การการออกแบบถนนแบบสมบูรณ์ : นวัตกรรมออกแบบถนนสำหรับเมืองน่าอยู่
Completed Street Design : Revitalization Innovationfor Livable Cities
โดย ศิวพงศ์ ทองเจือ : อาจารย์/นักออกแบบชุมชนเมือง
Email: Siwa_thong@yahoo.co.th
เขียนเมื่อ 17-05-2557
บทนำ
เป็นระยะเวลากว่า 70 ปีที่ระบบโครงสร้างพื้นฐานระดับรัฐในประเทศไทยได้ถูกพัฒนาขึ้นในด้านต่าง ๆโดยเฉพาะด้านการคมนาคมขนส่งหน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรง คือ กระทรวงคมนาคม ( ThailandTransport Portal) เป็นหน่วยงานหลักในการกำหนดนโยบายและแผนยุทธศาสตร์ของการพัฒนาระบบคมนาคมขนส่งในประเทศทั้งนี้หน่วยงานราชการย่อยในสังกัดที่เกี่ยวข้องกับระบบคมนาคมขนส่งและการจราจรทางบกได้แก่ กรมการขนส่งทางบก , กรมทางหลวง ,กรมทางหลวงชนบท และ สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจรโดยสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจรจะมีบทบาทในการวางนโยบายและแผนยุทธศาสตร์เพื่อกำหนดกรอบและจัดทำแผนการปฏิบัติการเพื่อนำไปสู่การปฏิบัติในระดับพื้นที่ซึ่งมีความเกี่ยวข้องการพัฒนาระบบคมนาคมขนส่งทุกประเภทและถือว่ามีความสำคัญต่อการพัฒนาระบบถนนในประเทศไทยอย่างยิ่ง
ระบบถนนในประเทศไทยสามารถแบ่งได้เป็น2 ประเภทหลัก ๆ ได้แก่ 1. ระบบถนนในเมือง ( City Street) และ 2. ระบบถนนในชนบท ( LocalStreet Network) ซึ่งจะมีความสำคัญลดหลั่นกันตามประเภทและการใช้งาน การพัฒนาระบบถนนในประเทศไทยโดยส่วนใหญ่ในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมานั้นได้มีการพัฒนาตามหลักทฤษฎีทางวิศวกรรมการขนส่งและจราจรซึ่งแสดงถึงเทคนิควิทยาการทางวิศวกรรมที่ก้าวหน้าที่ได้รับจากประเทศตะวันตกรวมไปถึงระบบการป้องกันความปลอดภัยที่ให้ความสำคัญเฉพาะผู้ขับขี่ยวดยานพาหนะประเภทต่างๆ เท่านั้นแต่สำหรับประเทศที่พัฒนาแล้วส่วนใหญ่ในปัจจุบันได้ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ของการออกแบบถนนโดยให้ความสำคัญกับกลุ่มผู้ใช้งานหลากหลายประเภทและหลากหลายรูปแบบการเดินทางมากขึ้นโดยมุ่งเน้นไปที่ความปลอดภัยของผู้ใช้ถนนโดยเฉพาะระบบถนนในเมืองที่ให้ความสำคัญสูงสุดกับคนเดินเท้าเมื่อลักษณะเมืองถูกปรับเปลี่ยนเพราะรูปแบบการดำเนินชีวิตของคนเปลี่ยนไปการพึ่งพาอาศัยโดยรถยนต์นั้นเริ่มถูกจำกัดและลดความสำคัญลงซึ่งแตกต่างกับการพัฒนาในประเทศไทยที่ยังคงเน้นความสำคัญไปที่ผู้ใช้รถยนต์เป็นหลักการเปลี่ยนแนวคิดการพัฒนาระบบถนนในต่างประเทศที่ได้มาจากการผลักดันอย่างเข้มแข็งของกลุ่มสัมพันธมิตรส่งเสริมถนนแบบสมบูรณ์ในระดับชาติ( The National Complete Streets Coalition)ถือว่าได้เปลี่ยนแปลงทัศนคติที่มีต่อการเดินทางและการใช้ชีวิตของคนที่อาศัยอยู่ในเมืองไปโดยสิ้นเชิง
ต้นกำเนิดกลุ่มออกแบบถนนแบบสมบูรณ์ ( The National Complete Streets Coalition)
