ภาวะความไม่พอใจในเพศตัวเอง ในภาษาการแพทย์ใช้คำเรียกภาวะนี้ว่า gender identity disorder (GID)ขณะที่สมัยก่อนจะใช้คำว่า transsexualism แต่ปัจจุบันไม่นิยมใช้เท่าไรแล้ว ในบทความนี้จึงขอใช้คำว่า GID เป็นหลัก เพื่อหลีกเลี่ยงคำประเภท ตุ๊ด กะเทย แต๋ว หรือหญิงข้ามเพศ ซึ่งบางคำอาจฟังไม่ไพเราะ และเพื่อหลีกเลี่ยงความเข้าใจที่ไม่ตรงกัน พัฒนาการด้านเพศของเด็ก โดยปกติจะพบว่าอายุ 2-3 ปี เด็กจะเริ่มรู้จักเพศตนเอง บอกเพศตนเอง และผู้อื่นได้อายุ 3-5 ปี เริ่มเลียนแบบบทบาททางเพศของพ่อหรือแม่ที่เป็นเพศเดียวกันอายุ 6-12 ปี เริ่มเลียนแบบคนรอบๆ ตัว ต่อมาเริ่มมีกลุ่มเพื่อนเพศเดียวกัน ส่งเสริมพฤติกรรมกันและกันอายุ 13-18 ปี เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงทางร้างกาย เกิดความรู้สึกทางเพศ รู้ว่าตนเองชอบเพศใด และโดยปกติแล้วความพอใจทางเพศนี้เมื่อเกิดแล้วจะไม่เปลี่ยนแปลง ถ้ารักเพศเดียวกันก็เรียกว่ารักร่วมเพศGID คืออะไรGID คือ ภาวะที่มีความไม่พอใจในเพศตัวเอง คิดว่าตัวเองน่าจะเป็นเพศตรงข้าม รังเกียจอวัยวะเพศของตนเอง ทำให้มีความต้องการจะเป็นเพศตรงข้ามเมื่อโตขึ้น ซึ่งก็คือ ผู้ชายอยากจะเป็นผู้หญิง และผู้หญิงอยากจะเป็นผู้ชายนั่นเองพบได้บ่อยแค่ไหน?GID จะพบในผู้ชายบ่อยกว่าผู้หญิงประมาณ 3-5 เท่า โดยเพศชายพบได้ 1 ใน 30,000 คน ส่วนเพศหญิงพบได้ 1 ใน 100,000 คน สาเหตุการเกิด GIDปัจจัยทางด้านพันธุกรรม ยังไม่มีการศึกษาที่มากพอเกี่ยวกับเรื่องผลของพันธุกรรม กับ GID มีเพียงบางการศึกษาที่พบว่าพันธุกรรมอาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเกิด GID ปัจจัยทางด้านกายภาพ เชื่อว่าเกี่ยวข้องกับฮอร์โมนแอนโดรเจน ในช่วงระหว่างการตั้งครรภ์ นั้นคือโดยปกติแล้ว ในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ในช่วงที่เป็นตัวอ่อนเนื้อเยื่อจะถูกกำหนดมาให้เป็นเพศหญิงไว้ก่อน แต่หากมีฮอร์โมนแอนโดรเจน (ซึ่งมีการสร้างฮอร์โมนแอนโดรเจนนั้นถูกกำหนดโดยโครโมโซมY) เกิดขึ้น ฮอร์โมนแอนโดรเจนจะทำให้เกิดการพัฒนาและการเจริญของอัณฑะ ทำให้บริเวณอวัยวะเพศเกิดการเปลี่ยนแปลงไปเป็นอวัยวะเพศชาย แต่หากไม่มีฮอร์โมนแอนโดรเจนจะทำให้เกิดอวัยวะเพศหญิง พูดง่ายๆ ก็คือฮอร์โมนแอนโดรเจนเป็นฮอร์โมนความเป็นชายนั่นเองนอกจากนี้ฮอร์โมนแอนโดรเจนยังเกี่ยวกับความชอบทางเพศด้วย โดยการมีฮอร์โมนแอนโดรเจนมากทำให้เกิดความชอบต่อเพศหญิง