กรรมของ " ทักษิณ " คือ // ท่านอธิฐานบารมี เป็นพระโพธิสัตว์ ท่านมาจาก พุทธภูมิ // ท่านเลยต้องเที่ยวตะเวณช่วยเหลือ คนนับแสนนับล้าน
 
กรกฏาคม 2550
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
19 กรกฏาคม 2550

ชำแหละ “ยึดทรัพย์” ฉบับ “สามหน้าจบ” และ “ไม่ต้องเป็นทนายอ่านรู้เรื่อง”

ชำแหละ “ยึดทรัพย์” ฉบับ “สามหน้าจบ” และ “ไม่ต้องเป็นทนายอ่านรู้เรื่อง”

(สรุปนำโดยพี่ทวีวุฒิ: คตส มองความข้างเดียว โดยใช้ มุมมองของคน “จ้องจับผิด” ไม่ใช่มุมมอง “ที่ทุกคนบริษุทจนกว่าศาลจะตัดสิน” และไม่มองในแง่ของ “ธรรมชาติ” ในการทำธุรกิจทั่วๆไป ในหลายๆเรื่อง และในอีกหลายๆเรื่อง ใช้ข้อมูลที่ไม่ครบด้านและมีการตีความข้อมูลนั้น ว่าหมายความว่าอะไร และสุดท้าย บางอย่างเช่นคำตัดสินของศาลสูงสุดของไทย ว่าทักษิณได้ผ่องถ่านธุรกิจไปให้คนอื่นแล้วนั้น ไม่นำมาใช้และให้น้ำหนักเลย กลับ “ขุดเจาะ” หาทางลบล้างคำตัดสินนั้น เพื่อว่า โดยสรุป ก็คือ “จะได้” ตีความว่าทุกอย่างยังของทักษิณ สองตีความทุกอย่างว่าทักษิณสร้างความเสียหายและเอื้อให้ตัวเอง หลังจากนั้น ก็จะได้ ยึดทรัพย์)

วันนี้ (11 มิ.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลาประมาณ 18.30 น.คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ได้มีมติให้อายัดทรัพย์สินของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ภรรยาในทุกบัญชีและทุกธนาคาร เนื่องจากมีพฤติกรรมทุจริต และใช้อำนาจเอื้อประโยชน์ให้ตัวเองและครอบครัว ทั้งนี้ สาระสำคัญในคำสั่งอายัดทรัพย์ ระบุว่า ผลการสอบสวนคดีต่างๆ มีพยานหลักฐานเชื่อได้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ทุจริต ประพฤติมิชอบ เอื้อประโยชน์ให้กับธุรกิจของครอบครัว โดยเฉพาะเอื้อผลประโยชน์ให้กับบริษัท ชินคอร์ป ก่อให้เกิดความเสียหาแก่รัฐจำนวน 5 คดี ดังนี้

(ความเห็นพี่ทวีวุฒิ: จะเห็นได้ว่า คตส ต้อง “ข่มขู่” พยาน ให้ได้มาซึ่ง พยาน และ “ขุมขู่” คนให้ฟ้อง เพื่อให้คดีเข้ากระบวนการยุติธรรม ปัญหาคือไทยนั้นเป็น “ภาคี” กับองค์กรด้านความยุติธรรม ที่ห้าม การใช้การ “ขุมขู่” เช่น ที่ คตส ทำมาโดยตลอด”)

คตส บอก “เชื่อ” ได้ว่าทุจริตประพฤติมิชอบ

ปรากฏว่า จากการตรวจสอบของเราจนปัจจุบันมันถึงขั้นกล่าวหาและไต่สวนแล้วด้วยซ้ำไป และอยู่ระหว่างให้ท่านมาแก้ข้อกล่าวหา 5 คดี (1) กรณีที่ดินกองทุนฟื้นฟู ตรงนี้อยู่ที่อัยการแล้ว ที่ดินมูลค่าตามสัญญา 772 ล้านบาท (2) การจัดซื้อกล้ายาง มูลค่าตามสัญญา 1,440 ล้านบาท มีชื่อการกล่าวหาท่านนายกฯ ทักษิณอยู่ ตรงนี้อยู่ในชั้นไต่สวนแล้ว (3) ซีทีเอ็กซ์ ถึงขั้นไต่สวนแล้วและกล่าวหาท่านนายกฯ ทักษิณ ด้วย (4) โครงการออกสลากพิเศษ ถึงขั้นไต่สวนแล้ว และมีหลักฐานกล่าวหาท่านนายกฯ ทักษิณด้วย (5) การให้กู้โดยทุจริตของธนาคารกรุงไทย มีหลักฐานถึงขั้นไต่สวนแล้วว่าท่านเป็นคนสั่งการ ความเสียหาย 5,185 ล้านบาท สลากพิเศษออกโดยมิชอบ รัฐเสียหาย 37,790 ล้านบาท ซีทีเอ็กซ์ เสียหาย 1,500 ล้านบาท

