นิยาย/อดีตรักเหมืองป่า ตอนที่ 4
4.หยาดน้ำค้างกลางแสงจันทร์ฟ้าโล่งเหนือผืนป่าและขุนเขา พระจันทร์กลมโตลอยเด่นดวงอยู่ท่ามกลางหมู่ดาวกระพริบพราย นาน ๆ จะมีปุยเมฆบาง ๆ ลอยผ่านไปสักครั้ง ผมนั่งชันเข่าบนพื้นทรายอ่อนนุ่มแหงนมองฟ้ารายรอบ ความงามของดวงพระจันทร์ยั่วเย้าจิตวิญญาณที่โหยหาอาวรณ์ต่ออารมณ์ความรู้สึกชนิดหนึ่งของผมให้ล่องลอย...ลอยไปสู่สิ่งที่เด็กหนุ่มทั่วไปมักคาดหวัง?เมื่อเจ้าตัวน้อยหลับลงแล้ว หล่อนยังจะกล้าก้าวเท้าเดินลงจากทับกลับมาหาผมไหมหนอ?"เราคบกันแค่นี้พอแล้วนะ!"ทำไม? หรือหล่อนหึงหวงน้องสาวของต้ว...? หรือว่า...อิจฉา! แต่นั่นมันหนังไทย มิตร-เพชรา นี่หว่า...คิดแล้วก็ขำ... แต่ทว่า-คิดไปคิดมาผมก็อดที่จะชะเง้อมองตรงทางเดินที่ทอดลาดลงไปสู่เนินทับลุงทองเสียมิได้ กระทั่งเวลาผันผ่านไปชั่วครู่...และผมก็รู้สึกหนาว ใบหน้าและท่อนแขนเปลือยเปล่านอกแขนเสื้อต้องหยาดละอองน้ำค้างที่พร่างพรมลงมาจนชุ่มชื้นไปทั่ว ผมปลดผ้าขาวม้าที่คาดสะเอวขึ้นโพกหัว ทอดสายตามองฝ่าแสงจันทร์ออกไปโดยรอบ แรงปรารถนาที่ซ่อนลึกอยู่ภายในกำลังจู่โจมขึ้นมาอย่างไม่ปราณีปราศรัย และลึกลงไปกว่านั้น--ผมรู้สึกเปลี่ยวเหงาอย่างจับจิต...ตรงฟากฝั่งลำธารฝั่งโน้นเป็นทุ่งหญ้าที่เพิ่งถูกไฟป่าไหม้ลาม กระทั่งพื้นดินเตียนโล่งคล้ายพรมยักษ์สีมัว ๆ ปูทาบอยู่กลางผืนป่า บนตอไม้สูงยังมีเปลวไฟสีแดงไหม้ลนลามหลงเหลืออยู่เป็นแห่ง ๆ และมันก็ลุกโชติช่วง มองไกล ๆ คล้ายดวงตาของสัตว์ร้ายกำลังจ้องมองมาผมละสายตาจากทุ่งหญ้าไฟลามผืนนั้น มองกลับมาที่สายน้ำซึ่งทาบทาแสงจันทร์ระยิบระยับอยู่อีกครั้ง แล้วก็ทอดตามองแมกไม้ทิวเขาที่แลเห็นเลือนรางอยู่ไกล ๆ ขณะลมป่าโชยพัดหอมกลิ่นสุคนธรสมารวยริน ผมเอื้อมมือไปหยิบขลุ่ยบนพื้นทรายขึ้นมาลูบเช็ดรอยน้ำลายของเจ้าตัวน้อย และรอยชุ่มชื้นจากหยาดน้ำค้างจนแห้งหาย แล้วจ่อริมฝีปาก เพลงอุทยานดอกไม้ในเวอร์ชั่นขลุ่ยไม้ไผ่ของผมก็พลิ้วแผ่วกังวาน..."ชมผกา จำปา จำปี กุหลาบ ราตรี พะยอม อังกาบ-ทั้ง-กรรณิการ์ลำดวน นมแมว ซ่อนกลิ่น ยี่โถ ชงโค มณฑา...สายหยุด-เฟื่องฟ้า-ชบาและสร้อยทอง""บานบุรี ยี่สุ่น ขจร... ประดู่ พุดซ้อน- พลับพลึง หงอนไก่ พิกุล-ควรปองงาม-ทานตะวัน รักเร่ กาหลง ประยงค์ พวงทอง...