ก็ว่าจะไม่รัก..(love me my dog story) ตอนที่ 2 เปิดตัว
ในความมืดมิดยามค่ำคืนของอาคารและหมู่บ้านที่ถูกตัดกระแสไปเพราะระดับน้ำท่วมที่ค่อนข้างสูง ปรากฏแสงไฟเจ็ทสกีสองลำ กำลังมุ่งไปด้านหน้าด้วยความเร็วพอประมาณ นั่นเพราะคนขับมีเจตนาที่จะไม่ทำให้กระแสน้ำทำลายข้าวของ ของผู้คนที่เดือดร้อนเพราะน้ำท่วมในขณะนี้อีก
จนเมื่อมาถึงตึกร้างแห่งหนึ่ง เจ็ทสกีทั้งสองก็หยุดนิ่ง พร้อมกับดับเครื่อง และใช้แสงสว่างจากไฟฉายดวงโตสาดส่องเข้าไปด้านในที่เงียบสนิทเหมือนไร้สิ่งมีชีวิตอยู่ที่นี่
“หรือจะไม่อยู่กันแล้ว” “ต้องอยู่สิจะไปไหนได้”
หญิงสาวส่องไฟฉายไปด้านในด้วยความมุ่งมั่น ก่อนจะใช้นกหวีดที่ติดอยู่กับเสื้อชูชีพ เป่าให้เกิดเสียง
“โฮ่ง..”
เสียงหนึ่งดังขึ้นมา และเสียงที่สองก็ตามมา ทั้งคู่ถอนใจยาวอย่างโล่งอก เมื่อสุนัขนับรวมเกือบ ยี่สิบตัวค่อย ๆ วิ่งออกมา จากในตึกด้านใน หญิงสาวทั้งคู่ ลงจากเจ็ทสกีและลากกระเป๋าที่วางอยู่ลงมาด้วย ตักอาหาร แจกจ่ายให้สุนัขจนครบทุกตัว
“ขอโทษด้วยนะที่มาช้า คงหิวกันแล้วละสิ” เสียงหวานนั้นเอ่ยขึ้นเบา ๆ ดวงตาจ้องมองสุนัขทุกตัวด้วยความรู้สึกดีและดีใจแทนตนเอง ที่สามารถนำอาหารมาส่งให้พวกมันได้ ในยามที่ยากลำบากเช่นนี้ แม้ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะได้มาที่นี่อีกหรือเปล่าและระดับน้ำจะสูงขึ้นอีกเท่าไหร่ แต่ตึกนี่มีหลายชั้นเพียงพอที่จะให้พวกมันได้พักอาศัย จนกว่าน้ำจะลด
“กลับกันเถอะพี่ฟางดึกแล้วนะ มันวังเวงไงก็ไม่รู้”
อีกสาวหนึ่งเอ่ยขึ้นไม่อยากใช้เวลาอยู่ที่นี่นานนักแม้จะมีสุนัขเยอะก็เถอะ แถมไม่มีตัวไหนหอนสักตัว ก็ยังรู้สึกหวั่น ๆ ได้
“ไปก็ไป ..เอาอาหารเม็ดวางไว้ด้วยนะโอ๊ต เผื่อมีใครยังไม่ได้มากินเผื่อจะหิว เผื่อพรุ่งนี้จะเข้ามาไม่ได้”
“จ้า” ข้าวโอ๊ตรับคำ ก่อนจะทำตามที่พี่สาวสั่ง จากนั้นสองพี่น้องก็ออกจากที่นั่นหลังจากภาระกิจตระเวณให้อาหารสัตว์ในยามค่ำคืนนี้สิ้นสุดลง พร้อมกับความเหนื่อยอ่อนของคนทั้งคู่ แต่ก็ไม่เคยท้อที่จะช่วยเหลือ สัตว์ที่เดือดร้อน
“นะหมอดลนะ ช่วยหน่อยนะ “
รเมศกำลังอ้อนวอนให้ดลชนกเจ้าของรพ.รักษาสัตว์ซึ่งเป็นเพื่อนของเขาให้รับเจ้าขนปุยไปเลี้ยง แม้เขาจะเห็นว่าหมอมีงานรออยู่มากเพียงใดก็ตาม “ที่นี่เต็มแล้วครับ สัตว์ป่วยและบาดเจ็บเยอะแยะจนดูแลจะไม่ไหวแล้ว” ดลชนกเอ่ยขึ้นมองหน้า หนุ่มหล่อตรงหน้าและมอง เจ้าขนปุยในตะกร้าเวรกรรมอะไรหนอ ที่ทำให้ คน ๆ นี้ไม่รักมันและมีความคิดที่จะทอดทิ้งมัน
“เลี้ยงไปเถอะนะเมศแค่หมาตัวเดียวฐานะอย่างคุณเลี้ยงมันได้สบายเลยละ มีคนที่ลำบากกว่าคุณมากมายเขายังไม่ทิ้งสัตว์เลี้ยงของพวกเขาเลยนะ”
หมอหนุ่มตัดบทอยากให้รเมศเป็นคนเลี้ยงสุนัขตัวนี้เพราะเขามั่นใจว่ารเมศสามารถเลี้ยงได้ดีแน่นอน “แต่หมอ..”