ปัจจุบันการพัฒนาระบบถนนของเมืองในประเทศแถบตะวันตกและยุโรปได้พัฒนาไปสู่การให้ความสำคัญของคนเดินเท้าและกลุ่มผู้ใช้จักรยานมากขึ้นอย่างต่อเนื่องตามลำดับรวมถึงส่งเสริมการเดินทางด้วยระบบขนส่งมวลชนที่ประหยัดพลังงานรักษาสิ่งแวดล้อม( Green Transportation)นอกจากนี้ยังพยายามลดความจำเป็นของการใช้รถยนต์ภายในเมืองทุกรูปแบบด้วยการสร้างแรงจูงใจและส่งเสริมการใช้ระบบขนส่งมวลชนเป็นหลักสำหรับเดินทางภายในเมืองโดยถือเป็นหน้าที่ความรับผิดชอบหลักของผู้บริหารเมือง( Local Government)โดยมุ่งเน้นไปที่การลดภาระค่าใช้จ่ายในการเดินทางสำหรับประชาชนแนวคิดการพัฒนาระบบถนนในอเมริกาและแคนาดาในช่วงเวลาที่ผ่านมาเกิดจากการผลักดันโดยกลุ่มสัมพันธมิตรส่งเสริมถนนแบบสมบูรณ์ในระดับชาติ ( The NationalComplete Streets Coalition)เป็นกลุ่มที่สนับสนุนให้เกิดการสร้างถนนแบบสมบูรณ์ ( Complete Street) ในอเมริกา ซึ่งค่อนข้างมีความแข็งแกร่ง และมีพันธมิตรที่คอยรณรงค์และสนับสนุนต่อความเชื่อที่ว่า ถนน (โดยเฉพาะถนนในเมือง)จะต้องเป็นถนนที่ปลอดภัยต่อทุกคน ไม่ใช่แค่เฉพาะคนขับรถยนต์เท่านั้นเพราะฉะนั้นเมื่อจะสร้างถนน ก็ต้องมีทางเท้า ทางข้าม ป้ายสัญญาณต่างๆ ที่เอื้อให้ คนเดินเท้า รู้สึกว่าตนมีสิทธิที่จะใช้ถนนเท่าเทียมกันกับคนขับรถยนต์ด้วย(โตมร ศุขปรีชา ,2013)นอกจากการผลักดันนโยบายให้เกิดการพัฒนาระบบถนนแบบสมบูรณ์ในระดับชาติแล้วยังมีการศึกษาวิจัยและทดลองเทคนิควิธีการปฏิบัติการออกแบบถนนแบบสมบูรณ์เพื่อหารูปแบบและแนวทางที่เหมาะสมในการออกแบบในแต่ละพื้นที่จึงเป็นความก้าวหน้าวิทยาการนวัตกรรมด้านผังเมืองและการออกแบบชุมชนเมือง ( Planningand Urban Design Innovation) ที่มุ่งเน้นไปสู่ภาคการปฏิบัติจริงที่ประสบผลสำเร็จเกิดเป็นวิธีปฏิบัติที่ดีที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในพื้นที่ต่าง ๆทั่วทั้งอเมริกาและแคนาดา และประเทศต่างๆ ซึ่งเป็นหลักปฏิบัติที่คำนึงถึงการศึกษาพฤติกรรมผู้ใช้ถนนผสานทฤษฎีด้านการวางผังและการออกแบบ รวมถึงเทคนิคด้านวิศวกรรมจราจรและสุขภาพของสาธารณะเป็นหลัก
ภาพที่ 1 : นโยบายการส่งเสริมถนนแบบสมบูรณ์และข้อบังคับในปัจจุบัน( Current Policy Statements and Regulations)
ที่มา :Complete Streets Prince Avenue. (2012). Basic APA format for citing printmaterialist media. Retrieved June, 16, 2014, from //completestreetsprince.org/safety-by-design/complete-streets-introduction/
ภาพที่ 2: ถนนแบบสมบูรณ์ในเมืองเบลลิ่งแฮม( Complete Streets features make this street in Bellingham)
ที่มา : Stefanie Seskin. (2013). Basic APA format for citing printmaterialist media. Retrieved June, 16, 2014, from//www.smartgrowthamerica.org/2013/08/22/ join-the-national-complete-streets-coalition-at-the-2013- national-walking-summit/
หลักการออกแบบถนนแบบสมบูรณ์ ( Principle: The Complete Street)
