ปูมหลังของผม
ปูมหลังของผม
เวลานี้ฝนหยุดตกแล้วช่วงนี้สมองของผมคงอยู่ในสภาวะ ไฮโปมาเนีย หรือที่ผมเรียกว่าสภาวะ ค่อนคึกครื้นในสภาวะนี้ ผมจะพูดได้คล่อง คิดได้ไว ทำงานได้เยอะ มีวิจารณญาณที่ดีและมีสติสัมปชัญญะครบถ้วน เลยสามารถมานั่งเขียนเล่าเรื่องยาวๆได้นานๆโดยไม่ต้องลุกไปไหน ด้วยสภาพที่มีสมาธิดีเช่นนี้ผมต้องรีบทำงานให้เยอะเข้าไว้ วันนี้จึงขออนุญาตตีหน้าเศร้าเล่าความหลังกันสักหน่อย ผมเป็นลูกชายคนที่สองในจำนวนลูกชายทั้งหมดสี่คนครอบครัวผมเป็นครอบครัวของพ่อค้าฐานะปานกลาง อากง(ปู่)ผมอพยพมาจากเมืองจีนตอนหนุ่มๆมาเป็นช่างทำทองแถวบ้านหม้อ พอตั้งตัวได้ก็เริ่มทำการค้า มีร้านทอง โรงรับจำนำและร้านเพชรของตัวเอง นับว่าประสบความสำเร็จในระดับหนึ่งทีเดียว อากงผมทำการค้ามากมาย แต่ก็ไม่มีที่ดินเป็นของตัวเองท่านไม่เคยคิดลงทุนในด้านนี้ เพราะเหตุว่าท่านหวังไว้ว่าสักวันหนึ่งจะพาครอบครัวกลับไปตั้งรกรากเมืองจีนบ้านเกิด เมื่ออากงหาเงินได้มากและแบ่งเอาจำนวนหนึ่งส่งกลับไปบ้าน เลี้ยงญาติพี่น้องที่อยู่แผ่นดินใหญ่แต่แล้วไม่นาน ญาติพี่น้องของอากงก็อพยพตามท่านมาอยู่เมืองไทย (ถ้าจำไม่ผิดอากงผมอายุแปดสิบกว่าแล้วในตอนนี้ ผมจำไม่ได้ว่าท่านเข้ามาเมืองไทยในช่วงสมัยใด) ด้วยหน้าที่ของพี่ชายที่ดีอากงช่วยเหลือพวกพี่น้องจนพวกเขาตั้งตัวได้เพราะเจียดเอาทรัพย์สินที่มีอยู่ของตนให้กับพี่น้องที่อพยพตามมา พอมาถึงรุ่นพ่อของผม ทรัพย์สมบัติที่มีเลยร่อยหรอลงไปบ้างเพราะนำไปใช้จุนเจือครอบครัว และตามประสาคนทำการค้าในที่สุดเราก็พบปัญหาที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ครอบครัวเราถูกโกงและถูกหนีหนี้ เราจึงต้องขายโรงรับจำนำไป ตอนนั้นพ่อผมเลิกเรียนออกมาทำการค้าแล้วพ่อมีร้านขายอะหลั่ยและเครื่องเสียงอยู่ในละแวกบ้านหม้อเช่นกันผลจากการถูกโกงของปู่กระทบมาถึงพ่อ กิจการที่กำลังก้าวหน้าของพ่อถูกรั้งเอาไว้เพราะต้องผันเงินส่วนหนึ่งไปประคองกิจการของปู่ ช่วงนั้นผมอายุประมาณเจ็ดขวบได้ พ่อและแม่บ่นเรื่องนี้กันอยู่เนืองๆผมที่เพิ่งประสาก็ดันรู้ว่าเรื่องที่พ่อแม่บ่นนั้นสำคัญมาก ผมเลยไปเล่าให้ครูที่โรงเรียนฟังว่าพ่อแม่ไม่เครียดเพราะมีปัญหาด้านการเงินตามประสาเด็กไร้เดียงสา