กรรมของ " ทักษิณ " คือ // ท่านอธิฐานบารมี เป็นพระโพธิสัตว์ ท่านมาจาก พุทธภูมิ // ท่านเลยต้องเที่ยวตะเวณช่วยเหลือ คนนับแสนนับล้าน
 
กรกฏาคม 2550
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
20 กรกฏาคม 2550

คดีนอมินี มีไอ้โม่งแน่นอน จะจับทักษิณให้ได้จนหน้ามืด

มีไอ้โม่งแน่นอน

สรุปนำ: โดย บก ทวีวุฒิ จุลวัจนะ ข้มมูลบทความนี้มาจากท่านกอบสัก สุพาวสุ สสเก่า ปชป นะครับ ฉะนั้น “เท็จจริง สดหรือเก่า” ผมไม่ทราบนะครับ ถ้าท่านลงทุนเวลาอ่านบทความนี้ และท่านกลางๆ ท่านจะถึงบางอ้ออยู่สองสามจุด จุดแรกคือ ใช้นอมินีกันทั้งประเทศ “ที่มาฮือฮาแตกตื่นยำทักษิณกันฉะนั้นมันไม่ใช่เรื่องนอมินีหลอกครับ แต่เรื่องเพราะมันคือทักษิณ” มันไร้สาระนะครับที่จะจับผิดทักษิณ ตรงนี้ ในขณะที่ทำกันแทบทั้งประเทศ จุดที่สองคือถ้าบอกว่า “แต่นายกทำไม่ได้เพราะเป็นนายก” มันก็ต้องสรุปกันว่าเขาทำจริงหรือไม่ ที่เอาไปขายให้ฝรั่ง มากกว่าที่กฎหมายให้ขายได้ ในบทความนี้จะทำให้ท่าน “หาข้อสรุปไม่ได้ว่ามันนอมินีหรือไม่” ถ้าดูจากข้อมูล บางอ้อที่สามคือ ท่านจะเห็นว่า กฎหมายทางนี้หย่อนยาน ไม่เคยนำมาใช้จริงจัง และขัดกันเองอยู่ก็มาก ผมไม่ได้ลงในรายละเอียดตรงนี้ แต่เท่าที่ทราบมา พานิช และ กลต มีกฎหมายที่ขัดกันอยู่ ฉะนั้น ถ้าทักษิณผิด มันยุ่งแน่นอนทางกฎหมายเพราะกฏหมายมันขัดกัน สุดท้ายแล้วมันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่เลยนะครับเรื่องนี้ ก็แค่ฝรั่งถือมากหรือน้อย ตอนทักษิณมีอำนาจ ด่าเขากันว่าขายชาติอะไรแบบนั้นนะครับ แล้วดูตอนนี้สิครับ ฝรั่งซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ เป็นแสนล้านแล้ว คนไทยขายตลอด พูดง่ายๆ สัดส่วนฝรั่งเป็นเจ้าของไทยเพิ่มขึ้นเป็นแสนๆล้าน นอมินีเต็มไปหมด เลยเพดานกันไม่รู้จะยังไงไหว ไม่เห็นเป็นประเด็นขายชาติอะไรเลย

แต่ผมอ่านเรื่องนี้จาก สส ปชป แล้วถึงบางอ้ออีกเรื่องครับ นั่งก็คือเรื่อง Privacy of Personal Information หรือสิทธิที่จะไม่ให้ข้อมูลส่วนตัวถูกเปิดเผย เข้าใจครับนักการเมืองต้องโดนอีกมาตรฐาน แต่จากการอ่านเรื่องที่ทักษิณเจอมา มันบ่งบอกเลยครับ ว่าทางการไทย สามารถไปขุดเอาข้อมูลมาได้จากทั่วสารทิศ ถึงขนาดเอาข้อมูล การเคลื่อนไหวของ เงินในต่างประเทศมาดูได้ ที่ลงทุนไปแอบกันตามแหล่งฟอกและแอบเงิน แบบนี้มันอันตรายครับ ลองนึกดูสิครับ เอาข้อมูลลึกๆที่หามาได้ มา แบลกเมล์ กัน เอาไปให้คู่แข็งกัน แล้วผมไม่ทราบจริงๆ ว่าแต่ละคน ที่ไปขุดข้อมูลกันมาอย่างละเอียดยิบและลึกขนาดนี้ “ต้องทำอะไรลงไปบ้าง” เพื่อให้ได้ข้อมูลมา ที่แน่ๆ ขอกันธรรมดา กับต่างชาติ ถึงจะมีสัญญาอะไรกัน มันก็ไม่ให้กันง่ายๆนักหลอกครับ แล้วนี่ถึงขนาดข้อมูลธุรกิจลึกๆและ Sensitive ของนายกไทย พูดง่ายๆ มันต้องใช้ “อำนาจและพลัง” มากพอดู มันค่อนข้างจะแสดงให้เห็นนะครับ