หลักการออกแบบถนนแบบสมบูรณ์จะให้ความสำคัญที่คำนึงถึงกลุ่มผู้ใช้งาน 4 ประเภท ได้แก่ กลุ่มคนเดินเท้ากลุ่มผู้ใช้จักรยาน กลุ่มผู้ใช้ระบบขนส่งมวลชนโดยเน้นระบบขนส่งมวลชนสีเขียวและกลุ่มผู้ใช้รถยนต์ตามลำดับ ส่วนความก้าวหน้าทางวิชาด้านฝั่งประเทศในยุโรปที่มีพัฒนาการไปถึงการมองระบบถนนเป็นพื้นที่สาธารณะ ที่เปรียบเสมือนห้องรับแขก ( Living Street)ซึ่งสร้างความรู้สึกเสมือนอยู่ในบ้านและมีความเป็นกันเองสูงสำหรับแนวทางการพัฒนาถนนแบบสมบูรณ์ในอเมริกาได้คำนึงถึงปัจจัย 6 ด้านตามหลักการของถนนแบบสมบูรณ์ยังให้ความสำคัญสอดคล้องกับผลประโยชน์ด้านอื่น ๆที่ประชาชนจะได้รับ ได้แก่ 1.ความปลอดภัย 2.ความเสมอภาคเท่าเทียมกัน3.สุขภาพของสาธารณะ 4.ความสามารถในการรองรับ 5.ความยั่งยืน และ6.การคำนึงถึงระยะเวลาที่เหมาะสม
การออกแบบถนนแบบสมบูรณ์ในขั้นต้นจึงมุ่งเน้นไปในเรื่องความปลอดภัยเป็นอันดับแรกโดยอาศัยหลักการ 3 E ซึ่งได้แก่วิศวกรรม ( Engineering) การศึกษา ( Education) และ การบังคับใช้ ( Enforcement) โดยใช้ลักษณะการทางการศึกษาวิจัยโดยการมองกรอบใหญ่ของการพัฒนามากกว่าการแยกส่วนเพื่อแก้ปัญหาในจุดใดจุดหนึ่งซึ่งเป็นการบูรณาการแก้ปัญหาการจราจรแบบองค์รวมและได้อาศัยหลักข้อกำหนดการจำแนกลำดับชั้นของย่านในระดับภาค( Urban Transect) เป็นองค์ประกอบของการออกแบบที่อาศัยความสูงของอาคารที่มีความสัมพันธ์กับความกว้างของถนนและทางเท้าซึ่งขนาดของทางเท้าจะต้องมีขนาดที่สัมพันธ์และเพียงพอต่อการรองรับคนเดินเท้านอกจากนี้ยังต้องคำนึงถึง หลักการวางองค์ประกอบของถนนแบบสมบูรณ์ ได้แก่ ต้นไม้สตรีทเฟอร์นิเจอร์ ระบบสาธารณูปโภคและสาธารณูปการ ไฟฟ้า เป็นต้นซึ่งต้องมีการจัดลำดับชั้นของการวางตำแหน่งตามสภาพพื้นที่นั้น ๆ
ถนนแบบสมบูรณ์ ทำอย่างไรให้ปลอดภัย ( Complete Streets:Making Safer Streets)
หลักพื้นฐานการทำงานด้านนี้จะใช้หลักการ 3 E ดังที่กล่าวมา ซึ่งหมายถึงการศึกษาความต้องการการปฏิบัติในระดับชุมชนการเปลี่ยนแนวทางการวางแผนไปสู่กระบวนการออกแบบถนนรวมถึงการออกแบบองค์กรและการเรียนรู้จากความสำเร็จที่แสดงถึงอัตลักษณ์และการนำแผนไปปฏิบัติเพื่อการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในการออกแบบถนนให้มีความสมบูรณ์
ภาพที่ 3: ทางจักรยานเป็นภารกิจหนึ่งของการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมถนนแบบสมบูรณ์
ที่มา : Aaron Bialick. (2013). Basic APA format forciting print materialist media. Retrieved June, 16, 2014, from//sf.streetsblog.org/2013/06/18/bikeway-on-mission-instead-of-market-does-anybody-think-its-a-good-idea/
เทคนิคและวิธีการทำถนนให้ปลอดภัยโดยทั่วไปจะคำนึงถึงพื้นฐานความต้องการโดยอาศัยความชำนาญด้านวิศวกรรมจราจรและการพินิจพิจารณา รวมถึงการเปลี่ยนแปลงรูปโฉมใหม่ เช่น การให้คำแนะนำในการเลี้ยวและระยะเวลาของการมองเห็นป้ายสัญญาณจราจรและเทคนิคการปฏิบัติที่สามารถเข้าใจได้อย่างเป็นธรรมชาติอย่างไรก็ตาม กุญแจที่สำคัญทางด้านแนวคิดในการออกแบบถนนให้ปลอดภัย มี 5 ประการได้แก่
