กรรมของ " ทักษิณ " คือ // ท่านอธิฐานบารมี เป็นพระโพธิสัตว์ ท่านมาจาก พุทธภูมิ // ท่านเลยต้องเที่ยวตะเวณช่วยเหลือ คนนับแสนนับล้าน
 
กรกฏาคม 2550
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
14 กรกฏาคม 2550

ตอนที่ ๑๒ อวสานคนชื่อเปรม โดยอาคม ซิดนีย์

ตอนที่ ๑๒ อวสานคนชื่อเปรม
โดยอาคม ซิดนีย์
๕ เมษายน ๒๕๕๐

บทความทั้ง ๑๑ ตอนที่ผมนำเสนอไปแล้วเชื่อว่าท่านผู้อ่านคงได้เห็นตัวตนของเปรมเป็นอย่างดีแล้วว่าธาตุแท้ความจริงของคนผู้นี้เป็นอย่างไร แต่ก็ยังมีใครบางคนกล่าวหาและโจมตีบทความที่ผมนำเสนอว่าเป็นเรื่องโคมลอยหรือรับอามิสสินจ้างจากกลุ่มอำนาจเก่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีความพยายามผูกโยงความบางตอนด้วยเจตนา เพื่อให้เข้าใจว่าบทความที่ผมนำเสนอเข้าข่ายหมิ่นเบื้องสูงบ้าง หรือมีความแค้นส่วนตัวกับเปรมบ้าง ดังนั้นเพื่อเป็นการประเทืองปัญญาสำหรับใครบางคนที่ผมได้กล่าวถึงข้างต้น จะได้หูตาสว่างบ้าง ผมจึงขอนำบทความของอาจารย์หม่อมราชวงศ์ คึกฤทธิ์ ปราโมช ที่ลงตีพิมพ์ในคอลัมน์ ซอยสวนพลูหนังสือพิมพ์รายวัน สยามรัฐ ฉบับประจำวันที่ ๑๑ มีนาคม ๒๕๓๐ มาประกอบเป็นหลักฐานว่า พฤติกรรมของเปรมนั้นราชนิกูลผู้มีความจงรักภักดีอย่าง ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ก็มีความสงสัยและได้ตั้งคำถามไว้เมื่อ ๒๐ ปีที่ผ่านมาแล้วดังต่อไปนี้

“เรื่องประชาธิปไตยแบบไทยๆ นี้ ผมได้ยินพูดกันมาช้านานแล้วคนโน้นพูดบ้างคนนี้พูดบ้าง ฟังดูก็เห็นตรงกันแต่ศัพท์ที่ใช้เรียก ส่วนวิธีการที่อ้างว่าเป็นวิธีการแบบไทยๆ นั้น ไม่เห็นตรงกันสักราย เมื่อต่างคนต่างคิดในเรื่องเดียวกันนี้ ต่างคนต่างก็มีวิธีการของตนแตกต่างกันไป บ้าบ้าง บอบ้าง บิ่นบ้าง หาอะไรเป็นแก่นสารและเอาเป็นที่ยุติไม่ได้ เมื่อ คุณเปรมตื่นเต้นในระบอบประชาธิปไตยแบบไทยๆ อย่างนี้ ก็พอจะเข้าใจได้ว่า คุณเปรมเองก็ต้องการและมีวิธีการของระบอบประชาธิปไตยแบบไทยๆ ของตนเอง”

หมายถึง การเป็นนายกฯโดยไม่ต้องสมัครผู้แทนฯให้เหนื่อยกาย เหนื่อยใจ ใช่ไหม?

หมายถึงการที่เป็นนายกฯคนเดียวตลอดไปใช่ไหม?

หมายถึงนายกฯคนที่ชื่อเปรมนั้นไม่ต้องรับผิดในสิ่งใดและต่อใครใช่ไหม?

หมายถึงนายกฯคนที่ชื่อเปรมจะต้องอยู่เหนือคำวิพากษ์วิจารณ์ ใครแตะต้องไม่ได้ ใช่ไหม?

