ติดตาม twitter ได้ที่ @karnoi กด
ติดตามข้อมูลเว็บทาง FaceBook กด
<<
กุมภาพันธ์ 2556
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
2425262728 
18 กุมภาพันธ์ 2556

อย่าได้แคร์ “รังแค” รังควาน



รังแค (Dandruff) เป็นภาวะที่เกิดจากเซลล์ผิวหนังบนศีรษะที่ตายแล้วหลุดลอกออกมามากเกินไปหรือเร็วเกินไป โดยตามวงจรปกติ เซลล์หนังศีรษะที่เกิดใหม่จะค่อยๆ เลื่อนจากใต้ผิวหนังขึ้นมาจนถึงผิวชั้นบนสุด และหลุดลอกออกไปในเวลาเฉลี่ยประมาณ 28 วัน ซึ่งเซลล์ที่หลุดออกจะมีขนาดเล็กจนไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่ถ้าวงจรการผลัดเปลี่ยนเซลล์หนังศีรษะถูกเร่งให้เกิดเร็วขึ้น เช่น เกิดการหลุดลอกในระยะเวลาเพียง 7-21 วัน เซลล์ที่หลุดออกมาก็จะเป็นสะเก็ดสีขาวหรือเทาที่มีขนาดใหญ่จนมองเห็นได้ชัดด้วยตาเปล่า ซึ่งเราเรียกว่ารังแค แถมยังมีอาการคันศีรษะร่วมด้วย

      ปัจจุบันยังไม่ทราบแน่ชัดว่ารังแคเกิดขึ้นได้อย่างไร แต่เชื่อว่า เชื้อราเซลล์เดียวที่เรียกว่า “เชื้อยีสต์” และฮอร์โมนแอนโดรเจนมีบทบาทเกี่ยวข้องกับการเกิดรังแค นอกจากนี้ภาวะที่ร่างกายอ่อนเพลีย ไม่สบาย มีความเครียด รวมถึงการรบกวนหนังศีรษะ ไม่ว่าจะเป็นการรบกวนจากสารเคมีที่อยู่ในผลิตภัณฑ์สำหรับเส้นผม หรือการรบกวนทางกายภาพ ด้วยการเกา การถู ก็อาจเป็นสาเหตุให้เกิดรังแคได้ แต่ไม่ว่าจะเกิดขึ้นจากสาเหตุใด รังแคเป็นสิ่งที่เราสามารถวินิจฉัยได้ไม่ยาก แต่หากไม่แน่ใจว่ามีโรคผิวหนังชนิดอื่นๆ เกิดขึ้นร่วมด้วยหรือไม่ ควรขอคำปรึกษาจากแพทย์

การดูแลตัวเอง   

  * สระผมทุกวันด้วยยาสระผมขจัดรังแคอย่างอ่อน เพื่อขจัดไขมันส่วนเกิน แต่ควรสระผมด้วยน้ำเย็น เพื่อช่วยให้หนังศีรษะไม่แห้งและลอกเป็นขุย ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดรังแค แถมยังทำให้ผมดูนุ่มสลวย เงางามอีกต่างหาก
* เปลี่ยนชนิดของยาสระผมถ้าใช้ไม่ได้ผล
  * ใช้ยาสระผมหลายชนิดสลับสับเปลี่ยนกัน เพื่อลดการดื้อต่อตัวยา
* หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ตกแต่งทรงผม เช่น เจลแต่งทรงผม มูส สเปรย์ฉีดผม เพราะผลิตภัณฑ์เหล่านี้อาจสะสมบนเส้นผมและหนังศีรษะทำให้เกิดสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเจริญเติบโตของเชื้อรา
* ปล่อยให้ผมแห้งเองตามธรรมชาติหลังสระผม
* แปรงผมเบาๆ ตั้งแต่หนังศีรษะจนถึงปลายผม ด้วยหวีซี่ห่างๆ แต่ไม่ควรใช้หวีที่แข็งเกินไป หรือหวีซี่ถี่ๆ เพราะอาจจะดึงเส้นผมให้หลุดร่วงมากขึ้น
  * อย่าเกาหรือถูหนังศีรษะแรงๆ
* การใช้น้ำผสมน้ำมันหอมระเหยจากโรสแมรีหรือลาเวนเดอร์ หรือใช้น้ำมัน 2-3 หยด ถูให้ทั่วหนังศีรษะ อาจช่วยลดการเกิดรังแคได้
* ฝึกการจัดการกับความเครียด ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เกิดรังแค
* รับประทานผักสด ผลไม้ เมล็ดธัญพืชมากๆ และควรรับประทานเนื้อสัตว์ที่มีไขมันต่ำในปริมาณเพียงเล็กน้อยด้วย
* จำกัดปริมาณการรับประทานน้ำตาลและยีสต์ เพราะสารเหล่านี้อาจส่งเสริมการเจริญเติบโตของเชื้อราที่เป็นสาเหตุของรังแค
   * รับประทานวิตามินบี ซึ่งเป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อสุขภาพผิวและเส้นผม รวมทั้งอาหารประเภทเมล็ดธัญพืช ไข่แดง ถั่วเหลือง กล้วย ถั่วเปลือกแข็ง ผักใบเขียว และอะโวคาโด ซึ่งเป็นอาหารที่อุดมด้วยวิตามินบี
* รับประทานอาหารที่มีธาตุสังกะสี เพื่อช่วยปรับการทำงานของต่อมไขมัน ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรง และช่วยทำให้แผลหายเร็ว เช่น ไข่แดง ปลา(ซาร์ดีน) เนื้อสัตว์ ถั่วเหลือง เมล็ดทานตะวัน และเมล็ดธัญพืช เป็นต้น
* ควรออกไปรับแสงแดดบ้าง โดยเฉพาะแสงแดดก่อน 9 โมงเช้า หรือหลัง 4 โมงเย็น ซึ่งไม่เป็นอันตรายต่อผิวหนัง
* หลีกเลี่ยงการใช้สารเคมี เช่น การใช้แชมพูแรง ๆ น้ำยาดัดผม น้ำยาเซ็ทผม น้ำยาย้อมผม และน้ำมันแต่งผม เพราะจะเป็นการกระตุ้นให้รังแคกำเริบได้

