bloggang.com mainmenu search
 ระวัง! “มโนโซเชียลฯ” กล่าวหามั่วนิ่ม เตรียมถูกฟ้องจากโพสต์! เพียงความหวังดีแค่โพสต์เดียวที่อยากช่วยเหลือเพื่อมนุษย์ด้วยกัน แต่ใครเล่าจะรู้ว่าหากไม่ไตร่ตรองให้ดี จะกลายเป็นประเด็นดรามาให้สังคมออกมาประจาน ถึงเวลาแล้วที่คนใช้โซเชียลฯ ต้องใช้อย่างระมัดระวัง ไม่เช่นนั้นคุณอาจกลายเป็นจำเลยทางสังคมรายต่อไป!

มโนผิด คิดจนตัวตาย
โลกออนไลน์ปะทุขึ้นอีกครั้ง หลักจากเกิดกรณีแชร์ภาพเตือนภัยที่มีการส่งต่อกันไปอย่างรวดเร็ว เมื่อผู้ใช้เฟซบุ๊ก 'Jakaphet Paungmala' ได้โพสต์ภาพและข้อความเตือนภัยผู้หญิง ที่ใช้บริการรถไฟฟ้า BTS ให้ระมัดระวังตัวจากหนุ่มโรคจิตที่แอบถ่ายภาพใต้กระโปรงสาว ๆ

ผู้โพสต์ได้อ้างว่าชายหนุ่มคนดังกล่าวนั้น ติดกล้องแอบถ่ายไว้ที่รองเท้าด้านซ้าย เพื่อแอบถ่ายใต้กระโปรง โดยเนื้อหาในข้อความมีใจความว่า “ไม่รู้ว่าพี่เขาเป็นใคร แต่พี่เขาไฮเทค มีกล้องตัวจิ๋วที่ปลายรองเท้าด้านซ้ายด้วยอ่ะ กระโปรงสั้นก็ระวังกันหน่อยนะ สาว ๆ @BTS Onnut”

ในภาพปรากกฏให้เห็น เป็นชายหนุ่มที่แต่งกายปกติ ยืนเล่นมือถือบนรถไฟฟ้า BTS แต่ก็ต้องแปลกใจเมื่อลองสังเกตที่รองเท้าของชายหนุ่มคนดังกล่าว กลับพบว่าบริเวณปลายเท้าด้านซ้าย มีลักษณะคล้ายกับกล้องตัวจิ๋วติดอยู่คล้ายกับเป็นการติดเพื่อไว้ใช้แอบถ่ายใต้กระโปรงสุภาพสตรี

หลังจากภาพดังกล่าวถูกแชร์และส่งต่อไปอย่างรวดเร็วในโลกโซเชียลฯ เห็นคราวจะต้องเงิบกันยกใหญ่ เมื่อความจริงปรากฏขึ้น เนื่องจากเพื่อนของผู้เสียหายได้ออกมาให้ข้อมูลว่า เพื่อนของตนต้องเดินทางไปทำงานด้วยรถไฟฟ้า BTS ทุกวัน

แต่หลังจากมีภาพประจาน ที่อ้างว่าเพื่อนของตนเป็นโรคจิตแอบถ่ายเผยแพร่ออกไป ทำให้ชายที่ตกเป็นเหยื่อต้องเปลี่ยนการเดินทางจากรถไฟฟ้า เป็นรถแท็กซี่แทน เพราะได้รับความอับอายเป็นอย่างมาก ทั้งๆ ที่เรื่องที่แชร์ในโลกออนไลน์ไม่เป็นความจริง โดยมีใจความว่า


“สวัสดีค่ะ แน่นอนว่าคุณไม่รู้จักดิฉัน และดิฉันก็ไม่ได้รู้จักคุณมาก่อน แต่ดิฉันมีเรื่องจะแจ้งให้ทราบค่ะว่า สิ่งที่คุณเคยโพสต์ผ่านโลกโซเชียลฯ ก่อนหน้านี้นั้นมันไม่ใช่ความจริงแต่อย่างใด คุณไม่ได้รู้จริง แต่คุณก็โพสต์มันออกมา ซึ่งผลของมันก็ทำให้คนที่อยู่ในภาพได้รับความเดือดร้อน