หมายถึง ความเป็นนายกฯนั้นมีแต่เสวยสุข ไม่มีทุกข์กับใคร ใช่ไหม?

ได้อยู่บ้านหลวง ใช้น้ำหลวง ไฟหลวง ใช่ไหม?

จะไปไหนก็ใช้รถหลวง เรือหลวง หรือหลวงออกค่าโดยสารเครื่องบินให้ยกโขยงกันไปเที่ยวต่างประเทศได้ ใช่ไหม?

จะไปไหนก็มีคนมาเรียงรายคอยต้อนรับ บางแห่งถึงกับก้มลงกราบกับพื้นดิน ใช่ไหม?

“ความคิดเหล่านี้ก่อให้เกิดตัณหาอุปาทาน อันเป็นต้นเหตุของอกุศลมูล คือ โลภะ โทสะ โมหะ ทำให้เกิดความอยากเห็นความคิดของตนเป็นผลจริงจังขึ้นมา เพื่อทุกอย่างที่ตนปรารถนาจะให้เกิดขึ้นจะได้เกิดขึ้น”

จากอดีตที่ผ่านมาเปรมมีพฤติกรรมบิดเบือนกระแสพระราชดำรัสมาโดยตลอด (อ่านบทความตอนที่ ๖ “เปรมาธิปไตยลัทธิมอมเมาสังคม”) แม้ทุกวันนี้เปรมก็ไม่เคยคิดที่จะปรับปรุงหรือเปลี่ยนแปลง มิหนำซ้ำยังมีพฤติกรรมที่ส่อให้เห็นชัดเจนว่าหนักข้อยิ่งขึ้นไปอีกนั่นก็คือ กล้าถึงขนาดก้าวล่วงอำนาจพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวด้วยการสนับสนุนให้มีการปฏิวัติรัฐประหาร ทั้งๆที่มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าให้มีการเลือกตั้งเมื่อกลางเดือนตุลาคม ๒๕๔๙ ที่ผ่านมา พร้อมกับมีพระราชหัตถ์เลขา โดยมีนายอาสา สารสินเป็นผู้อันเชิญถึงพ.ต.ท.ทักษิณ ชิณวัตรนายกรัฐมนตรีเพื่อให้กกต.ชุดเดิมทำหน้าที่ว่า “ให้การเลือกตั้งเป็นไปด้วยความบริสุทธิ์ยุติธรรม”

การที่เปรมนำคณะรัฐประหารเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกลางดึกภายหลังการยึดอำนาจ ทั้งๆที่คณะแพทย์ที่ถวายการรักษาด้วยการผ่าตัดเพื่อรักษาพระอาการประชวร ได้ถวายคำแนะนำไม่ให้ทรงงานเป็นเวลาสามเดือน เปรมต้องมีมโนสำนึกว่าควรหรือไม่ที่จะเข้าเฝ้าในยามวิกาลเช่นนั้น นอกจากนี้แล้วเปรมต้องรู้ด้วยว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้า อยู่หัวเคยมีพระราชดำรัสเกี่ยวกับนายกรัฐมนตรีพระราชทานว่า ทำให้พระองค์ทรงเดือดร้อน ไม่เป็นประชาธิปไตย มันมั่ว อันแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าพระบรมมหากษัตริย์แห่งประเทศไทยมีพระราชประสงค์ที่จะสนับสนุนให้มีการปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย

ตำแหน่งประธานองคมนตรีอันเป็นตำแหน่งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าแต่งตั้งตามพระราชอัธยาศัยก็จริงอยู่ หากแต่ท่านผู้อ่านต้องเข้าใจด้วยว่าตลอดช่วงระยะเวลาอันยาวนานกว่าหกสิบปีที่พระองค์ทรงครองราชสมบัติ พระองค์ก็ทรงอยู่ในทศพิธราชธรรมที่เปี่ยมไปด้วยพระเมตตา ทรงมีพระกรุณาให้โอกาสกับกลุ่มบุคคลตลอดมาจนเป็นที่ซาบซึ้งอย่างหาที่สุดมิได้ ซึ่งเป็นที่รับรู้ของปวงชนชาวไทยทุกคน เปรมก็เป็นคนหนึ่งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระกรุณาโปรดเกล้าแต่งตั้งให้เป็นองคมนตรีและรัฐบุรุษภายหลังจากถูกต่อต้านการเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และเป็นประธานองคมนตรีเมื่อเดือนกันยายน ๒๕๔๑ อันเป็นการพระราชทานโอกาสให้ได้สร้างคุณงามความดีบนตำแหน่งประธานองคมนตรี

เปรมเริ่มมีบทบาทในการเคลื่อนไหวและแทรกแซงทางการเมืองและด้านการทหารอย่างเปิดเผยในกรณีโยกพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ผู้ทรงคุณวุฒิ กลับมาผงาดในส่วนหัวของกองทัพบกด้วยการขึ้นครองตำแหน่งผบ.ทบ.โดยผ่านไปทางนายชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมอันเป็นร่างทรงของเปรมนั่นเอง ในช่วงที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นแกนนำรัฐบาลนับได้ว่าเป็นช่วงที่บรรดาลูกๆของเปรมในทุกสาขาอาชีพต่างเติบโตกันอย่างถ้วนหน้าแม้แต่นายพลากร สุวรรณรัตน์ ซึ่งอยู่สายการปกครองสังกัดกระทรวงกลาโหม หรือดร.เกษม วัฒนชัยซึ่งอยู่วงการศึกษา แต่ขอให้ได้ชื่อว่าลูกป๋า ต่างได้ดิบได้ดีกันทั่วหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งนายพลากรก้าวกระโดดแบบติดปีกบินกินตำแหน่งรองปลัดกระทรวงมหาดไทย สุดท้ายไปดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการบริหาร ๕ จังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.)

๕ จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยแหล่งแร่และสิ่งผิดกฏหมายทุกรูปแบบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแหล่งแก๊สระหว่างชายแดนไทยและมาเลเชีย ถ้าหากท่านผู้อ่านจำได้ในสมัยรัฐบาลพล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ เคยประกาศว่าแหล่งแก๊สดังกล่าวมีปริมาณมหาศาลมากพอที่จะเป็นเชิงพาณิชย์ จากวันนั้นถึงวันนี้เรายังมีปัญหาที่ยังไม่สามารถวางท่อแก๊สได้ อันเนื่องจากการต่อต้านทุกรูปแบบ ในขณะที่ทางฝั่งมาเลย์เขาสูบเอาไปขายจนกลายเป็นประเทศเศรษฐีไปแล้ว นั่นเป็นเพราะนักการเมืองและข้าราชการเลวๆไปรับเงินจากเขาแล้วก็เอาเศษเงินส่วนหนึ่งไปจ้างคนพื้นที่ให้ทำการเคลื่อนไหวต่อต้าน

พูดถึง ๕ จังหวัดชายแดนภาคใต้ (๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ผมขออนุญาติเรียก ๕ จังหวัด) เพื่อให้เห็นเป็นภาพชัดเจน ผมสมควรกล่าวถึงกองบัญชาการผสมพลเรือน ตำรวจ ทหารที่ ๔๓ (พตท.๔๓) ที่ขึ้นต่อการบังคับบัญชาของกองทัพภาคที่ ๔ เช่นเดียวกันกับศอ.บต. พูดถึงในส่วนของพลเรือน บทบาทสำคัญที่เป็นแรงขับเคลื่อนต้องยกให้กลุ่มนักการเมืองที่สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ (เพราะเป็นพรรคที่มี ส.ส.ผูกขาดอยู่ในพื้นที่ภาคใต้) และดังที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น อันเนื่องจากผลประโยชน์มหาศาลนี่เองที่ทำให้มีการแก่งแย่งและช่วงชิงกันอย่างไม่มีกฏกติกา แต่ส่วนใหญ่ของชิ้นปลามันมักจะตกอยู่ในมือของนักการเมือง ทหารตำรวจทำได้ก็แค่เรียกค่าคุ้มครองสิ่งผิดกฏหมายและสถานบันเทิง จึงอย่าได้แปลกใจที่ทหารและตำรวจจะมีการกระทบกระทั่งกันอยู่เป็นประจำ เสธ.ทหารตบหน้าผู้กองตำรวจเพื่อแย่งชิงพื้นที่หากินก็มีให้ได้เห็นเป็นข่าวอยู่บ่อยๆ