ส่วนการมีฮอร์โมนแอนโดรเจนน้อยทำให้มีความชอบในเพศชาย จากการศึกษาพบว่าการที่มารดามีฮอร์โมนแอนโดรเจนต่ำในช่วงตั้งครรภ์ทำให้เด็กผู้ชายเติบโตมีลักษณะและพฤติกรรมที่ค่อนไปทางเพศหญิง ในขณะเดียวกันเด็กผู้หญิงที่มีฮอร์โมนแอนโดรเจนสูงก็จะมีลักษณะและท่าทางออกไปทางผู้ชายปัจจุบันทางด้านการเลี้ยงดู พบว่าในเรื่องความสัมพันธ์ของเด็กกับพ่อแม่ มีความสำคัญเป็นอย่างมาก โดยหากพ่อหรือแม่มีปัญหา มีการใช้ความรุนแรง หรือไม่ใกล้ชิด จะทำให้ลูกเกิดปัญหาทางเพศได้ เช่น เด็กผู้ชายที่พ่อไม่อยู่หรือพ่อเป็นตัวอย่างไม่ดี เช่น ก้าวร้าว เมาเหล้า ตบตี ก็ทำให้เด็กไม่มีแบบอย่างที่ดีในการเลียนแบบ หรืออาจนำไปสู่การโกรธ เกลียด ไม่พอใจในเพศชาย รวมถึงทำให้เด็กสนิทกับแม่ ซึ่งเป็นเพศหญิงมากเกินไป จนเกิดการเลียนแบบแม่แทนGID กับ homosexual ต่างกันอย่างไรสองภาวะนี้มีความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดใน homosexual นั้น ถึงแม้จะชอบเพศเดียวกัน แต่คนๆ นั้นจะยังมีบทบาทหรือการใช้ชีวิตในแบบเพศของตัวเอง ตัวอย่างเช่น เกย์ แม้จะชอบผู้ชาย แต่ก็จะยังแต่งตัวแบบผู้ชายใช้ชีวิตหรือทำงานแบบผู้ชายได้ และไม่ได้ต้องการเปลี่ยนเพศ เพียงแต่ชอบผู้ชายเท่านั้น ซึ่งจะไม่เหมือนกับ GID ในเพศชาย ที่จะต้องการมีบทบาท หรือใช้ชีวิตแบบเพศหญิง แต่งตัวเป็นผู้หญิง ไว้ผมแต่งหน้า ทำงานแบบที่ผู้หญิงชอบทำ และต้องการที่จะแปลงเพศอีกปัจจัยหนึ่งจากการเลี้ยงดูก็คือ การส่งเสริมหรือยอมรับในพฤติกรรมทางเพศของพ่อแม่ เช่น การที่พ่อแม่ไม่ทำให้เด็กพอใจหรือยอมรับในเพศตัวเอง แต่กลับมีท่าทีหรือทัศนคติบางอย่างที่ทำให้เด็กคิดว่า การทำตัวเป็นเพศตรงข้ามจะทำให้ตัวเองมีคุณค่ามากกว่า รวมไปถึงการที่เด็กแสดงออกผิดเพศแล้วพ่อแม่ไม่แก้ไข เช่น พ่อที่อยากได้ลูกชายมาก เมื่อได้ลูกสาวก็อาจจะชอบที่ลูกเล่นอะไรแบบเด็กผู้ชาย และไม่พยายามห้าม เป็นต้นลักษณะอาการเป็นอย่างไรแม้ว่าผู้ปกครองส่วนใหญ่อาจจะสังเกตเห็นความผิดปกติของเด็กที่เป็น GID ได้ตั้งแต่อายุประมาณ 3-4 ขวบ แต่มักจะเห็นได้ชัดเจนเมื่อเข้าวัยเรียนไปแล้วโดยอาการหลักๆ จะประกอบไปด้วย 3 องค์ประกอบ-มีความไม่พอใจในเพศตัวเองอย่างมาก-เอาแบบเพศตรงข้ามอย่างชัดเจนและเป็นตลอดเวลา-มีความต้องการจะเป็นเพศอื่นโดยในเด็กผู้หญิง อาจจะเห็นว่า เด็กชอบที่จะเล่นอะไรแบบผู้ชายมากกว่า เช่น เล่นบอล เล่นต่อสู้ เล่นแรงๆ แทนที่จะเล่นตุ๊กตา