บานชื่น---สุขสอง พุทธชาดสะอาดแซม""........................... ..............."ผมพลอยหลับตาเคลิบเคลิ้มไปกังวานเสียงทุ้มต่ำของเพลงขลุ่ยที่ตนบรรจงกรีดนิ้วบรรเลงระริกรัว ครั้นถึงช่วงสุดท้านเมื่อเพลงขลุ่ยเพลงนั้นจบลง ผมก็ต้องสะดุ้งและตื่นจากภวังค์อันสุนทรี เมื่อรู้สึกเหมือนมีอะไรสักอย่างลอยมากระทบหัวไหล่ของผมเบา ๆ ผมถอนขลุ่ยออกจากริมฝีปาก เพรียกหาแม่ยอดรักด้วยจิตใจที่สั่นระทึกรัว "บัว!-อยู่ไหน.." ปากก็พร่ำเพรียกเรียกร้อง...สายตาก็สอดส่องแลหา ทว่ารอบกายกลับอ้างว้างวังเวง ไม่เห็นแม้เงาของสาวเจ้าหรือนางไม้นางไพรมากลั่นแกล้ง? "บัว... ออกมาเดี๋ยวนี้เลยนะ"เงียบ!ผมเอามือป้องปากและส่งเสียงร้องเรียกดังขึ้นกว่าเก่า "สาวบัว...! ผมคิดถึงใจจะขาดแล้วนะ อย่าแอบซ่อนอยู่เลย ออกมาให้ชื่นใจหน่อยเถอะ" รอบนี้ได้ผล! หลังโขดหินห่างจากผมออกไปไม่เกินสามวา สาวงามอรชรในชุดกางขาสั้นรัดรูปอวดทรงองค์เอวและส่วนโค้งเว้าอย่างแนบสนิท ก็ก้าวเดินออกจากที่ซ่อนมาหยุดยืนเท้าสะเอวอยู่ตรงหน้าผม เชิ้ตแขนยาวสีลาย ๆ พับแขนสามส่วนที่สวมใส่ปกปิดเนินเนื้อสงวนอยู่ท่อนบนถูกรวบชายผูกรัดไว้เหนือสะเอว บ่งบอกความคะนองก๋ากั่นเหมือนนางเอกนิยายที่เธออ่าน โอ้-แม่หยาดน้ำค้างกลางไพร แม่เเทพธิดาของข้าหนอ ผมจ้องมองเรือนร่างอันงามงดของเทพธิดาผู้นั้นอย่างตะลึงลาน ราวต้องมนต์สะกดจากความงามที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า เมื่อแรกเห็นตอนอยู่บนกระท่อมทับผมไม่ได้เพ่งพิศหล่อนมากนัก เพราะขณะนั้นภายในจิตใจมัวแต่ครุ่นพะวงอยู่กับหม้ายสาว-แม่ยอดชู้คู่ชื่นของผมบัดนี้แม่นางเนื้อทรายได้เยื้องย่างมาอวดโฉมให้เยือนยลอยู่ใต้แสงจันทร์ส่อง ณ บนผืนทรายเบื้องหน้าอย่างเต็มสองนัยน์ตา...นี่ผมฝันไปหรือเปล่า !? ผมรีบลุกขึ้นยืน เหน็บขลุ่ยไว้ที่สะเอว พร้อมกับเอ่ยปากเรียกหล่อน"หญิงหมอน""ผิดหวังละซี?" อีแม่สาวเชิดหน้าประชดถาม"พี่บัวเขาวานให้ฉันมาตามนายไปกินขนม"ผมยืนฟังแน่นิ่งราวกับน้ำเสียงของเธอนั้นล่องลอยมาจากดินแดนอันไกลโพ้นหญิงหมอนหมุนตัวกลับ ผมเอื้อมมือรุดไปยื้อแขนข้างหนึ่งเธอมากุมไว้"เดี๋ยว! อย่าเพิ่งไป" แม่นางไพรหยุดชะงัก พร้อมสะบัดปลายแขนหลุดจากการเกาะกุมของผมในทันที และหันมาเผชิญหน้าในระยะที่ปลายจมูกโด่งเป็นสันงามของผมกับแก้มสาวขาวนวลของหล่อนห่างกันไม่ถึงคืบ..."