จวบจนกระทั่งเข้าสู่ยุคของพรรคไทยรักไทยเป็นรัฐบาล แล้วก็บังเอิญเป็นอย่างยิ่งที่ “คนดีไม่มีเสื่อม” อย่างร.ต.อ.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์หรือฉายามือปราบสายเดี่ยวได้นั่งอยู่บนตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย แล้วชูนโยบายจัดระเบียบสังคม และดูเหมือนจะเอาจริงกับสถานบันเทิงกับแหล่งอบายมุข ซึ่งภาคใต้ก็เป็นพื้นที่เป้าหมายอัน ดับต้นๆของนโยบายนี้ แล้ววิธีการทำงานของคุณปุระชัยก็มีรูปแบบที่แตกต่างไปจากผู้มีอำนาจคนอื่นๆคือ การสุ่มตรวจพื้นที่ในแต่ละครั้งจะเป็นไปอย่างเงียบๆไม่มีการบอกล่วงหน้าเพราะไม่นิยมให้มีการเกณฑ์ข้าราชการมาให้การต้อนรับ และต้องการที่จะเห็นสภาพความเป็นอยู่จริงที่ไม่มีการจัดฉาก ด้วยวิธีดังกล่าวทำให้คุณปุระชัยได้เห็นในสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อการบริหารจัดการ

สิ่งที่คุณปุระชัยเห็นย่อมต้องเป็นที่รับรู้ของพ.ต.ท.ทักษิณด้วยอย่างไม่ต้องสงสัยจึงมีการเอาหน่วยข่าวแทรกลงไปในพื้นที่เพื่อขยายผล แล้วก็พบความจริงว่านอกจากขบวนการสารพัดส่วยและการเรียกค่าคุ้มครองแล้ว ยังมีขบวนการค้าอาวุธสงครามและมีการงาบงบราชการลับในส่วนของศอ.บต.เข้ากระเป๋าตัวเอง จวบกับหนูแดงหรือพล.ต.อ.สันต์ ศรุตานนท์ ผบ.ตร.ในเวลานั้น ต้องการให้เป็นหน้าที่ของตำรวจในการดูแลด้านความสงบเรียบร้อย จึงได้มีการเสนอแนะให้คุณทักษิณลดความสำคัญของทหารด้วยการยืนยันว่ากลุ่มผู้ก่อการร้ายภาคใต้สูญพันธ์ไปหมดแล้ว ลำพังกำลังของตำรวจสามารถรับมือได้ในเขตพื้นที่

เมื่อเป็นเช่นนี้พ.ต.ท.ทักษิณ ชิณวัตรในฐานะนายกรัฐมนตรีจึงไม่รีรอที่จะมีคำสั่งยุบศูนย์อำนวยการบริหาร ๕ จังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.)และกองบัญชาการผสมพลเรือน ตำรวจ ทหารที่ ๔๓ (พตท. ๔๓) อันเป็นการทุบเข้ากล่องดวงใจของทั้งเปรมและพรรคประชาธิปัตย์ตลอดจนทหารโจร เปรมไม่อาจปฏิเสธได้อย่างเด็ดขาดว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเพราะทันทีที่ ศอ.บต.ถูกยุบ นายพลากร สุวรรณรัตน์ ผู้อำนวยการศอ.บต. ก็ได้รับการเสนอชื่อเป็นองคมนตรี ทั้งๆที่ยังมีอายุราชการอยู่อีกหลายปี เช่นเดียวกับ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ก็ได้รับการเสนอชื่อแต่งตั้งเป็นองคมนตรีทันทีหลังเกษียณตลอดจน ดร.เกษม วัฒนชัย ในทันทีที่อำลาจากรัฐบาลทักษิณก็ได้รับการเสนอชื่อเป็นองคมนตรีเช่นกัน

