นิยาย/อดีตรักเหมืองป่า ตอนที่ 3
3.ทับลุงทองขณะกำลังศึกษาวิชาครูอยู่ที่วิทยาลัยฯ ผมชอบคลุกคลีกับพวกนิยมชมชอบด้านศิลปบันเทิง กระทั่งสมัครเข้าร่วมกิจกรรมอยู่ในชมนุมดนตรี-นาฏศิลป์กับพวกเขา มีกิจกรรมที่ไหนก็เข้าร่วมทุกครั้ง มีงานมีการก็ช่วยเหลือเขาสารพัด ตั้งแต่งานแบกหามทำความสะอาดข้าวของเครื่องใช้ กระทั่งช่วยรื้อและจัดเวที สร้างฉากประกอบการแสดงละคร ช่วยขนย้ายและควบคุมดูแลด้านแสงสีเสียงร่วมกับรุ่นพี่ ทำให้ผ่านประสบการณ์ด้านมานี้พอสมควร เมื่อเวลาผ่านไปนานเข้ารุ่นพี่เห็นเราจริงเอาจังก็เปิดโอกาสให้ฝึกซ้อมดนตรีและฝึกแสดงบทบาทตัวละคร จนในที่สุดก็ได้มีโอกาสแสดงละครเป็นตัวพระในเรื่องกามนิต-วาสิษฐี แต่เรื่องดนตรีนั้น ผมโหล่เอามาก ๆ ที่พอจะเป็นกับเขาบ้างก็มีแค่ขลุ่ยไทยอย่างเดียว และมักจะพกใส่ย่ามสะพายติดตัวไปไหนเสมอ ถ้าใช้ผ้าขาวม้าคาดสะเอวก็สอดเหน็บไว้ที่ขาวม้านั่นแหละ เหน็บไปมาจนติดนิสัย คืนนั้น ผมก็เหน็บขลุ่ยของผมติดสะเอวไปด้วย กระท่อมทับของหม้ายสาวกว้างใหญ่ราวกับกระท่อมปลายนา ตั้งโดดเด่นอยู่บนเนินสูงริมลำธาร หันหน้าไปทางทิศตะวันออก หลังคาทรงแหลมมุงด้วยใบระกำเย็บเป็นตับเหมือนตับจาก ปูพื้นด้วยฝากไม้ไผ่และยกเสาสูงเหนือบั้นเอวจนต้องใช้กระไดพาด ด้านหน้าเป็นระเบียงกว้าง ปูเสื่อผืนใหญ่ไว้ผืนหนึ่งลุงทองกับป้าพัว- พ่อและแม่ของสาวบัว รวมทั้งสายสมรน้องสาวของหล่อนอีกคน ซึ่งผมเรียกเธอว่า "หญิงหมอ"ติดปากมาตั้งแต่ครั้งแก้ผ้าเล่นน้ำคลองด้วยกัน ล้วนสนิทสนมกับพวกผมเป็นอย่างดี ผู้เฒ่าสองผัวเมียแสนปลาบปลื้มและยินดี เมื่อพวกเราหอบหิ้วข้าวของพะรุงพะรังย่างกรายเข้าไปถึง ก็แน่ล่ะ - คนมีลูกสาวถ้าไม่คิดที่จะคบค้าสมาคมกับเด็กหนุ่มขยันทำกินอย่างพวกเรา แล้วจะให้ไปคบหากับใครที่ไหน โดยเฉพาะเด็กหนุ่มที่แสนจะรู้ใจแกอย่างไอ้หมึก ลุงทองถึงกับยิ้มร่าเมื่อเห็นมันโผล่หน้ามา"ผมไปยกมือไหว้ขอแบ่งจากน้าคล่องได้มาหน่อยหนึ่ง" ไอ้หมึกล้วงห่อกัญชาที่อุตส่าห์ดั้นด้นไปขอแบ่งมาจากชาวเหมืองที่อยู่เลยขึ้นไปทางด้านเหนืออีกหน่อย