To sooth my soul
Group Blog
 
<<
พฤศจิกายน 2555
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
252627282930 
 
9 พฤศจิกายน 2555
 
All Blogs
 
ในโรคร้าย มีเรื่องดี

ในโรคร้ายมีเรื่องดี

วันนี้ผมนั่งหน้าคอมพิวเต้อร์ด้วยสมองที่ตีบตันเพราะไม่รู้จะเขียนอะไรลงในบล็อกดี ว่าจะเขียนเรื่องที่เกี่ยวข้องกับอาการป่วยก็เขียนมามากแล้วเลยนั่งทบทวนว่าลืมประเด็นไหนไปหรือเปล่า ผมจึงเริ่มย้อนถามตัวเองเกี่ยวกับช่วงเวลาที่ผ่านมา“ผมได้อะไรจากโรค Bipolar บ้างนอกจากความทุกข์ระทม”

ในเรื่องดีมีเรื่องร้ายและในเรื่องร้ายก็มีเรื่องดี ถ้าหากท่านผู้อ่านติดตามบล็อกเก่าๆในกลุ่มบล็อกนี้ ก็น่าจะสามารถจินตนาการได้ถึงความทุกข์ยากและความเลวร้ายในช่วงเวลาที่ผ่านมาได้พอสมควรทั้งการสูญเสีย และการพลัดพราก

ในช่วงซึมเศร้าผู้ป่วยจะดำดิ่งสู่ความทุกข์ระทมจนไม่สามารถเห็นแสงสว่างของหนทางแห่งความสุขเช่นคนปกติสติสัมปชัญญะจะขุ่นมัวและมืดบอด เสี่ยงต่อการทำร้ายตนเองและคนรอบข้างแม้ในช่วงคึกครื้นดูท่าทางจะมีความสุขมาก แต่เมื่อช่วงแห่งความสุขนั้นผ่านพ้นไป จะรู้สึกอาลัยอาวรณ์กับความสุขสุดขั้วนั้นเป็นอย่างมากยิ่งสุขมากก็ยิ่งทุกข์มาก ยิ่งทุกข์มากก็ยิ่งโหยหาความสุขมาก วนไปวนมาอย่างนั้นเหมือนไม่มีอะไรพอดีสำหรับผู้ป่วยเลย

สำหรับผมไม่มีอะไรน่าเศร้าไปกว่าการสูญเสียความสามารถทางการคิดคำนวณเพราะนั่นเหมือนกับว่าผมกลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไร้คุณค่า แต่ด้วยความเข้าใจในตัวโรคว่ามันแกว่งไปมาสิ่งเดียวที่ผมยังรู้และคาดหวังในตอนนั้นคือ ช่วงเวลานี้มันจะต้องผ่านไปในที่สุด แล้วความสามารถของผมจะต้องกลับคืนมาดังเดิมในเวลาไม่ช้าก็เร็วช่วงซึมเศร้านี้เองเป็นช่วงที่ต้องรอและอดทน มีสติรู้ตัว ทำในสิ่งที่ทำได้ไปก่อนไม่ฝืนทำอะไรยากๆโดยไม่จำเป็นหากเป็นเรื่องใหญ่ การขอคำปรึกษาและความช่วยเหลือจากผู้อื่นตามสมควรย่อมทำได้ มีคำถามว่าแล้วทำอย่างไรเล่า

สมมติว่าผมเป็นนักศึกษาที่ป่วยแล้วอาการกำเริบช่วงที่ต้องสอบพอดีจะทำอย่างไร หากพบปัญหานี้ผมอยากจะเสนอว่าในตอนที่ผู้ป่วยมีสภาพจิตใจที่ปกติอยู่นั้น การวางแผนรับมือต่อปัญหาต่างๆล่วงหน้าก็เป็นสิ่งจำเป็นผมคงจะบอกคนใกล้ชิดและผู้ดูแลเสมอว่า หากผมอาการกำเริบเป็นอย่างนี้คุณช่วยทำสิ่งเหล่านี้ให้ผมได้ไหมหากผมรู้ตัวว่าป่วยแล้ว ผมอาจซึมเศร้าในช่วงสอบ ผมคงจะบอกเพื่อนๆ หรืออาจารย์ไว้ล่วงหน้าก่อนผมจะขอใบรับรองแพทย์ไปแจ้งเรื่องไว้กับอาจารย์ไว้ก่อน ไม่รอให้เกิดอาการซึมเศร้าก่อนแล้วค่อยแก้ปัญหาแต่สุดท้ายก็ต้องเผื่อใจไว้บ้าง เพราะไม่มีอะไรที่สำเร็จตามเป้าหมายทุกสิ่งทุกอย่างเสมอไปคิดเสียว่าแม้แต่คนปกติยังทำไม่ได้เลยนะครับ ขนาดบางเรื่องที่เราคิดวางแผนล่วงหน้าไว้อย่างดีแล้วก็ยังผิดพลาดได้แน่นอนครับมันจะทำให้เราซึมเศร้าและระทมทุกข์ แต่ด้วยความเข้าใจโรค(หรือโลกก็ได้ครับ)เดี๋ยวความทุกข์นั้นมันก็จะผ่านไปช่วงคึกครื้นก็จะกลับคืนมา ก็แค่เราทุกข์มากกว่า แต่อย่าลืมนะครับ บางทีเราก็สุขมากกว่าเหมือนกัน