(ความเห็นกลางๆของพี่ทวีวุฒิ: เป็นความเสียหายที่มั่วนิ่มที่สุด เช่นหวยบนดิน ทำกำไรให้แก่รัฐ เป็นแสนล้าน เห็นได้จากการนำเงินเป็นแสนล้าน แจกจ่ายไปทั่งทุกสารทิศเช่นกองทุนการศึกษา หรือจะเป็นที่ดินรับดา ที่ประเด็นของ คตส คือ ภรรยาทักษิณไม่มีสิทธิซื้อ แต่ซื้อก็ด้วยการประมูลซื้อ ฉะนั้นรัฐก็ได้เงินไปมากที่สุดเท่าที่การประมูลจะหามาให้รัฐได้ การบอกว่าทักษิณซื้อก่อนการออกฎให้สร้างตึกสูงตรงนั้นได้ ก็ไม่จริงเพราะผังเมืองคุมโดย กทม ซึ่งดูแลโดย ปชป ฉะนั้น ความเสียหาย สรุปง่ายๆ อย่าง คตส ไม่ได้ เพราะไม่ยุติธรรม)

คตส ว่าในส่วนพฤติกรรมร่ำรวยผิดปกติ มีพยานหลักฐาน “เชื่อ” ว่า

ความผิดประเภทที่เรียกว่าร่ำรวยผิดปกติ “ร่ำรวยผิดปกติ” ในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าท่านมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นมากผิดปกติเพราะท่านมีทรัพย์สินมากอยู่แล้ว แต่เป็นการร่ำรวยผิดปกติชนิดที่เรียกว่า “ได้ทรัพย์สินมาโดยมิสมควรจากการใช้อำนาจหน้าที่” ตรงนี้ก็ปรากฏพยานหลักฐานจากการตรวจสอบขึ้นโดยลำดับ กล่าวคือ) พบในอนุกรรมการตรวจสอบหุ้นชินคอร์ป พบมาโดยชัดขึ้นเรื่อยๆ ว่า หุ้นชินคอร์ปของครอบครัวชินวัตรนั้น 49.2 เปอร์เซ็นต์ เมื่อท่านนายกฯ ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี หุ้นเหล่านี้ได้เปลี่ยนเป็นชื่อบุตรและพี่น้อง และไปต่างประเทศในนามแอมเพิลริช 11 เปอร์เซ็นต์ หุ้นเหล่านี้ทั้งหมด หลังจากขึ้นเป็นนายกฯ ปี 43 ปี 49 ได้รวมกันอย่างง่ายดาย และมาขายให้กับกองทุนเทมาเส็ก เป็น 73,300 ล้าน เมื่อเป็นนายกฯ นั้นมูลค่าประมาณ 20,000 กระโดดขึ้นมาประมาณ 50,000 กว่าล้าน ถามว่า 50,000 ล้านนี้เพิ่มขึ้นจากอะไร

(ความเห็นกลางๆของพี่ทวีวุฒิ: คตส ต่องทำให้เห็นว่าทักษิณรวยขึ้น แบบ ผิดปรกติ จึงจะสามารถ เอาการรวยขึ้นอย่างผิดปรกติ มาสนับสนุนข้ออ้างว่า “ได้มาโดยมิชอบ” เพราะถ้าไม่รวยขึ้นแบบผิดปรกติ ก็ไม่มีคำว่า “ได้มาโดยมิชอบ ปัญหาคือ บริษัททักษิณอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ ตอนทักษิณเข้ามาเป็นนายก ดัชนีหลักทรัพย์อยู่ที่ ประมาณ 250 วันที่ขาย อยู่ที่ประมาณ 700 ฉะนั้น มูลค่าที่ขึ้นมา ถึง 50,000 ล้าน ก็อธิบายได้จากการขึ้นของ ตลาดหลักทรัพย์)


คตส ไม่สนใจตลาดหลักทรัพย์

ตรงนี้การตรวจสอบเรายืนยันหลักฐานชัดขึ้นๆ ว่า นี่คือซุกหุ้นภาค 2 ปรากฏว่าชื่อหลุดและพี่น้องนั้น เรามีหลักฐานชัดทั้งโดยพฤติการณ์และโดยการตรวจทางบัญชีว่า เราเชื่อได้ว่า ควรเชื่อได้ว่าเจ้าของที่แท้จริงคือท่านนายกฯ ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ในเมื่อเชื่อได้ว่าหุ้นยังเป็นของท่าน แล้วตามด้วยพฤติการณ์ที่มีการเอื้อประโยชน์ให้แก่กิจการชินคอร์ป ตามมติที่เขียนไว้ ตรงนี้ก็ปรากฏขึ้นในสำนวนการตรวจสอบและไต่สวนของ คตส.เช่นกัน

