bloggang.com mainmenu search


ขอเกริ่นก่อน...

เว้นว่างห่างเหินจากการดูแลบล็อกกลุ่มนี้มาเนิ่นนานเต็มที ทั้ง ๆ ที่ยังเล่าเรื่องของพ่อยังไม่จบบริบูรณ์เลย...

ขออภัยเถอะค่ะ สารภาพว่ามันเกิดอาการติด ๆ ตัน ๆ ตื้อ ๆ บอกไม่ถูก...
(สงสัยไม่อยากให้เรื่องของพ่อจบลงไปตามชีวิตของพ่อนั่นแหละ...
และดูเหมือนว่า แท้จริงแล้ว...
เรื่องของพ่อช่างมีมากมายให้เล่าได้ไม่รู้จบทีเดียว...)

ขออนุญาตพักเรื่องของพ่อไว้อีกสักระยะหนึ่ง...
แต่ขอเปลี่ยนมาเป็นนำเรื่องเล่าของพ่อมาเล่าต่อก็แล้วกันนะคะ
ต้องขอคุยหน่อยว่าพ่อของแม่ไก่น่ะ เขาเป็นนักอ่าน นักคิด
นักเขียน นักเล่านิทานตัวยงคนหนึ่งเชียวค่ะ
ไม่ว่าพ่อเขาจะไปไหน ๆ สิ่งของที่จะต้องติดตัวเขาอยู่ตลอดก็คือ
หนังสือ(อย่างน้อยหนึ่งเล่ม)

สมุดบันทึกเล่มโต (เป็นสมุดทำมือที่พ่อทำเองด้วยนะ โดยพ่อเขาจะนำกระดาษฟุลสแก้ปบ้าง กระดาษโรเนียวบ้างซึ่งเป็นกระดาษใช้แล้วที่พ่อขอมาจากโรงเรียน หรือไม่ก็จากบรรดาชีทเรียนของลูก ๆ นี่แหละ นำมาเจาะรูแล้วร้อยด้วยเชือกป่านที่ฝั้นเองอีกต่างหาก...
เท่านี้พ่อก็จะได้สมุดบันทึกเล่มใหญ่ ๆ บันทึกได้อิสระดังใจพ่อเลยทีเดียว... )

ดินสอกะปากกาอย่างละหนึ่งด้าม ...
(ถ้ากระดาษพื้นขาว ๆ พ่อจะใช้ดินสอ
แต่ถ้าเป็นกระดาษโรเนียวสีขุ่น ๆ พ่อต้องใช้ปากกา
ไม่งั้นจะเขียนไม่ชัด)

แล้วพ่อเขาก็จะบันทึกทุกอย่างที่ขวางหน้า...
หรือถึงแม้ไม่ได้ออกไปไหน เมื่ออยู่กับบ้านงานสุดโปรดของพ่อก็คือ...การได้นั่งลงที่โต๊ะตัวโปรดแล้วก็ขีดเขียนนั่นนี่ไปเรื่อยเปื่อย...
เรื่องของพ่อที่แม่ไก่เล่าไปทั้งหมดเกือบยี่สิบตอนนั่น ส่วนใหญ่ก็ร้อยเรียงมาจากสมุดบันทึกของพ่อนี่แหละค่ะ
รวมทั้งบรรดา "กำบ่ะเก่า" ในบล็อกคนเมืองอู้กำเมืองนั่นก็อีก...
แอบคัดลอกของพ่อเขาไปทั้งนั้น...

แหะ ๆ คุยยาววววว....อีกแล้ว
กลุ่มบล็อกนี้ ช่วงนี้ขอ "คัดลอก" นิทานของพ่อมานำเสนอค่ะ บางเรื่องก็อาจจะซ้ำ ๆ กับแหล่งที่มาแหล่งอื่น เพราะบางทีพ่อเขาไปอ่านเจอในหนังสือเก่า ๆ แล้วนำมาจดบันทึกไว้
แต่บางเรื่องพ่อเขาก็เล่าเองนะคะ จำได้ว่าสมัยเด็ก ๆ บางเรื่องพ่อก็ด้นสด ๆ กลายเป็นนิทานที่เล่าได้ไม่รู้จบก็มี...บางเรื่องก็ปริวัตรมาจากนิทานธัมม์หรือนิทานชาดกที่จารไว้ในใบลานเป็นภาษากำเมือง
ซึ่งจะได้พยายามเก็บมารวบรวมไว้ตรงนี้ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
(ปัญหาของอิฉันถ้าจะมีก็คือ...ขี้เกียจพิมพ์นั่นเอง...)