วางบนกระบะไม้อันเล็ก ๆ ที่ใช้ทำเชี่ยนมากพลูไว้รับแขก กลางผืนเสื่อตรงหน้าลุงทอง"แหม ให้มันได้อย่างนี้ซีวะ"ลุงทองตบเข่าฉาด "ของลุงก็หมดเกลี้ยงพอดี กะว่าจะล่องสังขารไปขอแบ่งไอ้คล่องมาสักอยู่หน่อยเหมือนกัน- - แต่อ้ายชิบหายนั่นมันหวงของมันยังกะอะไร.." พูดแล้วแกก็โคลงหัว"จริงครับ" ไอ้หมึกพยักหน้าพลางยื่นมือรับเขียงหั่นกัญชาจากลุงทองวางลงหน้าตะหมาด จัดแจงคลุกเคล้ากุลีดอกกัญชาที่แกะออกจากห่อเข้ากับฝอยยาเส้น เสร็จแล้วก็ลงมือหั่นอย่างผู้ชำนาญการ ไอ้พริ้งกับไอ้บองหลานั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม จ้องเขียงกัญชาที่ไอ้หมึกกำลังหั่นอย่างไม่กระพริบตา ผมเห็นว่าได้จังหวะก็เร่งฉวยโอกาสชิ่งออกมาทันทีอุตส่าห์หอบสังขารอดตาหลับขับตานอนมาเหยียบเรือนแม่หม้ายทั้งที เรื่องอะไรจะมานั่งดมกลิ่นกัญชาให้โง่ สู้แอบไปหาอย่างอื่นที่มันให้รสชาติหอมสดชื่นระรื่นใจน่าสูดดมยิ่งกว่านี้มิดีหรือ!ว่าแล้วไอ้เสือแผนก็ค่อย ๆ คลานเข่าอย่างแผ่วเบาเข้าไปในทับนอนอันเปรียบประดุจกระท่อมน้อยหลังนั้นทีละน้อยละหน่อย เพราะไม่อยากตกเป็นเป้าสายตา อ้ายตัวเล็ก-ลูกสาววัยสองขวบของสาวบัวนอนหนุนหมอนดูดนมขวดอยู่ข้างตักยายอย่างมีความสุข มือหนึ่งจับขวดนม มือหนึ่งคว้าชายเสื้อคอกระเช้าของยายมาดึงเล่น ไม่หันมาสนใจ ผ่านเธอไปแล้ว ไอ้แผนนุ้ยก็เจอด่านที่สอง เมื่อเห็นหน้านายด่าน หัวจิตหัวใจของพ่อแผนก็เต้นรัวอยู่เป็นนานสองนานกว่าจะบังคับให้สงบลงได้ สายสมรจุดตะเกียงน้ำมันก๊าดนอนคว่ำหน้าอ่านนิตยสารเล่มเก่า ๆ ขวางอยู่หน้าประตูครัว พี่สาวของเธอกำลังก่อไฟควันโขมงเพื่อที่จะทำขนมให้พวกขี้กัญชาได้กินกันอยู่ในนั้นผมกระเถิบเข้าไปใกล้ ทำใจดีสู้เสือ ถามขึ้นเบา ๆ "อ่านนิยายเรื่องไร?""หอมกลิ่นแม่หม้าย" ปากพูด สายตาจับจ้องอยู่บนหน้ากระดาษ ท่ามกลางแสงวอมแวมของตะเกียงน้ำมันก๊าด หญิงสาวมิได้ใส่ใจทักทาย ราวกับผมมิได้อยู่ในสายตา "อ่านหนังสือในที่ที่แสงสว่างไม่พอระวังสายตาจะเสีย" ผมพูดแก้เขิน หวังจะให้หล่อนหลีกทาง ทว่าหญิงสาวกลับหันขวับ"ตาเสียยังดีกว่าตาถั่ว"เฮ้ย !