เรื่องสั้น/คืนวันล่องไหลชั่วกะพริบตา
ตอนที่ 1
ปกติการตัดลูกปาล์มในสวนออกไปขาย ชาวสวนจะทิ้งระยะการตัด 15-18 วันต่อครั้ง เพื่อให้ลูกปาล์มแต่ละรุ่นสุกจัดตามที่ตลาดต้องการ ดังนั้นเมื่อครบกำหนดผมก็จะต้องพักงานประจำที่ร้านทำป้ายที่บ้านส้อง แล้วขับกระบะคู่ชีพไปยังสวนปาล์มของผมที่คุระบุรี เพื่อตัดลูกปาล์มในสวนไปขายให้กับลานเทที่เปิดรับซื้ออยู่ที่นั่นเสมอ
ชีวิตวัยเยาว์กระทั่งย่างเข้าสู่วัยหนุ่ม ผมคลุกคลีอยู่กับบรรยากาศบ้านไร่ปลายนาและท้องทะเลสีครามที่อำเภอคุระบุรี จังหวัดพังงา มาตลอด เพิ่งจะไปมีครอบครัวและมีอาชีพเป็นช่างเขียนป้ายโฆษณาอยู่ที่บ้านส้องเมื่อย่างเข้าสู่วัยกลางคน แต่ถึงกระนั้น พ่อแม่และญาติพี่น้องของผมส่วนใหญ่ก็ยังอาศัยอยู่ที่คุระบุรี เพราะฉะนั้นแม้ผมจะไม่มีสวนปาล์มอยู่ที่นั่น แต่ผมก็จะต้องเดินทางไปมาระหว่างดินแดนทั้งสองนี้อยู่ดี
บนเส้นทางกว่าสามร้อยกิโลเมตร ระหว่างบ้านส้องกับคุระบุรี แม้จะไกลสักหน่อย แต่ผมก็ขับรถไปกลับเสียจนชิน และผมก็รู้สึกชอบบรรยากาศของที่นั่นมาก โดยเฉพาะบริเวณรอบ ๆ สวนปาล์มของผมก็แวดล้อมไปด้วยธรรมชาติที่สวยงาม... แม้ไม่อาจเทียบกับสี่สิบกว่าปีก่อนโน้น แต่ทว่าความงามของมันก็มักจะทำให้ผมหวนถวิลถึงอดีตและมีความสุขเสมอเมื่อได้สัมผัสกับมัน
สายวันนี้บรรยากาศภายในสวนปาล์มของผมก็แลดูสดชื่นเหมือนเคย ท้องฟ้าโปร่งโล่งสดใส พร้อมกับเหยี่ยวภูเขาสีน้ำตาลเข้มตัวหนึ่งกำลังกางปีกร่อนวนเป็นวงกว้างไปรอบ ๆ อย่างเพลิดเพลิน แม้ตัวมันจะไม่ใหญ่โตเทียบเท่าพญาอินทรี-นกยักษ์ของผืนป่า แต่ทว่าภาพที่กำลังปรากฏแก่สายตาผมในขณะนี้ ก็ปลุกเร้าความหลังของผมให้แจ่มชัดขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง!
สมัยเด็ก ๆ ผมก็เคยเห็นเหยี่ยวภูเขากางปีกร่อนวนอยู่บนท้องฟ้าเป็นเวลานานอย่างนี้บ่อย ๆ เหมือนกัน เพียงแต่ว่าผมไม่เคยใส่ใจและเก็บเอามาครุ่นคิดเป็นอารมณ์ และนึกเป็นสุขเหมือนทุกวันนี้
หรือว่า...บัดนี้ผมแก่แล้ว!
ความแก่ที่มักจะโน้มนำจิตใจของเราให้หวนถวิลถึงอดีตอยู่เสมอ
เมื่อมองจากสะพานแขวนที่ทอดข้ามลำคลองซึ่งผมกำลังยืนเหม่อลอยอยู่นี้ ก็จะเห็นต้นปาล์มภายในสวนของผมแผ่ใบร่มรื่นเขียวขจีแลลิบดุจแพรไหมผืนใหญ่พลิ้วสะบัดทักทายแดดอ่อนอยู่วับวาว
กลาง ๆ สวนปาล์ม,ต้นสะตอสามสี่ต้นผุดแซมขึ้นห่าง ๆ กิ่งก้านของมันแต่ละต้นทอดยื่นออกไปเป็นวงกว้าง บนปลายกิ่งที่ยื่นล้ำออกไปจากสะตอต้นสูงต้นหนึ่ง มีนกขมิ้นเหลืองอ่อนที่อวบอ้วนดุจปลีกล้วยน้ำหว้าตัวหนึ่งกำลังแผ่ปีกซบแนบกิ่งไม้นอนอาบแดดนิ่งเฉย...