ผู้ชายคนนั้นเป็นเพื่อนของแฟนฉันเองค่ะ เค้าขึ้นรถไฟฟ้า BTS เป็นประจำทุกวัน แต่หลังจากที่คุณได้แชร์ภาพดังกล่าวได้ส่งผลให้เค้าใช้ชีวิตประจำวันลำบาก เนื่องจากภาพที่คุณโพสต์ไปนั้นได้แสดงใบหน้าของเค้าชัดเจน แต่เค้าต้องเปลี่ยนวิถีชีวิตจากนั่ง BTS เป็นนั่ง Taxi แทน เพราะว่าอับอาย ทั้งที่ไม่เป็นความจริงค่ะ

หนุ่มโรคจิตซ่อนกล้องจิ๋วไว้ที่รองเท้า !!! ในรองเท้าคู่นั้นไม่มีกล้องจิ๋วแต่อย่างใด แต่ที่รองเท้าเป็นรูเพราะโดนสะเก็ดเชื่อมแอร์ค่ะ สังเกตดี ๆ ว่าเป็นทั้งสองข้าง แต่อีกข้างไม่ได้เป็นวงกลมชัดเจน

ตอนนี้เพื่อนของแฟนดิฉันกำลังรวบรวมข้อมูลที่จะฟ้องผู้ที่เผยแพร่ภาพดั่งกล่าว ที่ทำให้เค้าเกิดความเสียหาย ดิฉันอยากจะขอให้คุณออกมาแก้ข่าวก่อนหน้านี้ที่คุณเคยโพสต์ไปด้วยค่ะ เพื่อให้เกิดความกระจ่าง และให้คนดีได้ยืนอยู่ในสังคมต่อไปขอบคุณมากค่ะ ”

ข้อเท็จจริงดังกล่าวๆ เปิดเผยผ่านผู้ใช้งานเฟซบุ๊กส่วนตัว Nattapon Sa-adjai ซึ่งเป็นเพื่อนของชายผู้ตกเป็นจำเลย โพสท์โพสต์ชี้แจ้งไปยังแฟนเพจชื่อดัง YouLike (คลิปเด็ด) เพื่อขอให้แก้ไขข้อมูลผิดๆ และให้ความเป็นธรรมกับชายในภาพ เพราะหลังจากมีการแชร์ข้อมูลผิดๆ ออกไป ชายปริศนาในภาพถูกโจมตีอย่างรุนแรง ซึ่งเวลาถัดมา ได้รับการเปิดเผยต่อว่า ชายผู้ตกเป็นผู้เสียหายรายนี้เข้าแจ้งความดำเนินคคีกับมือโพสต์ต้นเรื่อง

โซเชียลฯ ประชาทัณฑ์! สนับสนุนให้ฟ้องร้อง
ทันทีที่ภาพและข้อความดังกล่าวแพร่สะพัด ถูกแชร์ว่อนอินเทอร์เน็ต ผู้ใช้งานโซเชียลมีเดียต่างพากันก่นด่าพฤติกรรมของชายปริศนาในภาพเสียยกใหญ่ โดยไม่ได้กลั่นกรองข้อมูล ทว่า เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏกลายเป็นกรณีตัวอย่างที่สังคมไทยต้องจดจำ เพราะจบแบบหักมุม

แน่นอนผู้ใช้งานโซเชียลมีเดียจำนวนมาก รวมทั้งสื่อบางสำนักต่างพากันแชร์ข้อมูลดังกล่าว เผยแพร่เพื่อเป็นการเตือนภัย โดยเฉพาะเฟซบุ๊กแฟนเพจยอดนิยม YouLike (คลิปเด็ด) ที่นำเรื่องราวดังกล่าวไปแชร์ตกเป็นกระแสอย่างหนักหน่วง ทว่า ในเวลาถัดมา ชายผู้ตกเป็นจำเลยสังคมในภาพดังกล่าว แสดงตนว่าบริสุทธิ์โดยเข้าแจ้งความดำเนินคดีต่อผู้ที่โพสต์ภาพและข้อความให้ร้ายตนเสียหาย

โดยบรรดาเพื่อนๆ และญาติของชายผู้นั้น ต่างพากันเปิดเผยข้อเท็จจริงในประเด็นเขาที่โดนสังคมก่นด่าเพียงเพราะหลงเชื่อง่ายๆ และเปิดรับข้อมูลเพียงด้านเดียว เพราะบทสรุปของเหตุดังกล่าว รองเท้าของชายในภาพคู่ที่ถูกตีธงว่าซ่อนกล้องแอบถ่ายเป็นเพียงรูขาดจากการใช้งานเท่านั้น