ผมอุทานและนึกงงงวยอยู่ในใจ ชะรอยอีแม่สาวคงจะรู้... หรือไม่ก็อาจระแคะระคายถึงปรากฏการณ์พญานาคคายพิษกลางสายน้ำเมื่อวันวานเข้าแล้วก็ได้ผมทำไม่รู้ไม่ชี้ และกล่าวชมเธอว่า"ไม่พบเสียนาน สวยจนจำไม่ได้" "สวยตาย...""จริง""ทำปากดี- -ระวังดุ้นฟืนปลิวมาจากครัว....จะว่าไม่เตือน"คราวนี้ผมเผลอตัวปล่อยก้ากเสียงดังลั่น เป็นเหตุให้เจ้าตัวเล็กที่กำลังนอนดูดนมขวดอยู่เพลิน ๆ ตกใจ ถอดขวดนมออกจากปากส่งเสียงจ้า"แม่-หนู -หาแม่...""บัวเอ้ย--มาอุ้มลูกลงไปเดินเล่นข้างล่างก่อนเถอะ มันร้องหนวกหู-พวกพ่อเขาจะคุยกัน" ป้าพัวร้องบอกลูกสาว เมื่อเห็นว่าเจ้าหลานตัวเล็กคงจะไม่หยุดร้องลงง่าย ๆ "ประเดี๋ยวของในครัวพวกนั้น แม่กับนังหมอนจะเข้าไปจัดการกันเอง"ผมรอโอกาสนี้มานานแล้ว จึงคลานเข่าเข้าไปหยุดอยู่ตรงหน้าป้าพัว"ส่งมาให้ผมช่วยอุ้มให้ก็ได้จ๊ะป้า" ว่าแล้วก็ดึงขลุ่ยไม้ไผ่ซึ่งสอดเหน็บกับผ้าขาวม้าที่สะเอวเหนือตะโพกยื่นส่งให้เจ้าตัวเล็ก "มาลูกมา มาหาน้านี่- -มาเร้ว..."ลูกน้อยของหม้ายสาวเงียบเป็นปลิดทิ้ง ลุกพรวดมาคว้าขลุ่ยจากมือผมแล้วหันไปส่งเสียงเรียกแม่ของเธอเสียงลั่น"แม่ แม่ ฉุ่ย ฉุ่ย"ผมยิ้มให้เธอ"ขลุ่ย-ลูก ขลุ่ย ไม่ใช่ฉุ่ย..... ไหนว่าใหม่ซิ ขลุ่ย"เจ้าตัวเล็กยืนจ้องผมตาแป๋ว มือขวากำขลุ่ยไว้แน่น เป็นภาพไร้เดียงที่แสนงาม จมูก ปาก คิ้ว คาง ของเธอถอดแบบมาจากผู้เป็นแม่ครบสิ้นเหนือราวป่าสีดำหม่นเบื้องทิศตะวันออก พระจันทร์สีทองกลมโตสวยสดใสกำลังโผล่แย้มสาดแสงสว่างนวล เมื่อมองลอดเพิงหลังคาผ่านช่องประตูเห็นทิวเขาเรียงรายสลับเป็นเชิงชั้นงดงามในยามเดือนฉายที่ไกลโพ้นออกไป "มาหาแม่-ลูก"สาวบัวเดินสวนกับป้าพัวออกมาจากข้างในด้วยก้าวย่างที่แผ่วเบาจนผมไม่อาจรู้ตัว ก้มรวบตัวลูกสาวขึ้นไปอุ้ม ก้าวลงกระไดเดินฝ่าแสงจันทร์ตรงแน่วไปยังโขดหินน้อยใหญ่ที่ริมธารน้ำหน้าทับของหล่อนด้วยอากัปกิริยาที่ปึ่งชา