ภัยร้ายจะมาถึงตัวอยู่แล้ว ยังจะนอนเฉยอยู่อีก...ประเดี๋ยวเถอะ
ผมใจคอไม่ดี ภาวนาขออย่าให้สายตาอันแหลมคมของเหยี่ยวภูเขาตัวนั้นมองกราดลงมาเห็นตัวมัน
นกกะปูด นกขมิ้น นกบวช อีกา แซงแซว และอีกหลายนก รวมถึงกระรอกกระแต กิ้งก่า ตะกวด หรือแม้แต่ตัวเงินตัวทองที่หากินแถวนี้ ผมรู้สึกผูกพันรักใคร่พวกมันเสมือนญาติโยมหรือเพื่อนเก่าแก่ที่พลัดพรากจากกันแล้วหวนกลับมาพบเจอ ผมจึงประกาศห้ามรังแกสัตว์ในสวนปาล์มของผมอย่างเด็ดขาด จนเดี๋ยวนี้พวกที่เคยแบกอาวุธเข้ามาเพื่อจะล่าพวกมันก็ไม่มีอีกแล้ว
นกหนูตัวเท่านิ้วก้อย ไม่อิ่มท้องพวกเอ็งหรอก เวลาผมห้ามพวกเขา ผมก็มักจะล้วงกระเป๋าและควักเงินส่งให้ ไปหาซื้อหมูไก่ในตลาดกินกันดีกว่า อย่าทำร้ายสัตว์พวกนี้เลย
ผมรู้ว่าเป้าหมายของการล่าที่แท้จริงสำหรับคนบางคนคืออะไร แต่เมื่อได้พยายามอธิบายให้พวกเขาเข้าใจจุดประสงค์ของผม สายตาที่เคยมองมาอย่างคลางแคลงนั้นก็ค่อย ๆ ส่อประกายสดใสและยิ้มให้กันในที่สุด
ซึ่งนับเป็นลางดีแก่นกหนูทั้งหลาย จนผมอดชื่นชมพวกเขาอยู่ในใจไม่ได้!
ทว่า,กับไอ้พวกนักล่าหนังสติ๊กตัวกะเปี๊ยกเหมือนอย่าง ตาหลวง ของพวกมันในอดีตนี่สิ,พากันยิ้มแต้เมื่อเห็นใบเขียว ๆ แดง ๆ ในมือผม และที่สำคัญผมต้องเสียค่าจ้างไปฟรี ๆ แทบทุกครั้ง
แรก ๆ ก็นึกโมโหอยากจะหักกิ่งไม้ฟาดก้นกันเสียให้เข็ด แต่ก็ทำไม่ลง เพราะเมื่อย้อนรำลึกถึงคืนวันเก่า ๆ ผมกลับพบว่าตัวเองทั้งดื้อและซนยิ่งกว่าพวกมันเป็นร้อยเท่า
สมัยก่อนนอกจากผมจะดื้อและซุกซนอย่างหาตัวจับยากแล้ว ผมยังชอบที่จะพกหนังสติ๊กออกจากบ้านโฉบฉายไปตามที่ต่าง ๆ อย่างที่เรียกกันว่า บินเดี่ยว อยู่เสมออีกด้วย วันหนึ่ง ขณะอยู่ในช่วงปิดเทอม ตาผู้ใหญ่ในชุดโสร่งสีเขียวลายสก๊อตและเสื้อกล้ามห่านคู่สีขาว พร้อมผ้าขาวม้าแดงพาดบ่าผืนหนึ่ง เดินย่ำเท้าฝ่าแดดร้อนยามสายมาจากบ้านชายทุ่งซึ่งอยู่ห่างไปทางทิศตะวันตกของบ้านไร่ของเรากว่าครึ่งชั่วโมงเดินเท้า มาหาพ่อที่บ้านผม ซึ่งขณะนั้นพ่อของผมกำลังนั่งเหลาหวายถักบ่วงแร้วดักไก่ป่าอยู่ที่ใต้ถุนเรือน พ่อเชิญตาผู้ใหญ่นั่งพูดคุยธุระกันบนแคร่ไม้ไผ่ซึ่งมีเชี่ยนหมากและกล่องยาเส้นวางอยู่พร้อม ผมนอนคว่ำหน้าวาดรูปเล่นบนหน้ากระดาษสมุดวาดเขียนพร้อมกับคอยไกวเปลน้องสาวคนเล็กอยู่บนเรือน แม่ไปซักผ้าที่ลำคลอง น้องสาวคนรองของผมก็ตามแม่ไปด้วย
บริเวณลำคลองที่แม่กับน้องสาวมาซักผ้าด้วยกันตอนนั้น ก็คือบริเวณสะพานแขวนตรงนี้เอง!
สมัยก่อนบริเวณนี้เป็นป่าไผ่ร่มรื่น สวนปาล์มเบื้องหน้าผมยังเป็นสวนสมรมของย่า มีนกหนูชุกชุม กระรอก กระจง กระทั่งอีเก้งก็เคยพลัดหลงเข้ามาบ่อย ๆ แม้ผมจะไม่เคยเจอมันซึ่งหน้า แต่ก็เคยได้ยินเสียงมันกระโจนหนีเข้าป่าพร้อมกับเห่าเป๊ก ๆ อยู่ไกล ๆ สองสามครั้ง
นุ้ยไปตามแม่กลับมาหุงข้าวก่อนไป๊ พ่อร้องสั่งผมขึ้นมาจากข้างล่าง แล้วเลยไปบ้านตารุ่มด้วยนะ บอกแกว่า พ่อขอยืมมะพร้าวมาแกงลูกหนึ่งก่อน ถ้าแกว่าง ก็บอกให้แกมากินข้าวมื้อเที่ยงที่บ้านเราด้วย... บอกแกว่าตาผู้ใหญ่มาเยี่ยม
เวลานั้นมะพร้าวที่พ่อปลูกไว้ในไร่สิบกว่าต้นเพิ่งสูงเสมอกับหัวของผม ยังไม่ออกลูก ถึงคราวจะใช้มะพร้าวต้มแกงหรือทำขนม ก็ต้องไปสอยมาจากสวนของย่าที่บ้านชายทุ่ง ใกล้ ๆ กับบ้านของตาผู้ใหญ่ท่านนี้แหละ พ่อจะไปสอยมะพร้าวสุกแล้วหาบมาเก็บไว้ที่บ้านไร่แห่งนี้คราวละมาก ๆ ใครขาดเหลือก็มาหยิบยืมไปก่อน
ผลัดกันหยิบยืมอย่างนี้เหมือนกันทุกบ้าน...
พ่อเอ็งดักแร้วได้ไก่เถื่อนกี่ตัว ตารุ่มถาม
ยังถักบ่วงไม่เสร็จ ผมตอบ
อ้าว-กูนึกว่ามึงจะเอามะพร้าวไปแกงไก่เถื่อน จะได้ตามไปกินด้วย
แต่พ่อก็สั่งให้ตาไปกินข้าวที่บ้านด้วยแหละ ผมบอกแก ตาผู้ใหญ่มาธุระ สงสัยพ่อจะเชือดไก่บ้านแกงให้กินละมั้ง
อ้อ-น้าผู้ใหญ่มานี่เรอะ งั้นเอ็งกลับไปก่อนเถอะ เดี๋ยวมะพร้าวตาจะหิ้วตามไปเอง
แหม- ทำไมถึงโชคดีอย่างนี้ !
ผมครุ่นคิดด้วยความลิงโลด เพราะไม่ต้องหิ้วมะพร้าวกลับบ้าน...
ถ้าอย่างนั้นตัวเราก็ไม่ต้องรีบกลับบ้านนะสิ!
คิดถึงเรื่องนั้นแล้วผมก็รู้สึกดีใจมาก?
และสองเท้าก็ว่องไวยิ่งกว่าความคิด...แค่ชั่วสองสามอึดใจผมก็วิ่งกลับมาถึงท่าน้ำที่จะข้ามไปยังฝั่งสวนสมรมของย่า ซึ่งบัดนี้แม่กับน้องสาวพากันกลับบ้านไปแล้ว
ผมลุยน้ำข้ามไปยังฝั่งโน้นตรงช่วงที่ระดับน้ำตื้นแค่เข่า พร้อมทั้งเก็บลูกหินก้อนกลม ๆ ขนาดหัวแม่มือใต้ผิวน้ำริมหาดทรายได้หนึ่งกระเป๋ากางเกง
หินก้อนเล็ก ๆ กลม ๆ พวกนี้ใช้ทำกระสุนหนังสติ๊กได้อย่างวิเศษ
กระเป๋ากางเกงนักเรียนตัวเก่า ๆ ข้างที่ใส่ก้อนหินเปียกชุ่มให้ความรู้สึกเย็น ๆ ที่โคนขา ขณะก้าวเดินเข้าไปในร่มไม้ภายในสวนแห่งนั้น กระรอกที่หากินอยู่ใกล้ ๆ ก็ยกฝูงแห่กันมาต้อนรับ แหกปากร้องทักดัง จ๊ก ๆ จ๊ก ๆ ระงมไปทั่วทั้งป่า!
กระรอกสีน้ำตาลอ่อนลำตัวอวบอ้วนและกลมลื่นเหมือนกาบไม้ไผ่พวกนั้นหูตาว่องไว แถมพรางตัวซุ่มซ่อนศัตรูได้ดีสมกับฉายาเวรยามแห่งพงไพร ทว่าบ่อยครั้งที่ผมย้อนเกล็ดพวกมันอย่างสาสม ด้วยการลุยน้ำข้ามไปอีกช่องทางหนึ่ง แล้วแอบซุ่มอยู่ข้างพุ่มไม้ รอจังหวะจนมันชะล่าใจและไต่กิ่งไม้เข้ามาหาในระยะใกล้ พอที่ผมจะปล่อยก้อนหินออกจากรังกระสุนหนังสติ๊กได้ถนัด
ซึ่งมันก็เสร็จผมทุกราย...
ทว่าวันนั้นผมไม่ได้ตั้งใจจะไปยิงกระรอก แต่จะเอาหนังสติ๊กไปสอยนกที่บินมากินลูกกำซำที่กลางสวน... ผมจึงไม่สนใจพวกมัน
ดีเสียอีก! เดินเหินจะได้ไม่ต้องระวังว่าจะเกิดเสียงดัง เพราะเสียงร้องทักพวกมันจะกลบเสียงอื่นเสียหมด
หลังจากนั้นไม่นาน ผมก็ถึงที่หมายพร้อมกับความผิดหวัง...