ปัญหาชายแดนภาคใต้ผมเคยเสนอไปแล้วในบทความ ตอนที่ ๑ “แค้นของคนชื่อเปรม”ว่ามีจุดเริ่มต้นจากการเอาคืนเพื่อหวังดิสเครดิตรัฐบาลทักษิณ โดยมีพรรคการเมืองเก่าแก่ให้ความร่วมมืออย่างลับๆ ในที่นี้ผมจะไม่เขียนซ้ำ แต่จะชี้ให้เห็นว่าการโค่นล้มนายกฯทักษิณนั้นมีการวางแผนกันอย่างเป็นขบวนการมานานแล้วด้วยการส่งสัญญาณให้นายสนธิ ลิ้มทองกุลออกมาเปิดประเด็นโดยใช้เครือข่าย “แอ้มสนธิทีวี” (ASTV) และหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ แล้วนายพลากร สุวรรณรัตน์องคมนตรีก็ได้ทำหนังสือลาออกจากการเป็นนายกสมาคมศิษย์เก่าคณะรัฐศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในทันที ทั้งนี้ก็เพื่อหลีกเลี่ยงในการถูกวิพากวิจารณ์ เพราะในเวลาต่อมาก็ปรากฏมีอาจารย์ผมยาวหรืออาจารย์ฉีกบัตรนาม ดร.ไชยยันต์ ชัยพร จากคณะรัฐศาสตร์ออกมาทำการเคลื่อนไหว ควบคู่ไปกับบรรดาคณาจารย์อีกจำนวนหนึ่งทั้งจุฬาและธรรมศาสตร์

การที่นายสนธิซึ่งสมัยหนึ่งเคยใกล้ชิดสนิทสนมกับพ.ต.ท.ทักษิณนำเอาข้อมูลดิบมาปรุงแต่งโจมตีย่อมต้องเป็นที่สนใจของผู้คนในตอนแรกเพราะเป็นเรื่องใหม่ แต่พอนานวันเข้ากระแสที่นิยมในตัวสนธิเริ่มลดน้อยถอยลง กับมีปรากฏการร่วมด้วยช่วยกัน อย่างเป็นขบวนการทั้งพรรคการเมือง นักวิชาการ และสื่อมวลชน ตลอดจนคนในกองทัพโดยเฉพาะอย่างยิ่งทหารโจรอย่าง สพรั่ง กัลยาณมิตร ที่ปากก็พล่ามอยู่เสมอว่าเป็นทหารของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แต่กลับลดตัวไปทำหน้าที่รักษาความปลอดภัยให้นายสนธิจาบจ้วงล่วงเกินในกรณีเป็นสมาชิกพรรคจักรี โดยที่บรรดาผู้ที่จงรักภักดีทั้งหลายต่างไม่มีใครคิดที่จะปกป้องพระเกียรติยศ

ผมคงไม่ต้องลงในรายละเอียดเพราะเชื่อว่าท่านผู้อ่านที่มีใจเป็นกลางทุกท่านคงทราบเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดเป็นอย่างดีแล้ว แต่ในที่นี้ผมจะขอกล่าวถึงในสิ่งที่ยังไม่มีใครได้วิจารณ์และพูดถึงนั่นก็คือสถาบันตุลาการที่ทำหน้าที่กระบวนการยุติธรรม ซึ่งในที่นี้ผมขออนุญาติเรียกว่าสั้นๆว่าศาลเพื่อความเข้าใจง่ายขึ้น ในฐานะผมเป็นคนไทยคนหนึ่งผมย่อมต้องเข้าใจเป็นอย่างดีครับว่าศาลอันเป็นสถาบันสูงสุด ที่ต้องให้ความเชื่อถือและเคารพ เพราะทำหน้าที่ต่างพระเนตรพระกรรณ ภายใต้ระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หากแต่บุคลากรที่มาทำหน้าที่กระบวนการยุติธรรม ผมว่าถึงเวลาที่สมควรต้องได้รับการปฏิรูปและปรับปรุงครับ