มีได้หันมาใส่ใจทักทายผมให้สมกับที่คิดถึงเลยทว่าลูกผู้ชายชื่อไอ้แผนอย่างผมมีหรือจะไม่ประสีประสาจริตมารยาหญิง มีหรือจะไม่รู้ซึ้งซึ่งความขุ่นมัวของเจ้าหล่อนระดับในลำธารหน้าทับลุงทองตื้นและใสแจ๋ว ถ้าเป็นตอนกลางวันมองลงไปเห็นก้อนหินและเม็ดทรายกลางท้องธารชัดเจน มันเป็นสายธารเดียวกับที่ไหลผ่านไปยังทับนอนของพวกผม หากแต่บริเวณนี้เป็นเนินสูง สายน้ำที่ไหลทอดลงสู่เบื้องล่างจึงเชี่ยวปรี่ กระทบแก่งหินส่งเสียงซ่านซ่าได้ยินไปแต่ไกลก่อนที่ผมจะย่างเท้าพ้นจากขั้นกระไดทับลุงทองขั้นสุดท้าย เพื่อจะออกตามสาวบัว ก็แว่วเสียงลุงทองร้องสั่งมาว่า"มึงบอกให้อีบัวหาอะไรปิดกระหม่อมลูกมันหน่อย อุ้มตากน้ำค้างกลางค่ำกลางคืนประเดี๋ยวหวัดก็จับเอาหรอก"ผมขนลุกวาว คิดไม่ถึงว่าแกจะดักทางผมถูก หากแต่เมื่อได้ตัดสินใจใส่เกียร์เดินหน้าลงไปแล้ว ลูกผู้ชายชื่อไอ้แผนอย่างผมถ้าวกกลับมาใส่เกียร์ถอยมันก็หมาเท่านั้น"ครับ - -เอ่อ- - ผมจะออกไปเดินเป็นเพื่อนเขาหน่อย" ผมหันไปบอกลุงทอง "เออ- ว่าแต่อย่าชวนกันไถลไปให้ไกลนักล่ะ ประเดี๋ยวป้ามึงทำขนมสุกแล้วจะกู่เรียกไม่ได้ยิน" กังวานเสียงของชายชราฟังแปร่ง ๆ คล้ายมีอะไรแอบซ่อนอยู่ ร้อนถึงไอ้หมึก ซึ่งชะรอยคงจะถุนกัญชาเข้าไปแล้วหลายบ้อง มันจึงแหย่ลุงทองด้วยลีลาสำนวนเคลิ้มควันกัญชาว่า "ค่ำคืนนี้จันทร์เจ้าแจ่มกระจ่าง ปล่อยให้หนุ่มสาวเขาออกไปเดินกินลมชมจันทร์เล่นกันเถอะ อย่าไปขัดคอมันเลย เดี๋ยวจะเป็นบาปติดตัวไปเปล่า ๆ"ลุงทองหัวเราะ ฮา ฮา"... ก้อกูไม่ได้ว่าอาไร้"พูดจบแกก็หยิบเศษกระดาษหนังสือพิมพ์ที่พับเป็นแผ่นเล็ก ๆ แบน ๆ ยาวแค่นิ้วชี้ จ่อเข้ากับไฟตะเกียงที่วางอยู่กลางวงจนไฟลุกพรึบ แล้วนำมาลนผงกัญชาซึ่งยัดใส่ไว้ในกรวยบ้อง พร้อมกับสูดควันพ่นโขมงอย่างสบายใจเฉิบยามมืดค่ำ กลางป่าดงดอยเงียบเหงาวังเวง ไกลออกไปในป่าลึกผมได้ยินเสียงไก่ป่าเพ้อขันดังแว่วขึ้นครั้งสองครั้งแล้วเงียบไป ครั้นสืบเท้าต่อไปจนใกล้ตอไม้ซึ่งทอดเงาตะคุ่มอยู่ริมทางเดิน ผมก็เห็นนกตบยุงปีกลายตัวหนึ่ง