วันสุดท้ายของปอมเปอี (ค.ศ. 1833) เป็นตัวอย่างที่ดีของภาพเขียนประวัติศาสตร์
ความตายของนายพลวูลฟ โดย เบนจามิน เวสต์
คำสาบานของโฮราติอิ โดย ฌาคส์-ลุยส์ ดาวิด (ค.ศ. 1784) สร้างนาฏกรรมในเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์จิตรกรรมประวัติศาสตร์ (History painting) เริ่มเมื่อคริสต์ศตวรรษที่ ค.ศ. 1667 โดยอันเดร เฟลิเบียน (André Félibien) จิตกรประวัติศาสตร์ สถาปนิก นักทฤษฎีคลาสสิคซิสม์ฝรั่งเศส ซึ่งเป็นลักษณะที่ระบบ การจัดลำดับคุณค่าของศิลปะ (Hierarchy of genres)
ถือว่าเป็นประเภทการเขียนภาพที่มีคุณค่าสูงที่สุดในบรรดาการเขียนภาพประเภทต่างๆ
คำอธิบาย
จิตรกรรมประวัติศาสตร์ เป็นจิตรกรรมที่แสดงฉากบรรยายเนื้อหาจากประวัติศาสตร์กรีกโรมัน ประวัติศาสตร์คริสต์ศาสนา และตำนานเทพปรัมปราวิทยา และรวมทั้งเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นเมื่อไม่นานก่อนที่จะเขียน
ภาพเขียนชนิดนี้รวมทั้งภาพเขียนที่ในหัวเรื่องที่เกี่ยวกับ ศาสนา ประวัติศาสตร์ วรรณคดี หรืออุปมานิทัศน์ ที่ตีความหมายของชีวิตหรือสื่อความหมายทางจริยธรรม
เหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ที่เลือกเขียนจะเป็นสัญลักษณ์ที่ไม่แต่เพียงจะแสดงเหตุการณ์แต่เป็นเหตุการณ์ที่มีความสำคัญต่อสังคมของผู้เขียนภาพ เช่นการเขียนภาพการประกาศอิสรภาพของสหรัฐอเมริกา
หรือบางครั้งอาจจะไม่ใช่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงแต่จิตรกรต้องการเขียนภาพที่สื่อความหมายที่ต้องการ
เทพหรือเทพีจากปรัมปราวิทยาก็ใช้เป็นสัญลักษณ์ทางจิตวิทยาต่างๆ ของมนุษย์ และบุคคลจากศาสนาต่างก็เป็นตัวแทนของความคิดต่างๆ และเป็นระยะเวลานาน โดยเฉพาะระหว่างการปฏิวัติฝรั่งเศสที่การเขียนภาพประวัติศาสตร์มักจะเน้นการเขียนภาพวีรบุรุษชายเปลือย แต่ลดถอยลงไปในคริสต์ศตวรรที่
ความตายของนายพลวูลฟ โดย เบนจามิน เวสต์เครื่องแต่งตัวในภาพบางครั้งก็จะเป็นการแต่งอย่างกรีกโรมันไม่ว่าเหตุการณ์จะเกิดขึ้นเมื่อใด ในปี ค.ศ. 1770 เบนจามิน เวสต์ เสนอว่าการวาดภาพ ความตายของนายพลวูลฟ ควรจะใช้เครื่องแต่งกายร่วมสมัย
แต่ก็มีผู้คัดค้านหลายคนว่า ควรจะแต่งตัวอย่างคลาสสิค ในที่สุดเวสต์ก็เขียนโดยใช้เครื่องแต่งกายร่วมสมัย แต่พระเจ้าจอร์จที่ 3 แห่งอังกฤษไม่ทรงยอมซื้อภาพ
แต่อย่างไรก็ตาม เวสต์ก็ได้รับชัยชนะต่อผู้ต่อต้าน และริเริ่มการเขียนภาพประวัติศาสตร์ ที่ตรงตามความเป็นจริงแทนที่จะเป็นภาพอุดมคติ
ในกลางคริสต์ศตวรรษที่ 19 มีการริเริ่มลักษณะการเขียนที่เรียกว่าประวัติศาสตร์นิยม ซึ่งเป็นการเขียนแบบการเลียนแบบการเขียนภาพประวัติศาสตร์ หรือจิตรกรประวัติศาสตร์
การวิวัฒนาการอีกอย่างหนึ่งในคริสต์ศตวรรษที่ 19 คือการผสานการเขียนภาพประวัติศาสตร์กับการภาพชีวิตประจำวัน (Genrepainting) ที่แสดงให้เห็นฉากชีวิตประจำวัน
เป็นการเขียนเหตุการณ์สำคัญที่มีรายละเอียดที่เป็นเหตุการณ์ที่เป็นส่วนตัว หรือเหตุการณ์ประจำวันของเหตุการณ์หรือบุคคลในภาพ จิตรกรที่เขียนภาพบางทีก็จะพยายามสื่อความหมายทางจริยธรรม ในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
จิตรกรประวัติศาสตร์
คำสาบานของโฮราติอิ โดย ฌาคส์-ลุยส์ ดาวิด (ค.ศ. 1784) สร้างนาฏกรรมในเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์จิตรกรประวัติศาสตร์ มิใช่เป็นแต่เพียงจิตรกรที่วาดภาพที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์แต่วาดอย่างใหญ่โตและเป็นนาฏกรรม
โดยเฉพาะจากเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์หรือตำนานกรีกโรมัน ฉากจากวรรณคดีสำคัญ หรือเหตุการณ์สำคัญของบุคคลสำคัญๆ ในสมัยบาโรก หัวเรื่องก็มักจะเป็นจุดสูงสุดของเหตุการณ์ โดยมีผู้ร่วมเหตุการณ์แต่งตัวแบบคลาสสิค
จิตรกรรมประวัติศาสตร์ เป็นการเขียนที่ไม่แต่มีความสำคัญเป็นลำดับหนึ่งของศิลปะสถาบัน ในคริสต์ศตวรรษที่ 19 แต่ในสมัยหลังการปฏิวัติฝรั่งเศสด้วย
ฉะนั้นจิตรกรรมประวัติศาสตร์จึงเป็นกระบวนการเขียนที่ เป้าในการถูกโจมตีเมื่อขบวนการเขียนแบบใหม่ๆ เริ่มขึ้น เช่นเมื่อขบวนการอิมเพรส ชันนิสม์หันหลังให้การเขียนของจิตรกรรมประวัติศาสตร์ หรือกลุ่มพรีราฟาเอลไลท์ในอังกฤษ
ที่เน้นเฉพาะหัวเรื่องเขียนที่มาจากวรรณคดี หรือเรื่องลึกลับแทนที่จะเขียนภาพแบบคลาสสิค ในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 วิธีการเขียนภาพประวัติศาสตร์ก็เปลี่ยนแปลงไป จากเขียนแบบนาฏกรรมไปเป็นการเขียนนอกสถานที่และหัวข้อที่เล็กลง
ขอขอบคุณ วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ศุกรวารสิริสวัสดิ์ ปรีดิ์มนัสรมณีย์ค่ะ