1.การทำถนนให้ง่ายต่อการใช้งานต่อผู้ใช้ ( Make the Street Easy to Use) ความต้องการขั้นพื้นฐานที่หลากหลายของผู้คนในเมืองคือ การขับรถ การเดินและการปั่นจักรยานเพื่อเป็นการลดความเสี่ยงด้านอุบัติเหตุจำเป็นต้องมีเงื่อนไขในแนวทางที่ว่าจะต้องสร้างตัวอย่างของการขับเคลื่อนการจราจรตลอดเส้นทางของถนนที่เป็นโครงข่ายให้เชื่อมต่อกัน
2.การสร้างสรรค์ความปลอดภัยด้วยหมายเลข ( Create Safety in Number) การทำให้ผู้ใช้ถนนป้องกันการได้รับบาดเจ็บอย่างเช่น การมีทางเดินเท้า และทางปั่นจักรยานที่ชัดเจนที่สามารถมองเห็นได้โดยหลักการออกแบบ จะต้องประยุกต์ใช้แนวทางของการออกแบบการสัญญาณจราจรและการลดการขับขี่ด้วยความเร็วที่มากเกินไป
3.การทำสิ่งที่มองไม่เห็นให้มองเห็น ( Make the Invisible Visible) การวางกลุ่มผู้ใช้ให้สามารถมองเห็นสิ่งต่างๆ ได้ง่าย
4.การเลือกคุณภาพมากกว่าปริมาณ ( ChooseQuality Over Quantity) ถนนและสี่แยกควรออกแบบตามลักษณะของรูปทรงเรขาคณิต และออกแบบตามหลักการความสำคัญตามลำดับ
5.การมองภาพใหญ่มากกว่าส่วนย่อยหรือมองเฉพาะจุดเล็ก ๆ ที่มีปัญหา (แต่สำคัญ) ( Look Beyond the (Immediate) Problem) การขยายขอบเขตของพื้นที่เป้าหมาย เพื่อหาวิธีแก้เชิงพื้นที่ของพื้นที่ที่ไม่สามารถแยกขาดจากกันได้
ภาพที่ 4: โครงการกรีนเลน ( Peoplefor Bikes) การส่งเสริมเลนจักรยานในสหรัฐอเมริกา
เพื่อประชาสัมพันธ์ส่งเสริมนโยบายการสร้างถนนแบบสมบูรณ์
ที่มา : Michael Andersen. (2014). Basic APA formatfor citing print materialist media. Retrieved September, 8, 2014, from//usa.streetsblog.org/2014/09/08/the-letter-to-the-times-that-foresaw-nycs-biking-triumph-10-years-ago/
ปฏิบัติการมีส่วนร่วมออกแบบถนนแบบสมบูรณ์ ( InvolvementDesigning Complete Streets)
สำหรับขั้นตอนปฏิบัติการมีส่วนร่วมถนนแบบสมบูรณ์นั้น The Complete Streets Coalition ได้กำหนดขั้นตอนหลักไว้ 3 ขั้นตอน ดังนี้
1. การอธิบายข้อมูลพื้นฐานของถนนแบบสมบูรณ์ ประกอบด้วย
-ผลประโยชน์ที่ชุมชนจะได้รับ
-ตัวอย่างความสำเร็จของนโยบายถนนสมบูรณ์ในสถานที่ต่างๆ
-เปรียบเทียบให้เห็นความแตกต่างระหว่างสภาพของถนนในปัจจุบันกับถนนแบบสมบูรณ์และเสนอแนวทางการประยุกต์ถนนแบบสมบูรณ์เพื่อใช้ในชุมชน
2. การอธิบายนโยบายการจัดทำถนนแบบสมบูรณ์ ประกอบด้วย
-นโยบายและวิธีปฏิบัติ
-รูปแบบนโยบายและเครื่องมือ 10 ข้อในการนำถนนแบบสมบูรณ์ไปใช้
-การกำหนดเป้าหมายและวิธีการวัดทางสถิติถนนแบบสมบูรณ์ และ
-การนำถนนแบบสมบูรณ์ไปใช้ตอบสนองการใช้งานของชุมชน
3. การนำนโยบายถนนแบบสมบูรณ์สู่การปฏิบัติ ประกอบด้วย
-การนำถนนแบบสมบูรณ์ให้เป็นนโยบายของท้องถิ่น
-การใช้ 4 ขั้นตอนในการปฏิบัติการ
-การสรุปปัญหาอุปสรรคในการนำถนนแบบสมบูรณ์สู่การปฏิบัติและร่วมกันหาแนวทางแก้ไขและการร่างขั้นตอนการปฏิบัติจริง
