To sooth my soul
Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2555
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
6 ตุลาคม 2555
 
All Blogs
 
ภาพหลอน

ภาพหลอน


            ผมเริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติของตัวเองแล้วและเริ่มมึนหัวเล็กน้อย ผมคิดว่าผมคงพักผ่อนน้อยเกินไปหากข่มตาหลับเสียบ้างคงเป็นการดี ผมจึงรีบเข้านอนแต่พยายามข่มตาเท่าไหร่ก็ไม่สามารถหลับลงได้ ผมรู้สึกว่ามีใครอีกคนอยู่ใกล้ๆเขาบอกให้ผมยกปากกาขึ้น แล้วเขียนคำว่า GOD GO HOME ตัวใหญ่ๆลงบนแขนซ้าย ตอนนี้ผมเริ่มบังคับตัวเองไม่ได้แล้วเสียงปริศนาก็ดังแว่วขึ้นมาในหัวอีก มันสั่งให้ผมทำร้ายตัวเอง และรูมเมทที่หลับอยู่ผมต่อต้านมันสุดฤทธิ์จนเสียงนั่นเงียบลงไป

            ผมคิดว่าผมไม่นอนแล้วคืนนี้จะนั่งดูทีวีไปจนกว่าจะง่วง แต่แล้วจู่ๆก็มีไฟในห้องก็กระพริบ เหมือนไฟตกทีวีที่เปิดไว้มีภาพล้มเหมือนสัญญาณขัดข้อง ไฟในห้องหรี่แล้วสว่างหรี่แล้วสว่างผมกลัวสุดขีด รีบนั่งลงสวดมนต์ แผ่เมตตา เผื่อว่าอะไรๆจะดีขึ้น แล้วก็นั่งสมาธิเพื่อสงบจิตสงบใจและในตอนนั้นเอง ผมรู้สึกเหมือนมีพระสงฆ์รูปหนึ่งมานั่งครอบผมไว้ร่างกายของท่านสว่างจ้า จนทำให้ความกลัวของผมเลือนหายไป 

            พอออกจากสมาธิผมกลับประหลาดใจยิ่งขึ้นเมื่อตัวผมเองสามารถเปลี่ยนช่องทีวีได้โดยไม่ต้องใช้รีโมทหรือกดปุ่มบนตัวเครื่องและสามารถหรี่ไฟในห้องได้ตามใจนึก(แต่ใครจะรู้ตอนนั้นระบบไฟฟ้าในหอพักอาจขัดข้องก็ได้ ทำให้ทีวีและหลอดไฟในห้องรวน)ถึงตอนนี้ไม่รู้ว่าผมเอาความมั่นใจมาจากไหน ผมรีบล้างตัวอักษรที่อยู่บนแขนออกแล้วกลับไปที่โบสถ์อีกครั้ง

            ตอนนี้ในโบสถ์ไม่มีใครแล้วผมมองหาที่มาของเสียงแปลกๆที่ดังขึ้นรอบๆตัว เหมือนเสียงลมจากเครื่องทำความร้อนแล้วครู่หนึ่งผมก็รู้สึกเหมือนตัวอุ่นขึ้นมา ตาพร่าและเห็นแสงสีชมพูสว่างจ้ารู้สึกอบอุ่นที่ใบหน้าเหมือนมีใครบางคนโอบกอดผมอยู่ แล้วพอได้สติทุกอย่างก็กลับไปเหมือนเดิม ผมเดินออกจากโบสถ์ด้วยความประหลาดใจว่าอะไรเกิดขึ้นกับผมกันแน่

            ระหว่างทางเดินกลับหอพักเจ้าเสียงปริศนาก็ดังขึ้นอีก เป็นยังไงคุณจะช่วยโลกช่วยคนอื่นได้มั้ยมันถามซ้ำๆอยู่อย่างนั้น ผมเองก็ไม่รู้หรอกว่าตัวเองทำไมถึงกล้าตะโกนตอบไปว่าได้ๆๆๆ เสียงนั่นถามว่าผมจะทนได้มั้ย หากต้องเป็นอย่างนี้ไปตลอดชีวิตผมก็ดันอุตริตะโกนตอบไปว่า ได้ๆๆๆ หารู้ไม่ว่าฝรั่งบริเวณนั้นตกใจกันใหญ่

