เรื่องของผม
เรื่องของผม (ต้องขออภัยที่ชื่อเรื่องฟังดูก้าวร้าวครับ)
ห้าปีก่อน ผมตัดสินใจออกจากงานประจำเพราะอาการป่วยของผมกำเริบหนัก ผมแยกความจริงกับจินตนาการออกจากกันไม่ได้ครับ มีเสียงแว่วในหูเหมือนมีคนมาคุยด้วยเกือบตลอดเวลา ผมเคยจดบันทึกเรื่องราวแปลกๆที่เคยเกิดขึ้นในหัวผมระหว่างเกิดอาการป่วยไว้เพื่อนำมานั่งอ่านและทบทวนว่าทำไมผมถึงมีความคิดไปในทำนองนั้นได้ คำแปลกๆสำนวนแปลกๆ ผุดขึ้นในสมองผมเต็มไปหมด ผมไม่กล้าเปิดเผย ความคิดหรือจินตนาการแปลกๆนั้นกับใครได้แต่ก็เป็นอันรู้กันในหมู่คนไข้ที่ป่วยด้วยอาการเดียวกับผมว่าเป็นอย่างไร ความรู้สึกว่าตัวเองพิเศษเหนือธรรมดาไม่เหมือนเวลาปกติทั่วไปหรือคนปกติทั่วไป จินตนาการประหลาดเชื่อมโยงข้อมูลในสมองผมออกมาเป็นตุเป็นตะตั้งแต่เรื่องกำเนิดจักรวาลจนถึงเรื่องเทพเทวาต่างๆเสียงประหลาดพยายามอธิบายความเชื่อมโยงของสิ่งเหนือธรรมชาติกับวิทยาศาสตร์เข้าด้วยกันซึ่งผมก็รู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง ครั้นพอผมโดนฉีดยาระงับประสาทสติก็คืนกลับมาเรื่องราวบางอย่างกับความทรงจำในช่วงดังกล่าวก็ขาดหายไปส่วนหลักฐานความวิปริตที่ผมบันทึกไว้กลับโดนคนในครอบครัวมาหยิบไปอ่านแล้วทำลายทิ้งเสียส่วนหนึ่ง ผมนั่งอ่านเศษซากของความวิปริตของตัวเองในขณะที่มีสติแล้วก็ตกใจไม่น้อย เหตุใดหนอทำให้ผมกล้าคิดและกล้าเชื่อมโยงสิ่งต่างๆไปเช่นนั้นทำให้ผมรู้สึกหวาดกลัวความคิดของตัวเอง ผมเคยคาดเดาว่าผมอ่านหนังสือมากไปหรือเปล่าเมื่อเกิดความผิดปกติในสมองขึ้น ผมจึงเชื่อมโยงเรื่องราวได้แปลกประหลาดเพียงนี้ หลายตำนานหลายเรื่องเล่าเชิงเทพเทวดา ถูกผมตีความว่าเป็นสัญลักษณ์เชิงวิทยาศาสตร์ ซึ่งถ้าผมไปคุยกับใครอาจโดนหาว่าเพี้ยนเป็นแน่ โดยดั้งเดิมแล้วผมมีพื้นเพการศึกษาในสาขาวิชาวิทยาศาสตร์มาตลอด ผมรู้ดีว่าในธรรมชาติของเรามีสิ่งที่เราควบคุมได้และควบคุมไม่ได้และสองสิ่งนั้นก็เชื่อมโยงสัมพันธ์กันด้วยอะไรบางอย่างซึ่งผมอธิบายไม่ได้ด้วยความรู้ทางฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา คณิตศาสตร์ และภาษาที่ผมมีไม่อาจอธิบายปรากฏการณ์ในจิตใจของผมเองได้ ทำให้นักวิทยาศาสตร์อย่างผมหาทางไปไม่ถูกทีเดียว หลายคนบอกให้ผมหันหน้าเข้าพึ่งศาสนาจะเป็นศาสนาที่มีพระเจ้าหรือไม่ก็ได้ สำหรับพุทธศาสนาผมก็ลองศึกษาดูบ้างแต่เป็นการศึกษาที่ผิวเผินนัก เพราะผมไม่กล้าที่จะลงมือปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานอย่างจริงจัง เหตุว่าผมมีความเชื่อว่าการนั่งสมาธิที่ผิดพลาดของผมเองทำให้เกิดอาการแปลกประหลาดในสมองขึ้นผมกลัวว่าหากผมผิดพลาดไปอีก ผมอาจไม่ได้กลับมาในโลกแห่งความจริงได้อีกเลย ผมพยายามตั้งสติและใช้วิจารณญาณเท่าที่มีหาทางออกให้กับตนเอง ในที่สุดผมก็เลือกวิทยาศาสตร์ ผมเลือกเชื่อในสิ่งที่หมอสามารถอธิบายให้ผมฟังได้ แม้ไม่ครอบคลุมทั้งหมดก็ตามที ผมจะไม่เอาใจไปฝักใฝ่สิ่งที่เหนือธรรมชาติ ทุกอย่างน่าจะมีคำอธิบายได้ทางวิทยาศาสตร์ เพียงแต่ภาษาที่เราใช้สื่อสารกันนั้น มันคับแคบเกินไปที่จะใช้อธิบายทุกสิ่งในจักรวาล ผมจนปัญญาจากการหาคำอธิบายด้วยตนเองเป็นเวลานานโขอยู่ ความสับสนและขัดแย้งในจิตใจทำให้เกิดความเครียด และซึมเศร้า การบำบัดรักษาความเจ็บป่วยทางจิตนั้นส่งผมกระทบต่อหน้าที่การงานทำให้ผมต้องออกจากงานประจำ มาพักรักษาตัวอยู่ที่บ้านผมพยายามค้นหาตัวเองว่าผมจะมีสิ่งใดมาชดเชยช่วงชีวิตที่ตกต่ำลงของผมได้ สุดท้ายผมก็ได้พบว่าเรื่องของจิตใจนั้นสำคัญที่สุด ผมพยายามยกระดับจิตใจของตนเองเพื่อเอาชนะความอิจฉาริษยาการดำเนินชีวิตของคนปกติ คนปกติมีไอโฟนมีกล้องดิจิตอลมีเวลาเดินทางท่องเที่ยวไปบันทึกภาพความประทับใจในที่ต่างๆซึ่งคนเจ็บไข้ได้ป่วยอย่างผมไม่มี ผมใช้เวลาส่วนมากอยู่ในกล่องปูนซีเมนต์ที่เรียกว่าบ้าน ผมไม่ได้ขังตัวเองในห้อง แต่ผมไปไหนไกลไม่ได้เพราะมีภาระผูกพันทางจิตใจคือความรักและห่วงใยในกันและกันของครอบครัว วันหนึ่งผมเริ่มหยิบปากกาและกระดาษขึ้นเขียนระบายความรู้สึกและเรื่องสารพัดสารเพลงในกระดาษ วันละนิดวันละหน่อย และค่อยๆถี่ขึ้นเรื่อยๆจนรวบรวมเป็นสมุดได้เล่มหนึ่ง ผมทิ้งมันไว้ในลิ้นชักจนลืมไปนาน ครั้นนึกได้ก็กลับมาเปิดอ่านในเวลาว่างด้วยเหตุนี้เองทำให้ผมรู้สึกว่าค้นพบตัวเองไม่มากก็น้อย ทั้งข้อดี จุดเด่น ข้อเสียและข้อผิดพลาดของตัวเอง ทั้งภาษาทั้งแนวคิดในสมุดเล่มนั้น บันทึกการเจริญเติบโตและความเปลี่ยนแปลงต่างๆของผม ผมเห็นข้อผิดพลาด ทีซ้ำแล้วซ้ำอีกของตนเองผมเห็นพัฒนาการเชิงความคิดและการใช้ภาษา ผมเริ่มคิดอะไรเป็นระเบียบเรียบร้อยขึ้นจับประเด็นของเรื่องต่างๆได้มากขึ้น อธิบายเรื่องต่างๆได้ง่ายขึ้น