นิทานของพ่อ เรื่องที่ ๑
เรื่อง เสือ ช้างใหญ่ กับกระต่ายเจ้าปัญญา


กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในป่าใหญ่แห่งหนึ่ง มีสัตว์น้อยใหญ่มากมายอาศัยอยู่ร่วมกัน ต่างก็หากินตามวิสัยไม่เบียดเบียนกัน

อยู่มาวันหนึ่ง เจ้าเสือหนุ่มตัวหนึ่งเกิดอารมณ์นึกสนุกขึ้นมา อยากจะลองดีกับช้างใหญ่ มันจึงเดินไปยังที่อยู่ของช้าง ในตอนเย็นวันนั้น...
ช้างใหญ่เพิ่งกลับมาจากการออกหากินประจำวันพอดี เมื่อกลับมายังที่อยู่แล้วพบกับเจ้าเสือหนุ่มก็ร้องทักทายอย่างอารมณ์ดีว่า...

ช้าง : "โอ...เจ้าเสือ วันนี้คิดยังไงหรือ ถึงได้มาหาข้าถึงนี่ในเวลาย่ำค่ำอย่างนี้ ?"

เสือ : " สวัสดีพ่อใหญ่ช้าง คือข้ามาคิด ๆ ว่าพวกเรานี่ก็อาศัยอยู่ในป่าเดียวกันนี้มานานแล้ว ไม่ค่อยได้โอภาปราศรัยกันสักเท่าไหร่ วันนี้ข้าคิดอะไรสนุก ๆ ขึ้นมาได้เลยอยากจะมาชวนท่านมาร่วมเล่นสนุกกับข้าน่ะ "

ช้าง : "เล่นอะไรหรือ พ่อเสือหนุ่ม ?"
เสือ : "คืองี้พ่อช้าง...ข้าน่ะเห็นว่าท่านน่ะเป็นช้างตัวใหญ่ ลำคอก็ใหญ่โตกว่าข้ามากมายหลายเท่านัก ข้าก็เลยอยากจะรู้ว่าเสียงร้องของท่านกับของข้าใครจะดังกว่ากันเท่านั้นเอง..."

ช้างได้ยินดังนั้นก็หัวเราะชอบใจ กล่าวว่า "เออ...พ่อเสือหนุ่มนี่ช่างคิดแฮะ ว่าแต่แล้วเราจะรู้ได้ยังไงล่ะ...?"

เสือก็บอกว่า..."อ๋อ...ไม่ยากดอก พ่อช้าง เราก็ลองมาแข่งเสียงร้องกันดูทีหรือ ดูซิว่าเสียงร้องของใครจะดังไปไกลกว่ากัน ดีไหมท่าน ?"
ช้างใหญ่ก็หัวเราะ แล้วพูดว่า "เอาอย่างนั้นหรือ ข้าน่ะยังไงก็ได้ ว่าแต่ท่านเถอะ ท่านก็พูดเองว่าข้าน่ะตัวก็ใหญ่กว่าท่าน ลำคอก็ใหญ่โตกว่าท่าน แล้วไฉนถึงคิดอยากมาแข่งเสียงร้องกับข้าล่ะ ท่านไม่กลัวแพ้ข้าหรือ ?"
เจ้าเสือก็ตอบว่า "ก็แค่เล่นสนุก ๆ เท่านั้นแหละพ่อช้าง...
แต่ว่าถ้าจะให้สนุกยิ่งขึ้น ข้าว่าเราต้องมีเดิมพันกันเสียหน่อยไหม ?"