ส่วนการสร้างแรงจูงใจส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนได้กำหนดขั้นตอนหลักไว้ 3 ขั้นตอน ดังนี้
1.ต้องรณรงค์ว่า ถนน (โดยเฉพาะถนนในเมือง) จะต้องเป็นถนนที่ปลอดภัยต่อทุกคนไม่ใช่แค่กับคนขับรถยนต์เท่านั้น เพราะฉะนั้น เมื่อจะสร้างถนน ก็ต้องมีทางเท้าทางข้าม ป้ายสัญญาณต่างๆ ที่เอื้อให้ คนเดินเท้า รู้สึกว่าตนมีสิทธิที่จะใช้ถนนเท่าเทียมกันกับคนขับรถยนต์ด้วย
2.ในเวลาเดียวกันก็ต้อง กล่อมรถยนต์ให้ สงบคือไม่พยศจนเป็นอันตรายกับคนอื่นด้วยการลดความเร็วสูงสุดลง(เลิกการเลี้ยวซ้ายผ่านตลอด เป็นต้น)
3.ปลูกต้นไม้บนถนนเพิ่มขึ้น ลดพื้นที่สำหรับรถยนต์ลง และอื่นๆรวมไปถึงการสนับสนุนให้คนหันมาใช้ ทางเลือก อื่นๆ ในการเดินทาง เช่น มีทางรถเมล์ทางจักรยาน ฯลฯ โดยที่การสัญจรทางเลือกเหล่านี้ต้องใช้ได้จริงและกว้างขวางครอบคลุม
ภาพที่ 5 : ถนนแบบสมบูรณ์ ในสิงคโปร์ ( Boulevardexample: City of Singapore)
ที่มา : Singapore (โดย ศิวพงศ์ ทองเจือ ถ่ายเมื่อ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2555)
การใช้เทคนิคการจำลองสถานการณ์จริงในกระบวนการปรับเปลี่ยนพื้นที่( Pop-Up Planning)
สำหรับการเรียนการสอนด้านการวางผังและการออกแบบชุมชนเมืองตามแนวทางในต่างประเทศได้ใช้วิธีการจำลองสถานการณ์และปฏิบัติการภาคสนามโดยการจำลองเหตุการณ์สมมุติก่อนดำเนินการก่อสร้าง เพื่อส่งเสริมแรงจูงใจในการยอมรับของประชาชนในพื้นที่และผู้ใช้รถยนต์ซึ่งเป็นวิธีการที่ได้รับการยอมรับสำหรับการสร้างสรรค์สภาพแวดล้อมในพื้นที่สามารถช่วยส่งเสริมความเข้มแข็งในชุมชนและเสริมสร้างประสบการณ์ที่ได้จากการลงมือปฏิบัติสำหรับทีมนักออกแบบนอกจากนั้น เทคนิควิธีการปฏิบัติการภาคสนามเป็นยุทธวิธีที่สำคัญที่จะประสานหน่วยงานท้องถิ่นและการมีส่วนร่วมของประชาชนเพื่อนำไปสู่ผลลัพธ์ของการพัฒนาพื้นที่ให้ดียิ่งขึ้น
ภาพที่ 6 : กลยุทธ์วางแผนวิธีการใหม่สำหรับการปฏิรูปกระบวนการทางสาธารณะ
ที่มา: Amber Hawkes. (2013). Basic APA format forciting print materialist media. Retrieved June, 16, 2014, from//thisbigcity.net/pop-up-planning-new-methods-for-transforming-the-public-process/
บทสรุป
ถนนแบบสมบูรณ์ ( The Complete Street) ถือเป็นนวัตกรรมด้านการออกแบบชุมชนเมืองที่ได้รับการยอมรับและพิสูจน์ให้เห็นถึงวิทยาการก้าวหน้าอีกขั้นของการออกแบบถนนโดยให้ความสำคัญไปที่ความปลอดภัยของผู้ใช้ถนนทุกกลุ่มสร้างผลประโยชน์และความเสมอภาคของกลุ่มผู้ใช้โดยไม่ได้มองไปที่การแก้ปัญหาการจราจรเป็นหลักแต่คำนึงถึงดุลภาพระหว่างผู้ใช้งานแต่ละประเภทซึ่งแตกต่างจากแนวคิดในอดีตที่ให้ความสำคัญเฉพาะรถยนต์แนวคิดถนนแบบสมบูรณ์แม้พึ่งจะเกิดขึ้นได้ไม่นานแต่หลายมลรัฐในอเมริกาและแคนาดาได้รับการยอมรับและปฏิบัติโดยทั่วไปรวมไปถึงประเทศที่เห็นความสำคัญของการพัฒนาระบบกายภาพภายในเมืองที่ส่งเสริมคุณภาพชีวิตของประชาชนซึ่งไม่เพียงแต่มุ่งเน้นเฉพาะด้านเศรษฐกิจและสังคมเท่านั้นงานออกแบบกายภาพจึงเป็นจุดแรกเริ่มของการแก้ปัญหาเรื่องคุณภาพชีวิตที่มีความสำคัญถึงเวลาที่ระบบกายภาพบนท้องถนนควรได้รับการพัฒนาให้ดีขึ้นและให้ความสำคัญกับคนเดินเท้าเป็นอันดับแรก