            พอมาถึงห้องคราวนี้ผมไม่ลืมกุญแจแล้ว ผมรีบทิ้งตัวลงนอนผมคิดว่าจะเล่าเรื่องทั้งหมดในคืนนี้ให้เพื่อนคนไทยได้ฟังในตอนเช้า แล้วผมก็งีบลงได้เพียงครู่เดียว ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น

            พอผมเดินไปเปิดประตูตำรวจสองคนก็พุ่งเข้ามาชาร์จผม จับผมคว่ำหน้ากดหัวลงกับเตียงแล้วใส่กุญแจมือ ผมหลับตาแล้วตะโกนออกมาด้วยความตกใจ ตอนนั้นผมตกใจจริงๆตั้งสติไม่ได้เลยร้องตะโกนออกมาตลอดเวลา ในหัวคิดอะไรไม่ออกมีแต่ความกลัวเท่านั้น

            ไม่นานนักรถพยาบาลก็มาเขายกตัวผมขึ้นเปลแล้วรัดด้วยเข็มขัดอย่างหนาแน่น ผมยังคงตะโกนร้องไม่หยุดปากพอขึ้นรถพยาบาลบุรุษพยาบาลก็รีบเอาปรอทวัดไข้ใส่เข้ามาในปากผม(คาดว่าเขากลัวผมจะชักจนกัดลิ้นตัวเอง)ผมอยู่ในอาการสติแตกจนทำอะไรไม่ถูก ลืมตาก็เห็นแต่แสงไฟ ไม่เห็นสภาพรอบตัวเลย

            ผมรู้ตัวแค่เบาบาง ใครสักคนยกเปลขึ้นบนเตียงแล้วเข็นเตียงผ่านประตูบานแล้วบานเล่าไปยังห้องๆหนึ่งผมเหนื่อยจนหมดสติไปในที่สุด

            แล้วผมก็ฟื้นขึ้นมาตอนดึกอีกครั้ง มีสายสัญญาณอะไรไม่รู้ระโยงรยางค์ติดอยู่กับตัวเต็มไปหมดรวมทั้งกุญแจมือที่คล้องข้อมือผมไว้กับขอบเตียง หมอและพยาบาลเดินเข้ามาดูอาการผมเขาให้ผมกรอกเอกสารอะไรบางอย่าง แจ้งชื่อของญาติ และคนที่สามารถติดต่อได้ผมก็เขียนไป

            ผมอุ่นใจขึ้นเมื่อได้ยินว่าพี่ชายผมโทร.ทางไกลจากเมืองไทยมาสอบถามอาการผมหลังจากที่ผมถูกส่งตัวเข้ามาในโรงพยาบาลไม่นานตำรวจให้ผมเซ็นเอกสารพร้อมกับยึดพาสปอร์ตและของมีค่าไว้หมอบอกกับตำรวจว่าว่าผมมีอาการเครียดมากจนเกิดอาการทางประสาทเขาบอกว่าหลังจากนี้จะขอตรวจปัสสาวะและ ตรวจเลือดเพื่อหาสารเสพติดอีกที

            ผมถูกย้ายจากห้องพักผู้ป่วยนอกมายังแผนกจิตเวชที่มีประตูเหล็กหนาทึบขนาดใหญ่ปิดกั้นอยู่ เขาพาผมไปที่ห้องพักที่อยู่ด้านในสุดของแผนก ผมอ่อนเพลียมากโดนเจาะเลือดไปแล้วก็หลับสนิทลง