จากคนที่จิตป่วยวิปลาส เริ่มกลับคืนสู่โลกแห่งความเป็นจริงแม้บางครั้งจะซุกซนเที่ยวเล่นกระโดดข้ามไปข้ามมาระหว่างโลกแห่งความจริงและจินตนาการบ้าง แม้มิได้สัมผัสผืนดินด้วยปลายเท้าตนเองก็ขอให้ได้นึกฝันเห็นมันก็พอ แม้ผมจะอยู่ในความเป็นจริงที่ถูกจำกัด ผมก็ยังมีชีวิตอยู่ได้ด้วยความภาคภูมิใจ อาจจะน้อยกว่าคนธรรมดาหน่อย เพราะเคยยึดคำที่ว่า ค่าของคนอยู่ที่ผลของงานพอผลงานไม่มี เลยพาลคิดไปซะว่าตนเองไร้ค่า ผมนั่งตรึกตรองดูแล้ว อย่างน้อยผมก็ต้องเริ่มทำอะไรที่มีค่าบ้างสิจะน้อยจะมาก ก็เหมือนเก็บออมเงินสะสมไว้ อย่างน้อยเรื่องของผมก็น่าจะมีค่าบ้างแม้ไม่ใช่ตัวเงินที่จะตอบแทนกลับมาได้แต่คงเป็นความภาคภูมิใจเล็กๆที่นั่งเล่าเรื่องของตนเองให้คนอื่นได้อ่าน ถ้าท่านได้อะไรบ้างผมก็ดีใจ หากทำให้ท่านเสียเวลาอ่านก็ขออภัยด้วยครับ ว่าจะเขียนให้ครบห้าหน้าแต่ฝนตั้งเค้ามาแล้ว ครึ้มจนน่ากลัว ไม่รู้ปีนี้น้ำจะท่วมนานอีกหรือเปล่า ปีที่แล้วลำบากพอดูต้องลี้ภัยไปอยู่บ้านนานานทีเดียวทั้งกลัวอาการป่วยจะกำเริบตอนอยู่นอกบ้านนี่แหละ ครั้งหนึ่งผมออกนอกบ้านไปได้ยินเสียงใครก็ไม่รู้แว่วมาคุยด้วยในหัวระหว่างเดินทางกลับบ้าน ผมออกนอกเส้นทางไปเสียนาน คนที่บ้านตามตัวกันจ้าละหวั่น หากไม่ได้ผู้มีน้ำใจช่วยเหลือ ไม่รู้ว่าป่านนี้จะกลายเป็นคนพเนจรอยู่ที่ไหนแล้ว ผมเคยถามตัวเองว่าตอนนั้นมีสติหรือไม่ผมว่าผมจำความได้ทุกอย่างแต่ผมกลับควบคุมตัวเองแทบไม่ได้เลย ผมข้ามถนนได้แต่กลับไม่รู้ว่าทำไมต้องข้ามไป จู่ๆก็ร้องไห้ รู้ตัวว่าร้องไห้ แต่ไม่ได้เศร้าหรือซาบซึ้งเรื่องอะไร แต่ทั้งนี้และทั้งนั้นเมื่อได้รับการรักษาอาการต่างๆก็สงบลงได้แม้ผลกระทบต่อจิตใจและร่างกายมันจะมากเสียหน่อยในช่วงแรก มาถึงตรงนี้ผมจำได้ว่าสิ่งที่ทำให้ผมสามารถกลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริงนั้นก็คือความเชื่อมั่นของครอบครัว ผมไม่ได้เป็นอย่างนี้มาแต่กำเนิด ไม่มีญาติหรือใครในบ้านที่เป็นอย่างนี้มาก่อนโดยดั้งเดิมผมเป็นคนที่สติสัมปชัญญะครบถ้วน แม้จะออกใจร้อนและเจ้าอารมณ์ไปหน่อยแต่ก็ยังมีคนคบ รู้จักกาลเทศะ ด้วยเหตุนี้เองเมื่อครอบครัวเชื่อมั่น ผมเองก็มีกำลังใจที่จะรับการรักษาและ อดทนผลข้างเคียงของมันมาได้จนถึงทุกวันนี้ ผมคิดว่าผู้อ่านเริ่มอยากรู้แล้วว่าผมป่วยเป็นโรคอะไร