bloggang.com mainmenu search
ตอน...ขอนไม้กับเห็ด

แล้วก็มาถึงลูกคนที่สี่ของพ่อ...

ในบรรดาลูก ๆ ทั้งหมด ถ้าถามว่า (นอกจากอ้ายของเราแล้ว) พ่อรู้สึก 'เป็นห่วง' ใครมากที่สุด...
พ่อคงตอบได้ไม่ยากว่าก็คงจะเป็นลูกสาวคนนี้นี่แหละ ที่น่าจะเป็นเสมือนบ่วงใยคอยร้อยรัดพ่อไว้ให้อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกนานสักหน่อย...
เพื่อที่ได้จะคอยดูว่า...ลูกสาวคนนี้ของพ่อจะดำเนินชีวิตของเธอไปในทิศทางไหน...จะสุขหรือทุกข์ประการใด ?

อย่างที่บอกไว้ในตอนก่อนหน้านี้ว่า เดิมทีนั้น พ่อตั้งใจจะหยุดการมีลูกไว้เพียงคนที่สาม คือ 'น่อย' พอมีคนที่สี่โผล่มาพ่อก็มีอาการ...ไม่ถึงขั้นไม่ยินดีหรอก... แต่เป็นคล้าย ๆ กับไม่คาดคิดมากกว่า

เมื่อมีน่อยแล้ว พอมีอีกคนหลงมา... ลูกคนนี้เกิดมาตัวเล็กนัก พ่อจึงตั้งชื่อเล่น ๆ ให้เธอว่า "นิด" เพื่อให้สมกับขนาดตัวนิด ๆ ของเธอ และให้คล้องจองกับน่อย

มีทฤษฎีที่เกี่ยวกับเด็กทฤษฎีหนึ่งกล่าวไว้ว่า...เด็กทารกจะสามารถมีพัฒนาการทั้งทางร่างกายและจิตใจ ตลอดถึงอารมณ์ความรู้สึกต่าง ๆ สูงสุดในช่วง แรกคลอดไปจนถึงห้าหกขวบโดยประมาณ...ทฤษฎีนี้คงเป็นจริงและเห็นได้ชัดเจนที่สุดในกรณีของนิดนี่เอง...

แม่บอกว่านิดเกิดมาตัวเล็กกว่าลูกคนอื่น ๆ ทั้งหมด ในวัยทารกเธอเลี้ยงยากกว่าลูกคนอื่น ๆ เพราะเธอทั้งอ่อนแอ ขี้โรค และแสนจะเปราะบาง...
และเมื่อเธอเติบโตขึ้นมา พ่อกับแม่ก็ได้เรียนรู้ว่า เจ้าหล่อนไม่ได้เปราะบางเฉพาะร่างกายภายนอกเท่านั้น หากเปราะบางข้างในเสียยิ่งกว่า...

ถึงแม่พ่อกับแม่จะไม่เคยแสดงอาการว่าไม่ต้อนรับขับสู้ หรือรังเกียจรังงอนอะไรเลยก็ตามทีเถอะ แต่นิดก็รับรู้มาแต่เล็กแต่น้อย...จากญาติ ๆ บ้าง จากพี่ ๆ ที่รวมหัวกันแหย่น้องตัวเล็กบ้าง...ว่าตัวเองมาสู่ครอบครัวนี้ด้วยเหตุบังเอิญมากกว่าจะเป็นความตั้งใจจริงจัง...

ในวัยเด็ก... นิดเชื่อเป็นจริงเป็นจังว่าที่ตัวเองเกิดมาตัวเล็ก ตัวดำ ขี้ริ้วขี้เหร่ (พี่ ๆ นิดผิวขาวกันทุกคน มีแต่นิดแหละที่ออกจะมีสีผิวที่คล้ำกว่าพี่ ๆ) เพราะพ่อกับแม่ได้ถ่ายทอดส่วนดี ๆ ให้พี่ ๆ ไปหมดแล้ว...ตามคำแหย่เย้าของญาติ ๆ
มันดูเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรนัก... หากสำหรับเด็กตัวเล็ก ๆ ใจเล็ก ๆ คนหนึ่ง ความเชื่อเช่นนี้มันกลับกลายเป็นปมที่ขมวดตัวซุกซ่อนอยู่อย่างเงียบ ๆ...