กลายๆ ว่า เป็นกรณีตัวอย่างที่กระตุ้นเตือนผู้ใช้งานโซเชียลมีเดียให้พิจารณาข้อมูลอย่างถี่ถ้วนก่อนแชร์ข้อมูลผิดๆ กรณีสร้างความเสียหายแก่บุคคลอื่นผ่านการแชร์ข้อมูลผิดๆ ในโซเชียล มีความผิดและถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

“เห็นด้วย บางคนมีมือถือไว้ถ่ายคลิปแล้วลงโลกโซเชียลฯ เห็นเป็นเรื่องสนุกบางทีข้อมูลก็ไม่ได้เป็นความจริงเลย แต่สิ่งที่คุณทั้งหลายทำนั่นน่ะ เคยคิดย้อนกลับไปไหมว่า หลังจากที่ลงคลิปทำร้ายคนอื่นแล้ว ชีวิตเขาจะเป็นอย่างไร บางทีคนดีๆ ไม่มีที่อยู่เพราะพวกไร้มันสมอง สุดท้ายแค่ออกมาขอโทษแต่รู้ไหมคุณได้ทำร้ายชีวิตคนอื่นเขาแล้ว แบบนี้ต้องเอาเรื่องให้ถึงที่สุด” ความคิดเห็นจากผู้ใช้งานโซเชียลฯ “Back Rose Ruk” ที่เห็นพ้องให้ชายผู้เสียหายดำเนินคดี

“เชื่อไม่ลืมหูลืมตา พอข่าวบอกว่ามีกล้อง ก็ด่าเค้าซะไม่เหลือชิ้นดี แต่พอข่าวใหม่ออกมา ก็ด่าคนอัพรูปไม่เหลือชิ้นดี นี้แหละเนอะ สังคมonline” ความคิดเห็นจากผู้ใช้งานโซเชียลฯ “Ao NA Ja PowerUp”

“จริงๆ แล้วเราควรหาวิธีสร้างความมั่นใจว่าคนๆ นั้นเป็นคนไม่ดีจริงๆ แล้วถึงโพสต์ อย่างเช่นเขากำลังเอารองเท้าสอดไปใต้กระโปรงใครอยู่ ในกรณีแบบนั้นเชิญเจ้าหน้าที่บนรถไฟฟ้ามาแจ้งให้เขาถอดรองเท้า แล้วถึงโพสต์ อะไรประมาณนั้น ปล.คุณควรขอโทษเขาด้วยการซื้อรองเท้าคู่ใหม่ไปให้เขา เพราะมันทำให้คุณเข้าใจเขาผิด” ความคิดเห็นจากผู้ใช้งานโซเชียลฯ “เสาวลักษณ์ แจ่มจอมทอง”

จำไว้!! ถ้าไม่อยากถูกประจาน
จากประเด็นดังกล่าวที่ได้รับรู้ ทำให้เกิดเป็นกระแสตามมาว่ามันสมควรแล้วหรือ? ที่ชอบแช๊ะ ชอบแชร์โดยไม่ไตร่ตรองให้ดีเสียก่อน จากความหวังดีที่อยากช่วยเหลือผู้อื่น แต่ความรู้เท่าไม่ถึงการณ์นั้นกลับเป็นการฆ่าตัวเองในภายหลังเพราะโดนประจานเสียเอง อาทิตย์ สุริยวงศ์กุล เครือข่าย พลเมืองเน็ต ให้ความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้

“ผมคิดว่า ชีวิตคนเรา เหตุการณ์ต่างๆ ไม่ว่าอะไรก็ตามบางทีมันก็คล้ายๆ กับหนังที่ว่า บางทีเราเห็นภาพบางส่วน เห็นภาพไม่หมด แต่ว่าด้วยเจตนาดี ด้วยประสบการณ์ที่เคยประสบมา และด้วยความอยากจะเตือนให้คนอื่นระวังก็เลยตัดสินไปก่อน

แต่ไม่ได้หมายถึงว่าเจตนาไม่ดี ก็คือด้วยเจตนาดีนี่แหละ แต่มันด่วนตัดสินไปนิดนึง มันจึงทำให้คนที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นบุคคลในภาพหรือคนที่ต้องรับผิดชอบต่อเหตุการณ์นั้นๆ ต้องได้รับความเดือดร้อนและถูกวิพากษ์วิจารณ์”

ปฏิเสธไม่ได้ ว่าทุกคนในสังคมอยากเป็นพลเมือง ที่อยากทำความดีให้สังคมกันทั้งนั้น ผู้คนเหล่านี้จึงอยากตรวจตราสอดส่องให้บ้านเมือง และสังคมอยู่กันอย่างสงบและปลอดภัย หากเห็นอะไรที่ไม่ชอบมาพากลหรือไม่ปกติ เลยต้องลุกขึ้นมาช่วยกันเตือนภัย