ผมป่วยเป็นโรค ไบโพล่าร์ดิสออร์เดอร์ ครับ และมีอาการจิตหลอนบางขณะ ผมรู้ว่าด้วยอาการเช่นนี้ยากนักที่สังคมจะยอมรับและให้ความเท่าเทียมกับคนปกติ แต่ก็ไม่เป็นไรครับ ผมเลือกเอาสิ่งที่ผมพอจะทำได้ เป็นนักเล่าเรื่อง นักอยากเขียนให้ตัวเองรู้สึกมีค่ามีความสำคัญต่อคนอื่นเท่าที่จะทำได้ อ่า...สี่หน้าแล้วครับ แดดออกอีกแล้ว บางทีธรรมชาติก็วิปริตเหมือนจิตใจผมแฮะ ตอนกลับจากต่างประเทศมารักษาอาการป่วยที่เมืองไทยผมแอบเอาเรื่องของตัวเองไปสร้างเป็นหนังสั้นเชิงสารคดี เอาเป็นว่าเล่าเรื่องผ่านแผ่นฟิล์มก็ได้ ตัวหนังได้รับการตอบรับทั้งสองแบบครับ โดนที่บ้านด่าว่าจะไปประจานตัวเองทำไมไม่คิดถึงผลกระทบต่อทางบ้านบ้างหรือ ส่วนการตอบรับอีกแบบก็คือตัวหนังสั้นประสบความสำเร็จได้รับรางวัลและได้รับเลือกไปฉายในเทศกาลภาพยนตร์ในต่างประเทศด้วยแถมได้ออกอากาศทางทีวีไทยอีกต่างหาก ช่วงนั้นก็มีคนติดต่อเข้ามาถามโน่นถามนี่ เป็นที่กังวลใจของทางบ้าน ตอนนั้นอาการก็ยังไม่ดีเท่าไหร่ทนรับความกดดันไม่ไหว ล้มหมอนนอนเสื่อไประยะหนึ่งทีเดียว ก็เป็นอันจบเส้นทางบันเทิงผมไปเสียจนได้ แต่ก็ไม่ได้เสียใจอะไรนัก เพราะมีงานประจำทำอยู่ อ่า... มาถึงหน้าที่ห้าแล้วเริ่มคิดอะไรไม่ออก อ่อ... ผมอยากเป็นนักเขียนครับ มิได้อยากเด่นดังอะไรแค่อยากเท่านั้นเอง ผมไปนั่งเทียนเขียนนิยายเพ้อฝันในเว็บเด็กดีอยู่พักนึง(รวมๆก็หลายปีแฮะ)มั่วบ้างอะไรบ้าง แก้เบื่อไปในเวลาว่าง บัดนี้เริ่มอยากเขียนเรื่องใกล้ตัวเรื่องจริงบ้าง บางช่วงบางตอน บางบล็อก บางบทความ บางข้อความ บางประโยค บางคำ อาจจะเพี้ยนๆประหลาดๆ ก็อย่าด่าว่าผมเลยนะครับ อ่อ...อีกอย่างถ้าเป็นไปได้อย่าพยายามตามหาตัวจริงของผมเลยที่บ้านผมไม่ค่อยชอบให้ผมไปโพนทะนาเรื่องของตัวเอง วันนี้เขียนได้ประมาณสี่หน้าครึ่งนับได้เป็น คะแนน เก้าเต็มสิบ เวลานี้สามโมงเย็น ครึ้มอีกแล้วครับ ถ้าฝนตกไฟฟ้าดับงานเขียนสี่หน้าครึ่งคงหาย ต้องรีบบันทึกก่อน... มาถึงบรรทัดนี้แล้วไม่รู้จะจบอย่างไรให้ประทับใจ เลยเอาไฮกุทีแต่งไว้มาเขียนก็แล้วกันครับ ตัวอักษรไม่กี่ตัว ทิ้งรอยหมึกบนกระดาษขาว ส่งสารจากหัวใจ (...ขอบคุณครับ...)
Create Date : 27 กันยายน 2555 |
Last Update : 26 ตุลาคม 2555 17:16:41 น. |
|
6 comments
|
Counter : 1232 Pageviews. |
|
|