ถ้านิดรู้ความพอ นิดอาจจะรู้สึกดีขึ้นมาอีกหน่อยเมื่ออีกสามปีต่อมานิดก็มีน้องคลานตามมาอีกคน... และอีกคนเมื่อนิดอายุได้หกขวบ...

แต่ก็นั่นแหละ... จากการเป็น 'ลูกหลง' อยู่ประมาณสามปี...ในวัยหกปีนิดก็ต้องกลายเป็น 'ลูกคนกลาง' (หรือที่ฝรั่งเรียกว่าเด็กวันพุธ - Wednsday Child) ไปอย่างจำยอม...ปมเดิมที่เคยมีนั้นไม่ได้ลบเลือนหายไป หากกลับเพิ่มขนาดและเพิ่มความซับซ้อนขึ้นอีกเป็นเท่าตัว

แน่ล่ะ...ถึงพ่อจะเคยอ่านหนังสือหนังหามามากมาย หรือตำราทางจิตวิทยาพ่อก็เคยอ่านผ่านตาไปบ้าง...แต่พ่อย่อมไม่เคยเรียนรู้ถึงทฤษฎีที่ว่าด้วยพัฒนาการทางอารมณ์ของเด็กแรกเกิดหรือทฤษฎีที่เกี่ยวกับ "ลูกคนกลาง" เป็นแน่...
พ่อจึงไม่เข้าใจเลยว่า ทำไมลูกสาวคนที่สาม(ลูกคนที่สี่)ของพ่อถึงได้กลายเป็นเด็กที่ผิดพี่แผกน้องเอาเสียมากมาย...ด้วยนิดนั้นเช่างเป็นเด็กที่อ่อนไหว อ่อนแอเหลือเกิน ขี้ขลาดขี้อายก็ปานนั้น หนำซ้ำยังเป็นคนที่ขาดความมั่นใจในตัวเองเป็นที่สุด

มีเรื่องเล่าขานถึงความเป็นเด็กอารมณ์อ่อนไหวของนิดอยู่เรื่องหนึ่ง....ตอนนั้นนิดเรียนอยู่ประมาณชั้นป.สอง วันหนึ่งนิดกลับจากโรงเรียนด้วยหน้าตาที่แดงก่ำ นัยน์ตาบวมเป่งทั้งสองข้างราวกับว่าเพิ่งผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก จนพ่อกับแม่เห็นแล้วตกใจ คิดว่านิดไม่สบาย หรือถูกเพื่อนหรือใครรังแกมา พ่อถามนิดนิดก็ไม่ยอมตอบ ได้แต่ทำหน้าเบะ...ถามพี่ที่เดินกลับมาด้วยกันก็ไม่รู้เรื่อง

พ่อจึงไปถามครูประจำชั้นของนิดซึ่งพักอยู่ที่บ้านพักครูในโรงเรียนนั่นเอง...ครูหัวเราะก๊ากอย่างชอบใจที่เห็นพ่อหน้าตาตื่นไปถามถึงสาเหตุแห่งการร้องไห้ของนิด...ครูบอกว่าเด็กหญิงนิดร้องไห้เพราะสงสารแม่ไก่น่ะ...

เมื่อเห็นพ่อยังทำท่างง ครูก็ขยายความต่อว่า วันนี้ครูเอานิทานเรื่องแม่ไก่ตัวหนึ่งที่ประมาทเดินออกไปนอกถนนแล้วถูกรถชนจนตายมาเล่าให้เด็ก ๆ ฟังในห้องก่อนเลิกเรียน เพื่อเป็นการเตือนเด็ก ๆ ให้ระมัดระวังในเรื่องของการข้ามถนน...ใครจะคาดคิดว่านิดจะ'อิน' กับเรื่องที่คุณครูเล่าเสียจนร้องไห้ร้องห่มใหญ่โตด้วยความสงสารแม่ไก่ตัวนั้น...
พ่อเดินอมยิ้มกลับบ้านด้วยความสบายใจ แล้วก็เอามาเล่าให้แม่กับพี่ ๆ ฟัง หัวเราะชอบอกชอบใจกันยกใหญ่โดยไม่สนใจเลยว่านิดก็นั่งหน้าคว่ำฟังอยู่ด้วย...

อีกเรื่องที่บอกเล่าถึงความเป็นเด็กขี้กลัวของนิด...
ครั้งหนึ่ง ในวัย ๘ - ๙ ขวบโดยประมาณ...พวกเราไปเที่ยวงานวัดต่างบ้านกันเป็นกลุ่มใหญ่.นิดเดินเกาะมือพี่นาก (ลูกสาวคนโตของป้า ลูกพี่ลูกน้องของเรา) อย่างแน่นเหนียวด้วยความตื่นเต้น ทางที่เราเดินไปนั้นเป็นถนนที่ตัดผ่านทุ่งนา ไม่กว้างแต่ก็ไม่แคบนัก ขนาดรถยนต์แล่นสวนกันได้สบาย ๆ
พวกเราเดิน ๆ วิ่ง ๆ ตามกันไปอย่างร่าเริง เพราะงานวัดกับเด็ก ๆ ช่างเป็นสิ่งที่เร้าใจเสียนี่กระไร มีความสนุกสนานมากมายรอเราอยู่ที่นั่น ไม่ว่าจะเป็นหนังกลางแปลงเอย ชิงช้าสวรรค์เอย สารพัดสารพัน...
ทันใดนั้น ก็มีรถยนต์คันหนึ่งห้อตะบึงมาข้างหน้า...ห่างออกไปราว ๆ ห้าร้อยเมตร...รถคันนั้งแล่นเร็วเหลือเกิน ดูเหมือนว่ามันกำลังจะพุ่งตรงมาหาพวกเรายังไงยังงั้น
ด้วยความกลัวสุดขีด นิดลากมือพี่นากวิ่งออกจากถนน ลงไปในทุ่งนาที่เดชะบุญว่าเพิ่งผ่านพ้นฤดูเก็บเกี่ยวไปไม่นาน...แต่พื้นดินก็ขรุขระและเต็มไปด้วยตอซังข้าว ทำให้พี่นากซึ่งไม่ทันตั้งตัวหกล้มหกลุก แข้งขาถลอกปอกเปิกเลยทีเดียว ในขณะที่คนอื่น ๆ ก็ได้แต่ยืนมองอยู่ข้างทางอย่างงง ๆ ว่ามันเกิดอะไรขึ้น...
และรถยนต์คันนั้นก็แล่นผ่านกลุ่มพวกเราไปอย่างเรียบร้อยเป็นปกติดี มิได้เฉี่ยวชนผู้ใดให้ได้รับบาดเจ็บ...หรือแม้แต่จะเฉียดมาใกล้พวกเราเลยแม้แต่น้อย...

วัยเด็กของนิดไม่ผาดโผนเหมือนพี่ ๆ น้อง ๆ คนอื่น ๆ นัก เนื่องจากความเปราะบางทางร่างกายของนิด...
นิดมักจะมีอาการกระดูกหัวไหล่เคลื่อนอยู่บ่อย ๆ ถ้าถูกใครดึงแขนแรง ๆ หรือตัวเองเผลอเล่นแกว่งแขนแรง ๆ เข้า และผู้เดียวที่จะสามารถจับหัวไหล่นิดให้เข้าที่ได้ก็คือพ่อ...
ไม่ว่านิดจะไปเล่นที่ไหนกับใคร ถ้านิดมีอาการแบบที่ว่านี้เกิดขึ้นมา จะไม่มีใครกล้าแตะต้องนิด เพราะนิดจะมีหน้าตาบิดเบี้ยวเหยเกด้วยความเจ็บปวด ดูน่าหวาดเสียวมาก พวกเราคนใดคนหนึ่งจะต้องวิ่งไปตามพ่อมาให้เร็วที่สุด...
และไม่ว่าพ่อจะทำอะไรอยู่ ต่อให้สำคัญคอขาดบาดตายขนาดไหนพ่อก็ต้องทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างในมือแล้วก็วิ่งตะบึงมาจับหัวไหล่นิดให้เข้าที่...แล้วนิดก็หายเจ็บหายปวดไปได้เมื่อเวลาผ่านไปเพียงครู่

เมื่อนิดโตขึ้นสู่รุ่นสาวนั่นแหละ อาการนั้นจึงค่อย ๆ ห่างหายไป...

พ่อไม่หนักใจนักกับเรื่องการเรียนของนิด...เพราะนิดจัดได้ว่าเป็นเด็กเรียนดีคนหนึ่งเหมือนกัน..(จะว่าไปพวกเราก็เรียนดีกันทุกคนนั่นแหละ อยู่ที่ว่าเรียนดีแล้วจะเกหรือเปล่าเท่านั้น...)
แต่พ่อต้องมาเป็นห่วง กังวลใจเกี่ยวกับนิดเมื่อนิดย่างเข้าสู่วัยทำงานนี้ต่างหาก...เพราะพ่อมองว่านิดนั้นเป็นคนเฉื่อยชาเหลือเกิน ไม่มีความทะเยอทะยานเอาเสียเลย
นิดต่อต้านการแข่งขันทุกชนิด และรักชีวิตอิสระ หวงแหน "โลกส่วนตัว" ของตัวเองเป็นชีวิตจิตใจ...