คุณครูจึงขอพบพ่อแม่ของผม ผมไม่รู้ว่าพวกท่านคุยอะไรกัน เพราะหลังจากนั้นพ่อแม่ก็ไม่บ่นเรื่องเงินเป็นภาษาไทยให้ผมฟังอีกเลย เวลาที่ท่านมีเรื่องที่ไม่อยากให้ผมรู้ท่านทั้งสองจะคุยกันเป็นภาษาจีน ที่ผมฟังไม่ออก แม้ผมจะมีสายเลือดจีนแทบจะร้อยเปอร์เซ็นต์แต่ก็ไม่กระดิกเรื่องภาษาจีนเลยแม้แต่นิดเดียว พ่อและแม่ไม่ยอมสอนภาษาจีนให้ผม ในช่วงเองนั้นโรงเรียนจีนส่วนใหญ่ก็ปิดตัวลงไปเยอะเพราะประเทศไทยมีปัญหาการเมืองภายในรัฐบาลไทยกำลังเกรงอิทธิพลของพวกคอมมิวนิสต์สายจีน ดังนั้นโอกาสที่ผมจะได้เรียนภาษาจีนเสริมเหมือนสมัยพ่อก็หมดไป ช่วงเวลานั้นเองครอบครัวเราต้องตกอยู่ในสภาพที่กดดันสูง พ่อจึงเข้มงวดกับพวกผมมากทั้งเรื่องการเรียนและความประพฤติ รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี พ่อรักพวกผมมากท่านก็เลยตีพวกผมมากหน่อย แต่ท่านไม่ค่อยอธิบายเหตุผลว่าอะไรเป็นอะไร เด็กเจ็ดขวบแบบผมไม่รู้หรอกว่าอะไรถูกอะไรผิด รู้แต่ว่าทำแบบนี้โดนตีทำแบบนี้ไม่โดนตี ร่างกายและสมองของผมซึมซับความรู้นี้เข้าไปโดยอัตโนมัติ ความเข้มงวดจึงแฝงอยู่ในพฤติกรรมของผมมาตั้งแต่เด็กๆผมต้องเอาจริงเอาจังในทุกเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องการศึกษา สมัยนั้นใครๆก็อยากเป็นหมอสมัยนั้นคนส่วนใหญ่รู้สึกว่าอาชีพหมอนั้นสบาย รายได้ดี มีหน้ามีตาพ่อจึงอยากให้ผมเป็นหมอ ครอบครัวจึงส่งเสริมให้ผมมีการศึกษาอย่างเต็มที่ผมเรียนจบอนุบาลและประถมจากโรงเรียนที่มีชื่อ ถ้าบอกไปทุกคนก็ต้องร้อง อ๋อและได้ไปเรียนต่อในโรงเรียนมัธยมที่เลื่องชื่อ ถ้าบอกไปทุกคนจะต้องอุทาน อื้อหือ ผมได้ประกาศนียบัตรเรียนดีทุกปี ได้รับรางวัลเข็มเรียนดีมีชื่อติดอยู่บนบอร์ดเชิดชูเกียรติยศ จากนั้นชีวิตก็พลิกผันเมื่อผมสมัครเข้าไปสังเกตการณ์การทำงานของพวกหมอในศิริราชตอนศึกษาอยู่มัธยมห้า หมอทีศิริราชทำงานหนักมากแทบไม่หลับไม่นอน ไม่ใช่แค่ตรวจคนไข้แล้วจ่ายยาแล้วจบ อาจารย์หมอที่ดูแลผมบอกว่าอย่าเชื่อค่านิยมทั่วไป อย่าเชื่อในสิ่งที่ตาเห็น ผมถึงรู้แจ้งว่าแม้อาชีพหมอจะมีรายได้มากก็จริงแต่อาชีพนี้ไม่ได้ทำงานสบายๆเหมือนที่ใครๆคิดกันแน่ๆหมอสมัยก่อนรักษาคนไข้บางรายแล้วยังช่วยออกค่ายาค่ารักษาให้คนไข้ด้วยอีกต่างหาก