พอถึงตอนเช้านางพยาบาลก็ยกอาหารมาให้พร้อมกับยาเธอบอกว่าถ้าผมอยากออกจากที่นี่ให้ปฏิบัติตามกฎอย่างเคร่งครัด กินยาและพบแพทย์เช้าวันนั้นเองก็มีนักสังคมสงเคราะห์มาพบผมเขาบอกว่าตำรวจเจอนิตยสารนิวส์วีคที่เขียนถึงเหตุการณ์เครื่องบินชนตึกจำนวนมากในห้องผม(ก็อาจารย์ภาษาอังกฤษสั่งซื้อให้ผมทำรายงานนี่นา)ทางการเลยสงสัยว่าผมเป็นผู้ก่อการร้ายหรือเปล่า ตอนนี้เขากำลังประสานงานไปยังสถานฑูตเพื่อยืนยันตัวตนของผมส่วนเรื่องที่ผมออกไปโวยวายเมื่อคืน

            ตอนนี้ผมมีสองทางเลือก คือขึ้นศาลเพื่อต่อสู้คดีหรือเซ็นชื่อยินยอมเข้ารับการตรวจสอบและบำบัดทางจิตในโรงพยาบาลแห่งนี้ และหากแพทย์ไม่ยินยอมทางโรงพยาบาลก็จะไม่ปล่อยตัวผมออกจากที่นี่

            ผมไม่อยากขึ้นศาลจึงจำยอมต้องเซ็นชื่อเพื่อรับการบำบัดพยาบาลนำยามาให้ผมกินพร้อมกับอาหาร ผมเกิดอาการหวาดระแวงจนสติแตกอีกครั้งผมไม่รู้ว่าพวกเขาเอายาอะไรให้ผมกิน มันทำให้ผมรู้สึกง่วงลอย เหมือนคนเมาแต่ผมก็เลี่ยงไม่ได้เพราะหากไม่ปฏิบัติตามเขาจะรายงานหมอซึ่งไม่ดีเลยต่อผลการประเมินอาการป่วยของผม

           มีช่วงหนึ่งผมเกิดอาการหวาดระแวงกลัวว่าจะไม่ได้ออกจากโรงพยาบาลผมคลุ้มคลั่งพยายามหนีออกมาแต่โดนบุรุษพยาบาลจับตัวไว้ตอนนั้นผมสติแตกจนนอนไม่ได้เดินไปเดินมาทั้งคืน มาหลับตอนกลางวันแทน

เมื่อกลางคืนผมไม่นอนผมจึงนั่งหาข้อสรุปและคำอธิบายให้กับตนเองในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นข้อสันนิษฐานของผมคือสารเคมีในสมองผมอาจมีความผิดปกติเพราะเคยได้ยินมาว่าการนั่งสมาธิทำให้สมองหลั่งสารเคมีบางอย่างออกมาและเพื่อทำการพิสูจน์ผมจึงนั่งสมาธิอีกครั้ง

            พอเข้าสู่สมาธิเพียงครู่หนึ่งผมรู้สึกเหมือนตัวแข็งเกร็งแล้วหงายหลังฟาดตัวลงบนเตียงร่างกายบิดงอขยับไม่ได้ คอบิดไปด้านข้างจนสุด น้ำลายไหลยืดออกมาจากปากผมบังคับตัวเองไม่ได้ ส่งเสียงร้องไม่ได้ ผมตั้งพยายามสติแล้วคิดว่านี่อาจเป็นอาการชักแต่ถ้าผมชักจริงๆทำไมผมถึงยังมีสติอยู่ ผมกลัวมากแต่ก็พยายามนึกในใจว่าผมยังมีสติอยู่แสดงว่ามันไม่เลวร้ายเกินไป เดี๋ยวร่างกายมันก็น่าจะกลับเป็นปกติ

            ตัวผมบิดเกร็งอยู่บนเตียงเป็นระยะเวลาหนึ่งโชคดีมากที่บุรุษพยาบาลคนหนึ่งเดินผ่านมาเขาเอาไฟฉายส่องม่านตาผม แล้วพูดว่า ผมยังไม่ตาย เขาเรียกชื่อผมแล้วบอกว่าให้ผมทำอะไรก็ได้เพื่อบอกเขาว่าผมยังมีสติอยู่ ผมพยายามขยับนิ้วมือและนิ้วเท้าให้เขาได้เห็นเขาบอกว่า โอเค ผมยังอยู่ แล้วเขาก็รีบไปโทรศัพท์หาหมอเจ้าของไข้ จากนั้นบุรุษพยาบาลคนเดิมก็กลับมาใหม่พร้อมกับยาสามเม็ดตอนนั้นผมก็คลายจากอาการบิดเกร็งแล้ว แต่ตัวผมก็สั่นไปหมด เมื่อผมได้ทานยาก็หลับลงในเวลาไม่นาน