ช้างใหญ่ได้ฟังก็หัวเราะร่า..."ตกลง ๆ พ่อเสือ เอาอย่างนี้ ในฐานะที่ข้าตัวใหญ่กว่าท่านข้าขอเป็นคนกำหนดเดิมพันเองก็แล้วกัน...
ถ้าท่านชนะข้า ร้องได้เสียงดังไปไกลกว่าข้า ข้ายอมให้ท่านตัดขาข้าหนึ่งข้าง เอาไหม แต่ถ้าท่านแพ้ข้า ข้าจะขอแค่ปลายหางของท่านเท่านั้นเอง ตกลงไหม ?"

เจ้าเสือก็ตอบตกลงตามนั้น
จากนั้นสัตว์ใหญ่ทั้งสองก็นัดแนะกัน และบอกว่าแต่ละตัวจะต้องหาสักขีพยานของตัวเองมาอย่างละหนึ่งตัว จะเป็นสัตว์อะไรก็ได้ แล้วให้มาพบกันที่เดิมในอีกสามวันข้างหน้า...
แล้วทั้งสองก็แยกย้ายกันไป...





อีกสามวันต่อมา เสือก็เดินทางมาหาช้างใหญ่พร้อมด้วยสุนัขจิ้งจอกหนึ่งตัว เพื่อให้เป็นสักขีพยานฝ่ายตน ส่วนช้างใหญ่ก็ได้เชิญนกแขกเต้าที่อาศัยอยู่ใกล้ ๆ กันนั้นมาเป็นสักขีพยานให้

เมื่อทั้งหมดมาถึงจุดนัดพบก็ทำความเข้าใจและข้อตกลงในการแข่งขันทันที
ช้างใหญ่กับเจ้าเสือเห็นพ้องต้องกันว่า จะให้สักขีพยานของตนทั้งสองเดินทางไปยังทิศใต้ อันเป็นทิศที่อยู่ใต้ลมจากจุดที่คู่แข่งขันยืนอยู่ และใช้ต้นประดู่สองต้นที่ยืนต้นโดดเด่นตรงเนินเขาด้านโน้นเป็นจุดเป้าหมาย เมื่อสุนัขจิ้งจอกกับนกแขกเต้าไปถึงตรงนั้นก็ให้บินวนเวียนอยู่บนยอดต้นประดู่ให้ทางนี้รับรู้ จะได้เริ่มการแข่งขัน...

นกแขกเต้าบินไปถึงที่นั่นก่อนสุนัขจิ้งจอก ก็ขึ้นไปบินวนสามรอบตามที่ได้รับคำสั่งมา ช้างใหญ่เห็นดังนั้นก็บอกเจ้าเสือว่า

"...เอาล่ะ ในฐานะที่ท่านเป็นผู้ท้าประลอง เราขอให้ท่านเป็นฝ่ายเริ่มก่อนก็แล้วกัน..."
เสือตอบตกลง แล้วจึงเริ่มส่งเสียงร้องดัง "โฮกกกก...! โฮกกกก! ........." ถึงเจ็ดที เสียงนั้นดังเหมือนเสียงกลองทุ่ม สะท้อนก้องไปทั้งราวป่า จนเจ้านกแขกเต้าที่เกาะอยู่บนปลายไม้กับเจ้าสุนัขจิ้งจอกที่กำลังเดินทางไปยังไม่ถึงจุดหมายปลายทางได้ยินอย่างชัดเจนที่สุด

เมื่อเสือร้องจบก็กระหยิ่มยิ้มย่องในพลังเสียงของตนเอง บอกกับช้างใหญ่ว่า...
"เอ้า...ทีนี้ถึงตาท่านบ้างล่ะนะพ่อช้าง..."
ถึงตอนนั้นเจ้าหมาจิ้งจอกก็เดินทางไปถึงจุดนัดหมายกับเจ้านกแขกเต้าพอดี
ช้างใหญ่ก็ส่งเสียงร้องบ้าง เสียงของช้างนั้นดัง...
"แปร๊นนน!...แปร้นนน! ..." ซึ่งช้างก็ร้องเจ็ดทีเช่นกัน
เสียงนั้นดังเหมือนเสียงฉาบใหญ่ที่แม้จะดังมากหากก็ไม่ก้องกังวานไปไกลเท่ากับเสียงเจ้าเสือ