(ความเห็นของพี่ทวีวุฒิ: ศาลสูงสุดของไทยตรวจสอบเรื่องนี้ตอนทักษิณเข้ามาเป็นนายก แล้วพบว่าไม่มีการซุกหุ้น และ หุ้นได้ถ่ายโอนไปให้คนอื่นหมดแล้ว คตสกลับไม่เอาข้อมูล ศาลสูงสุดมาดู คือ คตส ต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าเป็นของทักษิณ จึงจะสามารถให้น้ำหนัก ต่อข้อกล่าวหาว่าบริหารบ้านเมือง “ เพื่อเอื้อประโยชน์ต่อตัวเองได้)

ในรายละเอียด เรื่อง “เอื้อผลประโยชน์ ให้ตัวเอง” ของ คตส

ได้มีการแก้ไขส่วนแบ่งรายได้ จากโทรศัพท์ไร้สาย หรือเคลื่อนที่ จาก 25 เปอร์เซ็นต์ เหลือ 20 เปอร์เซ็นต์ ถ้าจำไม่ผิด ปี 44 ขึ้นเป็นนายกฯ ปั๊บ ก็แก้เลย การที่ลดลง 5 เปอร์เซ็นต์ จากรายได้ คิดเป็นมูลค่าที่องค์การโทรศัพท์ หรือรัฐต้องเสียไปตลอดอายุสัญญา 25 ปี เสียหายทั้งสิ้น 71,667 ล้านบาท การแก้ไขสัญญานี้กฤษฎีกาได้วินิจฉัยไปแล้วเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ว่าไม่ทำตาม พ.ร.บ.ร่วมทุน ผิดขั้นตอน เป็นการกระทำโดยมิชอบ

(ความเห็นพี่ทวีวุฒิ: คตส มั่วนิ่มอีกแล้ว กฎหมายอะไรเป็นนายกออกได้ ปั๊บเลย ความจริงคือกฎหมายฉบับนี้ เริ่มต้นตั้งแต่สมัยชวนและถกถึยงกันมานาน และ ไม่ใช่ “ชิน” ที่เป็นตัวตั้งตัวตีในการให้เปลี่ยนกฎหมาย แต่เป็นบริษัทโทรคมอื่น และ เป็นทางออกที่นักวิชาการแนะนำมา ส่วนพรบ ร่วมทุน ไม่ใช่สาระอะไรมาก ผิดระเบียบก็เท่านั้นเอง)


(2) แก้ไขสัญญา โดยเป็นการเปลี่ยนการคิดว่าอะไรคือรายได้ เดิมทีรายได้เท่าไรก็ 20 เปอร์เซ็นต์ 25 เปอร์เซ็นต์ หารไปเลย แต่ก็มาเปลี่ยน ว่าก่อนที่หัก ก่อนที่จะคิดเป็นรายได้นั้น ให้หักค่า Access Charge ออกไปเสียก่อน จึงทำให้องค์การโทรศัพท์ฯ เสียประโยชน์ 700 ล้าน นี่ก็ไม่ผ่าน พ.ร.บ.ร่วมทุน

(ความคิดเห็นพี่ทวีวุฒิ: คตสทำไมไม่หันมามองสิ่งที่รัฐได้ไปทั้งหมด จะจากเครือชิน หรือว่าบริษัทเทเลคอมอื่น จะเป็นในรูปค่าสัมปทาน หรือรูปอื่น มันก็เป็นเงินเป็น “ล้านล้าน” ที่รัฐได้ไปจากเอกชน ส่วน Access Charge โดยประติ เมื่อเปลี่ยนวิธีคิดรายได้ Access Charge นั้นก็กลายเป็น Cost หรือ “ต้นทุน” ทางธุรกิจไป ในธุรกิจทั่วๆไป การหักต้นทุน ก่อนคิดรายได้นั้น เป็นสิ่งที่ทำกันในทุกธุรกิจ)


ทั้งสองเรื่องนี้ คตส.มีมติให้กล่าวหาท่านนายกฯ แต่ผู้เดียว และไต่สวน คือ การตรา พ.ร.ก.ภาษีสรรพสามิตกิจการโทรคมนาคม และมีมติให้ผู้ประกอบการเอาภาษีมาหักจากค่าสัมปทานได้ ตรงนี้ทำให้ ทศท. กสทฯ ได้ค่าสัมปทานไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย จนถึงปัจจุบัน ถึงแม้จะเลิกภาษีเป็น 0 แล้ว แต่ก็เสียหายไปแล้ว 30,667 บาท