คำว่า“ใจเย็นๆ อดทน เดี๋ยวมันก็จะผ่านไป” เป็นคำที่ผมใช้เตือนตัวเอง และหากเกิดความผิดพลาดเล็กๆน้อยๆขึ้นก็ต้องปลอบใจตัวเองว่า “ไม่เป็นไร ทุกอย่างมีทางแก้ หากแก้ไม่ได้ ก็หาคนปรึกษาหาคนช่วยเหลือ”ทั้งนี้ต้องหาคำปรึกษาให้ถูกคนถูกที่ด้วยนะครับ เดี๋ยวจะตกเป็นเหยื่อของผู้หวังดีประสงค์ร้าย

สิ่งที่ผมเรียกว่าในโรคร้ายมีเรื่องดี คือ ผมได้พบเพื่อนกลุ่มใหม่เพื่อนร่วมโรคนั่นแหละครับ หลังจากที่เพื่อนที่เรียกตัวเองว่าคนปกติหลายคนเลิกรากันไปเพื่อนกลุ่มใหม่นี้คือคนที่ประสบชะตากรรมคล้ายๆกันมีหลากหลายวัยหลากหลายสาขาอาชีพที่พร้อมจะรับฟังปัญหา ให้คำปรึกษาและเข้าอกเข้าใจกัน และหากพวกเขาช่วยเหลือได้เขาก็จะหยิบยื่นความช่วยเหลือมาด้วยความหวังดีจนบางทีทำให้ผมคิดว่าคนกลุ่มไหนกันแน่ที่ปกติ

ทุกวันนี้สังคมออนไลน์เปิดกว้างเราสามารถระดมความคิดเห็นขอคำปรึกษาจากคนอื่นได้ง่าย แต่ผมขอให้ผู้ป่วยพึงระวังหากท่านไม่สามารถแยกแยะเอาเหตุผลและสาระออกมาจากอารมณ์ในความคิดเห็นของโลกออนไลน์ได้อย่าไปยุ่งเลยครับ ประสาทเสียเปล่าๆ

โชคดีในโชคร้ายอีกเรื่องคือผมได้รู้จักคำว่ารักแท้ คนที่เตือนผมให้อย่าลืมกินยาอย่าลืมไปหาหมอนั่นแหละครับไม่ว่าผมจะทำอะไรผิดพลาดไป ทุกข์ระทมแค่ไหน พวกเขาก็ยืนเคียงข้าง

ส่วนคนที่จากผมไปส่วนใหญ่จะเพิ่งรู้จักผมพอรู้ว่าป่วยปุ๊บก็ชิ่งปั๊บ กรณีนี้ผมก็เข้าใจ ก็เขาไม่รู้ที่มาที่ไปของผมนี่นาได้แต่อ่านและฟังข่าวจากสื่อ เขาจะเกลียดจะกลัวก็ไม่แปลกหรอกครับ ว่ากันว่าโรคนี้แหละพิสูจน์รักแท้และก็อีกนั่นแหละครับ ความรักนั้นก็เยียวยาโรคนี้ได้เช่นกัน ดั่งคำกล่าวในภาพยนตร์เรื่อง Asgood as it get

“You make me want to be a better man ”

ในชีวิตคนต้องมีทั้งเรื่องร้ายและเรื่องดีแม้ผมป่วยด้วยโรคร้ายแต่ก็ได้พบเรื่องดีเช่นกัน อย่างน้อยผมก็รู้ว่าใครรักผมหวังดีต่อผม แม้บางทีการแสดงออกของเขาจะไม่เข้าตาเรานัก แต่ก็พอเข้าใจเจตนาได้อีกอย่างเป็นโอกาสอันดีที่จะได้เรียนรู้หลายๆเรื่องๆ โดยเฉพาะเรื่องสติสติสำคัญมากๆ สำหรับผู้ป่วยอย่างผม ผมว่าอาจะมากกว่าสมาธิเสียอีกเพราะถ้าเราไม่มีสมาธิ แต่เรามีสติ เราก็จะรู้ว่าถึงเวลาต้องพักบ้างแล้วเพราะหากมีสมาธิมากจนไม่มีสติ ทำแต่งานหรือเอาแต่นั่งสมาธิอย่างเดียวก็เสี่ยงเกินไปอีกเรื่องก็คือ เป็นโอกาสอันดีให้เราคำนึงถึงสุขภาพทั้งกายและใจ ที่พูดถึงสุขภาพกายก็คือใช้ชีวิตให้เป็นระเบียบหน่อยไม่เสพของมึนเมา พักผ่อนให้เพียงพอ เลือกกินอาหารที่มีประโยชน์ ด้วยอาการป่วยโรคทำให้ผมรู้ว่าการบริหารจัดการเรื่องสุขภาพร่างกายเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันชั้นดีให้กับผู้ป่วยระดับหนึ่งทีเดียวเชียว นอกเหนือจากนั้นคือเรื่องสุขภาพใจที่จะกล่าวในย่อหน้าต่อไป

