|
|
| 1 | 2 | 3 |
4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 |
11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 |
18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 |
25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 | 31 |
|
|
|
18 พฤษภาคม 2551
|
|
|
|
ปัญหาที่ ๘ ถามเรื่อง สำเร็จ สัพพัญญุตญาณ
ปัญหาที่ ๘ ถามเรื่องสำเร็จสัพพัญญุตญาณ
พระเจ้ามิลินท์. ตรัสถามว่า " ข้าแต่พระนาคเสนผู้ปรีชา สมเด็จพระตถาคตเจ้าทรงเผาอกุศลสิ้นแล้ว จึงถึง พระสัพพัญญุตญาณ หรือว่าเผา อกุศล ยังไม่สิ้น แต่ถึง พระสัพพญญุตญาณ? "
พระนาคเสน. ตอบว่า " ขอถวายพระพร สมเด็จพระชินวรเจ้าเผากุศล ทั้งปวง สิ้นแล้ว จึงถึง พระสัพพัญญุตญาณ การที่จะเผา อกุศล ที่ยังเหลืออยู่ ไม่มีอีกเลย "
พระเจ้ามิลินท์. " ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ทุกขเวทนา เคยเกิด ในพระกายของ พระพุทธเจ้าบ้างหรือไม่ ? "
พระนาคเสน " เคยเกิด มหาบพิตร คือ ครั้งประทับที่ กรุงราชคฤห์ พระบาท ได้ถูกสะเก็ดศิลา ครั้งทรงจำพรรษาที่ เวฬุวคาม ก็ทรงเกิด โลหิตปักขันทิกาพาธ ( ลงแดง ) หมอชีวกก็ถวายยาประจุ อีกครั้งหนึ่งเกิด พระอาพาธลม พระอานนท์ ก็ได้เที่ยวหาน้ำร้อนมาถวาย "
พระเจ้ามิลินท์. จึงตรัสถามต่อไปว่า " ถ้า พระตถาคตเจ้าเผา อกุศล ทั้งปวงสิ้นแล้ว จึง สำเร็จพระสัพพัญญุตญาณ คำที่ว่า " พระอาพาธ เกิดใน พระสรีรกายของสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า " นั้นก็ผิด
.....ถ้าคำว่า " พระอาพาธ เกิดในพระสรีรกายของพระพุทธเจ้า นั้นถูก " คำว่า "พระตถาคตเจ้าเผาอกุศลทั้งปวงสิ้นแล้ว จึงสำเร็จพระสัพพัญญุตญาณ" นั้นก็ผิด
.....บุคคล ย่อมได้เสวยทุกขเวทนา นอกจาก กรรม ไม่มี กรรม เท่านั้นเป็น มูลราก บุคคล ได้เสวยเวทนาเพราะกรรม เท่านั้น ปัญหาอันเป็น อุภโตโกฏินี้ ได้มาถึงพระผู้เป็นเจ้าแล้ว ขอพระผู้เป็นเจ้า จงกำจัดเสีย ซึ่งความสงสัยเถิด "
+++ เหคุให้เกิดทุกขเวทนามี ๘ +++
พระนาคเสน. " ขอถวายพระพร ไม่ใช่ว่าเวทนา ทั้งปวง มีกรรม เป็นมูลราก ทั้งนั้น เพราะเหตุที่จะให้เกิดเวทนาอันเป็นทุกข์นั้นมีอยู่ ๘ ประการ คือ