ข้อที่ 4 เรื่องดาวเทียม ดาวเทียมชินแซท ของบริษัทชินแซท ไอพีสตาร์ ลงทุนสูงมาก มีความพยายามดิ้นรนบุกเบิกตลาดเต็มที่ มีการบังคับให้บริษัท ทีโอที คือองค์การโทรศัพท์ฯ ต้องเช่าช่องสัญญาณโดยไม่มีความจำเป็น โดยกลุ่มผลประโยชน์ของบริษัท ชินคอร์ป ทำให้องค์การโทรศัพท์ฯ เสียหายจนปัจจุบันนี้ 700 ล้าน

(ความคิดเห็นพี่ทวีวุฒิ: เป็นไปไม่ได้ที่จะไปบังคับให้รัฐทำอะไร โดยไม่มีความจำเป็น คือในที่สุดแล้ว ความรับผิดชอบในการเช่าสัญญาณ ขึ้นอยู่ที่ทีโอที จะมาบอกว่าองค์กรถูกบังคับให้ทำ”อะไรสักอย่าง”โดยเฉพาะถ้าเสียหายและไม่จำเป็น เหมือนโยนความผิด ถ้าจะกล่าวหาทักษิณตรงนี้ ก็ต้องกล่าวหา คนของ ทีโอที อีกเป็นสิบๆร้อยๆคน ว่าสมยอม )


ข้อ 5 อยู่ในขั้นตรวจสอบ อีกประมาณ 2 อาทิตย์ จะวินิจฉัยเพื่อไต่สวน คือการที่ท่านนายกฯ ได้เสนอ ครม.ว่า เราจะให้พม่ากู้ เป็นเครดิตไลน์ คือพม่าซื้อของไทยก็มาเบิกเงินไปเลย ตอนแรก 3,000 ล้าน แล้วมาเติมอีก 1,000 ล้าน พยานหลักฐานยืนยันชัดเจนว่า ท่านนายกฯ เป็นคนไปคุยกับผู้นำพม่า แล้วก็มาขอเพิ่มอีก 1,000 ล้าน เพื่อซื้อสินค้าของชินแซทโดยเฉพาะ ฟังผู้นำพม่าแล้วมาขอเงินหลวงอีก 1,000 ล้าน แล้วก็เพื่อซื้อสินค้าชินแซทโดยเฉพาะ ที่เหลือนอกนั้นเป็นการอาศัยการเจรจาการค้า ทั้งระดับอาเซียนและพหุภาคี บุกเบิกตลาดให้กับดาวเทียมไอพีสตาร์ของชินแซท สำเร็จลงตัวเป็นบริษัทลูกในกัมพูชา ในลาวและเป็นสิทธิ์ในบริษัทในประเทศคู่สัญญาตลอด ทั้งหมดนี้เป็นมูลค่าที่ประมาณไม่ได้

(ความเห็นพี่ทวีวุฒิ: การให้เปล่าและการให้กู้ โดยมีข้อแม้ว่าต้องใช้บริการและสินค้าของคนให้กู้หรือให้เปล่านั้น เป็นสิ่งปรกติในระบอบธุรกิจข้ามชาติ ส่วนผู้กู้จะใช้ของใครหรืออะไร จากประเทศให้กู้หรือให้เปล่า เป็นสิทธิของประเทศนั้น ในที่นี้คือพม่า และถ้าจะให้ยุติธรรม คตส ต้องไป สอบผู้นำพม่า ว่ามีการบังคับให้ใช้ ชินแซทหรือไม่” )


ซึ่ง คตส สรุปได้มีการอายัดทรัพย์สินของ พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน จำนวน 21 บัญ

ทั้งนี้ สำหรับบัญชีที่ถูกอายัด คือ บัญชีจากการขายหุ้นชินคอร์ป จำนวน 7.3 หมื่นล้านบาท แต่จากการตรวจสอบบัญชีของธนาคารแห่งประเทศไทยล่าสุดเมื่อวันที่ 4 มิ.ย.พบว่า มีเงินเหลืออยู่ในบัญชีเพียงประมาณ 52,884 ล้านบาทเท่านั้น

(ความเห็นพี่ทวีวุฒิ: คตส พยายามพูดชี้แนะว่า นี่มันเงินที่โกงมา ฉะนั้นเป็นเงินรัฐที่ต้องหวงแหน แต่จาก เจ็ดหมื่นล้าน ลงมาเหลือเพียง ห้าหมื่นล้าน คงจะมีการผ่องถ่าย หนีและเอาไปแอบ แต่ความจริงคือ นี่มันเงินของครอบครัวทักษิณ ยิ่งก่อนยึด เขาจะเอาเงินไปทำอะไร มันเรื่องของเขา)




Create Date : 19 กรกฎาคม 2550
Last Update : 19 กรกฎาคม 2550 13:05:11 น. 0 comments
Counter : 721 Pageviews.  

VikingsX
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]




[Add VikingsX's blog to your web]