กำลังกางปีกร่อนโฉบเหยื่อฉวัดเฉวียนอยู่ใกล้ ๆ ในขณะที่อีกตัวหนึ่งซึ่งคงจะเป็นคู่รักของมันกำลังส่งเสียงจุ๋ง ๆ เพรียกหาอยู่ตรงไหนซักแห่งที่ห่างออกไป ท่ามกลางแสงจันทร์อันสว่างไสวดุจกลางวัน ผมสอดส่ายสายตาแลหาไปจนทั่วแต่ไม่เห็นตัวมันชะรอยนกป่าคงแอบซุ่มส่งสัญญาณเตือนภัยมายังชู้รักของมันนั่นเอง เมื่อเดินผ่านขึ้นมาถึงบริเวณกลางเนินซึ่งเป็นพื้นราบ น้ำในลำธารก็ไหลเอื่อยเฉื่อยจนเกือบจะไร้สุ้มเสียง ผมเร่งสืบเท้าเดินเลาะเลียบแท่งหินน้อยใหญ่ริมธารด้ายซ้ายมือตามหลังหม้ายสาวไปอย่างกระชั้นชิด ในขณะที่ผิวน้ำซึ่งไหลสวนทางมาในสายธารต้องแสงจันทร์ทอประกายระยิบระยับแพรวพราวบาดนัยน์ตายิ่งห่างไกลกระท่อมทับและห่างเสียงพูดคุยของพวกขี้กัญชา ผมก็รู้สึกเหมือนโลกกลางป่าลึกแห่งนี้เป็นของเรา... บนหาดทรายขาวนวลริมสายธารตรงนั้น สาวบัวนั่งมองลูกน้อยของหล่อนวิ่งเล่นอยู่บนพื้นทรายอันอ่อนนุ่มขณะผมสาวเท้าตามไปถึง "ถอยไปนั่งห่าง ๆ" หม้ายสาวผลักไสเมื่อผมทรุดกายลงเคียงข้างและโอบกอด"อย่าดิ้น เดี๋ยวลูกตกใจ" ผมออดอ้อนเสียงกระเส่า"ก็ปล่อยซิ" กังวานเสียงของหล่อนสั่นเครือและแผ่วเบาจนฟังแทบไม่ได้ศัพท์"คิดถึงใจจะขาด" ลูกผู้ชายชื่อไอ้แผนแนบปากกระซิบข้างหูชู้รัก ก่อนฝังจมูกลงกลางแก้มนิ่มหวังสูดดมกลิ่นหอมจากกายสาวให้ชื่นใจ แต่มิอาจสมหวัง เมื่อสัมผัสเสียงหม้ายสาวผ่อนลมหายใจสะทกสะท้อนหนักหน่วงราวกับถอนสะอื้นสอดแทรกขึ้นมา "นุ้ย เราคบกันแค่นี้พอแล้วนะ" สาวบัวพูดหลังจากผมคลายอ้อมแขน น้ำเสียงของหล่อนฟังสร้อยเศร้าและบาดลึกลงกลางใจ"เป็นเพราะเรื่องที่ผมพูดหยอกเล่นกับหญิงหมอนเมื่อครู่นั้นหรือเปล่า?" ผมปลอบถาม และยังมิทันที่หล่อนจะเอ่ยคำใดออกมา เจ้าตัวน้อยของหล่อนก็วิ่งตื้อตรงมาขัดจังหวะเสียก่อน "แม่ แม่..." หม้ายสาวรีบหยิบขลุ่ยไม้ไผ่ที่วางอยู่ตรงหน้าหล่อนยื่นส่งให้ผม "เก็บไว้...