พ่อหนอพ่อ ทำไมพ่อไม่มาดูให้เห็นกับตามั่งนะ ผมเองก็ไม่กล้าบอกอะไรกับพ่อรู้แต่ว่าหากเรียนหมอแล้วพ่อสบายใจผมเรียนก็ได้ผมไม่ได้ชอบหรือเกลียดอาชีพนี้เป็นพิเศษ ทั้งครูทั้งคนรอบข้างต่างบอกว่าผมเป็นหมอได้เอ้า!เป็นก็ได้ ผมคิด พอเข้าเทศกาลสอบเอ็นทรานซ์ผมสอบเทียบมัธยมหกได้ตั้งแต่อยู่มัธยมสี่ แต่ไม่ได้คิดเรียนข้ามชั้น อ่อ...พอพูดถึงการสอบเทียบ ขออนุญาตถอยมาช่วงชีวิตวัยเด็กตอนปลายกับวัยรุ่นเสียหน่อยชีวิตผมไม่มีอะไรมากครับ เรียนปกติ ตกเย็นกวดวิชา เสาร์อาทิตย์กวดวิชา(เอาไว้เจาะลึกเรื่องกวดวิชาอีกวันหลังนะครับ)ผมเรียนกวดวิชาหนักมาก ผมสอบเทียบมัธยมสามได้ตั้งแต่มัธยมหนึ่งและถูกผลักดันให้เปลี่ยนโรงเรียนทั้งที่ไม่อยากเปลี่ยนพ่อแม่อยากให้ผมเปลี่ยนโรงเรียนจากโรงเรียนมัธยมเลื่องไปเป็นโรงเรียนมัธยมที่เลื่องชื่อที่สุดผมไม่อยากเปลี่ยน ผมกดดันมากจนต้องมานั่งร้องไห้ค่ำครวญให้ครูสอนพิเศษฟัง ท่านก็อึ้งจนเลิกสอนพิเศษผมไปเลย แล้วในที่สุดผมก็ไม่ได้เปลี่ยนโรงเรียน คราวนี้กระโดดกลับไปช่วงเอ็นทรานซ์ผมเข้าสอบครั้งแรกตอนมัธยมห้าพ่อมั่นใจมากว่าผมต้องสอบหมอได้แน่ๆ ท่านจัดแจงตรวจคณะที่ผมเลือกทุกคณะทั้งห้าอันดับต้องเป็นหมอทั้งหมดก็นึกสภาพเอาสิครับว่าคะแนนมันติดกันขนาดไหน เอาเป็นว่าถ้าพลาดอันดับแรกก็ร่วงหมดทุกอันดับล่ะครับไม่รู้จะมั่นใจลูกชายอะไรขนาดนั้น และแล้วประเทศไทยนั้นแสนกว้างใหญ่ เหนือฟ้าย่อมมีฟ้าผมไม่ได้เก่งกาจอย่างที่คิด ความฝันของพ่อที่จะให้ผมเรียนหมอหลุดลอยไปเพราะผมเอ็นทรานซ์ไม่ติดครอบครัวก็ซึมเศร้ากันไปพักหนึ่ง เราจึงต้องกลับมาวางแผนกันใหม่ผมกลับไปเรียนมัธยมหกที่โรงเรียนเก่าอย่างมีความสุขอีกครั้งและช่วงนั้นเป็นช่วงชีวิตที่ผมมีความสุขที่สุด มีเพื่อน มีกิจกรรมที่โรงเรียนไม่ต้องก้มหน้าก้มตากวดวิชามากเท่าแต่ก่อน สิ่งดีๆหลายอย่างเกิดขึ้นในปีนั้นผมสอบชิงทุนกพ.