“ผมคิดว่าคนถ่ายรูปไม่ได้ตั้งใจมีเจตนาร้าย ผมคิดว่าเจตนาดี และในเฟซบุ๊กหลายครั้งก็ด้วยเจตนาดีนี่แหละ เตือนภัยกัน แต่หลายครั้งไอ้ความเจตนาดีนี่แหละ บางครั้งเราอาจไม่ได้ระมัดระวังเท่าไหร่นัก เพราะคิดว่าทำดีแล้วนะ มีแชร์ไปไม่เป็นไรหรอก แล้วก็คนนี้เป็นคนร้ายเป็นคนทำผิด ฉะนั้นมันก็สมควรแล้วที่เราจะต้องเปิดเผยหน้าเขา เปิดเผยข้อมูลส่วนตัวของเขา บางครั้งการละเมิดมันอาจจะไม่ใช่การแสดงให้เห็นหน้าคนๆ นี้โดยตรง”

อีกทางหนึ่ง ขอการเตือนภัย หากเราอยู่ในสถานการณ์ดังกล่าวเราไม่จำเป็นต้องพึ่งโซเชียลมีเดียไปเสียทุกอย่างก็ได้ หากเราลองมองรอบๆ ตัวยังมีวิธีอื่นอีกตั้งมากมาย อาทิตย์ แนะนำเพิ่มเติมว่า

“ถ้าคนนี้เห็นว่าตรงรองเท้านี้เป็นกล้องหรือเปล่า ดูแล้วคิดว่าจะมีการแอบถ่าย ถ้าอยากจะถ่ายรูปเป็นหลักฐานก็ถ่ายไว้ แต่ว่าอย่าเพิ่งแชร์ได้มั้ย ไปแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจได้มั้ย หรือเจ้าหน้าที่รถไฟฟ้า ให้ช่วยตรวจสอบได้มั้ย

ในรถไฟฟ้ามีกล้องวงจรปิด ดูได้ว่าคนๆนี้มีพฤติกรรมอย่างไร เข้าออกอย่างไร เป็นอย่างที่เราตั้งข้อสงสัยว่าเขาเป็นคนกระทำผิดหรือไม่ ถ้าเกิดว่ามันไม่เป็นความจริงจะได้เคลียร์กันไป ไม่ต้องแชร์ต่อแล้ว ลบๆทิ้งไป ขอโทษขอโพยกันไป”

แน่นอนมัน เมื่อรูปภาพดังกล่าวถูกแพร่สะพัดออกไป นั่นคือการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลกับคนที่เขาไม่ได้ทำผิด เพราะฉะนั้นการที่คิดจะทำอะไร ต้องไต่ตรองให้ดี

“อย่างน้อยเขาแค่เสียเวลาแต่ชี้แจงกับเจ้าหน้าที่รถไฟ เจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่มันไม่ถึงกับประจานหน้าเขาทำให้เขาเสียหายไปแล้วในวงกว้างในทางสาธารณะ อันนี้มันก็ทำได้ คือทำยังไงที่จะไม่เป็นศาลเตี้ย ก็คือว่าตัวเราแต่ละคนถึงแม้ว่าจะเห็นพฤติกรรมไม่ชอบมาพากล แต่เราก็อาจจะไม่มีข้อมูลมากพอที่จะรู้ได้แน่ๆ ว่าเขาทำจริงหรือไม่ทำจริง

ทำไมไม่ใช่กลไกที่มีอยู่แล้ว เจ้าหน้าที่รถไฟก็ตามหรือเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ตาม ให้เข้ามาช่วยดูแล เราใช้วิธีแจ้งไป ผมว่าอันนี้คือวิธีที่พอได้ ไม่ใช่ว่ามีอะไรก็ประจานกันอย่างเดียวก็ลำบาก สุดท้ายก็ควบคุมไม่ได้ พอแชร์ไปก็ไม่รู้ตอนนี้ไปถึงไหนแล้ว” เครือข่าย พลเมืองเน็ต กล่าวทิ้งท้าย

…........................
ข่าวโดย Astv ผู้จัดการ Live
Create Date :25 ธันวาคม 2557 Last Update :25 ธันวาคม 2557 8:59:52 น. Counter : 1720 Pageviews. Comments :0