ว่ามันต้องมี “ไอ้โม่ง” แน่นอน แล้วที่ลือกันมากช่วงนั้น มันก็เรื่อง สมคิด กับ ทักษิณ ไม่ลงรอยกันเพราะอะไรสักอย่างนะครับ

นักข่าวเตือนกันแล้ว เรื่อง “นอมินี” อย่าไปขุดเพาะจะเละทั้งประเทศ

เมื่อต้นปีที่แล้ว ตอนทักษิณบอกว่าจะขาย ชิน ให้ สิงค์โปร์ แล้วออกมาแถลงข่าว เรื่องขายหุ้นนั้น มันเกิดปมปัญหาขึ้นมาสองปม ปมแรกคือ ทำไมไม่เสียภาษีเลย และปมที่สอง คือความสลับซับซ้อนของดีลนั้น “แบบนอมินี” มันทำให้เกินสักส่วนหรือไม่ ก็มีนักข่าวอยู่หยิบมือเดียว ที่ท่ามกลางเสียง ด่าจากนักข่าวทั่วสารทิศ ว่า “จรรยาบรรณะจริยธรรม” มันหายไปไหนหมด จนลามไปทุกภาคส่วนของสังคม หยิบมือเดียวนั้น รวมถึงผม ก็ออกมาเตือนกัน ว่าในส่วนของ “นอมินี” นั้น ให้ระวังกันไว้ให้ดี เพราะ “ขืนมัดทักษิณ จับทักษิณ” ตรงนี้ มันจะสร้างมาตรฐานใหม่ทางกฎหมายออกมา แล้วจะ “กระทบกว้าง” มาก เพราะ ทั้งในตลาดหุ้น ที่ดิน และ บริษัทต่างชาติในไทย “ใช้นอมินี” เลี่ยงกฎหมาย ไทย ที่ห้ามฝรั่งถือสิ่งต่าง ๆ ในไทย กันเป็น พัน ๆ หมื่น ๆ กรณีทั่วไทย

จะจับทักษิณให้ได้จนหน้ามืด

แล้วไง ไม่มีใครฟังกันเลย กระแสความร้อนแรงของประเด็นนี้ “คือประเด็นนอมินี” ในกรณีทักษิณลามไปทั่ว สร้างกระแสรักชาติ สุดขั้ว “จะจับทักษิณผู้ขายชาติ ด้วยกฎหมายนอมินีให้ได้” จนในที่สุด หลังปฏิวัติ เลือดร้อนแรงและกระแสร้อนแรงนั้น ลามออกมาให้เห็นในการ “จัดระเบียบนอมินี” จนในที่สุด ฝรั่งแบบ นายกสมาคมผู้ลงทุนต่างประเทศในไทย ต้องออกมาบอกว่า ถ้าจะจัดระเบียบ แบบนั้น “ฝรั่งเป็นร้อยเป็นพันเจ้า” ปิดบริษัทแล้วไปประเทศอื่นแน่นอน แล้วธุรกิจที่ดิน ทั่วไทย แบบในสมุยและภูเก็ต พังลงแบบข้ามคืน คนไทยที่คิดจะรวยจากการขายที่ให้ฝรั่ง ลงเอยนั่งปีนต้นมะพร้าว เก็บมะพร้าวขายต่อไป

แล้งไง “ต้องชำแหละกฎหมาย นอมินี”