อีอ้อร้อตัวนี้ชอบหยิบของเล่นโยนน้ำ" อีอ้อร้อ! ในบริบทนี้เป็นคำชื่นชมลูกสาวตัวน้อยของหล่อน ผมหัวเราะ พร้อมรับขลุ่ยไม้ไผ่จากมือหล่อนมาถือไว้ ลูกน้อยของหล่อนงอแงเมื่อพลาดหวัง- - แม่หยิบของเล่นที่หมายตาส่งให้ผู้อื่นปี๊ด ปี๊ด ! ผมแกล้งเป่าขลุ่ยเสียงแหลมเพื่อเบี่ยงเบนความรู้สึกของเธอ แต่ไร้ผล เธอยิ่งส่งเสียงงอแงหนักขึ้น กระทั่งในที่สุดมือน้อย ๆ ข้างหนึ่งของเจ้าตังน้อยก็ยื่นมาฉกกระชากขลุ่ยเลานั้นไปจากปากผมโดยที่ผมไม่ทันระวัง"อย่าลูก" สาวบัวทำท่าจะแย่งคืน แต่ผมเอื้อมไปยึดแขนหล่อนไว้ และเสียงงอแงของเจ้าตัวน้อยก็เงียบลง เธอยืนจ้องผมราวกับจะถามว่า-เอ็งจะทำอะไรแม่ข้าวะ!? ดวงตาสองข้างของเจ้าตัวน้อยกลมแป้ว จ้องผมไม่กระพริบ วูบหนึ่งในจิตสำนึก ผมรู้สึกเศร้ารันทดที่เห็นเธอต้องกลายเป็นเด็กกำพร้า ต้องเสียพ่อบังเกิดเกล้าไปตั้งแต่ยังไม่ประสีประสา ผมละมือจากแขนหม้ายสาวไปจับแก้มขาวยุ้ยของเธอดึงเล่นเบา ๆ "ไหนลองเป่าขลุ่ยซิลูก เป่าเป็นไหม?-" ผมยื่นหน้าเข้าไปใกล้ กระทั่งเจอของดี... "โอ้ย!"สาวบัวหัวเราะคิก เมื่อเห็นผมหดมือกลับมาลูบหน้าผากตัวเอง... แต่เมื่อลูกสาวของหล่อนยกขลุ่ยเงื้อง่าตั้งท่าจะตีซ้ำลงมาที่ผมอีก หล่อนก็รีบคว้ามือเอาไว้ ทำให้เจ้าตัวน้อยไม่พอใจกรีดร้องหวีดแหลมออกมาด้วยความโกรธ พร้อมกระทืบเท้าย่ำลงบนพื้นทราย สะบัดมือเหวี่ยงขลุ่ยเลานั้นกระเด็นกระดอนออกไปไกล ...จากนั้นเธอก็ร้องไห้ดีดดิ้นเป็นพัลวัน "นอน แม่-นอน...นอน"สาวบัวโน้มตัวไปรวบลูกสาวเข้ามาอุ้มแล้วลุกขึ้นยืน พร้อมกับเอาฝ่ามืออีกข้างปัดเม็ดทรายที่เกาะติดผ้าถุงตามตะโพกและหน้าขา ก่อนจะก้มหน้ามองผมที่ยังคงนั่งอยู่กับพื้น พูดว่า "พี่กลับล่ะ ลูกสาวง่วงนอน...""ลูกหลับแล้วกลับมาอีกนะ ผมจะรอ...""รอคนอื่นดีกว่า"หม้ายสาวสื่อวาจาตัดพ้อจนผมรู้สึกปั่นป่วนหัวใจ แต่ถ้าหากไม่เกรงว่าเจ้าตัวน้อยที่กอดคอซบอกหล่อนอยู่นั้นจะอาละวาดขึ้นมาอีก หล่อนก็คงไม้แคล้วโดนผมสำเร็จโทษ ซึ่งหล่อนก็เหมือนจะรู้ว่าผมกำลังคิดอกุศลใด หม้ายสาวจึงเปิดยิ้มอย่างมีชัย ก่อนจะอุ้มลูกสาวตัวน้อยของหล่อนเดินเลียบชายหาดและวกลงเนินลับหายไป****************************************
ขอบคุณครับ