กรรมของ " ทักษิณ " คือ // ท่านอธิฐานบารมี เป็นพระโพธิสัตว์ ท่านมาจาก พุทธภูมิ // ท่านเลยต้องเที่ยวตะเวณช่วยเหลือ คนนับแสนนับล้าน
 
กรกฏาคม 2550
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
20 กรกฏาคม 2550

ชำแหละคดีซุกหุ้นภาคสอง ดีเอสไอเลีย คมช


ท่านที่ตามเรื่องซุกหุ้นภาคสองของทักษิณมา คงตามึนไปแบบผมเพราะตัวเลข วันที่ และ ผู้เล่นนั้นมากมาย เป็นสิบๆ แล้วเรียกว่าถ้าดูการโอนไปโอนมาของตัวเล่นทั้งหมด มันน่าจะสรุปได้ว่า ซุกหุ้นจริงๆ

ไม่มีหลักฐานตรงๆ มีแต่ความเชื่อและตีความ

เพียงแต่ว่ามันแปลก “ตรงตัวเชื่อม” ที่ดีเอสไอ อ้าง ที่ทำให้มันดูเหมือนว่าทักษิณชักใยอยู่เบื้องหลังทุกบริษัท คือพูดง่ายๆ ทุกบริษัท ในตัวเล่นมากมาย มันก็เป็นของทักษิณนั่นนะ แต่เอาอย่างนี้ “ตัวเชื่อม” ของ ดีเอสไอ นั้น ในภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า “Circumstantial Evidence” หรือ สภาวะแวดล้อม ผมก็นึกไปว่า หลังจากการตรวจสอบอย่างละเอียด ของ กลต ในยุคแข่งกันยำทักษิณ จะเจอ “ข้อมูลตรงๆ” ว่าทักษิณเป็นเจ้าของ แต่เปล่าเลย ไม่มีแม้แต่สิ่งเดียวที่เป็นข้อมูล มันมีแต่ “Circumstantial Evidence” ในภาษากฎหมายทั่วไป เขาเรียกว่า “ไม่เจอปืน ไม่เจอศพ” เจอแต่คนยืนอยู่ข้างกองเลือด

ตัวเชื่อมสองตัวของคดี

แล้วเจ้าตัวเชื่อมนั้นคืออะไร ที่ทำให้ฝ่ายเกลียดทักษิณ รวมไปถึงสื่อต่างๆ ถึง “สะใจกันอย่างสุดๆ” ตัวเชื่อมนี้ก็แค่ ตัวเล่นตัวหนึ่ง สละสิทธิเอาหุ้นเพิ่มทุนไปให้ลูกสาวทักษิณ จนอดเงินไป 70 ล้าน แล้วตัวเชื่อมตัวที่สองคืออะไร ก็คือ อีกหนึ่งตัวเล่น ขายตัวเล่นอื่น ที่ซื้อมาจากครอบครัวทักษิณ คืนให้แก่ครอบครัวทักษิณ หลังจากเอาไปถือไม่นาน ดีเอสไอบอกว่า “จนไม่ได้รับผลประโยชน์ต่อการถือหุ้นระยะยาว”

สองตัวเชื่อมนี้ ดรเอสไอ ระบุว่า หมายถึงว่าแทบทุกผู้เล่น เป็น “นอมินี” ให้ครอบครัวทักษิณ โดย ดีเอสไอ ใช้คำว่า “นอมินีให้ครอบครัวทักษิณจริง”

ตัวเชื่อมอ่อน

มาถึงตอนนี้ ท่านก็คงจะบอกว่า “ฟังดูมันอ่อนๆ ยังไงก็ไม่รู้นะ” เอาผมก็เห็นด้วย เพราะการ “ใช้สิทธิ” เพิ่มหรือไม่เพิ่มทุน หรือการโอนหุ้นไปให้ใคร เอาไปเพิ่ม จริงๆแล้วในแวดวงการเงิน มันมีเหตุผลที่ฟังขึ้นได้ร้อยแปด ที่เห็นได้ชัดที่สุดก็ Cash Flow Problem หรือ ปัญหากระแสเงินสด หรือโอกาสที่ดีกว่า คือเอาเพิ่มทุนตรงนี้ได้ 70 ล้าน แต่ถ้าไปทำตรงโน้นแทน อาจได้ 100 ล้าน

แล้วยิ่งถือสั้นถือยาวแล้ว “นักลงทุนคงงง” กันเป็นไก่ตาแตกแล้ว ว่า ถ้ามันวัด ใครเป็น นอมินี ใครกัน เพราะและโดยการถือยาวถือสั้น ตลาดหุ้นมันคงประสาทพอดู คือแค่นี้ยังบ่นกันแล้วว่าสถาบันแถวเอเชีย เข้าเร็วออกเร็ว สุดท้าย บริษิทที่เป็นหัวใจของเรื่องนี้ทั้งหมด ก็คือ SC Asset ที่ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ แล้วก็ทราบกันดีว่าพึ่งมาฟื้นเอาสองสามปีนี่เอง แล้วก็เพราะอยู่ในครอบครัวทักษิณ ถูก ปชป โจมตีเสียย่อยยับในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ทุกครั้ง สรุปคือ ปัจจัยซื้อขาย มันมากเหลือเกิน