พอกระแสความ “บ้าคลั่ง” เรื่องนอมินีก็ลดลงไป มีการเอากฎหมาย “นอมินีมาชำแหละ” เพราะบางกฎหมายขัดกันเอง มีการปล่อยเวลาให้ฝรั่ง “ปรับตัว” และสุดท้าย จะมีการนำเอากฎหมายด้านนี้มา “ยำ” และ บังคับใช้ จริงๆ ซึ่งจะเป็นครั้งแรก ในเป็นร้อยๆปี ที่จะเอาจริงเรื่องนี้กัน มองกลับไปก็แปลกดี ที่ว่าพอข้อกล่าวหาออกมา ว่าทักษิณ ใช้ นอมินี ถือหุ้น ชิน ที่ขายให้สิงค์โปร์ ในสัดส่วนมากกว่าที่กฎหมายกำหนด ที่ให้ฝรั่งถือได้ในบริษัทเทเลคอม ที่มันแปลก ก็เพราะจริงๆแล้ว ต่างชาติถือมากกว่ากกหมายกำหนด เต็มเมืองไปหมด ในธุรกรรมต่างกันไป โดยไม่มีใครเคยเอามาเป็นประเด็นอะไรเลย แล้วทราบกันหรือไม่ “ก็ทราบกันยิ่งกว่าดี” แบบในตลาดหลักทรัพย์ มีเป็นสิบเป็นร้อยที่เกินสัดส่วน แล้วใช้นอมินีถือไว้

แต่ก็อีก นอกจากจะไม่เคยมองกฎหมายนี้อย่างจริงจัง จนเรื่องทักษิณเกิดขึ้นมา นอกจากนี้แล้ว กฏหมายยังอ่อนมากและขัดกันเอง คือนอกจากจะไม่เคยเอากฎหมามาใช้แล้ว กฎหมายยังไม่ได้ปรับปรุงให้ทันสมัย มาเป็นสิบๆปี แต่กระแสโจมตีทักษิณมันแรงมากจนเป็นประเด็นขึ้นมา

ปัญหาของศาล

ผมก็เอามาสรุปให้ฟังนะครับ ว่าจริงๆแล้ว มันก็สงสัยกันได้ว่าทักษิณใช่นอมินีจริงหรือไม แต่เมื่อถึงศาลแล้ว ปัญหาของศาลมันอยู่ตรงนี้ครับ ถ้ามองเรื่องทั้งหมด เป็นบริบทแล้ว เช่นจาก 1 ถึง 10 จาก 1 ถึง 9 มันเถียงกันได้ครับว่าเป็นนอมินีหรือไม่ แต่มันจะยุ่งยากเพราะกฏหมายไม่เคยเอามาใช้จริงๆ แล้วงกกหมายมันขัดกันมาก

แต่ในที่สุดแล้ว

แต่พอทุกอย่างมันลงตัวที่ 10 ไอ้ตรง 10 นี่สิครับ ข้อมูลมันหายไป ไม่มีข้อมูลชี้เลยว่าตรง 10 นี้มันเป็นนอมินี แล้วมันก็ตรง จุด 10 นี่หละครับ ที่ต้องเอามาดูว่า หลังขาย ชิน ไปให้สิงค์โปร์ ไทยถืออยู่มากพอตามกกหมายกำหนดหรือไม่ และถ้าจะให้สรุปทั้งหมด ตรงจุด 10 นี้ หลังทักษิณขาย สรุปคือ "ไทยถืออยู่ในสัดส่วนตามกฏหมายทุกอย่าง"

ข้อมูลจาก ปชป นะครับ “ถูกผิดทันการหรือไม่” ว่าเขาครับ

เอาหละจะอธิบายเรื่อง “ปวดหัวสลับซับซ้อน ให้ฟัง ในภาษาง่ายๆ นะครับ” เรื่องนี้ฐานข้อมูลคือเวบของคุณ กอบสัก สุพาวสุ สส ปชป ครับ ที่ท่านเก่งมากในการรวบรวมเอาเรื่องสุดยากสุดยุ่งเหยิง มาเรียบเรียงให้เห็นง่ายๆ เขาก็สรุปไปทาง ว่ามันนอมินีทั้งหมด แล้วทักษิณทำผิดกฎหมาย คือให้ฝรั่งซื้อมากกว่ากฎหมาให้ ส่วนผมสรุป จากข้อมูลเดียวกัน ไปอีกทางเลย