โดยการผลักดันให้มีการสนับสนุนการออกแบบถนนแบบสมบูรณ์ให้เป็นวาระแห่งชาติเพราะผลประโยชน์ที่ได้รับกลับมาไม่มีอะไรที่นอกเหนือไปจาก ความปลอดภัย สุขภาพที่ดีและสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการดำรงชีพของมนุษย์
ขอเชิญชม การออกอากาศเรื่องนี้ได้ตามลิ่งนี้ครับในรายการพลเมืองข่าว : ถนนของใคร ? ( 29 ม.ค. 58)
VIDEO
เอกสารอ้างอิง
ฐาปนา บุณยประวิตร . (2013 ). Basic APA formatfor citing print materialist media. Retrieved June, 16, 2014, from //www.oknation.net/blog/smartgrowth/2012/02/22/ entry-1
โตมร ศุขปรีชา . (2013 ). Basic APA formatfor citing print materialist media. Retrieved June, 16, 2014,from//thaipublica.org/2013/04/living-street/
Amber Hawkes. (2013). Basic APA format for citing print materialist media. Retrieved June, 16 ,
2014 , from //thisbigcity.net/pop-up-planning-new-methods-for-transforming-the-public-process/
Aaron Bialick. (2013). Basic APAformat for citing print materialist media. Retrieved June, 16, 2014,from//sf.streetsblog.org/2013/06/18/bikeway-on-mission-instead-of-market- does-anybody-think-its-a-good-idea/
Complete Streets Prince Avenue.(2012). Basic APA format for citing print materialist media.
Retrieved June, 16, 2014, from //completestreetsprince.org/safety-by-design/complete-streets-introduction/
Michael Andersen. (2014). BasicAPA format for citing print materialist media. Retrieved
September, 8, 2014, from //usa.streetsblog.org/2014/09/08/the-letter-to-the- times-that-foresaw-nycs-biking-triumph-10-years-ago/
New York City DepartmentTransportation. (2013). Basic APA format for citing print materialist
media. Retrieved June, 16, 2014, from //completestreetsprince.org/safety-by-design/complete-streets-introduction/
Stefanie Seskin. (2013). Basic APAformat for citing print materialist media. Retrieved June, 16,
2014, from //www.smartgrowthamerica.org/2013/08/22/ join-the-national-complete-streets-coalition-at-the-2013- national-walking-summit/
ท่านใดสนใจ แนวความคิด Smart Growth (การวางผังเมืองพัฒนาเมืองอย่างยั่งยืนตามแนวทางการเติบโตอย่างชาญฉลาด)เข้าไป กด like fanpage ตามลิ้งก์ Facebook นี้ครับ //www.facebook.com/smartgrowththailand
อ่านบทความ ย้อนหลัง เกี่ยวกับองค์ความรู้ด้านผังเมืองที่ลิ้งก์ตามที่อยู่ด้านล่าง 2 ลิ้งก์นี้
//www.oknation.net/blog/smartgrowth
//www.oknation.net/blog/smartgrowththailand