ในวัยเรียน นิดเคยต้องเครียดและกดดันทุกครั้งเมื่อต้องเข้าห้องสอบ ไม่ว่าจะเป็นการสอบเล็กสอบย่อย หรือสอบใหญ่...หลายครั้งความเครียดนั้นส่งผลกระทบถึงสุขภาพร่างกายของนิดอย่างเลี่ยงไม่ได้
ดังนั้นเมื่อถึงวัยทำงาน นิดจึงเลือกและรักที่จะทำงานที่จะสร้างแรงกดดันให้ตัวเองให้น้อยที่สุด ...เรื่องของผลตอบแทนกลายเป็นเรื่องรองลงไปที่นิดจะคำนึงถึง
นิดมีพี่ที่เป็นข้าราชการอยู่แล้วถึงสามคนนิดจึงไม่ต้องห่วงว่าพ่อกับแม่จะลำบากหากเจ็บไข้ได้ป่วยอะไรไป...

นิดไม่ได้คิดถึงตัวเอง...พ่อจึงต้องคิดแทน...
พ่อเฝ้ามองวิถีชีวิตของนิดอย่างเป็นห่วง เพราะนิดเป็นลูกสาวคนเดียวที่ "ขายไม่ออก"...และดูเหมือนว่าจะไม่สนใจ ใส่ใจที่จะ "ขาย" ตัวเองให้ออกเสียด้วย...
นิดเอาจริงเอาจังกับการศึกษาและปฏิบัติธรรม บางช่วงในชีวิต นิดถึงกับเข้าไปใช้ชีวิตอยู่ในสำนักปฏิบัติธรรมเป็นเดือน...เป็นปี...

นิดเชื่อกระทั่งว่านิดจะสามารถ "ยึด" วัดไว้เป็นเรือนตายได้ แต่พ่อไม่เชื่อเช่นนั้น...

พ่ออาจจะเบาใจที่เป็นกังวลลงได้บ้าง เมื่อพ่อได้มีโอกาสตามนิดเข้าไปรู้จัก และสัมผัสกับผู้คนและสังคมที่นิดใช้ชีวิตคลุกคลีใกล้ชิดอยู่ด้วยในขณะนั้น...
แต่พ่อก็ยังห่วงอยู่ดี เพราะนิดเป็นผู้หญิง และนิดก็ไม่ใช่นักบวช...

มีคำโบราณของล้านนาที่กล่าวเปรียบเปรยคนโสด และฐานะยากจนไม่มีสมบัติติดตัวว่าเป็นเหมือนขอนไม้ที่ไม่มีเห็ด ย่อมไม่มีใครเหลียวแล...พ่อก็กลัวว่านิดอาจจะต้องเป็นเช่นนั้นเมื่อแก่ตัวลง...
มิใยที่นิดจะพร่ำบอกว่าตัวเธอเองไม่เคยคิดห่วงตัวเองในข้อนั้นเลย นิดมั่นใจในธรรมะที่เธอพากเพียรปฏิบัติมาเป็นเวลานานและยึดเป็นสรณะประจำตัวประจำใจมาโดยตลอดว่าจะนำพาชีวิตของเธอให้ดำเนินไปสู่เป้าหมายสุดท้ายแห่งชีวิตได้อย่างมั่นคง...

พ่อเรียกประชุมพวกเราพี่น้องแล้วบอกว่าพ่อจะโอนบ้านพร้อมที่ดิน ที่อยู่ปัจจุบันนี้ให้เป็นชื่อของนิดละนะ เพื่อนิดจะได้มีหลักประกันให้กับตัวเอง...เพราะ 'บ้าน' ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในปัจจัยหลักของชีวิต อย่างน้อย...นิดจะได้เป็นขอนไม้ที่มีเห็ดให้ผู้คนแวะเวียนมาเก็บไปกินบ้าง...ไม่ต้องเป็นขอนไม้ผุ ๆ อยู่อย่างแห้งแล้ง เดียวดาย...
ซึ่งพวกเราก็เข้าใจเหตุผลของพ่อและไม่มีใครขัดข้อง...