ไทยต้องถือหุ้นใหญ่ ในบริษัทที่ซื้อไป

เกี่ยวกับเรื่องของกุหลาบแก้ว ชื่อนี้ได้ยินกัน ครั้งแรกในวันที่คนตระกูลชินวัตร – ดามาพงศ์ ประกาศการขายหุ้นบริษัทชิน เมื่อวันที่ 23 มกราคม ต้นปีนี้แหละครับ เป็นการเทกระจาดขายหุ้นทั้งหมดให้กลุ่มนักลงทุนสิงค์โปร์ คือเทมาเสก และไทย เพราะกฎหมายไทยมีข้อห้ามว่า บริษัท ชินต้องเป็นบริษัทไทยเท่านั้นเพราะธุรกิจของชินเกี่ยวข้องกับสัมปทานของรัฐเกือบทั้งหมด ทุกสายตามุ่งไปที่ผู้ซื้อ คือ บริษัทซีดาร์โฮลดิ้ง ว่าเป็นไทยแท้จริงหรือไม่ ฝ่ายต่างด้าวชัดเจนว่าเป็นกลุ่มเทมาเส็ก แล้วฝ่ายไทยละเป็นใคร เศรษฐีจากที่ไหน

จำไว้นะครับท่านผู้อ่าน ซื้อทั้งหมดในนาม “ซีดาร์” และถ้าจะให้เป็นไปตามกกหมาย ซีดาร์ ต้องมีคนไทยถือ มากกว่าครึ่ง

กุหลาบแก้ว ไทยหรือเทศ

พบว่าเป็นบริษัทที่ใช้ชื่อว่ากุหลาบแก้ว เป็นบริษัทของคนไทยแต่ไม่ใช่ไทยแท้ มีต่างด้าวถือหุ้นร่วมอยู่ด้วย เพราะความสลับซับซ้อน ทำให้มีคนสงสัยกันมาก พวกเราที่พรรคประชาธิปัตย์ (ส่วนผมพลพรรคทรท) จึงมีหนังสือไปยังกระทรวงพาณิชย์ ขอให้ทำการสอบหาข้อเท็จจริง

จำไว้นะครับ ในซีดาร์ มีกุหลาบแก้ว กุหลาบแก้วต้องมีคนไทยถือมากกว่าครึ่ง ถึงเป็นของคนไทย

ก่อนเริ่ม ท่านผู้อ่านจะต้องเข้าใจก่อนว่า คำว่า “บริษัทคนไทย” ตามกฎหมาย ไม่ได้หมายความว่าต้องเป็นบริษัทที่มีผู้ถือหุ้นเป็นคนไทย ทั้งหมดนะครับ เพียงแต่มีผู้ถือหุ้นข้างมาก คือ เกินครึ่ง ในที่นี้หมายถึง ร้อยละ 51 ขึ้นไป ต้องเป็นคนไทย เท่านี้ ก็เรียกได้ว่าเป็นบริษัทไทยแล้ว เมื่อเข้าใจอย่างนี้ ท่านผู้อ่านจะเข้าใจโครงสร้างทั้งหมดได้ดีขึ้น

บริษัทซีดาร์โฮลดิ้ง ซื้อหุ้นทั้งหมดจากตระกูลชินวัตร- ดามาพงศ์ มูลค่ากว่า 73,000 ล้านบาท เพื่อให้เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด ผู้ซื้อต้องเป็นบริษัทไทย ถามกันว่า ซีดาร์ โฮลดิ้ง เป็นบริษัทคนไทยหรือเปล่า?

