bloggang.com mainmenu search
~วัยหนุ่ม~

พ่อใช้ชีวิตอยู่ภายใต้ร่มกาสาวพัสตร์นาน ๗ ปี
พอพ่ออายุครบ ๒๐ ปีบริบูรณ์ พ่อก็มาถึงทางแยก...
สามเณรเมื่อมีอายุครบยี่สิบปี ก็ต้องมีการ 'เป๊ก' (อุปสมบท)
เปลี่ยนสถานภาพจาก 'พระน้อย' เป็น 'ตุ๊เจ้า'
หรือจะสึกหาลาเพศออกไปเป็นคฤหัสถ์ ทำมาหากิน มีครอบมีครัวต่อไป

พ่อบอกว่า...ถึงตอนนี้พ่อเข้าใจความหมายของคำว่า...'ร้อนวิชา'...
ขึ้นมาทีเดียวเชียว
ตอนแรกพ่อก็มีอาการสองจิตสองใจอยู่บ้าง
เป็น 'ตุ๊เจ้า' ก็ดูเหมือนชีวิตจะเรียบ ๆ ง่าย ๆ สงบสบายดี
ไม่ต้องดิ้นรนไขว่คว้าอะไร...
แต่อีกด้านของความรู้สึกนึกคิดพ่อก็อยากออกไปเผชิญโลกที่กว้างกว่าขอบเขตพัทธสีมานี้มากนัก...ตามประสาวัยหนุ่ม

ที่สำคัญ...พ่อเกิดอาการ 'ร้อนวิชา'

พ่อบอกว่า...สิ่งที่พ่อได้เรียนรู้จากตุ๊พี่...จากหนังสือทั้งหลายที่พ่อได้อ่าน...มันเป็นเรื่องราวของทางโลกไปเสียมากกว่า ๘๐ %...
ซึ่ง...พ่อคิดว่า...มันน่าจะได้นำออกไปใช้ให้เกิดประโยชน์
ทั้งต่อตัวเอง... ต่อวงศ์ญาติที่เกื้อกูลพ่อมาตลอดถึง ๒๐ ปี...
ต่อชุมชนที่พ่อเติบใหญ่ขึ้นมา...และ...ตอนนั้น...
พ่อคิดไกลไปถึง...ต่อประเทศชาติบ้านเมืองเลยทีเดียว...
ด้วยช่วงนั้นเป็นช่วงที่บ้านเมืองกำลังเกิดวิกฤติทั้งทางการเมืองและทางเศรษฐกิจพอดี...(เหมือนตอนนี้เลยแฮะ)...
เกิดภาวะข้าวยากหมากแพง...ชาวบ้านต้องอยู่กันแบบกระเบียดกระเสียร
การอุปสมบทจำต้องมีเจ้าภาพ...ซึ่งต้องใช้ทุนทรัพย์มากพอสมควร...
พ่อก็เลยรู้สึกเกรงใจใครก็ตามที่จะมาเป็นเจ้าศรัทธา...

พ่อจึงตัดสินใจลาสิกขา...ออกมาเป็น 'พี่หน้อย'
(คนที่สึกจากสามเณรเรียกว่า 'หน้อย'...ออกเสียงเป็น น่อย...
หากสึกจากการเป็นพระจะเรียกว่า 'หนาน' )

เมื่อสึกแล้ว พ่อก็กลับมาอยู่ที่บ้านพ่ออุ๊ย แม่อุ๊ยเหมือนเดิม...
ช่วงแรก ๆ พ่อก็ไปช่วยญาติ ๆ ทำนาทำไร่ไปตามประสา...
ต่อมาพ่ออุ๊ยก็แบ่งที่นาให้พ่อแปลงหนึ่ง ไม่เล็กไม่ใหญ่...
กะว่าอย่างน้อยให้พ่อพอมีที่นาทำกินพอเลี้ยงตัวได้...
แต่พ่อบอกว่า...พ่อไม่ถนัดเลยกับงานทำไร่ไถนา...
เพราะพ่อโตมากับวัด เคยแต่ท่องบ่นสวดมนต์ อ่านหนังสือหนังหา...
ให้พ่อมาจับจอบจับเสียมพ่อรู้สึกเก้งก้างอย่างไรบอกไม่ถูก...
พ่อจึงได้ทำนาบนที่นาของตัวเอง...เป็นเวลา ๒ ปี...
พอให้ได้รู้ว่าอาชีพนี้พ่อทำได้ไม่รุ่งแน่...
พ่อจึงเริ่มมองหางานที่คิดว่าน่าจะเหมาะกับตัวเองในทันที