เมื่อทั้งสองร้องจบ ก็รออยู่สักพักนกแขกเต้าก็บินกลับมาก่อน...เจ้าเสือกับช้างใหญ่ก็ถามขึ้นพร้อมกันว่า..."เป็นยังไงเจ้านก...เสียงของใครดังกว่ากันเมื่อกี้นี้ ?"
นกแขกเต้าก็ตอบตามตรงว่าเสียงของเจ้าเสือฟังชัดเจนกว่า ก้องกังวานไปไกลมาก...ช้างใหญ่ก็รู้สึกผิดหวังในขณะที่เจ้าเสือก็ทำท่ายิ้มน้อยยิ้มใหญ่
แต่ช้างใหญ่ก็บอกว่า...
"เจ้าอย่าเพ่อกระหยิ่มใจไป เดี๋ยวรอเจ้าหมาจิ้งจอกมาถึงก่อนค่อยตัดสินอีกที "

รอเพียงครู่ เจ้าสุนัขจิ้งจอกก็กลับมาถึงด้วยท่าทางที่หอบแฮ่ก ๆ ...
เสือกับช้างก็ถามเหมือนกันอีกว่า...."เป็นยังไงเจ้าหมาจิ้งจอก...เสียงของใครดังกว่ากันเมื่อกี้นี้ ?"
เจ้าสุนัขจิ้งจอกก็ตอบตามที่ตังเองได้ยินว่า "เสียงของเจ้าเสือดังก้องไปไกลกว่าอย่างชัดเจนจ้า...เสียงพ่อช้างก็ดังเหมือนกันแต่ไม่ก้องกังวานเท่า..."

เจ้าเสือได้ฟังดังนั้นก็หัวร่อร่าอย่างชอบใจ แล้วจึงบอกกับช้างใหญ่ว่า "เป็นอันว่าข้าชนะท่านขาดลอยแล้วนะพ่อช้าง...แต่เอาเถอะ ข้าไม่รีบร้อนทวงเดิมพันจากท่านหรอก ข้าจะให้เวลาท่านเตรียมตัวเตรียมใจสักสามวันเป็นไร แล้วข้าถึงจะมาขอตัดขาท่านหนึ่งขาตามที่เราได้ตกลงกันไว้..."

ช้างใหญ่ก็หน้าเสีย แต่ก็ต้องยอมรับตามคำสัจจ์ที่ได้พูดไว้ บอกกับเจ้าเสือว่า...
" ถ้าอย่างนั้น อีกสามวันท่านก็มาพบข้าที่นี่ตามเดิมก็แล้วกัน ข้าจะรอท่านอยู่ที่นี่แหละ ไม่หนีไปไหน "

จากนั้นสัตว์ทั้งหมดก็แยกย้ายกันจากไป





ฝ่ายช้างใหญ่เมื่อกลับมายังที่อยู่ของตนก็มีท่าทีที่เงียบเหงา ซึมเซา นึกถึงว่าตนเองจะต้องสูญเสียขาไปหนึ่งขาก็รู้สึกไม่สบายใจ...

ยังมีกระต่ายน้อยตัวหนึ่งซึ่งอาศัยอยู่ในป่าแถบเดียวกันนั้น มันเคยมาเยี่ยมช้างใหญ่อยู่เป็นประจำเพราะมันรู้สึกรักและเคารพพ่อช้างใหญ่มาก ในเย็นวันนั้นเจ้ากระต่ายป่าตัวนั้นก็มาหาพ่อช้างใหญ่เหมือนเช่นเคย เมื่อเห็นท่าทีที่หงอยเหงาของพ่อช้าง เจ้ากระต่ายจึงถามไถ่ถึงสาเหตุ...