ผมเชื่อเหลือเกินว่า คงไม่ใช่เพียงผมคนเดียวที่มีความสงสัยในกระบวนการยุติธรรมในบ้านเรา หากแต่มีคนจำนวนไม่น้อยที่มีความสงสัยดังเช่นเดียวกับผม ที่เชื่อว่ามีการเลือกปฏิบัติ และใช้อำนาจเกินขอบเขตแห่งความพอดี ในกรณีที่มีคำพิพากษาอดีตสามกกต.อันประกอบด้วย พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ นายปริญญา นาคฉัตรีย์ และนายวีรชัย แนวบุญเนียน เพราะทั้งสามท่านเป็นอดีตข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่มียศเป็นถึงพลตำรวจเอกท่านหนึ่ง ส่วนอีกสองท่านเคยดำรงตำแหน่งสูงถึงอธิบดีและโดยเฉพาะอย่างยิ่งทั้งสามท่านก็มาทำหน้าที่โดยผ่านกระบวนการสรรหาตามระบอบประชาธิปไตย แต่ได้ถูกพิพากษาลงโทษสถานหนักด้วยการตัดสินให้จำคุก ๔ ปี โดยไม่รอการลงอาญา แถมไม่อนุญาติให้มีการประกัน และสิ่งที่ทำให้มีผู้คนสงสัยมากยิ่งขึ้น นั่นก็คือภายหลังการตัดสินมีการสำทับจากศาลว่าห้ามวิจารณ์ หากมีผู้ฝ่าฝืนจะมีโทษในข้อหาหมิ่นศาล และที่สำคัญดูเหมือนจะมีการต่อรองในเรื่องการขอประกันตัว โดยตั้งข้อแม้ว่าจะต้องให้ลาออกจากตำแหน่งกกต.มาเป็นเงื่อนไข

ผมเชื่อครับว่าการพิจารณาคดีความในทุกครั้งศาลจะถือเอาพยานและหลักฐานเป็นสำคัญในการพิพากษาตัดสินความผิดด้วยถือหลักว่า “ปล่อยคนร้ายให้ลอยนวลสิบคน ดีกว่าตัดสินเอาผิดกับคนบริสุทธิ์เพียงคนเดียว” แต่บนความเป็นจริงก็มีหลายคดีที่ผ่านมาเป็นปัญหาที่คาใจสังคมคนไทยอยู่แม้ทุกวันนี้ เช่นในคดีเชอร์รี่แอน แม้มีการรื้อฟื้นคดีและพิสูจน์ได้ว่าผู้ต้องหาที่ถูกตัดสินจองจำเมื่ออดีตสิบปีที่ผ่านมาเป็นแพะ แล้วได้รับการจ่ายเงินค่าชดเชยจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แต่ก็ปรากฏว่ากว่าจะคืนความชอบธรรมให้ผู้บริสุทธิ์ได้ นักโทษที่ถูกตัดสินจองจำก็มีอันต้องเสียชีวิต (ตายคาคุก) ส่วนที่ยังมีชีวิตรอดก็กลายเป็นบุคคลพิการและประสบกับปัญหาบ้านแตก แต่ที่แปลกก็คือเศรษฐีนีแห่งตระกูลฟงฟัด ( ชื่อดั่งเดิมเป็นจีนแคะ) หรือพัฒน์พงษ์ผู้บงการจึงลอยนวล นั่นไม่ใช่เพราะคนที่ได้รับการมอบหมายให้มาดูแลรักษาผลประโยชน์และทรัพย์สินของตระกูลนี้ในเวลานั้นมีชื่อว่า นายประมาณ ชันซื่อ อดีตประธานศาลฏีกาดอกหรือ คดีนี้จึงสาวไปไม่ถึงคนบงการ