อ้าปากไม่ทันขาดคำ ก็มีคนสองคนเดินเข้ามาภายในอุ้มสุนัขพันธ์ไทยขนสีน้ำตาลตัวหนึ่งมาวางบนเตียงพยาบาลกลางห้อง ตามที่ผู้ช่วยพยาบาลนำเข้ามา ดลชนกรีบผุดลุกขึ้นและเข้าไปดูในทันทีสุนัขส่งเสียงร้องครวญครางอยู่ตลอดเวลาด้วยความเจ็บปวดและทรมาน
ทำเอาเจ้าขนปุยในตะกร้าตื่นตกใจเสียจนเขาต้องยื่นมือไปปลอบมันเบาๆ “ไปโดนอะไรมาครับเกิดอะไรขึ้น” “สุนัขพลัดหลงกับเจ้าของถูกรถชนคะ”
คนที่เอ่ยบอกหมอนั้นเป็นหญิงสาวที่ก้าวเข้ามาใหม่ ร่างบางสูงโปร่งดูทะมัดทะแมงผมยาวถูกรวบไว้ลวก ๆ เช่นเดียวกับใบหน้ารูปไข่ ที่ปราศจากเครื่องสำอางค์และดูเหมือนเจ้าของจะไม่ได้ใส่ใจกับความสวยงามของตนเองเลย นอกจากเพียงสิ่งมีชีวิตที่นอนหายใจรวยรินอยู่บนเตียง
“ขอบคุณมากนะคะ”
หล่อนเอ่ยบอกคนสองคนนั้นพร้อมกับส่งเงินให้จำนวนหนึ่งอาสาสมัครใจดีที่เข้ามาช่วยหล่อนในยามที่ต้องการความช่วยเหลือเร่งด่วน “ค่ารถและค่าเสียเวลาคะ”
“ไม่เป็นไรครับ พวกผมช่วยด้วยความเต็มใจครับ เก็บเงินจำนวนนี้ไว้ช่วยเหลือพวกสัตว์เถอะครับ พวกเราชื่นชมในตัวคุณและกลุ่มมากครับ พอรู้ว่าต้องการความช่วยเหลือเลยรีบมานี่แหละครับ ไม่มีอะไรแล้วขอตัวก่อนนะครับเอาใจช่วยให้มันปลอดภัยด้วยครับ”
“ขอบคุณมากนะคะ” หล่อนเอ่ยอีกครั้งไม่รู้จะพูดอะไรมากไปกว่านี้อีกแล้ว รู้สึกซาบซึ้งใจ สองคนนั้นเดินออกไปแล้วโดยที่หล่อนไม่ทราบชื่อ เพียงแค่หล่อนโพสต์ข้อความลงบนหน้ากระดานในเว็บไซต์ ผ่านสังคมออนไลน์ หรือที่เรียกกันว่า ชุมชนเฟชบุ้ค ขอความช่วยเหลือนำสุนัขบาดเจ็บมารพ. สัตว์ไม่กี่อึดใจก็ได้รับโทรศัพท์จากพวกเขา แจ้งพิกัดที่แน่นอนและบึ่งรถมารับในทันทีทันใด
การทำงานจิตอาสาทำให้หล่อนรู้ว่าน้ำใจของคนไทย ยังหาได้ไม่ยากนักแม้ในเวลาที่ผู้คนต่างพากันเดือดร้อนขนาดหนักเพราะภัยธรรมชาติ
ผู้ช่วยพยาบาลสองคนเข้ามาช่วยจับสุนัขดลชนกกำลังดูบาดแผลให้กับสุนัขหญิงสาวถอยออกมาห่างเพื่อไม่ให้กีดขวางการทำงานของทีมแพทย์