ได้ ในสาขาวิชาโรคพืช หลายคนสนับสนุนให้ไปเรียนต่อที่อเมริกา หรือออสเตรเลีย ทีแรกก็คาดว่าจะไปออสเตรเลีย แต่อากงผมบอกว่าผมยังเด็กเกินไปไม่ควรไปในตอนนี้ ผมเองก็เข้าใจ ผมยังเห็นความเป็นไปในประเทศของตนไม่หมดเลย ยังไม่รู้เลยว่าสังคมไทยในมหาวิทยาลัยเป็นอย่างไรเพราะผมมีชีวิตวัยเด็กและชีวิตวัยรุ่นอยู่ในกะลาที่คับแคบนัก สุดท้ายผมก็ผันตัวไปเรียนในคณะวิทยาศาสตร์ของมหาวิทยาลัยชื่อดังที่สุดของประเทศไทยทีแรกผมขอพ่อเรียนครุศาสตร์แต่พ่อไม่ยอมพ่อบอกว่าเป็นครูนั้นไส้แห้งเดี๋ยวจะเลี้ยงตัวไม่รอด ผมก็ได้แต่ทำใจ ผมไม่เคยเถียงพ่อ คำของพ่อคือคำสั่งที่เด็ดขาด(อาจเป็นเพราะผมมีประสบการณ์น้อยไม่กล้าพอที่จะตัดสินใจและรับผิดชอบในอนาคตของตัวเองพ่อจึงตัดสินใจแทนผมมาตลอด) ผมจึงมีหน้าที่เดินตามลายแทงที่พ่อเขียนไว้เท่านั้น เอ่อ... เริ่มยาวแล้วครับ ดังนั้นผมขออนุญาตเล่าต่อวันหลังก็แล้วกันนะครับ ที่ผมปูเรื่องย้อนอดีตมายืดยาวถึงขนาดนี้เพื่ออยากให้ท่านผู้อ่านทราบปมในจิตใจของผมและผมก็ยังไม่สามารถแก้ปมนั้นได้จนถึงทุกวันนี้ ซ้ำโรคนี้ทำให้ผมไม่มีสิทธิพูดหรือเถียงอะไรใครขึ้นคำพูดของผมเหมือนอากาศธาตุที่พัดผ่านมาและผ่านไปไม่มีแก่นสาระอะไรให้คนอื่นต้องจดจำหรือคล้อยตามอีก ด้วยเหตุผลที่ว่าผมเป็นคนที่ล้มเหลวในชีวิต เป็นคนสติไม่สมประกอบ คำพูดของผมจึงไม่น่าเชื่อถือไม่เหมือนคำพูดของคนปกติทั่วไปที่มีน้ำหนักที่ดำรงชีวิตอยู่ในสังคมอย่างมีหน้ามีตา ส่วนเรื่องราวตอนต่อไปก็ยังอยู่ในช่วงอดีตสมัยที่ผมอยู่ในมหาวิทยาลัยครับมีเรื่องราวที่จะเล่าอยู่อีกพอสมควรครับ ท่านผู้อ่านอย่าได้คิดว่าผมมีบุคลิกเป็นเด็กเรียนที่เรียบร้อยนะครับผมเองก็มีวิถีชีวิตแบบเด็กปกติบ้างอยู่เหมือนกัน มีความรักในวัยเด็ก วัยรุ่นมีเรื่องราวชกต่อย ทะเลาะกับเพื่อนในวัยเด็ก มีอุบัติเหตุรถเฉี่ยวมีเหตุการณ์อีกยิบย่อยมากมาย แต่เอาไว้จะเปิดเป็นบล็อกย่อยๆเล่าให้ฟังตอนนี้ขอเล่าแกนหลักของเรื่องที่อยากจะเล่าก่อนนะครับ หวังว่ายังคงไม่เบื่อกันนะครับ อ่า...ตอนนี้เข้าหน้าสุดท้ายของบทนี้แล้วผมอยากบอกว่าจุดอ่อนของผมก็คือผมไม่ค่อยมีความเป็นตัวของตัวเอง ผมเป็นคนที่หาตัวเองไม่เจอเป็นเวลานานมากท่านผู้อ่านอ่านแล้วอาจรู้สึกว่าพ่อผมนี่เป็นตัวร้ายในชีวิตผมชัดๆอย่าคิดอย่างนั้นนะครับ ผมเข้าใจพ่อเสมอด้วยหลายสาเหตุทำให้เขาเป็นอย่างที่เขาเป็น ไม่มีใครสมบูรณ์พร้อมและไม่มีใครล่วงรู้อนาคตได้จริงๆ หากตอนนั้นผมมีโลกทัศน์และความกล้าที่มากกว่านี้เสียหน่อยการเปิดใจพูดคุยก็น่าจะทำได้ แต่ผมกลับเลือกที่จะทำตามฝันของพ่อ สำหรับพ่อของผมผมทั้งรักทั้งเคารพ และทั้งกลัว การที่ผมโดนลงโทษมากๆในตอนเด็กๆทำให้เกิดช่องว่างระหว่างพ่อกับผม เราพูดคุยกันน้อยเกินไปและมันก็ยังคงเป็นอย่างนี้มาตลอด แม้แต่ในเวลานี้ก็ตาม ผมรู้ว่าพ่อรู้สึกผิดเราสองคนต่างรู้สึกผิด แต่ก็ยังพูดคุยกันน้อยเกินไปอยู่ดี ในสายตาของพ่อ ผมก็ยังเป็นเด็กอยู่เสมอแม้ว่าพ่อจะส่งผมเรียนสูงแค่ไหน ในสายตาของพ่อผมก็ยังคงเป็นเด็กไม่ประสาอยู่เสมอ พ่อไม่ยอมเปลี่ยนแปลงผมจึงเป็นฝ่ายต้องเปลี่ยนแปลงและรับเอาอารมณ์ของพ่อไว้ฝ่ายเดียวการทำอย่างนี้เป็นทั้งแรงขับดัน และแรงกดดันในเวลาเดียวกัน ขอยกตัวอย่างให้ฟังสักเรื่องประมาณว่า ถ้าผมทำคะแนนสอบได้เก้าสิบ เขาจะถามว่าทำไม่ไม่ทำให้สูงกว่านั้น ถ้าผมทำคะแนนได้เก้าสิบเก้าเขาก็จะบอกว่า ทำไมสะเพร่าอย่างนี้ อีกคะแนนเดียวก็เต็มแล้ว ถ้าผมทำคะแนนได้เต็มเขาก็จะถามว่ามีคนได้เต็มกี่คน แล้ววิชาอื่นเป็นอย่างไร ผมอยู่ในลำดับที่เท่าไหร่ น่าเศร้าไหมครับ ผมรู้สึกว่าผมพยายามเท่าไหร่ก็ไม่ได้ดังใจพ่อเสียทีแต่ผมก็พยายามสุดกำลังที่ผมมี ตอนเด็กๆเวลาพลาดพลั้งอะไรผมไม่เคยได้รับคำปลอบโยน แต่กลับเป็นคำถามถามว่าทำไมถึงพลาด ทำไมไม่รอบคอบ แล้วก็โดนลงโทษแล้วย้ำว่าอย่าล้มอีก ย้ำๆอย่างนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนผมไม่ล้ม ผมไม่ล้มอีก และไม่ล้มจนชินเพราะผมกลัวแต่ไม่เพราะกลัวล้มแต่ผมกลัวการลงโทษ
"เมื่อผมล้มผมจะเจ็บปวดมากว่าคนอื่นหนึ่งเท่าเพราะจะโดนตีซ้ำ เมื่อผมวิ่งผมจะหวาดกลัวการล้มมากกว่าคนอื่นอีกหนึ่งเท่าเพราะผมกลัวการล้ม"
วันนี้เล่าเรื่องคับอกคับใจส่วนหนึ่งแล้วฟังดูแล้วเป็นเรื่องน่าเศร้า แต่อย่าเพิ่งด่วนสงสารผมไปเลยนะครับยังมีเรื่องอีกมากจะเล่าให้ฟัง ถ้าไม่เบื่อ พบกันตอนหน้าครับ
Create Date : 28 กันยายน 2555 |
Last Update : 26 ตุลาคม 2555 17:32:19 น. |
|
1 comments
|
Counter : 1364 Pageviews. |
|
|
มาอ่านต่อครับคุณบี
นึกถึงลูกศิษย์ของผม..มีส่วนหนึ่งที่เรียนตามความต้องการของพ่อแม่