ฆาตกรรมวังหลวง : คดีลอบปลงพระชนม์รัชกาลที่ ๒ จริงหรือข่าวลือ?
โดย วิภา จิรภาไพศาล wipha_chi@yahoo.com
"พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย และกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์" จิตรกรรมฝาผนังขึ้นใหม่ภายในศาลาทรงยุโรปหลังองค์พระสมุทรเจดีย์ จังหวัดสมุทรปราการ
หลังการเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ.2367 ก็เกิดเสียงร่ำลือว่านี้คือ "ฆาตกรรมอำพราง"
เสียงร่ำลือพาดพิงถึงบุคคลที่ได้ประโยชน์
หนึ่งคือ เจ้าจอมมารดาเรียม พระสนมเอกในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย และเป็นพระราชชนนีของกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์
หนึ่งคือ กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ ที่ขึ้นครองราชสมบัติเป็นพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ที่แม้จะเป็น "ลูกชายคนโต" และมีทั้งอำนาจและบารมีในขณะนั้น แต่โดยราชประเพณีของการสืบสันตติวงศ์ต้องถือว่าพระองค์ไม่มีสิทธิ
เสียงร่ำลือดังยาวนานมาเกือบ 200 ปี เบาบ้าง ตามเหตุบ้านการเมืองแต่ละช่วง
ล่าสุด ปรามินทร์ เครือทอง เขียนบทความวิเคราะห์สถานการณ์ดังกล่าวจากการค้นคว้าเอกสารร่วมสมัยต่างๆ ลงนิตยสาร "ศิลปวัฒนธรรม" ฉบับเดือนพฤศจิกายน ชื่อบทความว่า "ฆาตกรรมวังหลวง : คดีลอบปลงพระชนม์รัชกาลที่ 2 จริงหรือลือ?" โดยการสาวไปตามเงื่อนงำต่างๆ เท่าที่เอกสารจะมีให้สาวได้
เจ้าพระยาทิพากรวงศ์ เขียนถึงเหตุการณ์สวรรคตครั้งนี้ไว้ในพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 2 ว่า
(ซ้าย) พระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ประดิษฐานภายในปราสาทพระเทพบิดร วัดพระศรีรัตนศาสดาราม (ภาพจากจิตรกรรมและประติมากรรมแบบตะวันตกในราชสำนักเล่ม 1 จัดพิมพ์โดยสำนักพระราชวัง พ.ศ.2536)
(ขวา) พระบรมรูปพระบาทสมเด็จพะจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 (ภาพจากจิตรกรรมและประติมากรรมแบบตะวันตกในราชสำนักเล่ม 1 จัดพิมพ์โดยสำนักพระราชวัง พ.ศ.2536)
"สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวดำรงราชสมบัติมาตั้งแต่ปีมะเส็งเอกศก มาถึง ณ วันพุธ เดือนแปด แรมสี่ค่ำ ปีวอกฉศก ทรงพระประชวรให้มึนเมื่อยพระองค์ เรียกพระโอสถชื่อจารในเพชรข้างที่ ที่เคยเสวยนั้นมาเสวย ครั้นเสวยแล้วให้ร้อนเป็นกำลัง เรียกทิพยโอสถมาเสวยอีก พระอาการก็ไม่ถอยให้เชื่อมซึมไป
แพทย์ประกอบพระโอสถถวายก็เสวยไม่ได้ มิได้ตรัสสิ่งไร มาจนถึง ณ วันพุธ เดือนแปด แรมสิบเอ็ดค่ำ เวลาย่ำค่ำแล้วห้าบาทเสด็จสู่สวรรคต"
จารในเพชร และทิพยโอสถ เป็นพระโอสถชนิดใด มีคุณสมบัติอย่างไร ผู้เขียน (ปรามินทร์) ตรวจสอบค้นหาชื่อและสรรพคุณทางยาจาก ตำราพระโอสถ ครั้งรัชกาลที่ 2 หากไม่พบยาชื่อดังกล่าวทั้งที่เป็นพระโอสถ "ที่เคยเสวย"
พระโอสถชื่อ "จารในเพชร" พระโอสถที่เรียกเสวยได้เองน่าจะเป็นยาสามัญพื้นฐานทั่วๆ ไป แต่กลับเกิดพระอาการ "ร้อนเป็นกำลัง"
เงื่อนเวลาเป็นอีกประเด็นหนึ่ง ที่ปรามินทร์นำเสนอชวนให้พิจารณาว่ามีการเตรียมความพร้อม