รเมศอดไม่ได้ที่จะลอบมองเสี้ยวหน้าของหล่อนด้วยความสนใจดวงตาคมคู่สวยจ้องมองไปที่สุนัขบนเตียงนั้นอย่างห่วงใยราวกับเป็นสุนัขของหล่อนเอง แต่ที่เขาได้ยินเมื่อสักครู่นั้นมันไม่ใช่
และหล่อนก็หันมาเจอกับเจ้าปุยในตะกร้าตรงหน้า รเมศ ชายหนุ่มอึ้งไปกับดวงตาที่สั่นระริกด้วยน้ำ เขาค้อมศีรษะให้หล่อนเบา ๆ หล่อนเหมือนจะพยายามยิ้มให้เขาอย่างเข้มแข็ง
“น่ารักจังคะ สุนัขของคุณเหรอ” หญิงสาวเอ่ยขึ้นเบา ๆ “เอ่อครับ” “ไม่สบายหรือคะถึงได้พามาหาหมอ” “คือ..” ชายหนุ่มอึกอัก มองดูหญิงสาวที่แสดงอาการรักและเอ็นดูสุนัขแบบไม่มีเสแสร้งด้วยความรู้สึกประทับใจ หล่อนไม่ได้สนใจแม้แต่น้อยว่าเขาเป็นคนดัง เอ ..หรือจะไม่รู้จักเขากันนะ
“ชื่ออะไรคะ” “ปุยครับเจ้าขนปุย” “มันโชคดีนะคะ ที่มีเจ้านายที่ดีอย่างคุณ ดูแลมันได้ดีเชียวคะ อย่าทิ้งมันนะคะ”
น้ำเสียงสุดท้ายนั้นเหมือนจะอ้อนวอนเขาในที ดวงตาคมสวยซึ้งสบตาเขาเสียจนเขาตกปากรับคำแบบไมรู้เนื้อรู้ตัว “ครับ”
สายเรียกเข้าโทรศัพท์ของหล่อนดังขึ้นหญิงสาวกดรับสายก่อนจะเดินออกไปนอกห้อง เขาเองก็เช่นกันควรจะไปเสียทีได้แล้ว ดลชนกคงไม่มีเวลาคุยกับเขาอีกแล้ว ชายหนุ่มตัดสินใจหิ้วตะกร้านั้นกลับออกไปหูยังได้ยินเสียงหล่อนสนทนาโทรศัพท์
“ใช่คะ แอดมินเอสโอเอสคะ ไม่ทราบว่าต้องการความช่วยเหลือเรื่องอะไรคะ”
...อืมมคนที่ให้ความช่วยเหลือคนอื่นพูดเพราะขนาดนี้เชียวเหรอ นึกนิยมหล่อนอยู่เพียงในใจ ขณะก้าวผ่านหูยังได้ยินเสียงหมอดลชนกเรียกชื่อหล่อน
“คุณฟางแก้วครับ เชิญทางนี้หน่อยครับ” “ฟางแก้ว”
ชายหนุ่มจดชื่อนั้นไว้ในใจตัวเอง ถอนใจยาวเมื่อมองสุนัขในตะกร้า เขาจะทิ้งมันลงได้ยังไงกันหนอ ขนาดเป็นสุนัขของคนอื่นผู้หญิงคนนั้น ยังพร้อมเต็มใจให้ความช่วยเหลือแบบไม่เกี่ยงใคร