๑. ทุกขเวทนามีลมเป็นสมุฏฐาน ๒. ทุกขเวทนามีดีเป็นสมุฏฐาน ๓. ทุกขเวทนามีเสมหะเป็นสมุฏฐาน ๔. ทุกขเวทนามีประชุมลม ดี เสมหะเป็นสมุฏฐาน ๕. ทุกขเวทนามีการเปสี่ยนฤดูเป็นสมุฏฐาน ๖. ทุกขเวทนามีการบริหารร่างกายไม่สม่ำเสมอเป็นสมุฏฐาน ๗. ทุกขเวทนามีการกระทำของผู้อื่นเป็นสมุฏฐาน ๘. ทุกขเวทนาอันเกิดด้วยผลแห่งกรรม
.....บุคคลเหล่าใด ถือว่า เกิดด้วยผลแห่งกรรมเดียว ไม่เกี่ยวกับเหตุ ๘ นี้ คำพูดของคนเหล่านั้นผิดไป "
พระเจ้ามิลินท์. " ข้าแต่พระนาคเสน ทุกขเวทนา อันมีสิ่งทั้ง ๘ นี้เป็น สมุฏฐาน ก็เป็นอันว่า มีกรรม เป็นสมุฏฐานทั้งนั้น เกิดด้วยกรรมทั้งนั้น " เหตุให้ลม ดี เสมหะกำเริบ
พระนาคเสน. " ขอถวายพระพร ถ้าทุกขเวทนาเหล่านั้น มีกรรม เป็นสมุฏฐาน สิ่งเหล่านั้น ก็ไม่ต้อง มีลักษณะต่างกัน แต่นี่มีลักษณะต่างกัน คือ
.....ลม เมื่อจะกำเริบก็กำเริบด้วยเหตุ ๑๐ อย่าง อันได้แก่ กำเริบด้วยเย็น ร้อน หิว กระหาย กินมากเกินไป ยืนนานเกินไป เพียรมากเกินไป วิ่งเร็วเกินไป การกระทำของผู้อื่น และ ผลแห่งกรรม ๙ อย่างข้างต้น จะเกิดขึ้นในอดีต อนาคตก็หาไม่ ย่อมเกิดแต่ในปัจจุบัน เพราะฉะนั้นจึงไม่ควรกล่าวว่า เวทนาทั้งปวงเกิดจากกรรม ส่วน ดี เมื่อกำเริบ จะกำเริบด้วยเหตุ ๓ อย่าง คือ เย็น ร้อน กินไม่เป็นเวลา เสมหะ กำเริบด้วยเหตุ ๓ อย่าง คือด้วยเย็น ร้อน ข้าวน้ำ ลม ดี เสมหะ กำเริบด้วยเหตุเหล่านี้แล้วเจือกันชักมาซึ่งเวทนา อันเป็นส่วนของตน ๆ เวทนาอันเกิดด้วยเปลี่ยนฤดู ก็เกิดขึ้นด้วยการเปลี่ยนฤดู เวทนาอันเกิดด้วยบริหารร่างกายไม่สม่ำเสมอ ก็เกิดด้วยการบริหารร่างกายไม่สม่ำเสมอ คือเปลี่ยนอิริยาบถไม่พอสมควรกัน เวทนาอันเกิดจากความเพียร เป็นกิริยาก็มี เป็นวิบากก็มี เวทนาอันเกิดจากกรรม ย่อมเกิดด้วยกรรมที่ได้กระทำไว้ในปางก่อน ด้วยเหตุตามที่ว่ามานี้แหละ ชี้ให้เห็นว่าเวทนาอันเกิดด้วยกรรมมีน้อย เกิดด้วยอย่างอื่นมีมาก พวกโง่เขลาก็เข้าใจว่า เกิดด้วยกรรมทั้งนั้น กรรมนั้นไม่มีใครรู้ได้ นอกจากพระพุทธญาณเท่านั้น" พระเทวทัตกลิ้งก้อนศิลา " การที่พระบาทของพระพุทธเจ้าถูกสะเก็ดศิลาแล้ว ทำให้เกิดเวทนานั้น ไม่ใช่มีลม หรือดี เสมหะ หรือสิ่งทั้ง ๓ นี้ เป็นสมุฏฐานเลย ไม่ใช่เกิดด้วยการเปลี่ยนฤดู หรือด้วยการบริหารร่างกายไม่สม่ำเสมอ เกิดด้วยการกระทำของผู้อื่นต่างหาก คือพระเทวทัต ผู้ผูกอาฆาตต่อพระตถาคตเจ้ามาหลายแสนชาติแล้ว