นอกจากนี้พ่อยังพร่ำบอกพวกเราเสมอว่าอย่าทิ้งนิด...
บอกพี่ ๆ ว่าอย่าทิ้งน้องนะ...บอกน้อง ๆ ว่าอย่าทิ้งพี่นะ...
และถึงแม้พวกเราจะรับแรงแข็งขอบแค่ไหน พ่อก็ยังคงห่วงอยู่นั่นแหละ...

แม้ในวาระสุดท้ายแห่งชีวิต...พ่อป่วยหนักและนอนอยู่ในโรงพยาบาลเป็นเวลาต่อเนื่องกันเป็นเดือน ๆ โดยมีนิดนั่นแหละที่ดูแลใกล้ชิดที่สุด...เพราะนิดเป็นคนเดียวที่ไม่ได้ทำงานประจำ...

ในช่วงนั้นพ่ออยู่ในภาวะที่แทบไม่รู้สึกตัวแล้ว...
พ่อพูดไม่ได้ แต่พ่อมักจะลืมตาขึ้นมามองหน้านิดทีละนาน ๆ แล้วนิดก็จะอ่านหนังสือธรรมะให้พ่อฟังบ้าง สวดมนต์บ้าง เปิด MP3 คำสอนของหลวงพ่อที่พ่อเคารพนับถือให้ฟังบ้าง...
บางครั้งนิดก็ร้องเพลง...เพลงโปรดของพ่อคือเพลง "เจ้าดวงดอกไม้ " (ของคุณจรัล มโนเพ็ชร) ซึ่งนิดก็สามารถร้องเพลงนี้วนไปวนมาหลายรอบอย่างไม่รู้เบื่อหน่าย...
นิดบอกว่า...นิดเชื่อว่าพ่อรับรู้ทุกอย่างที่นิดทำให้...

วันหนึ่งเมื่อน้องสาวคนเล็กมาเปลี่ยนให้นิดกลับไปอาบน้ำที่บ้าน...นิดขี่มอเตอร์ไซค์คู่ชีพกลับบ้านตามปกติ...แต่วันนั้นนิดไปไม่ทันถึงบ้านก็ต้องกลับมาที่โรงพยาบาลภายในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ในสภาพคนเจ็บเพราะนิดเกิดอุบัติเหตุในระหว่างทาง...
เมื่อมีคนไปบอกน้องของนิดที่ห้อง...น้องจึงรีบออกมาดูนิดที่ห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาล...แม่...ซึ่งตอนนั้นนั่งอยู่ข้างเตียงพ่อบอกว่า...พ่อมองสบตาแม่แล้วส่ายหน้าไปมา น้ำตาพ่อไหลรินลงหางตาทั้งสองข้าง แม่ต้องรีบบอกพ่อว่านิดไม่เป็นอะไรมากหรอก ...แต่พ่อก็ยังไม่หยุดกระสับกระส่าย...

นิดไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรมากมายจริง ๆ แค่ถลอกปอกเปิกและปลาย ๆ กระดูกไหปลาร้าหักนิดหน่อย เมื่อนิดทำแผลเสร็จแล้วเดินกลับมาที่ห้อง...
นั่นแหละ พ่อจึงดูสงบลง...แต่สายตาของพ่อยังคงจ้องจับอยู่ที่แขนข้างขวาของนิดที่คล้องไว้ด้วยผ้าคล้องแขนของทางโรงพยาบาลอยู่...นิ่งและนาน...มีวาบแววแห่งความห่วงใยลึกซึ้งเปี่ยมล้นอยู่ในนั้น...




(หมายเหตุจขบ. : ขอสารภาพว่าฉันเขียนตอนนี้ด้วยความลำบากใจเล็กน้อย เพราะว่าในบรรดาพี่น้องทั้งหมด ฉันสนิทกับพี่น้องคนนี้มากที่สุด และด้วยความที่สนิทกันมากที่สุดนี่แหละที่ทำให้ฉันรู้ว่า เธอคนนี้มีโลกส่วนตัวค่อนข้างสูง...ก่อนลงมือเขียนฉันก็ถูกกำกับมาว่า...เธอต้องเขียนถึงฉันให้ดีนา...ไม่งั้น 'เป็นเรื่อง'...)








Create Date :16 มกราคม 2551 Last Update :18 มกราคม 2551 15:30:21 น. Counter : Pageviews. Comments :24