ฟางแก้วถอยออกมานั่งด้านนอกปล่อยให้หมอและผู้ช่วยทำการรักษาสุนัขหลงทางตัวนั้นต่อไปภายในห้องนั้นมันเครียดเกินกว่าหล่อนจะทนอยู่ได้ คล้าย ๆ ว่ามันคือนาทีชีวิตของสุนัขตัวหนึ่งทั้ง ๆ ที่พบเห็นเรื่องราวแบบนี้มามากมาย แต่หล่อนก็ยังรู้สึกเสียใจทุกครั้งหากว่า ช่วยเหลือมันไม่ได้ และหวังว่าครั้งนี้มันจะรอด
“พี่ฟางมันเป็นไงบ้างอะ” สาว ทอมผมสั้นตัวเล็กเดินปรี่เข้ามาหาหล่อนพร้อมกับสาวหวานร่างบางอีกคนสีหน้าของทั้งคู่ร้อนรนพอ ๆ กัน
“หมอดลฉีดมอร์ฟีนให้ไปสองเข็ม ยังไม่หยุดร้องเลยละอ้อ” “เหรอพี่”
ต้นอ้อ เดินเข้าไปชะโงกหน้าดูด้านไหน เขาเห็นสีหน้าหมอเครียดจัดแล้วก็กลับมาหาฟางแก้ว
“เดี๋ยวกอหญ้าขอถ่ายรูปก่อนนะพี่ฟาง มีเพื่อน ๆ รอฟังข่าวมันอยู่หลายคนเราจะตั้งชื่อมันว่าอะไรดีละ”
“เรียกน้ำตาลไปก่อนละกัน ขนมันสีน้ำตาล” “น้ำตาลก็น้ำตาล”
กอหญ้าทำหน้าที่ประชาสัมพันธ์ของทีมถ่ายรูปเจ้าน้ำตาลที่อยู่ในการดูแลของหมอ เพื่อจะโพสต์ข้อความหน้าเว็บเพจ ให้กลุ่มคนที่รอดูความคืบหน้าของมันได้รับรู้และร่วมส่งใจให้มันสู้อย่างที่สุด ขณะที่มันยังคงส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด เป็นที่น่าเวทนายิ่งนัก
“เจ้าขนปุย” เดชายิ้มกว้างเมื่อเข้ามาแล้วพบว่าสุนัขตัวเดิมเดินมาต้อนรับเขาถึงหน้าประตู ส่วนรเมศกำลังสนใจอยู่กับหน้าจอแท็ปแลตไม่ได้สนใจเขาแม้แต่นิดเดียว
“เล่นอะไรอยู่เหรอเมศ” “กำลังหากลุ่มจิตอาสาที่พวกพี่อยากให้ผมไปร่วมไงครับ”
“ก็หาให้แล้วไงให้เลือก” “ไม่ผมจะเลือกกลุ่มที่จะไปเอง”
“หือ..” เดชามองคนตรงหน้าแปลกไป ดูเหมือนวันนี้ รเมศจะมีพลังความตั้งใจที่แปลกประหลาดกว่าเมื่อวานและก็น่าแปลกที่เมื่อเช้าประกาศว่าจะเอาเจ้าขนปุยไปทิ้งแต่ที่สุดกลับมามันก็ยังอยู่ดี
“เอะ..” สายตาเหลือบไปเห็นของใช้เกี่ยวกับสุนัขที่วางอยู่มุมห้องรับแขกเหมือนคนที่ถือเข้ามาไม่ได้สนใจมันมากนัก
“แฟนคลับเอาของพวกนี้มาให้เหรอเมศ” “เปล่าครับผมซื้อมาเอง” ..เขาหูฝาดไปหรือเปล่าหนอ ..