ตรงบริเวณริมสวนติดกับชายป่าทิศตะวันออก มีต้นกำซำใบดกหนาต้นหนึ่งสูงกว่าหลังคาบ้านผม กำลังออกลูกดกดื่นคล้ายช่อลูกกวาดเหลือง ๆ แดง ๆ ห่มคลุมอยู่เต็มต้น แต่ทว่า,อย่าว่าแต่นกเฮือกตัวเท่าแม่ไก่จะยกฝูงมาเกาะกินเลย แม้แต่นกกระจิบเท่าปลายนิ้วก้อยสักตัวก็หาขนทำยาไม่ได้ นอกจากบนกิ่งทุเรียนพื้นบ้านใบร่วงโกร๋นและสูงลิบจนผมต้องแหงนคอมอง ซึ่งอยู่ใกล้ ๆ กันนั้น จะปรากฏเหยี่ยวภูเขาสีน้ำตาลแดงจะงอยปากโง้งง้ำและดำเหมือนจะงอยมีดพร้าเกาะนิ่งอยู่ตัวหนึ่ง
อีกทั้งนกยักษ์ตัวนั้นก็ไม่กลัวเด็กชายตัวเล็กกระจ้อยร่อย ที่มีเพียงกางนักเรียนตัวเก่า ๆ ปกปิดท่อนล่างพร้อมกับในมือก็มีเพียงหนังสติ๊กอันเดียวเหมือนอย่างผมเสียด้วย
เพราะมึงทีเดียว!
ผมนึกโมโห คิดว่ามันเป็นต้นเหตุทำให้นกอื่นไม่กล้าบินมาหากินแถวนี้...
ด้วยความผิดหวังผมจึงหันหลังกลับ แต่ในชั่วพริบตา,แม้พวกกระรอกที่ริมคลองจะยังคงแผดเสียงอื้ออึงอยู่ หากแต่เสียงฟ่อ ๆ เต็มไปด้วยพลังอำนาจอันน่าหวาดเสียวก็พุ่งกระทบโสตจนผมสะดุ้งเฮือก ชะงักเท้าที่กำลังจะควบกลับทางเดิม พร้อมกับเหลียวมองไปยังทิศทางอันเป็นที่มาของเสียงนั้นโดยเร็ว
*******************************
ตอนที่ 2
เสียงฟ่อ ๆ ที่ผมได้ยิน เป็นเสียงพ่นดังมาจากปากงูเห่าขนาดท่อนแขนตัวหนึ่ง ซึ่งกำลังถกจวักแผ่แม่เบี้ยส่ายหัวโอนเอนไปตามจังหวะหลอกล่อของเจ้าพังพอนตัวเท่ากระรอกเขื่อง ๆ ที่กำลังกระโดดซิกเซ็กซ้ายขวา พร้อมกับแยกเขี้ยวตั้งท่าจะกระโจนเข้าขย้ำคู่ต่อสู้ของมันอยู่เบื้องหน้า
นิทานพังพอนกับงูเห่าผมเคยฟังมานักต่อนัก แม้แต่พวกรถเร่ขายยาสมุนไพร ที่หลอกต้มผู้คนให้เข้าไปมุงดูเขาโฆษณาสรรพคุณว่านศักดิ์สิทธิ์ เพื่อรอดูพังพอนกับงูเห่าที่เขาบอกว่าจะปล่อยพวกมันออกมากัดกัน ผมก็เคยมาแล้ว เพียงแต่ไม่เคยเห็นเขากระทำเหมือนปากพูดเลยสักครั้ง ได้แต่โยกโย้ไปมาจนกระทั่งเก็บข้าวของขึ้นรถยนต์และจากไปพร้อมกับคำสัญญาที่ฟังคล้ายคำแก้ตัวเสียมากกว่า
คราวหลังชักชวนกันมาให้เยอะกว่านี้นะครับ ผมจะได้ปล่อยงูเห่ากับพังพอนออกมากัดเสียที วันนี้พวกท่านมากันไม่กี่คน ไม่คุ้มโสหุ้ย
หากแต่วันนี้... เบื้องหน้าผมกลับปรากฏของจริงอย่างจะแจ้ง จนผมยืนตัวแข็งไม่กล้ากระดุกกระดิก เกรงว่าพวกมันเห็นผมแล้วพาลตกใจเลิกราไปเสีย เพราะถึงอย่างไรมนุษย์ก็เป็นสัตว์พี่เบิ้มที่สัตว์อื่นไม่อยากตอแยด้วย เสือหมีที่ดุร้ายหากไม่จวนตัวจริง ๆ ไหนเลยจะกล้าโผล่หน้าให้มนุษย์ได้เห็น
พังพอนกับงูเห่าสองตัวนั้นจะโรมรันพันตูกันมาตั้งแต่เมื่อไหร่ผมไม่รู้ แต่เห็นมันขับเคี่ยวกันโดยไม่ใส่ใจผมผมจึงค่อย ๆ สืบเท้าย่องถอยหลัง พร้อมเหลือบมองตอไม้ใกล้ ๆ สลับกับหันไปจ้องสมรภูมิรบของพวกมันอย่างไม่กะพริบตา ช่วงไหนที่พวกมันจด ๆ จ้อง ๆ เหมือนนักมวยรอจังหวะเพลี่ยงพล้ำของคู่ต่อสู้กลางสังเวียน ผมก็จะชะงักเท้าหยุดเคลื่อนไหว เพื่อไม่ให้ผิดสังเกต ต่อเมื่อมันลงมือฉกกัดกันอุตลุดยกใหม่ ผมก็จะเร่งสืบเท้าเข้าที่กำบังอีกครั้ง จนในที่สุดก็เข้าไปแอบชมการต่อสู้อันน่าระทึกใจนี้อยู่หลังตอไม้ที่หมายตาได้สำเร็จ