นอกจากนี้แล้วยังมีการยกฟ้องคดี ร.ต.ดวงเฉลิม อยู่บำรุง ที่ยิงจ่ายิ้ม ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่แห่งรัฐถึงแก่ความตาย ที่ทำให้เป็นที่คาใจของคนทั้งประเทศ หรือถ้าจะให้ผมยกตัวอย่างชัดเจนซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ ในกรณีที่ นายพชร ยุติธรรมดำรงกุล อัยการสูงสุดในเวลานั้น มีคำสั่งฟ้องคาราวานคนจนที่เดินขบวนไปประท้วงหนังสือพิมพ์คมชัดลึกที่ตึกเนชั่น จนเป็นที่วิพากวิจารณ์กันว่าเป็นการเลือกปฏิบัติ เพราะในเวลาเดียยวกันนั้นก็มีการเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรประชาชนฯซึ่งมี นายสนธิ ลิ้มทองกุล เป็นแกนนำ เหตุใดจึงไม่ถูกดำเนินคดี

เมื่อวันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๕๐ รายการยามเฝ้าแผ่นดิน ครั้งที่ ๓๗ นายสนธิ สิ้มทองกุล ได้นำเอาประเด็นคำสั่งฟ้องคาราวานคนจนมาออกอากาศ โดยอ้างคำชี้แจงของ นายพชร ยุติธรรมดำรงกุล ในกรณีพิจารณาสั่งฟ้องคาราวานคนจนว่า มีความแตกต่างกับกลุ่มพันธมิตรฯ เนื่องจากคาราวานคนจนมีเจตนาไปปิดกั้นอาคารคมชัดลึกในเครือเนชั่น ส่วนกลุ่มพันธมิตรฯเวลาเดินก็ไปปักหลักอยู่ที่สนามหลวง ก็ไปอยู่ที่บริเวณลานพระรูป ก็ไปอยู่ที่สพานมัฆวานฯ ไม่ได้ไปปิดกั้นสถานที่ใดสถานที่หนึ่ง โดยไม่มีการกล่าวถึงกลุ่มพันธมิตรฯที่ไปปิดล้อมทำเนียบรัฐบาลเพื่อไม่ให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีสามารถเข้าทำงานได้สะดวก และไม่กล่าวถึงการเคลื่อนขบวนไปปิดล้อมสำนักงานกกต.และให้กลุ่มนักศึกษาภายใต้การนำของน.ส.กชวรรณ ทำการตรวจค้นรถเข้า-ออกเพื่อหาตัว พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ แล้วก็ไม่พูดถึงการเคลื่อนขบวนไปปิดถนนสุขุมวิทโดยยึดเอาศูนย์การค้าพาราก้อนเป็นที่ปราศรัย ส่งผลให้ห้างร้านต่างๆของสถานที่แห่งนี้มีอันต้องปิดลงโดยปริยาย

บทความทั้งสิบสองตอนที่ผมนำเสนอมาทั้งหมดเป็นเพียงส่วนหนึ่งของข้อมูลที่ชี้ให้เห็นว่าการโค่นล้ม พ.ต.ท.ทักษิณ นั้น มีการวางแผนและทำกันอย่างเป็นขบวนการอันสืบเนื่องจากอำนาจและผลประโยชน์ โดยใช้วิธีการอันสกปรกที่ปราศจากมูลความจริง การกล่าวหาและยัดเยียดความผิดให้ครอบครัวชินวัตรทุกคนจนต้องตกเป็นจำเลยของสังคม โดยไม่สามารถพิสูจน์ความจริงให้เป็นที่ปรากฏด้วยหลักฐานพยาน ทั้งๆที่มีการแต่งตั้งกลุ่มบุคคลที่เคยเข้าร่วมต่อต้านคุณทักษิณมาทำหน้าที่ตรวจสอบ โดยไม่คำนึงถึงความรู้สึกของสังคมคนทั่วไป จนกลายเป็นประเด็นที่ประชาชนที่รักความยุติธรรมต้องออกมาเคลื่อนไหวต่อต้าน และข้าราชการที่มีคุณธรรมจำนวนมากตัดสินใจยุติการให้ความร่วมมือ แทนที่จะรู้สำนึกในการกระทำที่เลวทรามต่ำช้า กลับลุแก่อำนาจบาตรใหญ่ทำการข่มขู่คุกคามด้วยกำลังและอาวุธ อันเป็นพฤติกรรมของโจรเท่านั้นที่จะทำได้