พ่อบอกว่า...พ่อโชคดีที่...ถึงแม้พ่อจะเรียนหนังสือจบแค่ชั้นประถมสี่...
แต่เมื่อได้รับการต่อยอดจากตุ๊พี่...และจากการเรียนรู้ศึกษาด้วยตัวเอง...
ผ่านทางหนังสือ...
ทำให้เมื่อพ่อไปสมัครงานในที่แรกพ่อก็ได้รับคัดเลือกเข้าทำงานทันที

พ่อประเดิมงานแรกในชีวิตด้วยตำแหน่งนายสถานีรถไฟ...
ณ สถานีรถไฟใกล้บ้าน...ไม่ใช่รถไฟโดยสารหรอก
แต่เป็นรถไฟที่ใช้ในการขนอ้อยเข้าสู่โรงงานน้ำตาลแห่งแรกของประเทศไทยซึ่งตั้งอยู่ที่อำเภอเกาะคา
พ่อได้รับเงินเดือนเดือนละ ๔๐๐ บาท...ซึ่งมากโขอยู่ในสมัยนั้น...
ในสมัยที่เกลือห่อละ ๕ สตางค์ (ขนาดบรรจุเท่ากับห่อละสิบบาทในปัจจุบัน)ก๋วยเตี๋ยวชามละหนึ่งสลึง...ผ้าเมตรละบาท...เป็นต้น

แต่พ่อก็ต้องทำงานหนักตามค่าเงินที่ได้รับ...
พ่อเล่าว่า...ทุก ๆ เช้าพ่อต้องตื่นแต่เช้า...
ขึ้นรถเลื่อนไปสำรวจรางรถไฟ...ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง เมื่อกลับมาแล้วก็ต้องตรวจเช็คจำนวนอ้อยที่จะขนเข้าโรงงานในวันนั้น...ต้องคัดแยกเกรดของอ้อยด้วย เพราะอ้อยมีหลายชนิด มีหวานมาก หวานน้อย และมีทั้งไม่หวานเลย...จริง ๆ แล้วพ่อได้รับคำสั่งให้ปฏิเสธ...ไม่รับซื้ออ้อยชนิดหลังสุดนี้ แต่พ่อก็สงสารชาวสวน ที่เมื่อขนอ้อยมาถึงสถานีแล้ว หากไม่ได้ขายเขาก็ไม่รู้จะเอากลับไปทำอะไร พ่อจึงรับซื้อทั้งหมด แล้วนำไปเฉลี่ย ๆ แทรกเข้าไปในอ้อยชนิดหวาน...
แต่ราคารับซื้อก็ต้องเป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐานที่ทางโรงงานกำหนด
ซึ่งพ่อก็ต้องหาวิธีปรับเปลี่ยนเพื่อไม่ให้ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด(โรงงานกับชาวสวนอ้อย)เสียเปรียบ
ซึ่งพ่อก็ทำได้...จนเป็นที่ยอมรับนับถือของผู้จัดการโรงงานและชาวสวนชาวไร่...

พ่อต้องทำงานทุกอย่างในสถานี เพราะทั้งสถานีมีพ่อที่ทำงานประจำอยู่คนเดียว
นอกนั้นเป็นคนงานขนอ้อยที่ทำงานรายวัน...
บางวันที่คนงานขนอ้อยขาดงาน พ่อก็ต้องลงไปขนอ้อยด้วยตัวเอง...
ตกเย็น...พ่อก็ต้องทำบัญชีสรุปยอดรับและจ่ายอ้อยเป็นประจำทุกวัน...

ในบางช่วง บางฤดูที่ไม่มีอ้อยพ่อก็ต้องทำหน้าที่ดูแลสถานี
ตลอดถึงบริเวณรางรถไฟที่อยู่ในเขตรับผิดชอบของสถานีของพ่อทั้งหมด...
ซึ่งยาวประมาณเกือบยี่สิบกิโลเมตร

ชายหนุ่มวัยต้นยี่สิบ...หน้าตาดี(พอสมควร...แหะ ๆ เดี๋ยวคนอ่านจะหมั่นไส้ว่าชมพ่อตัวเองก็ได้ )
นิสัยดี สุภาพเรียบร้อย มีหน้าที่การงานที่ดี...
จึงไม่แปลกที่...วันหนึ่ง...พ่อก็มีความรัก...
รักครั้งแรกของพ่อ...ที่ไม่ใช่กับแม่ของฉัน...








Create Date :19 ตุลาคม 2550 Last Update :7 ธันวาคม 2550 20:07:51 น. Counter : Pageviews. Comments :11