            จู่ๆผมก็รู้ตัวขึ้นมาอีกกลางดึกราวตีสองกว่าๆผมไม่รู้ว่าผมมานอนอยู่นอกห้องพักได้อย่างไร ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ผมนอนอยู่บนเตียงผมเดินกลับไปที่เตียงด้วยความอ่อนล้า ผมไม่สนใจแล้วว่าอะไรจะเกิดขึ้นอีก ผมต้องการแค่นอนหลับเท่านั้น

            รุ่งขึ้นผมตื่นขึ้นมาด้วยสติที่เลือนรางความทรงจำในช่วงนี้ของผมสับสนมาก บางช่วงบางตอนก็ขาดหายไป ผมจำได้ว่ามีบาทหลวงคนหนึ่งเดินสวนกับผมออกจากห้องหลังจากที่ผมเดินกลับเข้าไปหลังเวลาอาหารเช้าและมีคนไข้อีกคนหนึ่งบอกผมว่า ผมต้องอยู่ที่นี่ตลอดไป อาการแบบผมไม่มีทางได้ออกจากที่นี่ได้หรอก ตอนนั้นผมไม่รับรู้อะไร รู้แต่เพียงว่ากิน แล้วนอน ให้หายเหนื่อยเท่านั้น

หมอมาตรวจผมเป็นระยะๆเขาเอาเครื่องอะไรสักอย่างเหมือนขั้วไฟฟ้าสอดเข้าไปในปากผมแล้วให้ผมกัดไว้เพื่อวัดค่าอะไรสักอย่าง พอผมเริ่มมีสติผมก็ถูกเรียกตัวไปบำบัดด้วยวิธีการหลายอย่าง กลุ่มบำบัด ดนตรีบำบัดศิลปะบำบัด ต่างๆกันไปในแต่ละวัน ผมได้รู้จักคนไข้หลายคน บางคนเห็นอนาคต บางคนอ่านใจคนอื่นได้ บางคนโดดตึกเจ็ดชั้นลงมาแต่ไม่ตายแค่แขนหักบางคนมีอาการหูแว่วประสาทหลอนมากกว่าผมเสียอีกบางคนมีอารมณ์รุนแรงต้องล่ามไว้กับเตียง มิฉะนั้นจะทำร้ายตัวเองและคนอื่น

            ผมพยายามตั้งสติไม่ให้คิดอะไรเกินเลยไปกว่าเหตุการณ์ตรงหน้า แล้วเพื่อนๆนักเรียนก็ทยอยกันมาเยี่ยม ผมไม่กล้าเล่ารายละเอียดอะไรให้พวกเขาฟังมากกลัวโดนหาว่าบ้า พวกเขาเองก็รู้แค่ว่าผมเหนื่อยและเครียดจนเกินไปจนเกิดอาการประสาทหลอนแยกแยะความจริงกับจินตนาการไม่ออก

          พอครบเจ็ดวันพี่ชายผมนั่งเครื่องบินจากเมืองไทยมารับผมกลับ พวกเรากลับไปพักที่ห้องพักห้องเดิมไม่มีเหตุการณ์อะไรแปลกประหลาดเกิดขึ้นอีก แต่ผมกลายเป็นคนหลับยากไปแล้ว พอจองตั๋วเครื่องบินได้พวกเราก็รีบกลับเมืองไทยทันที ส่วนเรื่องข้อหาผู้ก่อการร้ายก็ตกไปเพราะสถานทูตกับตำรวจน่าจะพูดคุยกันเข้าใจและการตรวจเลือดก็ไม่พบสารเสพติดแต่อย่างใด