การประกาศว่าจะใช้มาตราการรุนแรงในการจัดการกับกลุ่มคนที่ต่อต้านเปรม ด้วยการรวบรวมรายชื่อเพื่อถวายฎีกาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยมีการตั้งข้อหาว่าเป็นการก้าวล่วงพระราชอำนาจนั้น และเมื่อนำมาเปรียบเทียบกับพฤติกรรมของเปรมและกลุ่มทหารโจร ผมจึงมีความเห็นเพื่อเสนอพี่น้องประชาชนทุกคนช่วยร่วมกันพิจารณาดังนี้

๑. บนตำแหน่งประธานองคมนตรีตามกฏหมายจะต้องวางตัวเป็นกลางอย่างที่สุด และห้ามดำเนินกิจกรรมทางการเมือง แต่พฤติกรรมของเปรมตลอดเวลาที่ผ่านมานับได้ไหมว่าดำเนินชีวิตอยู่ภายใต้กฏหมายบ้านเมือง

๒. เปรมไม่อาจปฏิเสธได้ว่าไม่รู้เรื่องที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้รับถวายการผ่าตัดเพื่อรักษาพระอาการประชวร โดยที่คณะแพทย์ได้ถวายคำแนะนำให้งดการทรงงานอย่างน้อยสามเดือน แล้วการที่เปรมและคณะรัฐประหารขอเข้าเฝ้าในยามวิกาลเช่นนั้นเป็นการสมควรหรือไม่อย่างไร

๓. ภาพถ่ายที่เปรมนำคณะรัฐประหารเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเมื่อกลางดึกของคืนวันที่๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ เปรมไม่อาจปฏิเสธได้เด็ดขาดว่าไม่ได้มีส่วนสนับสนุนหรือเกี่ยวข้องกับการยึดอำนาจ และเปรมต้องรู้ด้วยว่าในขณะนั้นมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าให้มีการเลือกตั้งในวันที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๔๙ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีพระราชหัตถ์เลขาถึงสามอดีต กกต.ว่า “ให้การเลือกเป็นไปด้วยความบริสุทธิ์ยุติธรรม” ซึ่งเป็นพระราชประสงค์ของพระองค์ที่ต้องการให้มีการปกครองภายใต้ระบอบประชาธิปไตย

๔. การเลือกเคลื่อนไหวของเปรมและคณะนายทหารโจรในปีมหามงคลที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวครองราช ๖๐ ปีเมื่อปีที่ผ่านมาและในปีนี้เราก็จะต้องถือเป็นปีที่มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าปีที่แล้วนั่นก็คือมีการจัดงานพระราชพิธีเฉลิมฉลองพระชนม์พรรษาครบรอบ ๘๐ ปี

พฤติกรรมของเปรมข้างต้น เป็นการขัดต่อพระราชประสงค์และก้าวล่วงอำนาจหรือไม่ ขอให้พี่น้องร่วมชาติทุกคนได้โปรดช่วยกันหาคำตอบด้วย

อาคม ซิดนี่ย์
Copyright © arkomsydney 2006-2007


Create Date : 14 กรกฎาคม 2550
Last Update : 14 กรกฎาคม 2550 6:09:43 น. 0 comments
Counter : 646 Pageviews.  

VikingsX
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]




[Add VikingsX's blog to your web]