อย่ามาทำบ้า ๆ นะ แม่ตะบันปากฟันหลุดจะบอกให้"หล่อนกำหมัดข้างหนึ่งชูขึ้น ผมถอนกรูดมาตั้งหลัก" แม่คนสวย โปรดจงอยู่อวดโฉมเป็นขวัญตาแก่คนบุญน้อยอีกสักหน่อยเถอะ""อ๊วก!"ผมหัวร่อก๊าก ก่อนฉวยโอกาสรวบมือสองข้างของสายสมรขึ้นมาแตะปลายจมูกอย่างฉับไวเพี๊ยะ !"ชั้นไม่ใช่พี่บัว"น้ำเสียงของหล่อนแม้ไม่เฉียบขาดดุดัน แต่ก็สามารถที่จะเรียกสติผมซึ่งกำลังจะเพริดหลงไปไกลให้วกกลับทิศทางเดิมได้ทันทีเช้าวันต่อมาขณะผมกับไอ้บองหลาช่วยกันสุมฟืนก่อไฟหุงข้าว... ไอ้หมึกตื่นแบกปืนแก๊ปเดินไปตรวจบ่วงแร้วดักสัตว์ที่ตีนเขาด้านทิศใต้ตั้งแต่เช้ามืด ไอ้พริ้งหอบถ้วยจานลงไปล้างที่ลำธารไอ้บองหลาถามผมว่า"เมื่อคืนมึงไปแหย่อะไรนังหมอน กูเห็นมันเดินหน้ามุ่ยกลับมาเชียว""ไม่มีอะไร---แค่กูหยอกมันเล่นนิดหน่อย..." ...แล้วผมก็เล่าให้มันฟังเพื่อนผมหัวเราะ หึ ๆ ในลำคอ แล้วเตือนว่า"มึงอย่าริเป็นอ้นหน่อยเลยว่ะ...คนบ้านเราเขาถือกันนะ-เรื่องนั้น" คนบางกอกเขามักจะให้ฉายาพวกผู้ชายเจ้าชู้ที่ชอบฟาดเรียบหมดทั้งบ้านว่า "พระยาเทครัว" แต่แถวบ้านผมเขาเรียก "อ้น" ซึ่งหมายถึงสัตว์ป่าสงวนพันธุ์ประเภทหนึ่ง ลำตัวอ้วนอุ้ยอ้าย และมีปลายขนอ่อนนิ่มเหมือนหนู หากแต่ของมันตัวใหญ่กว่าพวกหนูที่พบเห็นตามในป่าเป็นสิบ ๆ เท่า อ้นชอบขุดรูหากินอยู่ใต้กอไผ่ และมันก็กินรากไผ่เป็นอาหาร เมื่อขุดรูไชชอนลงไปสร้างรังอยู่ใต้กอไผ่กอไหนเข้า มันก็จะลงมือกัดกินรากไผ่จนหมดทั้งกอ กระทั่งไผ่กอนั้นเฉาตายก็จะย้ายออกไปหาทำเลใหม่อีก ชะรอยไอ้บองหลาคงเกรงว่าไผ่อ่อนที่ทับลุงทองลำนั้นจะพลอยเหี่ยวเฉาเพราะฤทธิ์คะนองของผมลงไปอีกสักลำหรือไม่ก็ไม่รู้ มันจึงติงผมไว้ และผมก็ทนนั่งฟังมันพล่ามไปอย่างนั้นเอง ประเภทเข้าหูซ้ายทะลุหูขวานั่นแหละ...พอดวงตะวันโผล่แย้มทิวไม้ทิศตะวันออก... ไอ้หมึกก็กลับออกมาจากป่าพร้อมกับลากเม่นตัวใหญ่มากับบ่วงแร้วที่ปลดออกจากคันมาแล้วตัวหนึ่ง พวกเราช่วยกันก่อไฟตรงหน้าทับขึ้นอีกกอง เอาเม่นไปจุ่มน้ำในลำธารจนหนังขนของมันเปียกชื้นทั่วทั้งตัว แล้วนำกลับมาโยนใส่กองไฟ เผาและขูดหนังที่มีขนแหลม ๆ ซึ่งไหม้ไฟส่งกลิ่นเหม็นขื่นด้วยมีดทำครัวกระทั่งตัวมันขาวเหมือนสำสี แล้วผมก็เรียกให้ไอ้หมึกผู้ที่จะลงไปอาบน้ำชำระเหงื่อไคลในลำธารจัดการเอาไปชำแหละที่นั่น เพื่อเอาเนื้อกลับมาแกงและย่างรมควันตุนไว้เป็นเสบียงวันหลังด้วย"มึงไม่คิดจะเอาไปฝากพ่อตาบ้างรึ?" ไอ้หมึกล้อผม"มึงเอาไปซี"ผมตีหน้าตาย ทั้งที่จริง ๆ แล้วปากกับใจไม่ตรงกัน และผมก็บอกไม่ถูกเหมือนกันว่า บัดนั้นผมอยากจะไปเห็นหน้าใครกันแน่-ที่ทับลุงทอง?"หัวทอ..." ไอ้บองหลาหัวเราะ แล้วยื่นพวงเนื้อสดที่ร้อยกับหวายเส้นเล็ก ๆ พวงหนึ่งส่งให้ผม "เอาเนื้อเม่นไปให้เมียมึงแกง เสร็จแล้วมึงก็พลอยแดกข้าวกับเขาที่โน่นแหละ แดกเสร็จแล้วค่อยตามพวกกูไปหน้าเหมือง ไม่ต้องวกไปวกมาให้เมื่อยตีน เข้าใจไหม?"ผมหันไปยิ้มกับมันอย่างขวยเขิน... และรีบดีดตัวกระโดดฉากออกมา ก่อนที่จะโดนลูกถีบจากส้นตีนหนา ๆ ของมันพุ่งมาถึง... ซึ่งไม่ต่างอะไรกับนกน้อยหลุดออกจากกรงบินปร๋อ ครู่เดียวผมก็ย่ำเท้าถึงกระไดทับลุงทอง ป้าพัวนั่งตะบันหมากอยู่บนระเบียง พร้อมส่งสายตาเฝ้าระวังหลานกำพร้าตัวน้อยๆ ที่วิ่งเล่นอยู่ใกล้ ๆ มิให้พลัดตกลงไปข้างล่าง ผมไม่เห็นลุงทอง สอบถามป้าพัวได้ความว่าออกไปสอยใบกระท่อมที่ทับของพวกชาวเหมืองทางเหนือเมื่อตอนเช้ามืด หญิงหมอนกำลังหุงข้าวทำกับข้าวขลุกอยู่ในครัว ขณะผมหิ้วเนื้อเม่นพวงนั้นก้าวขึ้นกระไดเดินเข้าไปส่งให้เธอ แม่นางไพรของผมละมือจากมีดหั่นผักป่าบนเขียงไม้ยื่นมารับ "พี่บัวไปล้างจาน..." หล่อนบอกผมแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน เพราะอยากนั่งขายขนมจีบ"อยากชิมฝีมือทำกับข้าวของหมอนจัง หุงข้าวเผื่อผมด้วยนะ""อ้าว! คิดจะหักค่าเนื้อเม่นพวงนี้รึไร?" อีแม่สาวชำเลืองค้อน แล้วหัวร่อหึ ๆ ในลำคอ ทำให้ผมเขินอายจนหน้าชา ยืนอ้ำอึ้งพูดไม่ออก กระทั่งได้ยินเสียงหล่อนว่าต่อ"พวกเราชาวเหมืองชอบกินของร้อนของเผ็ด มันอาจไม่เหมาะกับลิ้นของพวกนักเรียนนักศึกษาก็ได้" ช่างเป็นน้ำคำที่ยั่วยวนกวนจิตใจชวนให้วอกแวกเสียนักหนา หากแต่ผมก็ครวญคิดถึงคำพูดของไอ้บองหลา... ระวัง - -อีนั่นปากคอจัดจ้านเหมือนหมา.. ผมจึงพูดกับหล่อนขึ้นเบา ๆ ว่า"แกงเลียงถ้วยเล็ก ๆ ให้ซักถ้วยก็ได้" หญิงหมอนย่นจมูก"ฮึ ! งานนั้น- -ต้องยกให้พี่บัว" หล่อนว่า "รีบตามไปบอกให้เขากลับมาแกงให้กินสิ ชักช้าประเดี๋ยวไปหน้าเหมืองสายหรอก"และในที่สุดกับข้าวมื้อเช้าของผมวันนั้นก็มีแกงเลียงยอดผักป่าของสาวบัวเสริมมาอีกอย่าง ซึ่งผมยอมรับว่าฝีมือการปรุงรสแกงเลียงของหม้ายสาวอร่อยถูกปากผมมากเลย "กินให้อิ่มนะจะได้มีแรงขุดดิน" หม้ายสาวพูดขณะนั่งเป็นเพื่อนกินข้าวกับผมอยู่ในครัว ลุงทองไปเก็บใบกระท่อมยังไม่กลับ หญิงหมอนเลี่ยงออกไปนั่งหยอกเล่นกับหลานสาวที่หน้าระเบียง ป้าพัวบอกว่ายังไม่หิว เพราะปกติแกกินข้าวพร้อมกับลุงทองตอนสาย ๆ ทุกวัน"วันนี้ไม่ออกไปร่อนแร่หรือ?" ผมถามสาวบัว"ไป""แถวไหน?" "ทำไม?" หล่อนขมวดคิ้วย้อนถาม พร้อมกับทำตาดุ"นุ้ยจะตามไปหรือ ? อย่านะ!-อีหมอนมันจะเพ่นกระบาลเอา...""คืนนี้ให้ผมมาเที่ยวที่นี่อีกได้ไหม?" ผมทำตาหวาน"จะย่องมากินขนมอะไรอีกล่ะ?" ผมวางช้อนกินข้าวลงบนขอบจาน เอื้อมมือเชยคางหล่อนให้เชิดขึ้น วงหน้ารูปไข่ที่ดูออกคล้ำเพราะกรำแดดนั้นช่างสวยงามอย่างน่าเสน่หา ปาก จมูก คิ้ว คาง สอดรับกันอยู่บนนั้นอย่างลงตัว หม้ายสายสบตาผมแน่นิ่ง--แววท้าทายผุดพรายออกมาจนเห็นได้ชัด ทำให้ผมรู้สึกสั่นหนาวสะท้านทรวงอย่างบอกไม่ถูก "ก้อขนมสายบัวคนนี้ไงล่ะ" ผมระบายเสียงแผ่วเบาราวกับเสียงกระซิบ"จะกินทิ้งกินขว้างใช่ไหม?"น้ำคำยอกย้อนที่เปรยออกมานั้นทำให้ผมอัดอั้นตันใจสุดบรรยาย "เอาไว้คืนนี้เราค่อยว่ากัน" ผมพูดขึ้นหลังหมดข้าวคำสุดท้ายในจาน พร้อมกับขอน้ำกิน... "นุ้ยกินข้าวนิดเดียวเอง อิ่มจริงหรือ?" หม้ายสาวรับขันน้ำคืนไปจากผม และถามด้วยน้ำเสียงที่บอกให้รู้ว่าห่วงใย ผมพยักหน้าและโน้มตัวไปหอมแก้มให้รางวัล แล้วบอกลา เพื่อตามไปสมทบกับเพื่อน ๆ ที่หน้าเหมือง ซึ่งป่านนี้พวกมันคงจะล่วงหน้าไปอีกเส้นทางหนึ่งแล้ว*********************************
แต่ว่า อินเทอร์เน็ตของผมมันใช้น้ำมันตราเต่าน้อย เลยวิ่งได้ช้าอย่างน่าสงสาร
จึงเมื่อมีเวลาได้แวะไปเยี่ยมเยียนพวกท่าน ความชักช้ายืดยาดของระบบอีการ์ดอินเทอร์เน็ตทำให้ผมต้องรอจนกระทั่งง่วงหาวแล้วก็ผลอยหลับไปเสียก่อนทุกคราว
เพราะฉะนั้น ถ้าหากหลวงเสไปเยี่ยมเยียนพวกท่านได้ไม่ครบทุกคน ก็ขอให้รำลึกถึงสาเหตุแห่งความจำเป็นข้อนี้ก็แล้วกันนะครับ
แล้วท่านก็จะได้ไม่คิดว่าหลวงเสใจดำ