ช้างใหญ่จึงเล่าถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้กระต่ายฟัง
กระต่ายนิ่งฟังอย่างตั้งใจ พลางคิดตามไปด้วยอย่างรวดเร็ว เมื่อช้างใหญ่เล่าจบ กระต่ายป่าก็บอกกับช้างว่า

"พ่อช้างใหญ่อย่าได้กังวลไใจไปเลย เรายังมีเวลาอีกตั้งสามวัน ประเดี๋ยวข้าจะหาทางช่วยพ่อใหญ่เอง"

ช้างใหญ่ได้ยินดังนั้นก็ถามว่า..."เจ้าจะทำอย่างไร จะให้ข้าหนีไปน่ะข้าไม่ทำหรอกนะ ให้ข้าตายเสียยังจะดีกว่าที่ข้าจะต้องเสียคำสัจจ์"

กระต่ายน้อยก็บอกว่า "รับรองว่าข้าไม่ให้เสียท่านพ่อช้างใหญ่หรอก เราเพียงแต่ออกอุบายไม่ให้ท่านต้องเสียขาเท่านั้นเอง...ขอเวลาข้าไปปรึกษากับเจ้าลิงเพื่อนข้าก่อน แล้วขาจะกลับมาบอกแผนการของข้าให้ท่านฟัง"

ว่าแล้วเจ้ากระต่ายก็ขอตัวจากไป





อีกสามวันต่อมา เป็นวันที่ชี้ชะตาขาของช้างใหญ่...
เจ้ากระต่ายก็เดินทางมาหาช้างใหญ่แต่เช้า บอกช้างใหญ่ว่า
"ขอให้ท่านทำตามที่ข้าบอกก็แล้วกัน...แล้วข้ารับรองว่าท่านต้องปลอดภัย"

ในเวลาอีกไม่นาน เจ้าเสือก็เดินทางมาหาช้างใหญ่ แต่บนหลังเจ้าเสือนั้นมีเจ้าลิงตัวหนึ่งเกาะติดมาด้วย...เห็นอยู่ไกล ๆ ลิบ ๆ โน่น

เจ้ากระต่ายจึงรีบกระซิบให้ช้างใหญ่หมอบลงแล้วตัวมันก็กระโดดขึ้นไปเกาะอยู่ตรงโคนใบหูของช้าง...

แล้วให้ช้างยืนขึ้น ขวางทางของเจ้าเสือกับลิงไว้

เมื่อมาใกล้ เจ้าลิงก็ทำทีเป็นร้องตะโกนอย่างตกใจว่า...
"เฮ้...อะไรกันนั่นท่านเสือ ท่านเห็นไหม เจ้ากระต่ายมันกำลังแทะหูช้าง เจ้าข้าเอ๊ย...สัตว์เล็กกินสัตว์ใหญ่ เจ้าข้าเอ๊ย...!"

เมื่อเสือมองตามไปก็เห็นภาพดังที่เจ้าลิงร้อง จึงยืนลังเลอยู่
ฝ่ายเจ้ากระต่ายก็ลุกขึ้นยืนบนคอช้างแล้วร้องตะโกนใส่เจ้าลิงว่า

"อ้าวเฮ้ย ! เจ้าลิง เอ็งเป็นหนี้เสือข้าถึงเจ็ดตัว ทำไมเอามาแค่ตัวเดียว อีกหกตัวที่เหลือเมื่อไหร่เอ็งจะเอามาให้ข้าได้ล่ะ เสือตัวเดียวข้ากินไม่อิ่มหรอกนะโว๊ย..."

เจ้าเสือเมื่อได้ยินดังนั้นก็ตกใจ คิดว่าตนถูกเจ้าลิงหลอกมาให้กระต่ายกินเป็นการใช้หนี้ จึงหันหลังกลับสะบัดเจ้าลิงจนหลุดกระเด็นตกจากหลัง แล้วกระโจนหนีเข้าป่าไปอย่างไม่คิดชีวิต...





นิทานเรื่องนี้ก็จบลงอย่าง...แฮปปี้เอนดิ้ง ด้วยประการฉะนี้
คติเตือนใจจากนิทานน่าจะได้แก่...
คนหรือสัตว์ที่โง่ย่อมเป็นเหยื่อของคนหรือสัตว์ที่ฉลาดกว่า













Create Date :26 มิถุนายน 2551 Last Update :8 มิถุนายน 2552 12:31:32 น. Counter : Pageviews. Comments :12