ดูจากเอกสารก็คงไม่ผิด เพราะมีธนาคารไทยพาณิชย์ถือหุ้นร้อยละ 10 บริษัทกุหลาบแก้วถือหุ้นอีกร้อยละ 41 รวมกันได้ร้อยละ 51 ส่วนที่เหลือไม่ใช่ใครอื่น เป็นบริษัท ไซเพรสโฮลดิ้ง จากสิงคโปร์นั้นเอง

สองบริษัทนี้รวมกันเกิน 51% ก็ ถือว่า ซีดาร์ เป็นบริษัทไทย

คนไม่ยอมให้เรื่องจบ ตรวจสอบกันต่อ

แล้วปัญหาอยู่ที่ไหน? ที่กุหลาบแก้วครับ เพราะตอนกุหลาบแก้วจัดตั้งขึ้นครั้งแรกนั้น มีทุนจดทะเบียนเพียง 1 แสนบาท จึงเกิดเป็นข้อสงสัยกันขึ้นว่า บริษัทอะไรกัน มีเงินทุนนิดเดียว มีปัญญาร่วมทุนกับต่างด้าว ซื้อหุ้นมูลค่าเกือบแสนล้านบาทได้อย่างไร แถมมีคนไทยเป็นผู้ถือหุ้นเพียงปริมปริม คือร้อยละ 51 และมีต่างด้าวร้อยละ 49 ไม่ใช่ใครอื่น บริษัทไซเพรสโฮลดิ้ง เจ้าเก่า โผล่มาถือหุ้นตรงนี้อีก

ปรากฏต่อมาครับ ว่ามีการเพิ่มทุนครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ โดยปรากฏตัวตนผู้ถือหุ้นฝ่ายไทย น่าเชื่อถือมากขึ้น คือ คุณพงส์ สารสิน และ คุณศุภเดช พูนพิพัฒน์ สองท่านถือหุ้นรวมกันแล้วเท่ากับร้อยละ 51

ฟังดูแล้วทุกอย่างก็น่าจะราบรื่น เพราะการเพิ่มทุนในครั้งนี้ทุนจดทะเบียนเพิ่มจาก 100,000 บาท เป็น 3,835,600,000 บาท ตัวเลขเพิ่มทุน ใช้ได้

ท่านอธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า คุณอรจิต สิงคาลวณิช ประธานการตรวจสอบ ก่อนเกษียณฝากผลงานสอบสวนสืบสวน ไว้ได้อย่างดีเยี่ยม โดยเฉพาะการตรวจสอบเส้นทางเดินของเงิน

เส้นทางเงินทำให้ “ตีความง่าย” ว่านอมินีให้ฝรั่ง

ดูกันที่เส้นทาง ที่ไปที่มาของเงินลงทุนกันครับ เมื่อมีการเพิ่มทุน ทั้งคุณพงส์ และ คุณศุภเดช ต้องนำเงินมาชำระค่าหุ้นที่ซื้อเพิ่ม ถูกไหมครับ ปรากฏข้อมูลอย่างนี้ครับ คุณพงส์ ท่านจ่ายค่าหุ้นเป็นเงินสด 30,000 บาท ส่วนที่เหลือท่านจ่ายเป็นเช็ค ลงวันที่ 20 มกราคม 2549 จำนวนเงิน 50,933,000 บาท เช็คนี้จ่ายให้บริษัทไซเพรส โฮลดิ้ง เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม ความจริงต้องจ่ายให้ กุหลาบแก้ว แต่เพราะไซเปรสออกเงินค่าหุ้นล่วงหน้าไปก่อน คุณพงส์ท่านจึงเขียนเช็คจ่ายคืน เช็คดังกล่าวมีการตัดบัญชีเมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 5 เดือนให้หลัง

ส่วนของ คุณศุภเดชนั้น คุณศุภเดชจ่ายเช็คส่วนตัวชำระค่าหุ้น 20,000 บาท ส่วนที่เหลือ อีก 32,860,000 บาท นั้นจ่ายโดยเงินกู้จากธนาคารไทยพาณิชย์ คุณศุภเดชกู้เงินได้เพราะมีคนใจดี นำบัญชีเงินฝากออมทรัพย์มาเป็นหลักประกัน รวมทั้งค้ำประกันเงินกู้ให้ทั้งจำนวน ไม่ใช่ใครอื่น บริษัทไซเปรส โฮลดิ้ง นั่นเอง คุณศุภเดช ใช้หนี้ธนาคารเมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2549 6 เดือนให้หลัง