ด้วยความที่ผมเป็นคนเกลียดกลัวงู ไม่ว่าชนิดไหน มีพิษหรือไม่ เมื่อผมได้เห็นผมก็จะรู้สึกขยะแขยงและเกลียดกลัวทั้งสิ้น ดังนั้นขณะแอบมองการต่อสู้ที่เดิมพันด้วยชีวิตของพวกมันในครั้งนี้ จิตใจของผมจึงเอนเอียงข้างฝ่ายพังพอนอย่างช่วยไม่ได้ ผมจะรู้สึกสะใจและเป็นสุขอยู่ลึก ๆ เมื่อพังพอนเป็นฝ่ายได้เปรียบ... ครั้งหนึ่งพังพอนกระโจนเข้าขบงับงูเห่าจนพลิกหงาย บิดลำตัวหมุนกลิ้งไปบนพื้นหญ้า กระทั่งมันคลายเขี้ยวเพื่อจะหาจังหวะซ้ำเติม สัตว์เลือดเย็นอย่างงูเห่าจึงไม่ปล่อยโอกาสให้คู่ต่อสู้ทำร้ายอยู่ฝ่ายเดียว
ด้วยความว่องไวจนมองดูแทบไม่ทัน เขี้ยวน้ำพิษอันแหลมโง้งของมันคู่นั้นก็สับฉึกเข้าที่สีข้างของศัตรูอย่างถนัดถนี่ และเมื่อมันพลิกลำตัวสลัดเขี้ยวออกมาเพื่อจะฉกซ้ำ เจ้าพังพอนผู้ย่ามใจจนกระทั่งได้รับบทเรียนอันเจ็บปวดก็ได้จังหวะถอยฉากออกมาอย่างมิรอช้า การฉกลงไปอย่างฉับไวของเจ้างูร้ายรอบสองจึงพลาดเป้าอย่างน่าเสียดาย
เช่นเดียวกับผม ที่เผลอดีใจเมื่อเห็นเจ้าพังพอนหลุดรอดหมัดน็อคหนนี้ไปได้ ก็แทบจะโห่ร้องออกมาอย่างลืมตัว
หนังสติ๊กในมือพร้อมก้อนหินกลม ๆ ขนาดปลายนิ้วโป้งในรังกระสุน เตรียมที่จะพุ่งออกไปช่วยเจ้าพังพอนตลอดเวลา ถ้าหากเห็นว่ามันเพลี่ยงพล้ำจนเอาตัวรอดไม่ได้
เจ้าพังพอนโดนงูเห่าฉกกัดรอบนั้นทำให้มันอ่อนความว่องไวลงไปถนัด หากแต่ยังแยกเขี้ยวข่มขู่คู่ต่อสู้ที่ชูคอแผ่แม่เบี้ยส่งเสียงฟ่อ ๆ อยู่ตรงหน้าอย่างมิหวั่นเกรง พอได้จังหวะก็กระโจนเข้าไปอีก แต่ก็ถูกงูเห่าตอบโต้จนกระเด็นออกมา โชคดีที่มิได้โดนคมเขี้ยว เพียงแค่ปะทะเข้ากับปลายจมูกอันมู่ทู่ของเจ้าอสรพิษร้ายจนหงายหลัง และมันก็พลิกตัวหลบการฉกซ้ำของศัตรูไปได้อย่างหวุดหวิดอีกครั้ง จนในที่สุดพังพอนก็ถอดใจผละหนีการต่อสู้ ตะกายเท้าถอยหลังห่างออกมาเกือบครึ่งวา ก่อนกระโจนแผล็วเข้าไปในดงหญ้ารกทึบใต้พุ่มตะขบใบดกหนา ปล่อยให้งูเห่าซึ่งบาดเจ็บไม่ต่างจากมันถกจวักชูคอมองตามไปอย่างย่ามใจในชัยชนะ
ร้อนถึงผมที่แอบอยู่ข้างตอไม้ก็ให้นึกหวาดเสียว เกรงมันจะเลื้อยผ่านเข้ามา จึงง้างหนังสติ๊กเล็งหมายไปที่หัวสามเหลี่ยมเหนือแม่เบี้ยของมัน... ทว่าพลันนั้นเงาดำวูบจากเบื้องสูงก็ฉายวาบลงมารวดเร็วปานจักรผัน ชั่วกะพริบตางูเห่าตัวนั้นก็ตกอยู่ในกรงเล็บอันแหลมคมของพญาเหยี่ยวที่โฉบดิ่งลงมาจากกิ่งทุเรียนที่มองเห็นเมื่อสักครู่ จากนั้นก็กระพือปีกเหินฟ้าบินวาบ ๆ ผ่านยอดมะปรางริมสวนลับหายไป
กาลเวลาล่วงเลยมากว่าสี่สิบปี มะปริงต้นนั้นถูกโค่นเผาไฟเป็นเถ้าถ่านไปนานแล้ว พร้อมกับมะเฟือง มะไฟ ส้มโอ ลางสาด เงาะ ทุเรียน ฯลฯ จากนั้นก็ปลูกยางพาราลงไปแทน เพราะเห็นว่ามันพืชเศรษฐกิจ คงจะให้ผลประโยชน์มากกว่าพืชพรรณพื้นเมืองพวกนั้น
ส่วนสะตอสองสามต้นที่เห็นอยู่ตอนนี้ เพิ่งปลูกทีหลัง...หลังจากโค่นยางพาราหนีปัญหาน้ำท่วมในฤดูฝน ซึ่งเป็นปัญหาที่แก้ไม่ตก...