นอกเหนือจากเรื่องสติตัวโรคทำให้ผมต้องออกจากงานประจำ รายได้ลดลง แต่นั่นทำให้ผม มีเวลามากขึ้นและมีความจำเป็นต้องบริหารจัดการรายรับรายจ่ายให้เหมาะสมที่สุดเวลาที่มากขึ้นทำให้ผมมีโอกาสไตร่ตรองและพินิจพิจารณาสิ่งต่างๆรอบตัว แม้แต่ตัวโรคBipolarDisorder เอง ตัวโรคทำให้ผมรู้ว่าความสุขความทุกข์นั้นไม่เที่ยง(จริงๆนะ)ตอนคึกครื้นคนทั่วไปทุกข์ผมยังสุขได้ ตอนซึมเศร้าคนอื่นสุขผมยังทุกข์ได้เดี๋ยวความคึกครื้นเข้ามาแล้วมันก็ผ่านไป เดี๋ยวความปกติก็จะมาแล้วก็ผ่านไปอีก พอความซึมเศร้าเช็คอินเดี๋ยวมันก็ต้องเช็คเอ้าท์ความป่วยไข้ทำให้ผมรู้ถึงข้อนี้ เลยไม่เลิกกิจการมีชีวิตไปก่อน

ด้วยการขบคิดถึงสาเหตุของโรคเริ่มด้วยสาเหตุทางพันธุกรรมก่อนโรคนี้นั้นจะไม่แสดงอาการจนกว่าจะได้รับการกระตุ้นจากปัจจัยภายนอกซึ่งผมพิจารณาแล้วก็ใกล้เคียงกับโรคทั่วไปนั่นแหละ เชื้อโรคนั้นมีอยู่ทั่วไปหากไม่อยากป่วย ต้องสร้างภูมิคุ้มกันที่ดี และจัดสิ่งแวดล้อมที่ปลอดภัย ตามหลักทางการแพทย์เพียงแต่เชื้อของโรค Bipolar disorder ไม่ใช่พวกไวรัสแบคทีเรีย หรือปรสิต แต่คงเป็นเรื่องของกิเลสตัณหาของมนุษย์ ความอยากได้ อยากมีอยากเป็น โลภะ โมหะ โทสะ และอื่นๆอีกมากมาย (ฟังแล้วเหมือนๆจะป่วยกันหมดทั้งโลกเลยแฮะ)บางคนภูมิต้านทานดีหน่อย แม้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่ดี ก็ไม่ป่วยในขณะที่บางคนภูมิต้านทานแย่ แต่สิ่งแวดล้อมดีก็ไม่ป่วย บางคนโชคดีมากภูมิต้านทานดี แถมอยู่ในสิ่งแวดล้อมดีอีกส่วนกลุ่มที่โชคร้ายสุดนี่คงเป็นคนที่ภูมิต้านทานแย่ และอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ไม่ดีด้วย

วิธีป้องกันและเยียวยาโรคนี้จึงทำได้ทั้งสร้างภูมิคุ้มกัน และจัดการสิ่งแวดล้อมให้เหมาะสมควบคู่กันไป นั่นถือเป็นโชคดีในโรคร้ายครับพ่อแม่ผมเคยทะเลาะกันบ่อยๆแรงๆ พอผมป่วยพวกท่านก็ลดดีกรีความรุนแรงลงไป ตัวผมเองต้องปรับตัวคนที่รักเราก็ต้องปรับตัวเช่นเดียวกัน พวกเราพร้อมใจกันปรับตัวให้ดีขึ้นเพราะต้องการเยียวยาโรคที่ผมเป็นลูกหลานคนอื่นๆก็พลอยได้รับผลอันน่าชื่นใจนี้ไปด้วย โชคดีไหมล่ะครับ

