| จิระนันท์ พิตรปรีชา นักคิด นักเขียน นักแปล และคุณแม่ลูกสอง | | | | หากพูดถึง จิระนันท์ พิตรปรีชา นับเป็นผู้หญิงอีกหนึ่งคนที่มีอิทธิพลต่อสังคมไทยมาก เพราะเธอเป็นทั้งนักต่อสู้ทางอุดมการณ์ในยุค 14 ตุลาฯ นักคิด นักเขียน ซึ่งมีลีลาการเล่าเรื่องอันชวนติดตาม และนอกจากจะเขียนบทกวีอย่างสม่ำเสมอแล้ว ยังเขียนบทความ สารคดี แปลบทภาพยนตร์อย่างต่อเนื่องด้วย ไม่แปลกที่ชื่อของเธอจะเป็นที่รู้จักไปทั่ว และกลายเป็นผู้หญิงแถวหน้าทั้งในแวดวงการเมืองในอดีตและแวดวงวรรณกรรมในปัจจุบัน นอกเหนือจากบทบาทในข้างต้นแล้ว อีกหนึ่งบทบาทที่สำคัญ และไม่ค่อยเห็นเธอพูดออกสื่อ นั่นก็คือ บทบาทความเป็น แม่ ของลูกชายทั้ง 2 คน (แทนไท และ วรรณสิงห์ ประเสริฐกุล) และวันนี้เป็นโอกาสอันดีของทีมงาน Life & Family ที่ได้พูดคุยกับเธอถึงเรื่องดังกล่าวนี้ โดยเธอเปิดใจว่า เธอเป็นแม่ที่ค่อนข้างให้สิทธิ และเสรีภาพกับลูก เพราะเชื่อว่าเป็นสิ่งที่เด็กทุกคนต้องการ ดังนั้น การเข้าไปบงการชีวิตลูก ไม่ใช่วิถีสำหรับคนเป็นแม่อย่างเธอ เลี้ยงลูกแบบจิระนันท์ เราเปิดเสรีสุดๆ เพราะเด็กทุกคนล้วนต้องการสิทธิ เสรีภาพ ช่องว่าง และพื้นที่ว่าง ดังนั้น บ้านเราจะไม่ชี้นิ้วบงการ ขีดเส้น กำหนดลิขิตชะตาชีวิตลูก เพราะจากการที่เราเคยเป็นกบฏสังคมมาตลอด เรารู้ว่า มันไม่มีประโยชน์ที่จะไปบังคับลูกว่าต้องเข้าโรงเรียนนั้น โรงเรียนนี้ ต้องเรียนเปียโน บัลเล่ต์ หรือโตขึ้นจะต้องไปประกวดนั่นโน่นนี่ แต่เราจะทำหน้าที่สังเกตพฤติกรรมของลูกมากกว่า อย่างครั้งหนึ่งเคยดูหนังกับลูกชายคนเล็กเรื่อง Back to the Future ซึ่งเป็นภาพยนตร์แนวผจญภัยวิทยาศาสตร์ ซึ่งเราก็ดูไม่ทันว่ามันพูดอะไรกัน แต่เจ้าแทนกลับมาอธิบายเป็นฉากๆ เลยว่า เครื่องย้อนเวลามันมีหลักการทำงานอย่างไร จุดตรงนั้น ทำให้เริ่มค้นพบศักยภาพในตัวลูก และพยายามส่งเสริม เช่น ลองให้ไปสอบเข้าโครงการ พสวท.ดู ซึ่งเป็นโครงการสำหรับผู้มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพราะเราคิดว่า เราไม่ใช่แค่แม่ แต่เราเป็นครูของลูกด้วย กวีซีไรต์แม่ลูกสองเล่า เมื่อถามต่อไปว่า เป็นแม่ที่ดุไหม เธอบอกว่า ไม่ดุเลย แต่ถ้าเรื่องไหนผิดก็ต้องว่าไปตามผิด จะไม่ตามใจลูกจนเกินไป เราไม่ใช่แม่ที่พูดกับลูกว่า คุณลูกขา อย่าทำแบบนั้นนะคะ มันไม่น่ารักเลย (ทำเสียงแอ๊บแบ๊ว) มันไม่ใช่วิถีของเรา แต่หลักๆ แล้วจะเลี้ยงลูกแบบเพื่อนมากกว่า มีอะไรคุยกัน แม่รับฟังเต็มที่ อย่างเวลาเขาเจอเพื่อนติดยา มีคดีขายตัวที่โรงเรียน หรือถูกไล่ออก ซึ่งปกติเด็กไข่ในหินจะไม่มีวันปริปากบอกสิ่งเหล่านี้กับพ่อแม่หรอก เพราะถ้าบอกไป แม่ก็จะร้องกรี๊ด อุ้ยตายแล้วลูก ทำไมลูกต้องไปเจอเพื่อนแบบนั้น เลิกคบไปสักทีนะลูก แต่สำหรับคนเป็นแม่อย่างจิระนันท์ เรารับฟังได้หมด เพราะอยากทำให้ลูกไว้ใจเรา เวลามีอะไรจะได้เล่าให้เราฟัง ไม่ใช่ไปคุยกับเพื่อน หรือคนอื่นที่เราก็ไม่รู้ว่าจะเชื่อใจได้หรือไม่ แม้จะเป็นถึงกวีซีไรต์ และมีผลงานในแวดวงวรรณกรรมมากมาย จนหลายคนให้ฉายาว่าเป็นนักเขียน และนักแปลตัวแม่ แต่เธอก็ไม่เคยคาดหวังให้ลูกต้องเดินเส้นทางเดียวกับเธอ เพราะนั่นเท่ากับเพิ่มความกดดัน และความบอบช้ำให้ลูก นี่คือ สิ่งที่เธอให้ความสำคัญ และเชื่อมั่นมาโดยตลอด ลูกชายทั้งสองคนถูกแรงกดดัน และความคาดหวังรอบด้านมาก เพราะฉะนั้นไม่มีประโยชน์เลยที่เราจะไปคาดคั้นให้ลูกอ่านหนังสือ เพื่อจะได้ฉลาด มันยิ่งจะทำให้โง่ และเกิดการต่อต้าน พวกครู หรือผู้ใหญ่ในกระทรวงก็เหมือนกัน ชอบคาดคั้น หรือใช้มาตรฐานตัดสินเด็ก ซึ่งเป็นเรื่องอันตรายอย่างยิ่ง เช่น พูด ร.เรือไม่ชัด ก็ไปดุเด็กว่าเป็นคนไทยหรือเปล่า ขอถามกลับหน่อยว่า แล้วคนเหนือ คนอีสานเขามีไหม ร.เรือ ที่พูดไม่ใช่อะไรหรอกนะ แต่กำลังจะบอกผู้ใหญ่ทั้งหลายว่า อย่าไปตัดสินเด็กแบบนั้น
|