กรรมเก่า คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ.เป็นเจ้าบทบาทเดิม จากนั้น การศึกษาอาศัยปรโตโฆสะ ซึ่งมีคติว่า "คนเป็นไปตามสภาพแวดล้อมที่ปรุงปั้น" และโยนิโสมนสิการ ซึ่งมีคติย้อนกลับว่า "ถ้าเป็นคนรู้จักคิด แม้แต่ฟังคนบ้าคนเมาพูด ก็อาจสำเร็จเป็นพระอรหันต์"
space
space
space
 
เมษายน 2565
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
space
space
29 เมษายน 2565
space
space
space

สามัญ-(ต่อ)


   เวลาใด ความทุกข์เกิดขึ้น เราจะทำอย่างไร   ควรบอกตัวเองว่า   ฉันไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นทุกข์ พยายามพูดกับตัวเองไว้บ่อยๆ พูดบอกใครๆให้ดังๆก็ได้ว่า กูไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นทุกข์เว้ย  ถ้ามันยังทุกข์ ก็ออกไปยืนกลางแจ้ง  แล้วก็กระโดดแบบมวยจีน  แล้วตะโกนดังๆว่า กูไม่ได้เกิดมาเพื่อความทุกข์เว้ย แล้วมันก็จะเบาลงไป  สำนึกขึ้นมาว่า  กูนี่ไม่ได้เรื่อง  ทุกข์ในสิ่งนั้นสิ่งนี้ เกิดเพราะความยึดมั่นถือมั่น เราต้องปล่อยมันเสีย  ถ้าปล่อยได้วางได้ มันก็สบาย หลักมันก็เป็นอย่างนั้น  ทีนี้ สิ่งอะไรที่เราไปยึดไปถือก็ต้องท่องว่า ไม่น่าเอา ไม่น่าดู ไม่น่าเป็น ให้คิดไว้เป็นเครื่องเตือนจิตสะกิดใจ มันก็ช่วยให้ผ่อนคลายความทุกข์ตามสมควร   แต่ว่ายังไม่เป็นการถึงที่สุด  อนิจจตา ทุกขตา อนัตตตา   ยังไม่ถึงที่สุด   ที่สุดของเรื่องอยู่ที่ อนัตตา

   อนัตตา ความไม่มีตัวตน   อนัตตามันแย้งกับอัตตา  คือในศาสนาฮินดูของพราหมณ์  มีอัตตาชนิดถาวร  ฝรั่งเรียกว่า Soul หรือ Immortal Soul วิญญาณถาวร  วิญญาณนี้ไม่รู้จักตาย ไม่รู้จักเกิด ไม่รู้จักอะไร   มันมีอยู่อย่างนั้น   เท่ากับมันเที่ยง   กลายเป็นของเที่ยง  อัตตา  แปลว่า  ของเที่ยง   มันขัดกับความจริง สมมติว่าร่างกายแตกสลาย  วิญญาณออกจากร่างไปเกิดในร่างใหม่อะไรก็ได้  สังสารวัฏฏ์ของฮินดูเขาคิดอย่างนั้น  ไม่เหมือนกับสังสารวัฏฏ์ของเรา ไม่เหมือนกัน ให้จำไว้ด้วย ของฮินดูหมายถึงว่า  วิญญาณออกจากร่างแล้วไปเกิดในร่างใหม่  อาจไปเกิดในสุนัขก็ได้ ในร่างวัวก็ได้   ถ้าตายไปนึกถึงวัว   ร่างอะไรก็ได้ที่ตัวนึกถึง แล้วก็วิญญาณนี้ก็ต้องเกิดไปๆ เรื่อยๆไป   จนกว่าจะมีปัญญารู้แจ้งเห็นจริงแล้ว ก็หลุดไปจากการเวียนว่ายตายเกิด เมื่อหลุดไปแล้วก็ต้องไปอยู่กับพระผู้เป็นเจ้า   พระผู้เป็นเจ้าเขา   เรียกว่า ปรมาตมัน บรมอัตตา ไปรวมกันที่นั่น แล้วไม่ออกมาอีก ที่ออกมาอีกก็เพราะแยกออกจากตัวนั้น แต่มีปัญหาว่าทำไมมันออกมา อันนี้ เขาไม่ยอมตอบ เพราะตอบไม่ได้   อัตตาทั้งหลายเมื่อบริสุทธิ์ก็เข้าไปรวมอยู่ที่ปรมาตมัน ฮินดูเขามองอย่างนั้น   เป็นปรัชญาของฮินดูว่ามีตัวตัวนี้ไม่รู้จักตาย   แต่สามารถเปลี่ยนเครื่องแบบ เหมือนกับเราเปลี่ยนเสื้อผ้า  เปลี่ยนบ้าน เปลี่ยนเรือน เปลี่ยนร่างกายนี้ไปสู่ร่างกายอื่น  แต่ตอนนี้เวลาอธิบายพุทธศาสนา  เผลอๆ ก็กลายเป็นฮินดูไป  อธิบายเป็นตัวเป็นตน  วิญญาณจุติขึ้นมา มันก็เป็นแบบฮินดูไป

   สังสารวัฏฏ์การเวียนว่ายตายเกิดของพระพุทธศาสนา  หมายถึง  การเกิดของกิเลส  มีกิเลส ทำกรรม  แล้วก็เกิดผล (กิเลส กรรม วิบาก) แล้วก็เกิดกิเลส   เวียนอยู่เช่นนั้น โลภ โกรธ หลง ไม่รู้จักจบ   เวียนอยู่ในเรื่องต่างๆ นี่คือสังสารวัฏฏ์ของพระพุทธศาสนา   แต่เผลอๆ ก็กลายเป็นสังสารวัฏฏ์ฮินดูไปได้   พวกที่อธิบายพระพุทธศาสนาเป็นแบบฮินดู เขาเรียกว่าพวก สัสสตทิฏฐิ ซึ่งเห็นว่าเที่ยง   เห็นว่าคงทนอยู่ตลอดไป  เรียกว่า  มิจฉาทิฏฐิ ไม่ห้ามสวรรค์แต่ห้ามนิพพาน   จะไปนิพพานเพราะมีทิฏฐิอย่างนี้ไม่ได้  คนที่จะไปนิพพานต้องไม่ยึดมั่นว่ามีตัวมีตนถึงจะไปได้   เรื่องมีตัวมีตน   เป็นเรื่องของศาสนาพราหมณ์   ฮินดูเขามีตัวอย่างนั้น


Create Date : 29 เมษายน 2565
Last Update : 29 เมษายน 2565 13:13:29 น. 0 comments
Counter : 221 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 
space

สมาชิกหมายเลข 6393385
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [?]






space
space
[Add สมาชิกหมายเลข 6393385's blog to your web]
space
space
space
space
space