ทุก ๆ ปี-พอย่างฤดูฝนฝนตกหนักติดต่อกันสักวันสองวัน ภายในสวนปาล์มตรงฝั่งคลองเบื้องหน้าผม สายน้ำขุ่นข้นจากลำคลองจะเอ่อล้นเข้าไปท่วมสูงจนกลายเป็นทะเลน้ำเชี่ยว แถบที่ลุ่มบางแห่งระดับน้ำสูงถึงกลางหน้าอก และไหลเชี่ยวกราก ชักพาจอกยางสูญหายปีละสองสามลังไม้(300 ใบ)เป็นประจำ จึงจำต้องโค่นเผาไฟแล้วปลูกพืชอย่างอื่นทดแทนใหม่อีก
ลองผิดลองถูกมาสองสามรอบ กว่าจะกลายเป็นสวนปาล์มเหมือนตอนนี้ เพราะดูเหมือนปาล์มจะเป็นพันธุ์พืชที่เหมาะกับที่ดินสิบกว่าไร่ ซึ่งอยู่ในที่ลุ่มตรงนี้มากกว่าอย่างอื่น แม้น้ำท่วมก็ไม่เป็นปัญหา เพราะรอให้น้ำแห้งแล้วค่อยเก็บเกี่ยวภายหลังได้
ส่วนลำคลองเจ้าปัญหาสายนี้ถือกำเนิดมาจากป่าดงดิบด้านทิศตะวันออก หน้าฝนน้ำเชี่ยวและขุ่นข้นตลอดเวลา แต่ครั้นถึงช่วงแล้งอย่างนี้ สายน้ำใสแจ๋วมองเห็นกรวดทรายท้องคลองถนัดตา เมื่อห้าสิบกว่าปีที่แล้วเป็นอย่างไร บัดนี้ก็เป็นอยู่อย่างนั้น ถ้าจะมีสิ่งผิดแผกไปจากเดิมก็เห็นจะเป็นฝูงปลา ที่เหลืออยู่แค่ปลาซิวปลาสร้อยตัวเท่าปลายก้อยแค่นั้นที่ยังวนเวียนแหวกว่ายให้เห็น ปลาตาแดง ปลาโสด ปลายี่สก ตัวเท่าฝ่ามือเหมือนแต่ก่อนจะหาเกล็ดทำยาก็ไม่มี พวกชนรุ่นหลัง บวกกับ พม่า มอญ ที่มารับจ้างทำสวนอยู่แถวนี้ล่อมันด้วยโล่ติ๊นบ้าง ยาเบื่อมดบ้าง ไม่ช้าไม่นานพวกมันก็สูญพันธุ์ แม้แต่หอยขมหอยโข่งแถว ๆ ริมคลองก็ดูเหมือนจะหาดูยากเหลือเกิน
วันคืนล่องไหลเหมือนสายน้ำไม่ย้อนคืน การย้อนอดีตของผม อย่างมากก็เพียงสูดลมหายใจลุ่มลึก ขณะยืนทอดสายตาเหม่อมองไปตามคุ้งน้ำ มองดูยอดไม้ที่ทอดเงาร่มครึ้มอยู่สองฝั่งคลองเพื่อย้อนรำลึกคืนวันก่อนเก่าอันร่มเย็น...
เสียงนกกินปลาตัวเขียว ๆ ปากแดง ๆ ยังพอมีให้ได้ยินอยู่บ้าง แต่หาตัวมันยากเหลือเกิน เพราะแค่มันเห็นเรายืนอยู่บนสะพาน มันก็โฉบผ่านไปเสียแล้ว นกกินดอกกาฝากตัวเล็ก ๆ สีสวย ๆ ก็ดูเหมือนจะระแวดระวังภัยเสียนักหนา ทั้งที่เมื่อก่อนโน้นแทบจะเอื้อมมือคว้ามาจากยอดไม้ก็ยังได้ เพราะมันไม่กลัวว่าพวกเด็ก ๆ จะไปรังแก
ก็ตัวมันแค่นิ้วโป้งจะไปยิงให้เสียกระสุนทำไม!
โน่น!นกเปล้า นกเฮือก นกตะเภา บนกิ่งไทรโน่น, ตัวขนาดน้อง ๆ แม่ไก่ สอยลงมาได้สักตัว ถอนขน ผ่าอกโรยเกลือแล้วย่างไฟ กินกับข้าวสวยร้อน ๆ หวานมันและอิ่มท้องอย่าบอกใคร
หรือจะเป็นนกคุ่ม นกกวัก และไก่นาแถว ๆ ริมน้ำก็ไม่เลวเหมือนกัน ในป่าบอนป่าพรุนกพวกนี้ออกหากินชุกชุม เมื่อผมหายไปจากบ้านนาน ๆ พ่อจะรู้ทันทีว่าผมหายไปไหน ถ้าหน้าลูกไม้ชุกชุม ผมก็จะไปแอบซุ่มอยู่ที่ใต้โคนไม้นั่นแหละ ช่วงแล้ง,หนองน้ำตรงไหนเหือดแห้ง ท่านก็จะมุ่งไปหาผมแถวนั้นได้เลย
ฤดูแล้ง,พวกนกที่หากินอยู่ตามหนองน้ำขอดแห้งมีชุกชุมเหลือเกิน เว้นแต่นกกระยางแล้ว ผมก็ล่ามันด้วยกระสุนหนังสติ๊กทั้งนั้น
นกกระยางไม่น่ากิน เพราะส่วนมากมักผอมและมีพยาธิเยอะ ถ้าไม่เหลืออดจริง ๆ ผมจะไม่ยิงมันเลย
ส่วนเช้าวันนี้ เมื่อเวลาล่วงไป ดวงตะวันก็โผล่ขึ้นเหนือยอดไผ่ริมคลอง สาดแสงลูบไล้ต้นไม้ใบหญ้าสว่างไสว เหยี่ยวภูเขาตัวนั้นยังคงบินร่อนอยู่เหนือสวนปาล์มของผม เฉกเช่นเจ้านกขมิ้นเหลืองอ่อนที่ยังคงกางปีกอาบแดดอยู่บนกิ่งสะตอต้นนั้นอย่างสุขารมณ์
หรือมันมีญาณวิเศษ หยั่งรู้ว่าเจ้านกยักษ์ตัวนั้นเพียงแค่เหินฟ้าเล่นลมรับอุ่นไอแดดเหมือนอย่างมัน ไหนเลยสายตาอันคมกริบของพญานกจะสอดส่องลงมาเห็น
แต่ถึงอย่างไรผมก็อดที่จะเป็นห่วงมันเสียมิได้... เพราะผมอยากจะให้มันมีชีวิตและโบยบินอยู่เป็นเพื่อนผมแถวนี้ไปนาน ๆ ผมจึงยืนครุ่นคิดหาทางช่วยเหลือมันให้อยู่รอดปลอดภัย...
อ้อ! มากันแล้ว เจ้าลิงทโมนสามสี่ตัว!
วันนี้วันเสาร์ไม่ต้องไปโรงเรียน ชีวิตพวกมันจึงอิสระเสรีดุจนกน้อยโผจากกรงคอนโบยบินสู่พฤกษ์พงไพรที่แสนสำเริงสำราญ
เจ้าตัวแรกนุ่งกางเกงกีฬาผ้าร่มสีกรมท่า ปล่อยท่อนบนเปลือยเปล่า เหน็บหนังสติ๊กไว้กับขอบยางกางเกงตรงชายพุงใต้สะดือ มันทอดย่างขึ้นมาบนสะพานเป็นคนแรก สมุนที่ตามติดมาข้างหลังก็อยู่ในฟอร์มเดียวกัน คือปล่อยท่อนบนล่อนจ้อน
สะพานแขวนยาวกว่าสิบแปดเมตรไหวยวบ เมื่อพกมันชักแถวก้าวกันขึ้นมา
ไม่มีอ้ายตัวไหนแสดงอาการสะทกสะท้านเมื่อเหลือบเห็น ตาหลวง ของพวกมันยืนจ้องอยู่ที่กลางสะพานก่อนแล้ว
ยัดแม่-บอกกี่ครั้ง ว่าอย่ามายิงนกแถวนี้ ผมเปิดฉากสงครามเข้าใส่ ประเดี๋ยวใครเข้าไปในสวนปาล์ม กูจะตีให้ตาย
พวกเรามาเล่นน้ำ-ตาหลวงเหอ ไม่ใช่มายิงนก
อ้ายตัวที่เดินขึ้นสะพานมาก่อนทำปากดี หาทางหลบเลี่ยง
ผมรู้, ถ้าจับไม่ได้คาหนังคาเขาก็อย่าหวังว่ามันจะยอมรับ ผมจึงย้อนกลับไปว่า มาอาบน้ำทำไมต้องพกหนังสติ๊กมาด้วย
ยัดแม่ พวกสูมาอาบน้ำแล้วไซต้องพกปางติกมาด้วย
อ้าว-สมัยเด็ก ๆ เวลาไปไหน ตาหลวงไม่พกปางติกไปด้วยเหอ
จริงของมัน!
ไปไร่ ไปโรงเรียน ไปเล่นน้ำคลอง หรือแม้แต่ไปถ่ายทุกข์ในป่าริมไร่ ปางติก หรือหนังสติ๊กไม่เคยห่างมือผมเลย
มันเปรียบเสมือนเพื่อนตายของผมก็ว่าได้
สมัยก่อน บ้านตาอินยายเขียวเลี้ยงสนัขดุไว้ตัวหนึ่ง สองผู้เฒ่าตายายจับมันสวมปลอกคอและผูกโซ่ล่ามไว้กับเสาเรือน... วันหนึ่งมันสะบัดปลอกคอหลุด พุ่งปรี่เข้าใส่ผม แยกเขี้ยวขาววับน่าเสียวน่องมาแต่ไกล... แต่ทว่าสุดท้ายมันก็แหกปากร้องลั่น ขณะวิ่งหนีกระเซอะกระเซิงเข้าป่ารก เพราะผมควักลูกตาของมันข้างหนึ่งออกมาด้วยคมกระสุนหนังสติ๊กที่กระชับอยู่ในมือ
ซึ่งต่อมาเจ้าหมาดุตัวนั้นก็กลายเป็นไอ้บอดที่แสนเชื่องกับผม!