สรุปได้ว่า ทั้งสองท่านที่เป็นนักลงทุนฝ่ายไทย ควักกระเป๋าเงินลงทุนเป็นเงินสดและเช็ครวมแล้วเพียง 50,000 บาท ส่วนที่เหลืออีก 80 กว่าล้านบาท หุ้นส่วนที่เป็นต่างด้าวออกเงินให้ก่อนทั้งหมด ทั้งสองท่านนำเงินมาใช้คืนบริษัท ไซเพรสโฮลดิ้ง ภายในระยะเวลาประมาณ 5-6 เดือน

นอกเหนือไปจากที่กล่าวมาแล้ว ข้อมูลของกระทรวงพาณิชย์ ยังระบุด้วยว่า เงินลงทุนทั้งหมดของ บริษัทไซเพรส โฮลดิ้ง ในส่วนของที่ลงทุนเอง คือ ส่วน 49% และส่วนที่ออกเงินแทนนักลงทุนฝ่ายไทยอีก 51% นั้น เป็นเงินที่ส่งมาจากบัญชี Fullerton Private Limited ซึ่งเป็นกองทุนพิเศษของบริษัทเทมาเสก

สรุป “แต่จ่ายเงินคืนฝรั่ง”

แปลว่า กุหลาบแก้ว มีคนไทยถือหุ้นแต่ เทมาเส็ก ออกเงินให้ ใช่หรือไม่ ถูกต้องครับ อย่างน้อยก็ในช่วง 5 -6 เดือน ก่อนที่ คุณพงส์ จะจ่ายเงินคืนให้ บริษัทไซเพรส โฮลดิ้ง และ คุณศุภเดชใช้หนี้เงินกู้ธนาคารไทยพาณิชย์ ในภายหลัง

อำนาจออกเสียง

นอกจากจะดูเรื่องเส้นทางเดินของเงินแล้ว ดูจากประเภทของหุ้นก็เห็นชัดว่า ไม่น่าจะเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า เพราะหุ้นทั้งหมดที่ฝ่ายไทยซื้อ เป็นหุ้นประเภทที่เรียกกันว่าหุ้นบุริมสิทธิ ไม่ใช่หุ้นสามัญ เป็นหุ้นที่มีข้อจำกัดหลายอย่างเช่น ได้ผลตอบแทนเพียงร้อยละ 3 ต่อปี เจ้าของหุ้นต้องการจะขายหุ้นเพราะหุ้นปรับตัวสูงขึ้น ก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะขาย ต้องขออนุมัติกรรมการก่อน ถ้าบริษัทเลิกกิจการจะได้เงินคืนเฉพาะเท่าที่ลงทุนเท่านั้น สิทธิในการออกเสียงแทนที่จะเป็น 1 หุ้น 1 เสียง กลับมีสิทธิเพียง 1 เสียง ต่อ 10 หุ้น เป็นการลงทุนที่เหมือนกับฝากเงินในธนาคารพาณิชย์ทั่วไปครับ ได้ดอกเบี้ยเพียงร้อยละ 3 แต่ตลอดชีวิตเลยนะครับ ท่านผู้อ่านสนใจจะลงทุนแบบนี้ไหมครับ

อำนาจสั่งจ่าย

สิทธิ์ในการมีอำนาจสั่งจ่ายเงินจากบัญชีบริษัท ผู้มีสิทธิ์ 3 ท่านเป็นชาวสิงคโปร์ทั้งหมด และทั้ง 3 ท่าน ลงนามสั่งจ่ายเงินได้ไม่ใช่เฉพาะบัญชีของบริษัทกุหลาบแก้วเท่านั้น ยังรวมไปถึง บัญชีของบริษัทไซเพรส โฮลดิ้ง และบริษัท ซีดาร์ โฮลดิ้งด้วย ส่วนของคุณ พงส์ มีสิทธิ์ลงนามในนามกุหลาบแก้วอยู่บ้าง แต่ต้องลงนามร่วมกับ คนสิงคโปร์ คนหนึ่งคนใดเท่านั้น