สองอย่างนั้นก็คือ “ตัวเชื่อม” เอาทุกอย่าง มาเป็น นอมินี ของทักษิณ

เสียหายตรงไหน

หลังจากนั้น ดีเอสไอ ก็ลากยาวเลย ถึง ว่าถ้ามันเป็นนอมินีแล้ว มันเสียหายตรงไหน ก็มีอยู่สามส่วน แรกคือ คุมบอร์ดของ SC Asset ได้ เบ็ดเสร็จ เอาเปรียบผู้ถือหุ้นรายย่อย ที่นึกว่าคุมไม่ได้ ขนาดนั้น สองมันก็ตรงการซื้อการขายหุ้น ในจำนวนมากๆ มันต้องรายงานตลาดหลักทรัพย์ สาม ถ้าถือมากกว่าบอก เวลาแจ้งสินทรัพย์ต่อ ปปช แจ้งตรงหรือเปล่า

ดีเอสไอ ที่สรุปไปแล้วว่าทั้งหมด คือ นอมินี ครอบครัวทักษิณ ก็บอกเลยว่าทักษิณผิดหมดทุกข้อกล่าวหา หนังสือพิมพ์ส่วนมากที่เกลียดทักษิณ ใช้คำต่างๆกัน แบบ “ทักษิณอ่วม เจอข้อหาหนัก ไปจนถึงติดคุก”

หลังจากดูความเสียหายแล้ว ผมก็สงสัยต่อ ว่า.........

ถ้าซุกหุ้นจริง อะไรคือแรงจูงใจ ให้ซุก หรือว่าเพียงแต่ว่าครอบครัวนี้ชอบซุก คือถ้าซุกจริง มันซุกเพื่ออะไรกัน ถ้ามันซุกเพื่อภาษี ถ้าซุกเพื่อหนีสัดส่วนต่างชาติ ทำไมในความเสียหายที่ ดีเอสไอกล่าว ถึงไม่มีเรื่องพวกนี้

ส่วนเรื่องคุมบอร์ด มันก็แปลกอีก เพราะใช้กลไกถึงเป็นสิบๆบริษัท เคลื่อนไหวไปมา โอนถ่ายกันอีกเป็นสิบ เพื่อให้แอบสักส่วนจริง ที่ดีเอสไอกล่าวอ้าง ว่ามีจริงๆ 80% ผ่าน นอมินี แบบแอบๆ ทั้งที่ผู้ถือหุ้นรายย่อย ก็ทราบเท่านั้นว่า มี 60% คือมันแปลกที่ทำทั้งหมด เพื่อแค่นี้เอง จะได้คุมบอร์ด SC Asset ได้ ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ก็ทราบกันดีว่า นี่มันบริษัทของครอบครัวทักษิณ มันคงจะไม่มีศึกแย่งบริษัทนี้แน่นอน เพราะเจ้าของเขารวยแสนล้าน แล้วที่ไปเอา กลต มาช่วยนะ หามาสักจุดได้ไหม ที่ การแอบถือ 80% ถ้าจริง เพื่อคุมบอร์ด มันมีตรงไหนที่ผู้ถือหุ้นรายย่อยเสียหาย

คือก็ถืออยู่ มากกว่า 50% คือ 60% คือก็คุมบริษัทเบ็ดเสร็จอยู่แล้ว ระหว่าง 60% และ 80% มันต่างอะไรกันมาก

แอบไปเพื่ออะไร

สุดท้ายก็เพื่อหนี ที่ต้องแจ้งกับ ปปช เรื่องทรัพย์สินนักการเมือง แต่ก็ต้องถามอีกหละ ว่าแอบไปเพื่ออะไร มันมีเหตุอะไรจูงใจไม่ให้อยากบอก ปปช ว่าแทนที่ครอบครัวจะมีอยู่ 60% แต่แอบอีก 20% ไว้ทำไม คือสาเหตุอะไรหละ

สรุปส่วนนี้ ฝรั่งเขาเรียกว่า มันไม่มี “Motive” หรือเหตุจูงใจ ให้กระทำผิด

ถ้าจะให้สรุปรวมคือในด้านหลักฐาน มันเป็น Circumstantial Evidence และในเหตุจูงใจ มันไม่มี Motive สองอย่างนี้รวมกันเข้า ตำรวจส่วนมากจะสรุปกันว่า มันไม่มีคดีอะไรนะ มันมีแต่คนยืนอยู่ใกล้กองเลือด ก็เท่านั้นเอง

คดีแค่นี้ จะออกหมายจับเป็นผู้ร้ายข้ามแดน

แต่นี่ ดีเอสไอ ไปถึงกับ ออกหมายเรียก มาแจ้งข้อหา ในภาวะที่ก็ทราบกันอยู่แล้วว่าทักษิณอยู่ในภัยอันตราย แบบทานบังกล่าวเอาไว้เอง แถมยังจะออกหมายจับเป็นผู้ร้ายข้ามแดน ทั้งหมด ก็มีเพียง Circumstantial Evidence และ No Motive ในมือ อย่างนี้เขาไม่เรียกว่า สนอง คมช แล้วเขาเรียกว่าอะไรกันแน่





Create Date : 20 กรกฎาคม 2550
Last Update : 20 กรกฎาคม 2550 5:17:14 น. 0 comments
Counter : 468 Pageviews.  

VikingsX
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]




[Add VikingsX's blog to your web]