ปีที่พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยสวรรคต เจ้าฟ้ามงกุฎฯ (ภายหลังขึ้นครองราชย์เป็นพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว) มีพระชนมายุ 20 พรรษา กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ 37 พรรษา วันเวลาของเจ้าฟ้ามงกุฎฯกำลังรุ่งโรจน์ด้วยวัยของคนหนุ่ม
จิตรกรรมฝาผนังภายในหอพระไตรปิฎก วัดบวรนิเวศวิหาร ที่เขียน สมัยรัชกาลที่ 3 ภาพ "ประวัติคณะธรรมยุต" ในภาพกลุ่มพระภิกษุ กำลังสนทนาธรรมกับพระภิกษุทรงสมณศักดิ์ ที่นั่งเป็นประธาน บนแท่นศิลา พระภิกษุทรงสมณศักดิ์ สันนิษฐานว่าคือ เจ้าฟ้ามงกุฎฯ
ขณะเดียวกันวัย 20 พรรษาที่ต้องผนวช
พระราชพงศาวดารฯบันทึกว่า มีการกำหนดพระฤกษ์ผนวชของเจ้าฟ้ามงกุฎฯไว้ล่วงหน้า คือวันพุธ ขึ้น 12 ค่ำ เดือน 8 จุลศักราช 1186 (7 กรกฎาคม พ.ศ.2367) ในพระราชพิธีดังกล่าว พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย มีพระพลานามัยปกติ เสด็จออกถวายเครื่องบริขารและไตรจีวร
แต่หลังจากนั้นเพียง 14 วันพระองค์ก็เสด็จสวรรคตในวันพุธ แรม 11 ค่ำ เดือน 8 (21 กรกฎาคม พ.ศ.2367)
พระราชพงศาวดารฯ ระบุว่าทรงเริ่มพระประชวรเมื่อวันพุธ แรม 4 ค่ำ เดือน 8 (14 กรกฎาคม)
จดหมายความทรงจำฯ ของกรมหลวงนรินทรเทวี บันทึกว่าเป็นวันศุกร์ แรม 6 ค่ำ เดือน 8 (16 กรกฎาคม)
จดหมายเหตุโหรระบุว่าทรงเริ่มพระประชวรวันเสาร์ แรม 7 ค่ำ (17 กรกฎาคม)
แม้วันที่เริ่มมีพระอาการประชวรจะไม่ตรงกัน แต่ทำให้เห็นว่าระยะเวลาประชวรจนเสด็จสวรรคตนั้นสั้นมาก และในระหว่างมีพระอาการประชวร พระองค์ยังเสด็จออกปฏิบัติพระราชกรณียกิจเป็นปกติ
กลับไปถึงเสียงร่ำลือที่พาดพิงถึงเจ้าจอมนั้น หมอมัลคอล์ม สมิธ หมอหลวงประจำราชสำนักรัชกาลที่ 5 บันทึกถึงสิ่งที่เขาได้ยินได้ฟังมาในวังหลวงไว้ในหนังสือราชสำนักสยามฯ ว่า
"หลังจากที่ทรงผนวชได้เพียง 2 สัปดาห์ พระราชบิดาของพระองค์ [รัชกาลที่ 2] ก็เสด็จสวรรคตลงอย่างปัจจุบันทันด่วน พระนั่งเกล้าฯ พระเชษฐา ซึ่งมีตำแหน่งสำคัญในราชอาณาจักรและยังทรงได้รับการสนับสนุนจากพระมารดา ซึ่งแม้จะมีฐานะเป็นเพียงเจ้าจอม แต่ก็เป็นหญิงที่มีเล่ห์เหลี่ยม ทำให้พระองค์ทรงได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้สืบทอดราชสมบัติ"
ซึ่งก่อนหน้านั้น ในรัชกาลที่ 4 แหม่มแอนนาก็เคยได้ยินคำเล่าลือทำนองนี้มาแล้ว
เอกสารชิ้นสุดท้ายที่ปรามินทร์อ้างอิงถึงในครั้งนี้คือ พระราชนิพนธ์ภาษาบาลี ว่าด้วยพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กล่าวถึงสาเหตุแห่งการสวรรคตของพระราชบิดาว่า เสมือนพบเจอกับอสรพิษ ทำให้สวรรคตกะทันหันไม่ทันพระราชทานพระราชสมบัติให้ผู้ใด
เรื่องราว และเอกสารทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในอดีต บันทึกไว้ในอดีต และร่ำลือกันในอดีต ในวังหลวงของกรุงรัตนโกสินทร์
ขอบคุณ มติชนออนไลน์ คุณวิภา จิรภาไพศาล
โสรวารสิริสวัสดิ์ค่ะ
Create Date : 17 พฤศจิกายน 2555 |
|
0 comments |
Last Update : 17 พฤศจิกายน 2555 12:01:10 น. |
Counter : 8183 Pageviews. |
|
|
|