ผมได้เรียนรู้ใจตัวเองมากขึ้นรู้สุขและทุกข์ และสาเหตุของมันมากขึ้น พอเห็นคนอื่นก็พอจะรับรู้ความสุขและทุกข์ของเขาได้แม้เขาจะไม่รับรู้สุขทุกข์ของเราก็ตาม การสร้างภูมิคุ้มกันอย่างหนึ่งของผมคือการศึกษาพระธรรมแล้วเอามาปรับใช้กับตัวเองทำให้พอรู้ว่าทำไมตัวเองถึงโลภ ถึงโกรธ ถึงหลง บางเรื่องก็ยึดมั่นถือมั่นจนขาดความพอดีในตัวเองพอมีเวลานั่งศึกษา นั่งคิด นั่งเขียนบันทึก นานเข้าก็พอจะฉลาดขึ้นบ้างรู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา แม้จะนานพอดูกว่าจะมานั่งเขียนแบบนี้ได้

ยังมีเรื่องดีอีกอย่างหนึ่งคือ ผมรู้ตัวว่าต้องการอะไร อยากทำอะไร ในช่วงเวลาที่มีน้อยนิดด้วยรายรับที่มีจำกัด ผมต้องใช้สิ่งที่ตัวเองมีให้มีประโยชน์ที่สุด เป็นเพราะโรคประทานโอกาสที่ประเสริฐนี้มาให้ ด้วยตัวโรคทำให้ผมพบเรื่องต่างๆมากมายที่คนปกติไม่ได้พบ เรื่องที่เล่าได้ก็น่าเล่าเรื่องที่ไม่น่าเล่าก็ขออุบไว้ หรือเล่าอ้อมๆ ประสบการณ์ต่างๆเป็นวัตถุดิบชั้นดีเมื่อนำมาปรุงให้ถูกวิธี มันจะอร่อยมาก และมีประโยชน์ต่อตัวเองและผู้บริโภคท่านผู้อ่านเห็นด้วยไหมครับ

ผมถึงเรียกบล็อกตอนนี้ว่า“ในโรคร้าย มีเรื่องดี” ซึ่งเขียนมาจนไม่รู้จะเขียนอะไรต่อแล้วสำหรับวันนี้

สุดท้ายนี้ผมจึงขอทิ้งท้ายด้วยข้อคิดจากหนังสือสาธนา (ไม่ค่อยจะเกี่ยวอะไรกับเนื้อหาในบล็อกหรอกครับ แต่ผมชอบและประทับใจข้อคิดจากหนังสือนี้มากถือว่าเอามาฝากก็แล้วกัน)

“ภาษาของมนุษย์แทนความนึกคิดได้ไม่ค่อยจะถูกต้องนักความคิดของมนุษย์จะต้องอธิบายด้วยการกระทำในชีวิต”

“บุคคลซึ่งพยายามแต่จะหาความหมายของคำจากปทานุกรมเปรียบเหมือนไปบ้านใครได้แต่ยืนอยู่นอกรั้ว หาทางเข้าไปภายในไม่ได้ นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมคำสอนของศาสดาผู้ยิ่งใหญ่ของเราจึงเป็นที่ถกเถียงกันไม่รู้จบ ในเมื่อเราพยายามทำความเข้าใจคำพูดแทนที่จะกระทำให้รู้แจ้งเอง”

(ไม่เกี่ยวกับเนื้อหาบล็อกเลยใช่ไหมครับเอิ๊ก...)




Create Date : 09 พฤศจิกายน 2555
Last Update : 9 พฤศจิกายน 2555 15:56:31 น. 1 comments
Counter : 1602 Pageviews.

 
หวัดดีครับคุณบี

หมู่นี้ผมก็มีอาการไม่ค่อยปกติเท่าไหร่ เวียนหัวเหนื่อยง่าย
หมอสั่งติดเครื่องดูคลื่นหัวใจ24ชม. เสร็จแล้วก็ให้วิ่งสายพาน
ก็คงมีโรคาพยาธิตามวัยนั่นแหละ.....หมอยังไม่สั่งยาให้
สังเกตอาการไปก่อน สรุป เกิดแก่เจ็บตายก็ไม่มีใครหลีกพ้นได้เนอะ
ภาวะเจ็บป่วยเนี่ยก็ทำให้เห็นอะไรดีๆอย่างที่คุณบีว่าเหมือนกันเนาะ
พอดีพรุ่งนี้มีภารกิจต้องเดินทางไกลอีกแล้ว เที่ยวนี้ไป 5 วัน
หวังว่าตัวเองจะไปไหวครับ


โดย: Dingtech วันที่: 9 พฤศจิกายน 2555 เวลา:21:39:35 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Polarbee
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 14 คน [?]




ไม่เขียน ไม่เลอะ
ไม่เปรอะ ไม่ผิด
ไม่เขียน ไม่คิด
ไม่ผิด ไม่จำ
New Comments
Friends' blogs
[Add Polarbee's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.