เล่นเป็นครอบครัว หรือเล่นทำอาหารในเด็กผู้ชายจะพบว่า เด็กจะสนใจกิจกรรมแบบผู้หญิงมากกว่า เช่น มีตุ๊กตาเป็นของเล่นชิ้นโปรด มากกว่าสัตว์ประหลาด หรือหุ่นยนต์ต่างๆ เด็กชอบเล่นเป็นครอบครัว (โดยที่มักจะชอบเล่นเป็นแม่) ชอบเล่นกับเด็กผู้หญิงมากกว่าเด็กผู้ชาย หรือบางครั้งอาจจะแต่งตัวหรือใช้เครื่องประดับของผู้หญิง (มักหยิบเอาของแม่หรือพี่สาวมาใส่)เด็กกลุ่มนี้เมื่อโตขึ้นมักจะบอกว่าตัวเองอยากเป็นเพศตรงข้าม เด็กผู้ชายบางคนอาจจะบอกว่า เมื่อโตขึ้นอัณฑะของเขาจะหายไป หรืออาจจะบอกว่า เขาจะมีความสุขกว่านี้หากไม่มีอัณฑะ ส่วนใหญ่เด็กผู้หญิงอาจจะบอกว่าไม่อยากจะมีเต้านมเมื่อเข้าสู่วัยรุ่น คนกลุ่มนี้ต้องการมีชีวิตและถูกปฏิบัติแบบเพศตรงข้าม ต้องการลักษณะทางเพศของเพศตรงข้าม ชอบและอยากที่จะแต่งตัวเป็นเพศตรงข้าม ทำกิจกรรมแบบเพศตรงข้าม รวมถึงมีความคิดว่าตัวเองเกิดมาผิดเพศ (เช่น ผู้ชายเป็น GID มักจะบอกว่า รู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้หญิงที่เกิดมาในร่างผู้ชาย) มักเริ่มอยากที่จะใช้ยาฮอร์โมน หรือผ่าตัด เพื่อเปลี่ยนรูปลักษณะภายนอกให้เป็นเพศตรงข้ามโดยในผู้ชายมักจะกินฮอร์โมนเอสโตรเจน โดยอาจจะใช้วิธีกินยาคุมเพื่อให้มีหน้าอก และมีรูปร่างแบบผู้หญิง รวมถึงอาจจะไปจี้หรือเลเซอร์เอาขน หนวด เคราออก ส่วนผู้หญิงมักเริ่มจากพันผ้าที่หน้าอก (เพื่อให้เหมือนไม่มี) หรืออาจจะสนใจการผ่าตัดเพื่อตัดเต้านม กินฮอร์โมนเพศชายเพื่อเพิ่มกล้ามเนื้อ เพื่อให้เสียงเปลี่ยนเป็นแบบผู้ชายการดำเนินของโรคและอนาคตแม้จะพบว่าส่วนใหญ่แล้วผู้ป่วยจะมีอาการให้เห็นตั้งแต่ตอน 3-4 ขวบ และจะแสดงอาการให้เห็นมากขึ้นตามอายุ แต่ก็ไม่ได้แปลว่าเด็กทุกคนที่มีอาการจะโตขึ้นมาเป็น GID ทุกคน โดยบางส่วนจะโตขึ้นมาเป็น homosexual บางส่วนก็กลับเป็นปกติ และบางส่วนเป็น GID ต่อไปการรักษาในเด็กการรักษา GID นั้น หากรักษาตั้งแต่อายุยังน้อยจะได้ผลดีกว่า และมีโอกาสหายมากกว่าปล่อยให้มีอาการจนเข้าวัยรุ่น ซึ่งการรักษามักไม่ค่อยได้ผล อย่างไรก็ดี การรักษาตั้งแต่เด็กก็อาจจะได้ผลบ้าง ไม่ได้ผลบ้าง ดังนั้นไม่ควรคาดหวังว่าจะเปลี่ยนได้ในทุกรายสำหรับวิธีการรักษาใช้การปรับเรื่องทักษะทางสังคมให้เหมาะสมกับเพศของเด็ก โดยการให้ความรู้ ความเข้าใจแก่ครอบครัว พยายามให้เด็กทำอะไรที่เหมาะสมกับเพศ ให้อยู่ร่วมกับเพื่อนที่เป็นเพศเดียวกัน