนเพดานของชาเปลซิสติน โดยไมเคิล แอนเจโลและงานเขียนในห้องราฟาเอลโดยราฟาเอลและผู้ช่วย งานชิ้นนี้ต่อมามามีอิทธิพลต่องานจิตรกรรมแบบบาโรกชิ้นใหญ่ของเปียโร ดา คอร์โทนา (Pietro da Cortona) จิโอวานนิ ลันฟรานโค (Giovanni Lanfranco) และอีกหลายสิบปีต่อมาในงานเขียนของอันเดรีย พอซโซ (Andrea Pozzo) และ จิโอวานนิ บัตติสตา จาอุลลิ (Giovanni Battista Gaulli)

ตลอดคริสต์ศตวรรษที่ 17 และ 18 จิตรกรรมฝาผนังในวังฟาร์เนเซถือกันว่าเป็นงานชิ้นเอก ที่เหนือกว่างานชิ้นใดในยุคนั้น ไม่แต่จะเป็นตัวอย่างของการออกแบบการเขียนภาพวีรบุรุษ แต่ยังเป็นแบบอย่างการใช้วิธีการเขียนด้วย

งานร่างเป็นร้อยๆ ชิ้นของอันนีบาเลสำหรับเพดานกลายมาเป็นการวางรากฐานการวางองค์ประกอบของงานเขียนภาพประวัติศาสตร์ใหญ่ๆ ต่อมา

ความแตกต่างจากคาราวัจจิโอ

จิโอวานนิ เบลโลริ เขียนในหนังสือการสำรวจชื่อ “ความคิด” สรรเสริญ คารัคชีว่าเป็นผู้นำของจิตรกรชาวอิตาลี ผู้ใช้วิธีการเขียนอันสูงส่งของราฟาเอลและไมเคิล แอนเจโล

แต่ขณะที่ชื่นชมกับความสามารถของคาราวัจจิโอในฐานะจิตรกร เบลโลริก็วิจารณ์การเขียนที่เกินความเป็นธรรมชาติ และความยุ่งเหยิงในจริยธรรมและตัวแบบภาพในภาพ แต่ในขณะเดียวกันก็วิจารณ์ผู้เขียนภาพในตระกูลคาราวัจจิโอ

เบลโลริมีความเห็นว่าจิตรกรควรจะวาดความงามแบบจินตนาการแบบพลาโต แทนที่จะยกย่องวาดคนข้างถนนอย่างโรมัน แต่ผู้อุปถัมภ์และลูกศิษย์ของคารัคชีและคาราวัจจิโอ มิได้มีความเห็นเช่นที่ว่า

เช่น มาร์ควิสวินเช็นโซ จุสติเนียนิ (Vincenzo Giustiniani) ผู้มีความเห็นว่าเป็นงานที่มีความเด่นใน “maniera” และ “modeling”

ในคริสต์ศตวรรษปัจจุบัน นักวิจารณ์เริ่มมองภาพเขียนของคาราวัจจิโอในทางที่ดีขึ้นและมักจะละเลยความมีอิทธิพลทางศิลปะอันลึกซึ้งของคารัคชี คาราวัจจิโอแทบจะไม่เคยเขียนจิตรกรรมฝาผนัง

แต่งงานชิ้นเอกส่วนใหญ่ของคารัคชีเป็นงานจิตรกรรมฝาผนัง ฉะนั้นงานที่มือทึมบนผืนผ้าใบของคาราวัจจิโอ จึงดูจะเหมาะกับการใช้ตั้งในชาเปลสำหรับการวิปัสสนาเป็นการส่วนตัว มากกว่าที่จะเป็นภาพบนเพดานอันสว่างกว้างใหญ่อย่างที่วังฟาร์เนเซ

วิตต์คาวเออร์ประหลาดใจ ที่คาร์ดินัลฟาร์เนเซเลือกภาพเขียนที่ตกแต่งโดยคารัคชี ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นถึงความผ่อนคลายจากการอยู่ในกรอบความคิดเห็นของการปฏิรูปซ้อน ของนิกายโรมันคาทอลิก

หัวเรื่องที่คารัคชีเลือก อาจจะเป็นการแสดงความกล้าที่จะออกนอก กรอบมากกว่างานส่วนใหญ่ของคาราวัจจิโอ ที่เป็นงานทางศาสนาที่ออกไปทางเคร่งขรึม วิตต์คาวเออร์กล่าวว่างานของคารัคชีแสดงถึงความมีชีวิตจิตใจและพลังที่ถูกกดดันกันมานาน

ในปัจจุบันผู้ที่เดินทางไปชมชาเปลเซราสิ (Cerasi Chapel) ในวัดซานตามาเรียเดลโปโปโลมักจะละเลยชมภาพ “ฉากแท่นบูชาอัสสัมชัญของพระแม่มารี” โดยคารัคชีที่เขียนระหว่างปี ค.ศ. 1600 ถึงปี ค.ศ. 1601

แต่ไปชื่นชมกับงานของคาราวัจจิโอที่ขนาบแทนที่ สิ่งที่ควรจะศึกษาคือการเปรียบเทียบการอัสสัมชัญของพระแม่มารี ทางคริสต์ศาสนวิทยากับทางศิลปะระหว่างงาน “อัสสัมชัญของพระแม่มารี” ของ คารัคชี และ “ความตายของพระแม่มารี” โดยคาราวัจจิโอ