อดไม่ได้ที่จะเดินไปดู แชมพูอาบน้ำ โลชั่นบำรุงขน แปรงขน ไดรฟ์เป่าขน อาหารเหลวและขนมสำหรับให้หมาแทะ อ้อมีลูกบอลเล็ก ๆ อีกสองสามลูก มันเกิดอะไรขึ้นกับรเมศกันละเนี่ยอะไรทำให้เขาเป็นไปได้ขนาดนี้
“อะไรเล่าพี่เอาไปทิ้งก็เสียภาพพจน์ผมนะสิ คะแนนนิยมยิ่งลด ๆ อยู่ด้วยไม่ใช่เหรอ”
“คิดได้แบบนี้ก็ดี” แต่เดชาก็ยังไม่วางใจอยู่ดีเขามีความรู้สึกว่า อะไรบางอย่างมาเปลี่ยนแปลงความคิดของรเมศไป น่าจะเกี่ยวกับที่เขาพาเจ้าขนปุยออกไปวันนี้หรือเปล่านะ ยากรู้จังว่ารเมศไปเจออะไรมา
“เจอแล้ว” นักร้องหนุ่มอุทานออกมาด้วยความยินดี ยิ้มจนแก้มแทบปริเมื่อเขาพบกับสิ่งที่เขากำลังค้นหาอยู่
“อะไรเหรอ” “เอสโอเอส เอนิมอลไทยแลนด์นี่เอง”
ชายหนุ่มส่งยิ้มด้วยความยินดีรอยยิ้มนั้นส่งมาเผื่อแผ่ถึงเดชาด้วยทำเอาผู้จัดการส่วนตัวถึงกับร้อนตัวเพราะมีความรู้สึกไม่ชอบมาพากลในรอยยิ้มนั้น ไม่บ่อยหรอกที่รเมศจะยิ้มหวานให้เขาแบบนี้ ถ้าไม่มีอะไรให้ดีใจมากจริง ๆ
“พี่เดชา ติดต่อกลุ่มนี้เลยนะผมจะไปร่วมอาสากับคนกลุ่มนี้” “เฮ้ย นี่มันช่วยหมา” “ก็หมานี่แหละครับ พี่ก็รู้ว่าผมไม่ค่อยชอบทำงานร่วมกับคน ไม่ชอบสร้างภาพ”
“แต่ที่พี่รู้ก็คือ เธอก็ไม่ชอบหมาเหมือนกัน อะไรมาทำให้เปลี่ยนใจ” ถามอย่างจับผิด ชายหนุ่มมองหน้าผู้จัดการส่วนตัวแล้วก็สั่นหน้า “ช่วยหมา ยังไงก็ดีกว่าช่วยคน ผมไม่มีทางเลือกให้พี่นะครับถ้าไม่ได้กลุ่มนี้ผมก็ไม่ยอมเหมือนกัน”
“ไม่รู้สิพี่ต้องถามคุณชัยภัคก่อน กลุ่มที่ให้มาตั้งหลายกลุ่มไม่เลือกทำไมต้องเป็นกลุ่มนี้ด้วยนะ มีอะไรพิเศษหรือเปล่า”
เอ่ยถามอย่างไม่ไว้วางใจ “คงเป็นเพราะเจ้าขนปุยมั้ง” ดวงตาของรเมศมุ่งมั่นเสียจนเดชาอึ้งสลับกับการดูเจ้าปุยที่นอนหมอบนิ่งอยู่ ไม่เข้าใจว่ารเมศเกิดความรู้สึกรักและผูกพันธ์กับสัตว์ตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ก็เป็นเรื่องน่ายินดี ที่รเมศจะยอมทำอะไรเพื่อสังคมบ้าง ด้วยการ เลือกที่จะร่วมงานกับจิตอาสากลุ่มเล็ก ๆ กลุ่มนี้ ....
จบตอนที่สองคะ
ฝากติ ติด้วยนะคะ ขอบคุณเพื่อน ๆ ที่ตรวจคำผิดให้คะ การใช้คำอาจจะคิด ๆ ขัด ๆ ไปบ้างนะคะ
Create Date : 21 ธันวาคม 2554 |
|
12 comments |
Last Update : 21 ธันวาคม 2554 23:43:19 น. |
Counter : 490 Pageviews. |
|
|
|
เรียกค่าลิขสิทธิ์ดีไหมนี่..บางชื่อดีไหมนี่