ทางเลือกในการรักษา   

      ผู้ที่มีปัญหารังแคสามารถเลือกใช้ยาสระผมเพื่อขจัดรังแคชนิดต่างๆ ได้ดังต่อไปนี้

     * ยาสระผมที่มีตัวยาซีลีเนียมซัลไฟด์ (selenium sulfide) ซึ่งออกฤทธิ์โดยลดการผลัดเซลล์ผิวหนังที่ศีรษะ จึงลดการเกิดรังแค
* ยาสระผมที่มีสารสลายสะเก็ดรังแคให้เล็กลงและหลุดร่วงไป ได้แก่ coal tar (น้ำมันดิน) ซึ่งอาจทำให้เส้นผมที่มีสีอ่อนติดสีได้ แต่อาจมีกลิ่นแรงติดหนังศีรษะและระคายเคืองผิวหนัง
* ยาต้านเชื้อรา (antifungal preparation) ประกอบด้วยตัวยายับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อรา เช่น คีโตโคนาโซล (ketoconazole) หรือยาฆ่าเชื้อราที่ยับยั้งการเจริญเติบโตของยีสต์และการติดเชื้อราอื่นๆ ที่เป็นสาเหตุของการเกิดรังแค
* ยาสระผมที่มีตัวยาซิงค์ไพริไธออน (zinc pyrithione) ซึ่งมีคุณสมบัติต้านเชื้อแบคทีเรียและเชื้อรา จึงช่วยลดอาการคันและการลอกของหนังศีรษะ ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มเครื่องสำอาง
* ยาทำให้ผิวลอก (keratolytics) เช่น กรดซาลิไซลิค (salicylic acid) ทำให้เคอราติน (keratin) ของผิวหนังอ่อนนุ่มลง หลุดลอกได้ง่ายขึ้น

       โดยแพทย์ส่วนใหญ่มักจะแนะนำให้ใช้ยาสระผมที่ผสมตัวยา 3 ชนิดแรกเป็นประจำทุกวัน จนกว่าจะควบคุมอาการของรังแคได้ ด้วยการพอกยาสระผมทิ้งไว้อย่างน้อย 5-10 นาที ก่อนล้างออก หลังจากที่รังแคหายแล้วอาจลดความถี่ในการใช้ลงเหลือประมาณ 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ และใช้สลับกับยาสระผมชนิดอ่อนปกติได้ ที่สำคัญควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ หรือในฉลากยาอย่างเคร่งครัด และควรใช้อย่างระมัดระวังไม่ให้เข้าตา

แต่ถ้าหากใช้ยาสระผมขจัดรังแคแล้วอาการยังไม่ดีขึ้นควรปรึกษาแพทย์ผิวหนัง เพราะรังแคอาจเป็นอาการของโรคผิวหนังอื่นๆ ได้อีกด้วยค่ะ


เลือกใช้แชมพูให้เหมาะกับสภาพเส้นผม










ที่มา...HealthToday


Create Date : 18 กุมภาพันธ์ 2556
Last Update : 18 กุมภาพันธ์ 2556 21:42:21 น. 0 comments
Counter : 1383 Pageviews.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

sitcomthai
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 53 คน [?]










ติดตามข้อมูลของเว็บทาง twitter ได้ที่ @karnoi กด
ติดตามข้อมูลเว็บทาง FaceBook กด







Online Users


New Comments
[Add sitcomthai's blog to your web]