สำหรับผู้ร่วมสมัยคารัคชี จะเป็นผู้ที่คิดค้นอะไรใหม่ๆ โดยการทำให้มโนทัศน์ของงานจิตรกรรมฝาผนังของไมเคิล แอนเจโล มีชีวิตจิตใจขึ้น และเพิ่มกล้ามเนื้อและความสดใสในภูมิทัศน์ที่เขียน ซึ่งถูกริดรอนลงไปโดยลัทธิแมนเนอริสม์

ขณะที่ไมเคิล แอนเจโลบิดเบือนตัวแบบไปในรูปต่างๆ คารัคชีในงานฟาร์เนเซยิ่งทำให้ตัวแบบเหมือนจะโลดออกมาได้ การเขียนภาพผนังหรือเพดานขนาดใหญ่ในทศวรรษต่อๆ มาจึงเป็นการเขียนแบบคารัคชีไม่ใช่คาราวัจจิโอ

ในคริสต์ศตวรรษต่อมาไม่ใช่ผู้ที่นิยมคาราวัจจิโอ ที่ละเลยคารัคชีแต่เป็นผู้นิยมจานโลเรนโซ แบร์นินีและเปียโร ดา คอร์โทนา ศิลปะบาโรก ถูกโจมตีโดยนักวิจารณ์ฟื้นฟูคลาสสิคเช่นโยฮันน์ โยอาคิม วิงเคลมันน์ (Johann Joachim Winckelmann)

และแม้แต่ต่อมาโดย จอห์น รัสคิน (John Ruskin) คารัคชีได้รับการยกเว้นบ้าง เพราะเป็นผู้ที่เขียนภาพแบบราฟาเอลซึ่งเป็นผู้ที่มีความนิยม และในจิตรกรรมฝาผนัง ที่ฟาร์เนเซคารัคชีเลือกหัวเรื่องเกี่ยวกับตำนานเทพ

ภูมิทัศน์ ภาพชีวิตประจำวันและการวาดเส้น

เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม ค.ศ. 1595 อันนีบาเลเขียนภาพ “นักบุญรอคแจกทาน” (San Rocco distributing alms) เสร็จที่ปัจจุบันอยู่ที่เดรสเดน งานสำคัญๆ

ในบั้นปลายที่เขียนที่โรมก็มี “ไปไหน?” (Domine quo vadis?) ที่เขียนราวปี ค.ศ. 1602 ซึ่งการเขียนและการวางองค์ประกอบมามีอิทธิพลต่อนิโคลัส พูซิน (Nicolas Poussin) และโดยพูซินภาษาของท่าทางในการภาพเขียน

หัวเรื่องการเขียนของคารัคชี ก็แตกต่างกันไปเช่นการเขียนทัศนียภาพหรือการเขียนภาพเหมือน ซึ่งรวมทั้งภาพเหมือนตนเองที่เขียนเป็นระยะๆ ตลอดชีวิต

คารัคชีเป็นจิตรกรอิตาลีคนแรกที่เขียนภาพบนผ้าใบ ที่ตัวแบบในภาพเป็นรองจากทัศนียภาพเช่นภาพ “พระเยซูหนีไปอียิปต์” (ค.ศ. 1603) ซึ่งเป็นกลุ่มภาพที่มีอิทธิพลต่อโดเม็นนิโค แซมเพียริ (Domenico Zampieri) และโคลด ลอร์แรน (Claude Lorraine)

นอกจากนั้นคารัคชีก็ยังเขียนงานที่เป็นแบบที่เรียกว่างานล้อ (caricature) ด้วย และเป็นที่เชื่อกันว่าเป็นผู้คิดค้นความคิดนี้ และในงานจิตรกรรมภาพชีวิตประจำวัน ซึ่งเป็นงานที่เด่นในความช่างสังเกตที่มีชีวิตชีวา และการใช้ฝีแปรงที่เป็นอิสระ

เช่นใน“ร้านแล่เนื้อ” หรือในภาพ “คนกินถั่ว” ผู้เขียนประวัติกล่าวว่าคารัคชีเป็นไม่พิถีพิถันในการแต่งตัว และเป็นคนรักงาน ภาพเหมือนตนเองก็แสดงตัวของตัวเองในท่าต่างๆ

ภายใต้อารมณ์ขันอันเศร้า

หลังจากงานที่วังฟาร์เนเซแล้ว ก็ไม่ทราบว่าอันนีบาเลเขียนภาพอีกเท่าใด ในปี ค.ศ. 1606 อันนีบาเลลงชื่อบนภาพเขียน “พระแม่มารีกับถ้วย” (Madonna of the bowl) แต่หลังจากเดือนเมษายน ค.ศ. 1606 คาร์ดินัล โอโดอาร์โดก็บ่นว่า

“อารมณ์ขันอันเศร้า” (heavy melancholic humor) ทำให้ไม่สามารถเขียนภาพให้ท่านได้ ตลอดปี ค.ศ. 1607 อันนีบาเลก็ไม่สามารถทำงาน “การประสูติของพระเยซู” ที่รับจ้างจากดยุคแห่งโมดีนาสำเร็จ

อันนีบาเลเสียชีวิตในปี ค.ศ. 1609 และถูกฝังตามที่ได้สั่งไว้ใกล้ราฟาเอลในตึกแพนธีออน (Pantheon) ในกรุงโรม


ขอขอบคุณ วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี


สวัสดิ์สิริธีววาร สิริมานรมณีย์ค่ะ
Create Date :11 กุมภาพันธ์ 2553 Last Update :12 กุมภาพันธ์ 2553 14:13:58 น. Counter : Pageviews. Comments :0