ได้กลิ้งก้อนศิลาใหญ่ลงไปจากยอดภูเขา ด้วยคิดจักให้ตกถูกพระพุทธองค์ แต่ก้อนศิลาที่กลิ้งลงมานั้น ได้มากระทบก้อนศิลาใหญ่อีก ๒ ก้อนก้อนศิลานั้นได้แตกเป็นสะเก็ดเล็ก ๆ น้อย ๆ กระจายไป มีสะเก็ดเล็ก ๆ ก้อนหนึ่งได้กระเด็นไปถูกพระบาทของพระพุทธเจ้าทำให้พระโลหิตห้อขึ้น จะว่าเวทนานั้นเกิดด้วยผลแห่งกรรม หรือด้วยการกระทำของพระองค์ไม่ได้ทั้งนั้น เกิดด้วยการกระทำของผู้อื่นต่างหาก " ยกอุปมาขึ้นเปรียบเทียบ " พืชย่อมงอกงามไม่ดี ย่อมเป็นเพราะที่ดินไม่ดี หรือเพราะพืชไม่ดีฉันใด เวทนานั้นก็เกิดแก่พระพุทธเจ้า เพราะผลแห่งกรรม หรือเพราะการกระทำอย่างใดอย่างหนึ่ง ฉันนั้น นอกนั้นย่อมไม่มี โภชนะที่กินเข้าไปแล้วย่อยไม่ดี ย่อมเป็นเพราะท้องไม่ดี หรือเพราะโภชนะนั้นไม่ดีฉันใด เวทนาของพระพุทธเจ้านั้น ก็เกิดด้วยผลแห่งกรรม หรือเกิดด้วยการกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งฉันนั้น ก็แต่ว่า เวทนาอันเกิดด้วยผลแห่งกรรม และเกิดด้วยการบริหารร่างกายไม่สม่ำเสมอ ย่อมไม่มีแก่พระพุทธเจ้า มีด้วยเหตุ ๑ อย่างนอกจาก ๒ อย่างนี้ ต่างหาก ใครไม่อาจปลงพระชนม์ของพระพุทธเจ้าได้ แต่ว่าเวทนาทั้งที่น่าต้องการ และไม่น่าต้องการ ดีและไม่ดี ย่อมมีในพระวรกายอันประกอบด้วยธาตุ ๔ ของพระพุทธเจ้าได้ เป็นของธรรมดาก้อนดินที่บุคคลขว้างขึ้นไปในอากาศ ย่อมตกลงมาที่พื้นดิน ก้อนดินเหล่านั้นได้ตกลงมาที่พื้นดิน ด้วยกรรมที่ได้ทำไว้ในปางก่อนหรือ...มหาบพิตร? " " หามิได้ พระผู้เป็นเจ้า ก้อนดินเหล่านั้นไม่ได้ตกลงมาที่พื้นดินด้วยกรรมอะไร" " ขอถวายพระพร ควรเห็นว่าพระวรกายของพระตถาคตเจ้า ก็เปรียบเหมือนกับพื้นดินฉะนั้น การที่สะเก็ดศิลาถูกพระบาทของพระตถาคตเจ้านั้น ไม่ใช่เป็นเพราะบุพพกรรม อาตมภาพขอถามมหาบพิตรว่า การที่แผ่นดินใหญ่นี้ ถูกมนุษย์ทั้งหลายทำลายและขุดนั้น เป็นด้วยบุพพกรรมหรือ ? " " ไม่ใช่ พระผู้เป็นเจ้า " " ข้อที่สะเก็ดศิลาถูกพระบาทของพระพุทธเจ้า ทำให้พระโลหิตห้อนั้น ก็ไม่ใช่เพราะบุพพกรรมฉันนั้น ถึงพระโรคลงแดงก็ไม่ได้เกิดด้วยบุพพกรรม เกิดด้วย ลม ดี เสมหะ ๓ อย่าง กำเริบต่างหาก ทุกขเวทนาทางพระกายของพระพุทธเจ้าทั้งสิ้น ไม่ได้เกิดด้วยบุพพกรรมเลย เกิดด้วยสมุฏฐาน ๖ ต่างหาก ข้อนี้ สมกับที่สมเด็จพระมหามุนีได้ตรัสไว้ใน " โมลิยสีวกเวยยากรณะ" ในสังยุตตนิกายว่า " ดูก่อนสีวกะ เวทนาบางอย่างเกิดขึ้นเพราะมี " ดี " เป็นสมุฏฐาน บางอย่างมี " ลม " เป็นสมุฏฐาน บางอย่างมี " สิ่งทั้ง ๓ " นั้นเป็นสมุฏฐาน บางอย่างเกิดขึ้นเพราะเปลี่ยนฤดู บางอย่างเกิดขึ้นเพราะบริหารร่างกายไม่สม่ำเสมอ บางอย่างเกิดขึ้นเพราะการกระทำของผู้อื่น บางอย่างเกิดขึ้นเพราะผลของกรรม สมณพราหมณ์เหล่าใดเห็นว่า สุข ทุกข์ หรือไม่ทุกข์ไม่สุขทั้งสิ้น เกิดขึ้นเพราะบุพพกรรมทั้งนั้น สมณพราหมณ์เหล่านั้นชื่อว่าแล่นเลยความจริงไป ความคิดความเห็นของสมณพราหมณ์เหล่านั้นผิดไป " เพราะฉะนั้นแหละ มหาบพิตร อาตมาจึงว่า เวทนาทั้งสิ้นไม่ใช่มีกรรมเป็นสมุฏฐาน ไม่ใช่เกิดเพราะกรรมทั้งนั้น เป็นอันว่า พระตถาคตเจ้าได้เผาอกุศลกรรมสิ้นแล้ว จึงได้ถึงพระสัพพัญญุตญาณ ขอให้มหาบพิตรทรงจำไว้อย่างนี้เถิด ขอถวายพระพร " " ดีแล้ว พระผู้เป็นเจ้า โยมขอรับจำไว้อย่างนี้ " ฎีกามิลินท์ การที่พระนาคเสนกล่าวไว้ว่า "ทุกขเวทนาของพระพุทธเจ้าไม่ได้เกิดด้วยกรรมนั้น" เป็น เอกังสพยากรณ์ คือเป็นการกล่าวแก้ออกไปอย่างเด็ดขาดลงไปฝ่ายเดียวเท่านั้นเพราะฉะนั้น จึงควรวิจารณ์ อย่างไหนถูกกว่า ก็ควรถือเอาอย่างนั้น การวิจารณ์นั้นมีว่า กิเลสทั้งหลายเป็นของที่มรรคฆ่าแล้วกรรมอันเกิดด้วยกิเลส ซึ่งจะทำให้เกิดโรคาพาธทั้งในปัจจุบันและอนาคต ของผู้สิ้นกิเลสแล้วนั้นไม่มี ท่านจึงว่า ไม่ได้เกิดด้วยกรรม หมายความว่า ไม่ได้เกิดด้วยกรรมที่กระทำในปัจจุบันและจักไม่เกิดในอนาคตเป็นอันขาด เพราะว่าสิ้นกิเลสอันเป็นเหตุให้ทำกรรมที่จะให้เกิดผลทั้งในปัจจุบันและอนาคตแล้วส่วนบุพพกรรมอันเป็น ปราปรเวทนียกรรม คือกรรมในผลในภพสืบ ๆ ไปนั้นพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายก็ไม่อาจห้ามได้ เพราะฉะนั้นจึงควรถือเอาว่าเวทนาของพระพุทธเจ้านั้นเกิดด้วยบุพพกรรม ไม่ได้เกิดด้วยปัจจุบันกรรม แต่เพราะเหตุไร พระเถระจึงกล่าวไว้หลายอย่าง เพราะเหตุว่า พระเจ้ามิลินท์อยากทรงสดับปฏิภาณอันวิจิตรต่าง ๆ จึงได้แก้หลายอย่างเช่นนั้น ดังนี้
Create Date : 18 พฤษภาคม 2551 |
|
0 comments |
Last Update : 18 พฤษภาคม 2551 15:52:34 น. |
Counter : 1227 Pageviews. |
|
|
|
| |
|
|
VikingsX |
|
|
|
|
|