            ความทรงจำช่วงอยู่ในโรงพยาบาลของผมสับสนและเลือนรางมากผมจำความได้มากว่าที่เขียนนิดหน่อย แต่ขออนุญาตไม่เล่าจนหมดเปลือกเพราะผมคิดว่าบางช่วงบางตอนรุนแรงเกินไป หากเล่าออกไปรังแต่จะสร้างผลเสียมากกว่าเอาเป็นว่าในตอนนั้นผมเครียดและหลอนมากและมีแนวโน้มว่าอาจก่อความรุนแรง เพราะคิดว่าตัวเองอาจจะต้องอยู่ในโรงพยาบาลตลอดชีวิตเสียแล้ว ถ้าไม่ได้กำลังใจจากคนที่ไปเยี่ยม ผมว่าสภาพการณ์คงเลวร้ายกว่านี้มาก และโชคดีที่พี่ชายของผมตามตัวผมจนพบ

อ่อ...ก่อนกลับเมืองไทยมีชายชาวอเมริกันมาชวนผมไปทำงานในศรีลังกาผมไม่สนใจ และไม่อยากรู้ด้วยว่าเขาเป็นใคร เขาบอกว่าอยากให้ผมไปทำงานกับเขาจริงๆผมแปลกใจมาก เขาจะมาเอาอะไรกับคนที่ป่วยทางจิตแบบผม ผมก็ได้แต่บอกไปว่าผมขอกลับบ้านก่อน หากเขาต้องการผู้ร่วมงานอย่างผมจริงๆ อาจต้องคุยกับ กพ.เพราะผมคงต้องกลับไปทำงานใช้ทุนในส่วนที่รับมาก่อน

            ผมรู้สึกว่าบล็อกนี้ผมเล่าเรื่องไม่ค่อยเป็นชิ้นเป็นอันเท่าไหร่แต่ผมก็คิดว่าพอเหมาะสมอยู่เพราะการเขียนบล็อกนี้ผมไม่ได้คิดจะมาแต่งนิยายเพ้อฝันให้ใครอ่านแต่อยากเล่าอะไรบางอย่างที่พอจะเล่าได้ อาการของผมอาจเกิดขึ้นเพราะเครียดพักผ่อนน้อย ดูหนังมากไป พอนั่งสมาธิแทนที่จะทำใจให้สงบกลับปล่อยใจให้ฟุ้งซ่านประกอบกับสารเคมีในสมองเสียสมดุล ทำให้ผมเห็นภาพหลอนและหูแว่วไปและเกิดผลกระทบข้างเคียงทางร่างกายคือชัก และเหนื่อยอ่อน เมื่อสติสัมปชัญญะไม่สมบูรณ์วิจารณญาณในเรื่องต่างๆก็น้อยลง จนทำให้ก่อพฤติกรรมไม่ปกติ

            ผมไม่คิดว่าถกเถียงกับใครในเรื่องของความเชื่อผมแค่มาเล่าให้ฟังนะครับ ตอนต่อไปจะเล่าถึงความลำบากของการบำบัดรักษาครับถ้ายังไม่เบื่อกันก็ติดตามอ่านกันตอนหน้าครับ 




Create Date : 06 ตุลาคม 2555
Last Update : 26 ตุลาคม 2555 18:05:39 น. 1 comments
Counter : 1257 Pageviews.

 
หวัดดียามเย็นครับคุณบี

เรื่องราวหวือหวาน่ากลัวนะครับ...กว่าจะฝ่าผ่านมาได้

เคยได้ยินถึงผลข้างเคียงของการนั่งสมาธิบ้างเหมือนกัน

จะรออ่านต่อถึงขั้นตอนบำบัดรักษาครับ


โดย: Dingtech วันที่: 7 ตุลาคม 2555 เวลา:17:49:39 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Polarbee
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 14 คน [?]




ไม่เขียน ไม่เลอะ
ไม่เปรอะ ไม่ผิด
ไม่เขียน ไม่คิด
ไม่ผิด ไม่จำ
New Comments
Friends' blogs
[Add Polarbee's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.