การตรวจสอบของกระทรวงพาณิชย์ เริ่มปลายเดือน กุมภาพันธ์ แต่กุหลาบแก้วก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง

คนไทยที่เป็นนักธุรกิจในประเทศมาเลเชีย เข้ามาชื้อหุ้นเพิ่มอีก 1 ราย จึงได้มีการเพิ่มทุนบริษัท กุหลาบแก้ว เป็นครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2549 การเพิ่มทุนครั้งนี้ เพิ่มจากทุน 3,800ล้านบาทเศษ เป็น 4 พันล้านบาทถ้วน ตัวเลขที่เพิ่มขึ้นดูแล้วไม่มาก ไม่ถือเป็นประเด็นสำคัญ ส่วนที่มีความหมายมากคือ การเพิ่มทุนครั้งนี้เปิดโอกาสให้นักลงทุนคนไทยที่ทำธุรกิจอยู่ในมาเลเซียคือ คุณสุรินทร์ อุปพัทธกุล กลายเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ฝ่ายไทย คือมีหุ้นอยู่ในมือถึง ร้อยละ 68 และเป็นการครอบครองหุ้นประเภทที่เรียกว่า หุ้นสามัญทั้งหมด ยกเว้นเพียง 1 หุ้น ที่เป็นหุ้นบุริมสิทธิ์ เท่านั้น คุณสุรินทร์ใช้เงินในการลงทุนครั้งนี้กว่า 2,700 ล้านบาท

พูดง่ายๆ กุหลาบแก้กลายเป็นไทยแน่นอน ทำให้ ซีดาร์ เป็นไทยแน่นอน ไม่ผิดกฎหมาย ชาวต่างชาติ ถือสัดส่วนมากไป แต่คนก็ไม่เชื่อ มั่นใจว่า สุรินทร์ เป็นนอมินี

ท่านอธิบดีอรจิต ตรวจสอบโครงสร้างการถือหุ้นของกุหลาบแก้ว โดยล้วงลึกเข้าไปดูเส้นทางที่ไปที่มาของเงินลงทุนอย่างจริงจัง ผลตรวจสอบปรากฏว่า เงินที่คุณสุรินทร์ อุปพัทธกุล นำมาลงทุนนี้ โอนมาจากบัญชีของบริษัท Fairmont Investment Group Inc. บัญชีนี้อยู่ที่ธนาคาร Credit Suisse สาขาสิงคโปร์ สั่งจ่ายโดยคำสั่งของ บริษัท กรีนแลนด์ จำกัด

บริษัท Fairmont Investment Group เป็นใคร ?

และบริษัท Green Land เป็นใคร ?

บริษัท Fairmont Investment Group จดทะเบียนที่หมู่เกาะบริติช เวอร์จินท มีทุนจดทะเบียน 50,000เหรียญสหรัฐ ผู้มีอำนาจในการสั่งการในนามบริษัทแต่ผู้เดียว ไม่ใช่นาย ก นาย ข หรือ คุณสุรินทร์ แต่กลายเป็นบริษัทชื่อ Green Land บริษัท Green Land จำกัด ได้มอบอำนาจการลงทุนในครั้งนี้ และเงินทุนมาจาก Fairmont Investment ให้ คุณสุรินทร์ อุปพัทธกุล

คุณกอบสัก สุพาวสุ สส ปชป เองสรุปไว้ว่า “จึงไม่มีคำตอบที่ชัดเจนว่า คุณสุรินทร์ หรือ บริษัท Green Land กันแน่ที่เป็นเจ้าของเงินลงทุนซื้อหุ้น 2,700 กว่าล้านบาท” ก็อย่างที่ผมบอกหละครับ 1 ถึง 9 มันเถียงกันได้ แต่พอมาถึง 10 เรื่องมันก็หยุด เอาดื้อๆ สรุปอะไรไม่ได้เลย




Create Date : 20 กรกฎาคม 2550
Last Update : 20 กรกฎาคม 2550 5:09:33 น. 0 comments
Counter : 533 Pageviews.  

VikingsX
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]




[Add VikingsX's blog to your web]