เอาปางติกมานี่ ผมยื่นมือออกไป เจ้าเด็กน้อยปากดีแกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน จนผมต้องขู่ซ้ำ ยัดแม่-ทำหูหนวก เดี๋ยวเหอะ-เดี๋ยวกูถีบพลัดคลอง
พอมันดึงหนังสติ๊กจากสะเอวยื่นให้ ผมก็ถามหากระสุน มันส่ายหน้า
ไม่มี มันว่า ก็บอกแล้วไง- ว่าจะมากระโดดน้ำคลอง จะพกกระสุนมาทำไม
ยัดแม่ ไปหามาให้กูลูกหนึ่ง- -เร็ว ๆ ถ้าไม่อยากเจ็บตัว ผมพูดเสียงดัง อ้ายตัวที่เดินมาถึงทีหลังยืนหน้าซีด ผมจึงหันไปถาม ที่สูมีไหม
มี
มันพยักหน้า และล้วงกระเป๋ากางเกงคว้าลูกแก้วออกมาส่งให้ผมลูกหนึ่ง
ลูกแก้วมันเบา พอเรายิงออกไปมันก็ปลิว ไม่แม่น แล้วยังต้องซื้อให้เปลืองสตางค์ เพราะฉะนั้นถ้าคิดจะเล่นปางติก พวกสูต้องรู้จักเฟ้นหาก้อนหินในคลอง หรือไม่ก็ปั้นกระสุนให้เป็น เอาดินเหนียวท้องคลองนั่นแหละมาปั้น ตากแดดให้สีคล้ำ และจำไว้...อย่าปล่อยให้แห้งขาว เพราะมันจะเบาเหมือนลูกแก้ว พวกเด็ก ๆ อย่างสูไม่มีแรงดึงยางให้ยืดได้มากเหมือนอย่างผู้ใหญ่ เวลายิงออกไปก็ปลิวเหมือนลูกแก้วเหมือนกัน
ผมสอนพวกมันขณะจับลูกแก้วลูกนั้นใส่เข้าในรังกระสุนหนังสติ๊ก แล้วหมุนกายหันไปทางกิ่งสะตอที่เจ้านกขมิ้นน้อยกางปีกอาบแดดอยู่
พวกหลาน ๆ สามสี่คนนั้นยืนเงียบกริบ ไม่รู้พวกมันคิดอะไรกันบ้าง แต่อย่างน้อยก็น่าจะมีสักคนที่นึกแปลกใจ
ตาหลวงห้ามกู แต่แกกลับยิงเสียเอง...?
พรึบ!
ยางสติ๊กในมือผมสะบัดออกไปสุดแรง กระสุนลูกแก้วพุ่งจากรังปลิวหวือไปตามแรงส่ง และโดนเป้าหมายที่ผมเล็งอย่างแม่นยำ...
กิ่งไม้แห้งขนาดนิ้วก้อยห่างจากนกขมิ้นตัวนั้นประมาณคืบเศษหักสะบั้น และร่วงลงพื้นพร้อมกับเสียงเย้ยหยันของไอ้ตัวหัวโจก
ไหนโม้นักหนาว่ามือแม่น แค่นี้ก็ยิงไม่ถูก
โน่น-เจ้านกขมิ้นบินฉีกวานไปโน่นแล้ว ฮ่า ๆ
มันฉีกปากหัวเราะ แต่...
เฮ้ย! ตาหลวง อย่าเล่นบ้า ๆ นะ เฮ้ย เฮ้ย
ร่างเล็ก ๆ ขาว ๆ ของเจ้าเด็กปากดีหล่นตูมลงน้ำ ผมหดเท้าพลางหัวเราะ ฮา ฮา
ยัดแม่-กูแก่แล้วโว้ย มือไม่แม่นเหมือนพวกสู
ว่าแล้วผมก็ตรงเข้าจัดการกับพวกที่เหลือ... ทั้งผลักและยันด้วยฝ่าเท้า พักเดียวพวกมันอีกสองสามคนก็หล่นจากสะพานแขวนที่ไหวโยกเหมือนไกวเปล ลงไปลอยคออยู่ในน้ำเบื้องล่างจนหมดสิ้น
เสียดายที่ไม่อาจย้อนเวลา ไม่งั้นคนสุดท้ายที่จะแก้ผ้ากระโดดตามลงไปก็คงไม่แคล้วเด็กชายตัวเล็ก ๆ ผอม ๆ ที่ชอบกระโดดน้ำในท่าตีลังกากลับหลังอยู่เสมอ
เพราะเขาจะวาดท่ากระโดดน้ำคลองหมุนพลิ้วสวยงามที่สุดในหมู่เด็ก ๆ รุ่นเดียวกัน
-จบ-
Create Date : 02 กุมภาพันธ์ 2554 |
|
12 comments |
Last Update : 20 มกราคม 2555 20:56:55 น. |
Counter : 1173 Pageviews. |
|
|
|