ให้พ่อหรือแม่ที่เป็นเพศเดียวกันเข้ามามีส่วนดูแลลูกมากขึ้น (เช่น ลูกชาย ก็ให้ใกล้ชิดกับพ่อมากขึ้น) เป็นต้น รวมถึงการลดความตึงเครียดในครอบครัว เช่น ไม่ตำหนิหรือด่าว่าเด็กอย่างรุนแรง ส่งเสริมให้เด็กเข้ากลุ่มกับเพศเดียวกันที่โรงเรียน ส่งเสริมการแสดงออกให้เหมาะสมกับเพศ เช่น เด็กผู้ชายก็คงเหมาะกับการเล่นฟุตบอลมากกว่าแสดงละครเป็นผู้หญิงในวัยรุ่นจนถึงผู้ใหญ่ มีการพูดกันเล่นๆ ว่า “GID ในเด็กนั้นให้รักษาเด็ก แต่ในวัยรุ่นนั้นให้รักษาพ่อแม่” หมายถึง เมื่อเลยเข้ามาถึงวัยรุ่นหรือวัยผู้ใหญ่ มักแก้ไขอะไรที่ตัวเด็กไม่ได้แล้ว และไม่มียาตัวใดหรือการรักษาใดในโลกนี้ที่ทำให้ผู้ป่วยกลับมาชอบเพศตัวเองได้ ดังนั้นการรักษา คือ การให้พ่อแม่ทำใจ เข้าใจ และยอมรับในตัวลูกได้ โดยไม่ดุด่า ไม่คาดหวัง ไม่เสียใจกับตัวเด็ก ส่วนการรักษาตัวลูกนั้นมักจะเป็นในแง่ของการช่วยให้ผู้ป่วยเป็นเพศที่เขาอยากจะเป็น และมีชีวิตอยู่อย่างสุขภาพจิตดี-ให้ผู้ป่วยได้ทดลองใช้ชีวิตในแบบเพศตรงข้ามสักระยะหนึ่ง-การรักษาด้วยฮอร์โมน (hormone treatment) โดยในผู้ชายจะให้กินฮอร์โมนเอสโตรเจน เพื่อให้มีเต้านม มีลักษณะภายนอกไปทางผู้หญิง ซึ่งจากประสบการณ์พบว่าผู้ป่วยส่วนใหญ่ที่ GID มักจะใช้วิธีไปซื้อยาคุมกินเอง และกินเป็นจำนวนมาก (บางคนกินเดือนละ4-8แผง) ซึ่งค่อนข้างจะเสี่ยงต่ออันตรายจากผลข้างเคียงของยาโดยเฉพาะเมื่อใช้ไปนานๆ ดังนั้นควรจะไปตรวจดูผลข้างเคียงของการใช้ฮอร์โมนกับแพทย์เป็นระยะๆ เพราะอาจมีผลต่อการทำงานของตับ ระดับไขมันในเลือด ระดับน้ำตาลในเลือด หรือปัญหาเกี่ยวกับเรื่องหลอดเลือดอุดตันได้ ส่วนในผู้หญิงจะใช้ฮอร์โมนเทสโทสเทอโรน ด้วยการฉีดทุก 3-4 สัปดาห์ เพื่อช่วยเพิ่มกล้ามเนื้อและทำให้เสียงเหมือนผู้ชาย รวมถึงมีผลทำให้ไม่มีประจำเดือน ซึ่งควรตรวจกับแพทย์เป็นระยะเพื่อระวังผลข้างเคียงจากการใช้ฮอร์โมนเช่นกัน-การผ่าตัดแปลงเพศ มักเป็นการรักษาขั้นสุดท้ายในปัจจุบันกำหนดไว้ว่า การผ่าตัดแปลงเพศจะทำได้เมื่ออายุ 20 ปีบริบูรณ์เท่านั้น หากอยุ 18-20 ปี ต้องมีผู้ปกครองให้ความยินยอม โดยผู้ป่วยควรที่จะได้ทดลองใช้ชีวิตในแบบเพศตรงข้ามมาแล้วอย่างน้อย 1 ปีขึ้นไป ขอบคุณ : HealthToday และ กรมสุขภาพจิต Create Date :05 พฤศจิกายน 2554 Last Update :5 พฤศจิกายน 2554 11:45:40 น. Counter : Pageviews. Comments :0 twitter google Comment * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก