To sooth my soul
Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2555
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
17 ตุลาคม 2555
 
All Blogs
 
การต่อสู้ของผมกับโรค Bipolar Disorder

การต่อสู้ของผมกับโรคBipolar Disorder


วันนี้จะมาเล่าต่อเรื่องที่เกี่ยวกับตัวผมเองหลังจากที่ทราบว่าตัวเองป่วยเป็นโรคBipolar Disorder นะครับ ก่อนอื่นขอเล่าถึงบททดสอบศรัทธาของตัวผมเองก่อน หลังจากกลับจากสหรัฐผมนอนซมอยู่บ้านเป็นเดือน อาการขึ้นๆลงๆ บางวันหลอน บางวันนอนไม่หลับบางวันหลับทั้งวัน ผมเริ่มสงสัยในเรื่องเหนือธรรมชาติเพราะช่วงที่ผ่านมาอาการหลอนทำให้ผมสัมผัสอะไรแปลกๆแต่ก็ไม่ได้เกินเลยไปกว่าหูแว่วและเห็นภาพหลอนในบางเวลา วันหนึ่งผมอุตริอยากนำพระคัมภีร์ไบเบิ้ลมาเปิดอ่าน แต่ผลปรากฏว่าทันทีที่แตะถูกพระคัมภีร์ ผมรู้สึกร้อนในอกเหมือนโดนใครเอาไฟมาเผาหัวใจ ผมตกใจและทรมานมากจนต้องละมืออกจากพระคัมภีร์ เป็นครั้งแรกที่รู้สึกแบบนี้รู้สึกโดยตรง ไม่ใช่ภาพหลอน มันทั้งร้อนและเจ็บปวดจริงๆและไม่ใช่ความฝัน ทำให้นักวิทยาศาสตร์อย่างผมจนปัญญาที่จะอธิบายเรื่องนี้ได้ น้องชายผมผู้เป็นเจ้าของพระคัมภีร์นั้นได้ชวนผมไปโบสถ์เพื่อเข้ารีต ผมจึงเกือบจะเปลี่ยนศาสนาไปแล้วในตอนนั้น

แต่เมื่อมานั่งพิจารณาถึงเหตุผลแม้ผมเริ่มเชื่อในพระเจ้าแต่ผมยังศรัทธาในวิทยาศาสตร์อยู่มาก การสวดมนต์หรือการสวดภาวนาทำให้จิตใจดีขึ้น แต่หากมัวแต่นั่งสวดไม่ออกกำลังกายแล้วอย่างนี้คงไม่ทำให้ร่างกายสลัดความตึงเครียดออกไปได้ ผมเชื่อว่าการออกกำลังกายเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่สุดในการเริ่มบำบัดรักษาอาการป่วย

เพราะในขณะที่นอนซมอยู่ไม่มีแรงจะลุกขึ้นผมคิดเสมอว่าไม่อยากเป็นภาระใคร ไม่อยากกินยาหรือเสียค่ารักษาแพงๆพี่ชายผมก็เข้ามาบอกว่า เรื่องที่ผมกังวลอยู่นั้นแก้ไม่ยาก อยากมีแรงเพิ่มต้องลุกขึ้นออกกำลังกาย อยากทำงานไหวร่างกายต้องแข็งแรง แม้ทำงานซับซ้อนยากๆไม่ได้ ก็ทำงานบ้านงานที่ไม่ซับซ้อนมากได้ไม่อยากกินยาก็ต้องทำให้ร่างกายและจิตใจแข็งแรง พระเจ้าหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็ช่วยอะไรผมไม่ได้หากมัวแต่นอนซมอยู่อย่างนี้

ผมนอนคิดอยู่หลายวันถ้าผมยังมัวแต่ซึมเศร้าและนอนซมอยู่อย่างนี้ ผมก็คงจะกลายเป็นภาระของคนอื่นไปจริงๆ(ผมไม่คิดลาโลก เพราะผมไม่อยากให้แม่เสียใจ) แม้ไม่รู้ว่าตัวเองจะฟื้นจากอาการป่วยได้แค่ไหนแต่ก็ดีกว่านอนซมอยู่อย่างนี้ ผมจึงเริ่มลุกขึ้นมาวิ่งในตอนเช้า กวาดบ้าน ถูบ้านล้างจาน แม้ในตอนแรกจะมีท่าทีที่เงอะงะมาก แต่เมื่อทำบ่อยเข้าก็เริ่มเข้าที่เริ่มอ่านหนังสือ และคำนวณเลขใหม่ หัดทำทุกอย่างตั้งแต่เริ่มแรกเหมือนเด็กๆ พอมีกิจกรรมทำก็เริ่มวิตกน้อยลงพอออกกำลังกายมากขึ้นก็เหนื่อย เมื่อเหนื่อยก็นอนหลับได้สนิทดีขึ้นจิตใจและร่างกายจึงค่อยๆดีขึ้นเป็นลำดับ เริ่มทำอะไรสำเร็จเป้นชิ้นเป็นอัน

ในช่วงเวลาฟื้นฟูนี้เองกำลังใจเป็นเรื่องสำคัญมากครับเพราะคนรอบข้างที่ไม่เข้าใจโรคที่ผมเป็นจะคอยดุด่า ดูถูก จับผิดต่างๆนานา โดยเฉพาะคนในครอบครัวทีใกล้ตัวที่สุดถ้าเขาไม่เข้าใจผู้ป่วยหรือใจร้อนเร่งรัดผู้ป่วยจนเกินไป อาจทำให้ผู้ป่วยกลับไปมีอาการซึมเศร้าได้โดยง่ายคำปรามาส หลายคำที่ฟังแล้วทำให้จิตใจหดหู่ถึงที่สุดเช่น เรียนก็สูงแต่ทำได้แค่กวาดสวนพวกความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด ฟังแล้วเจ็บใจมากจนอยากลาโลกเลยทีเดียวคนปกติคิดว่าโรคนี้ไม่มีอยู่จริงผมก็ได้แต่ภาวนาว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับผมอย่าได้เกิดขึ้นกับใครเลยแม้แต่คนที่มาพูดปรามาสผม

ผมอยากให้คนทั่วไปรู้ว่าผู้ป่วยนั้นมีปมในใจที่ยุ่งเหยิงกว่าคนธรรมดาผมเคยรู้สึกว่าตัวเองอาจจะต้องพิการทางสมอง แต่ผมก็พยายามยืนหยัดสู้กับมัน ผมพยายามทำงานบ้านเพื่อฟื้นฟูสมรรถภาพของตนเองวันหนึ่งผมเช็ดโต๊ะอาหารแล้วทำน้ำหก ผมถูกต่อว่าอย่างแรงจากคนรอบข้างความมั่นใจของผมหดหายไปแทบหมดสิ้น กำลังใจลดทอนลงไปหลายส่วนจนอาการซึมเศร้ากลับมาเยือน ทั้งที่ผมพยายามลุกแต่ก็กลับมาล้มเพราะสาเหตุเล็กน้อยทำนองนี้เป็นอย่างนี้ซ้ำๆหลายครั้งหลายคราจนทนไม่ไหว

ผมรบเร้าให้พ่อแม่ไปพบจิตแพทย์ด้วยกันกับผมคุณหมอจึงได้อธิบายเรื่องต่างๆเป็นการส่วนตัวกับคุณพ่อคุณแม่จากนั้นมาพวกเขาก็เข้าใจผมมากขึ้น เปลี่ยนจากเดิมที่มีทีท่าแข็งกร้าวก็อ่อนลงพอผมทำน้ำหก เขาไม่ดุด่าผมเหมือนแต่ก่อน เขากลับบอกว่า ไม่เป็นไรเอาผ้ามาเช็ดแค่นี้เองก็ผมก็รู้สึกดีขึ้นมาก จากเดิมที่มีความรู้สึกเหมือนโลกจะแตกก็ผ่อนคลายลงอย่างไม่น่าเชื่อ ดังนั้นผู้ป่วยในระยะฟื้นฟูจะต้องการกำลังใจมาก และทนความกดดันได้น้อยผู้ดูแลและคนรอบข้างควรระมัดระวังในการดุด่าว่ากล่าวนะครับ

เมื่อเริ่มฟื้นก็เป็นเวลาที่จะสร้างภูมิคุ้มกันต่อโรค ช่วงมาเนียนั้นน่ากลัวตรงที่ผู้ป่วยจะคึกครื้นคึกคะนองเป็นพิเศษ ความคิดจะลื่นไหล ประสิทธิภาพในการคิด การทำงานดีกว่าปกติแต่กระนั้นข้อเสียของช่วงเวลานี้คือ ผู้ป่วยจะมีโครงการมากมายเป็นพิเศษจะมีความกล้าถึงขั้นบ้าบิ่น เสี่ยงลงทุนทำโน่นนี่โดยขาดวิจารณญาณที่รอบคอบดังนั้นผู้ป่วยโรคนี้ ไม่ควรมีบัตรเครดิตการ์ด หรือ เงินในเอทีเอ็มมากเกินไป เมื่อมีรายได้ควรนำไปฝากไว้กับคนที่ไว้ใจได้ผู้ดูแลหรือคนรอบข้างสามารถสังเกตอาการได้ง่ายๆคือ อารมณ์ดี พูดเร็วคิดเร็ว ทำอะไรได้รวดเร็วกว่าปกติมากซึ่งตรงข้ามกับช่วงซึมเศร้า ซึ่งขาดความมั่นใจ ขาดความกล้าและความภาคภูมิใจในตัวเอง ในช่วงเวลาที่ผู้ป่วยซึมเศร้านั้น ไม่ควรปล่อยให้นอนซมควรหากิจกรรมเล็กๆน้อยๆง่ายๆให้ทำ เมื่อเขาทำได้ ผู้ป่วยก็จะหลุดจากบ่วงความวิตกกังวลนั้นได้ด้วยตัวเองทั้งช่วงซึมเศร้าและมาเนียควรให้ผู้ป่วยเลี่ยงการตัดสินใจสำคัญๆในชีวิตไปก่อนนะครับ รอให้มีวิจารณญาณมากขึ้นแล้วค่อยตัดสินใจนะครับ

การสร้างภูมิคุ้มกันอีกด้านหนึ่งคือการรักษาจิตใจด้วยศาสนา หรือความเชื่อที่เหมาะสมกับผู้ป่วยผู้ป่วยจำนวนมากหลงไปในทิศทางของความเชื่อที่งมงาย เสียทรัพย์เสียเวลาไปไม่น้อยแต่อาการก็ไม่ดีขึ้น เพราะผู้ป่วยมีจุดอ่อนในใจเพราะใจร้อนไม่สามารถรอหรือทนการบำบัดรักษาโดยหมอแผนปัจจุบันได้ ข้อแนะนำของผมก็คือควรจะบำบัดด้วยความเชื่อที่ไม่งมงายและบำบัดด้วยยาไปพร้อมๆกัน

ผู้ป่วยที่ตั้งสติได้ย่อมไม่อยากกลับไปเป็นอีกจังหวะนี้เองจะเป็นโอกาสที่เขาจะเปิดใจรับการติดต่อสื่อสารจากคนอื่นเป็นช่วงเวลาที่เหมาะในการสร้างภูมิคุ้มกันทางจิตใจ วันหนึ่งผมมีโอกาสได้ไปที่ศรีธัญญาผมได้เจอผู้ป่วยที่อาการหนักกว่าผมมาก ผู้ป่วยจิตเวชที่เป็นมาแต่กำเนิดรักษาไม่ได้ทำให้ผมรู้ว่าผมยังโชคดีที่ยังมีช่วงเวลาที่มีสติอยู่ จึงปรึกษาหมอและค้นคว้าหาวิธีป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำด้วยตัวเอง

แล้วก็พบว่าทางสายกลางของศาสนาพุทธนั้นเหมาะสมกับตัวผมที่สุด (ผู้ป่วยท่านอื่นควรหาวิถีการดำเนินชีวิตที่เหมาะกับตัวเองด้วยนะครับ)ผมพยายามจัดระเบียบชีวิตให้ยืดหยุ่นพอประมาณ ไม่ยึดติดเหมือนแต่ก่อน รู้จักวิถีพอเพียงมีความสุขและทุกข์ตามสมควร รักษาสมดุลของร่างกายและจิตใจ ผมตั้งใจว่าจะทำให้สุขภาพแข็งแรงมีจิตใจมั่นคงถึงจะแบ่งเบาภาระของครอบครัวได้

เมื่อร่างกายและจิตใจเริ่มดีขึ้นก็ถึงเวลาออกไปเผชิญหน้ากับโลกภายนอกอีกครั้งผมเสียเวลาไปห้าปีในการลุกขึ้นยืนอีกครั้ง ทำให้ประสบการณ์การทำงานขาดหายเวลาสมัครงานก็มักจะโดนถามว่าช่วงที่หายไปไปทำอะไรมา นั่นเป็นคำถามที่ไม่อยากได้ยินและไม่อยากตอบที่สุดหากตอบว่าป่วยเขาก็ไม่รับเข้าทำงานแน่ๆ เป็นอันว่าการหางานก็เป็นไปด้วยความยากเย็นมากมีแต่บริษัทที่ต้องการพนักงานด่วนเท่านั้นที่จะรับผมโดยไม่ถามคำถามนี้ค่าจ้างก็ไม่มาก งานก็หนัก แต่ไม่มีทางเลือก พอเข้าทำงานได้ระยะหนึ่ง เขาก็จะเริ่มสังเกตการทำงานและประวัติของผม

“คุณนี่ประวัติดีนี่ทำงานก็ดี ทำไมถึงไม่ไปอยู่บริษัทใหญ่ๆ ทำไมมาทำงานกับบริษัทอย่างเรา” เจ้าของบริษัทถามผมอย่างนี้เขาบอกว่า ผมเหมือนเพชร แต่กลับไม่มีใครต้องการ แสดงว่าผมมีจุดบกพร่องอะไรสักอย่างที่สำคัญมากเขาก็เริ่มจับผิดผมมากขึ้นเรื่อยๆ การทำงานก็เริ่มกดดันงานที่หนักอยู่แล้วก็หนักขึ้นอีก จนสุดท้ายผมต้องลาออกเอง เพราะทนรับความกดดันไม่ไหว

ช่วงหนึ่งผมไปเป็นครูพิเศษสอนเด็กประถมผมคิดว่าผมก็ทำได้ดีในระดับหนึ่งแต่สุดท้ายก็ต้องเลิกเพราะผมอ่านข่าวผู้ป่วยทำร้ายคนอื่นแล้วสลดใจผมต้องกันตัวเองออกมาจากเด็กๆ เพราะผมกลัวตัวเองจะเป็นแบบนั้นผมมีปมหนึ่งในใจที่เกี่ยวข้องกับข่าวประเภทนี้เพราะตอนกลับมาถึงเมืองไทยใหม่ๆ ผมเคยคิดทำร้ายตัวเองแม้ว่าผมจะผ่านมาได้โดยดีแต่มันก็ยังทิ้งรอยความหวาดกลัวไว้ในใจผมเสมอในตอนนั้นแค่ดูฉากมีดจ่อคอคนในทีวีก็เก็บเอาไปฝันร้ายเลย ยิ่งมีฉากทำร้ายตัวเองหรือข่าวฆ่าตัวตายยิ่งดูไม่ได้ต้องรีบปิดทีวีทิ้งกว่าจะปรับจิตใจให้เข้าที่ได้ก็นานพอดู จึงเป็นอันว่าผมต้องเลิกอาชีพที่ผมรักที่สุดไป

โชคดีที่สุดในชีวิตของผมคือได้มีภรรยาและลูกที่น่ารักก่อนแต่งงานผมบอกเขาว่าผมป่วย เขาก็มีทีท่าลังเลอยู่ แต่ความที่ตอนปกติผมดูปกติมากมากกว่าคนปกติบางคนเสียอีก เพราะผมฟื้นฟูจิตใจได้มั่นคงกว่าแต่ก่อนมากด้วยหลักของพุทธศาสนาวิถีเซ็นพอแต่งงานกันอาการผมก็กำเริบอีกหลังจากที่ลูกผมเกิดไม่ถึงสัปดาห์ ผมต้องออกจากงานประจำมารักษาตัวส่วนภรรยาก็ต้องดูแลลูกเพียงคนเดียว โชคยังดีที่พ่อแม่ของผมยังคอยช่วยเหลือได้

ช่วงนั้นผมปลีกตัวออกห่างจากลูกและภรรยาและตั้งใจฟื้นฟูสภาพของตนให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ผมเองทำอะไรมากไม่ได้นอกจากดูแลตัวเองไม่ให้เป็นภาระมากขึ้น

เมื่อสภาพของผมเข้าสู่ภาวะปกติภรรยากลับไปทำงานประจำ ผมต้องกลับมาเรียนรู้การดูแลลูกอยู่ที่บ้านด้วยเหตุนี้เองผมต้องปรับตัวเพิ่มขึ้นอีก ผมได้รับอะไรมากมายจากการเลี้ยงดูลูกผมตั้งใจไว้ว่าจะไม่ให้เขาต้องมาใช้ชีวิตกดดันแบบผม เขาสอนผมตั้งแต่เขาเกิดเขาสอนผมให้รัก ให้รู้จักให้อภัย เหมือนได้ฟังธรรมะจากพระโอษฐ์ของพระศาสดาผมมุ่งมั่นที่จะดีขึ้นแข็งแรงขึ้นเพื่อครอบครัวอาการของผมคงที่มาตลอดเป็นเวลาเกือบปี ลดความก้าวร้าวลงมาก ใจเย็นลงมาก

ผมตัดสินใจจะเลี้ยงดูอบรมสั่งสอนลูกให้ดีที่สุดเมื่อถึงเวลาหนึ่งที่เหมาะสมแล้วผมจะปลีกตัวไปทำประโยชน์เพื่อคนอื่นแม้ไม่มากแต่ก็ขอให้ได้ทำบ้าง เพราะนี่เป็นปมในใจอีกเรื่องหนึ่งของผม ผมอยากให้คนทั่วไปที่คิดว่าผู้ป่วยโรคนี้เป็นภาระให้กลับมาคิดใหม่

ปัจจุบันแม้ผมไม่ได้ทำงานประจำ ผมก็อยู่อย่างประหยัดได้ ช่วยดูแลบ้าน ช่วยงานพ่อ ทำงานบ้านอ่านและเขียนหนังสือ ที่สำคัญคือดูแลรักษาสุขภาพของตัวเอง และเลี้ยงลูกให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้

ผมคิดถูกที่ไม่นอนซมอยู่อย่างนั้นตลอดไป

จากบล็อกก่นหน้านี้ผมขอบอกว่าการบำบัดรักษาด้วยยานั้นสำคัญมากยาจะช่วยประคองเราให้นิ่งมีเวลาพอที่จะคิด ตอนนี้ท่าทีของคนรอบข้างจะมีผลต่อความคิดของเราหากเขาเข้าใจ เราจะมีศรัทธาและความหวัง เมื่อเรามีความหวังเราก็มีกำลังใจที่จะรักษาตัวสิ่งนี้เป็นแนวทางของผมเองไม่ได้คิดจะอวดภูมิรู้อะไรแต่อย่างใดครับบล็อกต่อไปจะเขียนถึงครอบครัว สิ่งแวดล้อม และคนรอบข้างบ้างครับ

ขออภัยที่ระยะหลังเขียนเหมือนเล่าเรื่องเสียมากไม่ได้ใช้กลวิธีการเขียนมากนักเพราะเอาเวลาไปดูแลลูกช่วงปิดเทอมครับอากาศช่วงนี้แปรปรวน ลูกผมป่วยบ่อยเลยต้องดูแลกันอย่างใกล้ชิด

อ่อ...ยังเหลือหน้ากระดาษอยู่อีกเล็กน้อยขอใส่ไฮกุไว้ก็แล้วกันนะครับ

พระโพธิสัตว์ยิ้ม

เปี่ยมด้วยความรักความเมตตา

สั่งสอนด้วยความเงียบ

พุทธธรรมในใจ

ประดุจบัวบานในบึงน้ำ

งอกงามจากโคลนตม

แสงศรัทธาเจิดจ้า

อบอุ่นดังตะวันยามเช้า

คุกเข่ากราบขอบคุณ




Create Date : 17 ตุลาคม 2555
Last Update : 26 ตุลาคม 2555 18:20:32 น. 2 comments
Counter : 8697 Pageviews.

 
Fighto!


โดย: deco_mom วันที่: 17 ตุลาคม 2555 เวลา:16:23:27 น.  

 
หวัดดียามเพลครับคุณบี

กำลังใจสำหรับคนที่ไม่สบาย...สำคัญมากๆ
คนไม่เคยมีประสบการณ์จะไม่มีทางรู้หรอก
ความวิตกกังวลจากโรคก็หนักพอแล้ว...
หากถูกซ้ำเติมจากความไม่เข้าใจอีกจะแย่เอา

ดีใจด้วยที่คุณบีผ่านพ้นมาได้

ไฮกุสั้นๆแต่งดงามครับ


โดย: Dingtech วันที่: 20 ตุลาคม 2555 เวลา:11:14:51 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Polarbee
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 14 คน [?]




ไม่เขียน ไม่เลอะ
ไม่เปรอะ ไม่ผิด
ไม่เขียน ไม่คิด
ไม่ผิด ไม่จำ
New Comments
Friends' blogs
[Add Polarbee's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.